เปิดชีวิตที่หลงใหลความเป็นไทย ของ “หญิงน้ำปรุง จรุงจิต” ซอฟต์พาวเวอร์แต่งชุดไทย นักจัดดอกไม้ชื่อดัง

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตที่หลงใหลความเป็นไทย ของ “หญิงน้ำปรุง จรุงจิต” ซอฟต์พาวเวอร์แต่งชุดไทย นักจัดดอกไม้ชื่อดัง

02 ก.พ. 2024

“มั่นอก มั่นใจ มั่นหน้า ร่วมรักษาความเป็นไทย” รายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่งามอย่างไทย “หญิงน้ำปรุง จรุงจิต” เน็ตไอดอลผู้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของการแต่งชุดไทย สู่การเป็นนักจัดดอกไม้ชื่อดัง ที่ได้มาแชร์สีสันของชีวิต ปันข้อคิดแรงบันดาลใจแบบสับแบบจึ้งไว้ในรายการด้วย

 

 

น้ำปรุง จรุงจิต ชื่อนี้ได้แต่ใดมา?

“หนูตั้งเองตอนที่เรียนอยู่ปี 3 ชื่อมันดูอ่อนหวาน มันดูเป็นผู้หญิง เพราะชื่อใน Facebook ตอนนั้นคือ ชรัมภ์ ประคองทรัพย์ ก็ไม่น่าสนใจ พอเป็น น้ำปรุง จรุงจิต อย่างน้อยมีสัมผัส อย่างน้อยมีความแปลก แล้วชื่อนี้มาช่วงสงกรานต์ ที่คนจะใช้น้ำอบน้ำปรุงกัน หนูเลยเอามาตั้งชื่อว่า น้ำปรุง จรุงจิต”

 

ความเป็นไทย ที่มาพร้อมความเป็นเทย

“เรื่องความเป็นไทย หนูชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ เหมือนเป็นกะเทย ก็รู้ตั้งแต่เด็ก ๆ พอเราเป็นกะเทย เราได้ประดิดประดอย มันเกิดสิ่งสวยงาม เราก็จะรู้สึกชอบ เหมือนความเป็นกะเทยอยากผมยาวก็เอาผ้ามาพัน ทำเป็นผมยาว ใส่รองเท้าส้นสูง ด้วยความที่มันสวยงามเราก็เลยชอบ แล้วก็เลยหัดทำ จนกลายเป็นความโดดเด่นที่ทุกคนยอมรับเรา เวลาในชุมชนในหมู่บ้าน ที่ต้องมีการประดิดประดอยคนในหมู่บ้านก็จะบอกว่าต้องไปเรียกน้ำปรุง หนูก็เลยชอบความเป็นไทย ชอบแต่งตัวชุดไทย ชอบประดิษฐ์งานไทย ๆ ส่วนที่บ้านก็ไม่ลืมว่าเราเป็นกะเทย แต่เค้ายอมรับได้ หนูสามารถรำวงในงานแห่นาคได้โดยที่ไม่ต้องอายใคร”

 

 

ย้อนวัยใส ของ หญิงน้ำปรุง จรุงจิต

“หนูเป็นเด็กที่ชอบแสดงออก แต่ก็ไม่ถึงกับแก่น เพราะว่าเราโดนกดด้วยความเป็นกะเทย ซึ่งการแสดงออกของหนู คือการทำให้ทุกคนเห็นแล้วก็ยอมรับเรา แต่ว่าไม่ได้แสดงบนเวที หรือทำการแสดง เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กขี้ริ้ว เป็นเด็กไม่สวย

เรื่องการโดนบูลลี่จากคนรอบข้างก็มีบ้าง ทั้งจากญาติพี่น้อง แล้วก็จากคนอื่น ๆ ในสมัยนั้นทุกบ้านไม่อยากให้ลูกหลานเป็นกะเทย เพราะเค้าห่วงว่าจะอยู่ในสังคมยังไง กลัวจะไปประกอบอาชีพไม่ได้ เพราะว่าแต่ก่อนภาพลักษณ์กะเทยจะถูกมองว่าขี้ขโมยบ้าง ชอบพูดปดบ้าง แถวบ้านก็เลยไม่อยากให้เราเป็นกะเทย ครอบครัวหนูก็เลยส่งให้ไปเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด เพื่อให้อยู่ในสายตาการดูแลของน้าตัวเอง แต่ด้วยความที่หนูเป็นคนหัวไม่ดี ก็คิดว่าฉันสอบไม่ติดหรอก เดี๋ยวฉันก็ได้มาเรียนในอำเภอกับเพื่อน ๆ เพราะตอนนั้นหนูเป็นคนติดเพื่อนมาก ก็เลยไปสอบความสามารถพิเศษ หนูเล่นดนตรีไทย ซึ่งเค้าตั้งสายไว้ดีแล้ว หนูก็บิดสายให้มันพังเพราะจะได้สอบไม่ติด ที่ทำแบบนั้นเพราะหนูตั้งใจอยากกลับมาอยู่กับเพื่อน พอเห็นว่าเล่นดนตรีเพี้ยน คุณครูก็ถามว่าเธอร้องเพลงได้นี่นา หนูก็ร้องให้ฟัง ร้องเพลงไทยเดิมก่อน แล้วก็ร้องเพลงลูกทุ่ง ฟังจบคุณครูก็ปรบมือ กลายเป็นว่าหนูสอบได้ที่ 1 สอบติดโรงเรียนนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์

การไปใช้ชีวิตในเมืองหนูก็กลัวแล้วก็คิดว่าเราจะอยู่ยังไง แต่ก่อนการเข้ามาอยู่ในเมืองมันเป็นเรื่องที่น่ากลัว แค่จากท่าตะโก มาปากน้ำโพ มันก็น่ากลัวแล้ว หนูไม่ชอบ ชอบอยู่แบบเดิม ๆ มากกว่า ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่ชอบการเปลี่ยนเซฟโซน แต่ที่บ้านส่งเข้ามาเรียนเพราะโรงเรียนเคยเป็นโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ในห้องมีผู้หญิงแค่ 5 คน แต่ทุกคนที่บ้านมีความคิดว่า โรงเรียนชายต้องมีแต่ผู้ชาย ซึ่งผิดค่ะ มันเป็นดงที่ทำให้กะเทยได้เป็นดาวในโรงเรียน

ประโยชน์ของการมาอยู่ในเมืองคือ ได้เพื่อน แล้วก็ได้คุณครูผู้สอนที่ดี หนูมองว่ามันเหมือนมีการแข่งขัน เด็กก็แข่งขัน ครูก็แข่งขัน แล้วการไปอยู่ในเมืองทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์ ได้เห็นอะไรมากขึ้น อย่างเช่นอยากทำงาน ตอนอยู่บ้านนอกมันจะทำที่ไหน มีแต่ทุ่งนา มีแต่วัวแต่ควาย มีแต่ต้นข้าว แต่มาอยู่ในเมืองโอกาสมันมากกว่า อยากทำงานก็ไปสมัครงานที่ร้าน ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ มากกว่า”

 

“ครู” อาชีพในฝัน ของหญิงน้ำปรุง จรุงจิต

“ความฝันในวัยเด็ก หนูอยากเป็นคุณครู เพราะว่ามันมีความสดใส อยู่ในโรงเรียนมีแต่เด็ก ๆ มีแต่ความสดใส ขนาดตอนเล่นกับเพื่อน ๆ หนูก็เล่นเป็นครู เล่นเป็นลิเก เล่นเป็นแม่ค้า เล่นเป็นคนครัว ซึ่งการเล่นมันก็บอกแล้วว่าเราอยากเป็นแค่นี้

แล้วคุณพ่อเป็นคุณครูภาษาไทย แต่เป็นคุณครูที่ดุมากในชุมชน ตีลูกทุกคนยกเว้นลูกตัวเอง 3 คน พ่อจะให้แม่ดุคนเดียว เพราะว่าถ้าดุด้วยกันทั้งคู่เดี๋ยวลูกตาย ลูกรับไม่ไหว แม่ก็เลยดุแบบเต็มที่ ซึ่งในชุมชน คุณครูเสรี ประคองทรัพย์ เป็นที่รู้จักมาก ๆ ไปที่ไหนมีแต่คนทักทาย แล้วเราเห็นภาพนั้นมาตลอด แล้วรู้สึกว่าการเป็นครูมันยิ่งใหญ่มากเลย คนสวัสดีตั้งแต่กำนันมาจนกระทั่งเด็กน้อย แล้วกำนันก็เป็นลูกศิษย์ของพ่อหนู

ส่วนแม่หนูจบ ป.7 แม่จะให้ความสำคัญกับการเรียนมาก อย่างที่หนูจะไปเรียนพิเศษ ที่ต้องไปนั่งเรียนหน้าตู้ แม่ก็สงสัยว่ามันต้องเรียนยังไง จะรู้เรื่องเหรอ แล้วแม่ของหนูก็ลองไปนั่งเรียนก่อนหนู พอไปลองเรียน แล้วก็รู้เรื่องถึงเอาเงินมาให้หนู แล้วบอกว่าอยากเรียนก็ไปเรียน แม่หนูเป็นคนอยากเรียนมาก เพราะแต่ก่อนผู้หญิงจะไม่ได้เรียน แม่ก็เลยชอบเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เค้าวางแผนเก่ง จอมบงการ เป็นผู้ใหญ่บ้าน แล้วแม่เป็นคนที่เก่งมากในมุมมองของหนู แล้วแม่ก็หล่อหลอมตัวหนูมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหนูในทุก ๆ วันนี้

หนูเคยมีโอกาสไปสมัครเป็นครู แล้วก็ไม่สมหวังเพราะโดนบอกว่าเป็นกะเทยถึง 2 ครั้ง ตอนนั้นเค้ารับเพศสภาพของเราไม่ได้ หนูก็ร้องไห้เลย เพราะหนูยอมตัดผมจากที่แต่งหญิงเพื่อไปสัมภาษณ์ เค้าขอดูผลงานของเราเลยรู้ว่าหนูไม่ใช่ผู้ชาย แล้วก็เคยแต่งหญิงมาก่อน เค้าเลยถามว่าถ้าหนูมาสอน หนูจะสอนได้ไหม แล้วเค้าก็บอกว่าเรารับไว้ไม่ได้จริง ๆ กลัวจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็ก ซึ่งหนูก็คิดในใจว่าเป็นกะเทยไม่ดีตรงไหน แล้วหนูก็ไปสมัครอีกที่นึง ก็ได้คำตอบเดิม เลยกลับมาคิดกับตัวเองว่าการจะเป็นครูมันคือความฝัน แต่เค้าดันบอกว่าไม่รับ ก็คงโชคดีแล้วที่ไม่ต้องไปอยู่ในจุดนั้น”

 

 

ก้าวแรก ของวงการจัดดอกไม้

“หนูเรียนจบ ม.6 ตอนนั้นเรียนสายวิทย์แล้วไม่ชอบ แต่ว่าในขณะที่เรียน หนูก็หนีที่บ้านไปทำงานจัดดอกไม้ เพราะมันสวยงาม เราอยากจัดได้ แล้วเราชอบ ก็ไปซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็หัดทำ หนูก็เริ่มไปเก็บดอกไม้มาทำ อย่างเวลามีงานโรงเรียน หรือมีงานวัด พองานโรงเรียนเสร็จเค้าก็จะทิ้งดอกไม้ หนูก็ไปเก็บแยกไว้แล้วมาหัดจัดเอง พอครูเห็นก็เลยบอกว่า เธอจัดดอกไม้ได้นะ การจัดดอกไม้มันหากินคนเดียวได้นะ ตอนนั้นหนูบอกครูว่าหนูอยากไปเรียนตรงนี้ ครูก็บอกว่าเธออยากเรียนใช่ไหม เธอต้องไปที่โชติเวศนะ หนูก็เลยขอโทรมาขอโควตา แล้วก็มาสอบ ปรากฎว่าสอบได้ ได้เรียนคหกรรมศาสตร์ เอกงานประดิษฐ์ จัดดอกไม้ ทั้งที่ตอนมัธยมเราทนเรียนสายวิทย์ ที่คนบอกว่ามันโอเคนะ มันไปต่อได้ดีนะ ซึ่งเราไม่ชอบ แล้วการประกอบอาชีพของเราก็อาจจะต้องอยู่กับความไม่ชอบไปตลอดชีวิต หนูก็เลยตัดสินใจเลือกเรียนคหกรรมดีกว่า เลือกในสิ่งที่เราชอบ พอมาเรียนมันก็ได้มีการฝึกงาน ได้ทำงานจริง ซึ่งที่บ้านไม่อยากให้เรียนคหกรรมนะ แต่หนูก็มุ่งมั่นว่าหนูจะเรียน ตอนมาเรียนหนูก็เริ่มมีรายได้ แต่ก่อนได้ค่าแรง 35 บาท ที่ปากน้ำโพ แล้ววันนึงมีงานที่เซ็นทรัลชิดลม ในปีนั้นหนูได้เงิน 400 บาท หนูเดินยิ้มข้ามสะพานลอย มันดีใจมาก

หลังจากนั้นหนูก็จัดดอกไม้มาเรื่อย ๆ พอได้เงินเยอะก็บอกแม่ว่าเดือนนี้ไม่ต้องส่งเงินนะ แม่ก็ถามว่าไปเอาเงินที่ไหนมา หนูก็บอกแม่ว่าหนูได้เงินจากการไปจัดดอกไม้ ซึ่งแม่บอกว่า นั่นมันเรื่องของเธอ แต่หน้าที่ส่งเงินให้มันเป็นเรื่องของฉัน หนูดีใจแล้วก็ร้องไห้เลยตอนนั้น มันเหมือนแม่ยอมรับในทางเลือกของหนู ซึ่งพ่อยอมรับตัวหนูมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ตอนอยู่ ม.5  ไปเต้นที่โรงเรียน พ่อเป็นคนเอารองเท้าส้นสูงไปซ่อมให้หนูนะ พ่อหนูเปิดมากกับเรื่องนี้ แล้วพอแม่ยอมรับหนูก็สู้ต่อ แม่บอกให้เราสู้ หนูก็สู้ในเส้นทางที่เราเลือก”

 

จากการจัดดอกไม้งานแต่ง สู่การจัดดอกไม้งานศพ

“มันสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ และมันเป็นงานที่สั้น อย่างการจัดดอกไม้งานแต่งงาน มันเป็นงานที่ยาว เจ้านี้อยากได้แบบนั้น อีกเจ้าอยากได้แบบนี้ มันก็จะยาวกว่างานจะจบ หนูต้องเสนอแบบ เขียนแบบ ส่งแบบ แก้แบบ แก้อยู่ 3-4 รอบ กว่าจะถึงงาน บางทีรับงานตั้งแต่มกราคม แล้วแต่งพฤศจิกายน เจ้าภาพเค้าก็โทรหาหนูเกือบทุกวัน ตั้งแต่มกราคม ถึงพฤศจิกายน ก็มี

แต่พอเป็นงานศพ ตายวันนี้ โทรวันนี้ จัดวันนี้ จัดเสร็จเราก็ได้เงิน แต่หนูก็มีเซอร์วิสไปดูแลให้ หลังการขายด้วย แล้วหนูก็ชอบเอารูปแบบการจัดงานแบบไทย มาประยุกต์กับแบบทันสมัย เพราะหนูจัดดอกไม้งานแต่งมาก่อน หนูมีอุปกรณ์ เราเคยเห็นงานแต่งที่จัดดอกไม้สวย แล้วการใช้ดอกไม้มันสามารถคลายความโศกเศร้าได้ หนูก็เอารูปแบบการจัดดอกไม้ในงานแต่งมาประยุกต์ใช้ในการจัดดอกไม้งานศพด้วย

ต้องบอกว่าแต่ก่อน การจัดดอกไม่งานศพนั้นความเรื่องมากของเจ้าภาพแทบจะไม่มี แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีแล้ว เพราะเจ้าภาพมีความรู้เยอะขึ้น เค้าเพิ่งรู้ว่าหลังช่วงโควิดมา ศพสามารถฝากไว้ที่โรงพยาบาลได้ ไม่ต้องรีบเอาออกมาจัดงาน มีช่วงให้คิดให้ออกแบบการจัดงานศพที่ยาวขึ้น ความต้องการของเจ้าภาพก็มากขึ้นตามค่ะ

ช่วงหลังเริ่มมีเจ้าภาพอยากจะมามัดจำหนูให้ได้ ล่าสุดจะมัดจำหนู 500,000 บาท ไปจัดดอกไม้ให้แม่พี่ด้วยนะ ทั้งหน้าศพ ทั้งหน้าเมรุ หนูก็บอกว่าหนูทำไม่ได้ พี่ไม่คิดว่าหนูจะตายก่อนแม่พี่เหรอ ถ้าหนูตายมันจะเป็นเรื่องของคดี จะมาฟ้องครอบครัวหนู มันจะเดือดร้อนคนอื่น

หนูไม่เคยเก็บมัดจำใครนะ แล้วคิดว่าเจ้าภาพเค้าคงไม่โกงหนู เพราะถ้าเค้าโกงมันก็เป็นบาปของเค้าเอง แต่ถ้าเรารับมัดจำมาแล้ว แล้วเราไม่ได้ทำให้เค้า เราจะเป็นบาปนะ มันจะต้องไปชดใช้กัน หนูกลัวบาป หนูจะรับงานก่อนเที่ยง ถ้าหลังเที่ยงไปก็จะเจรจาว่าของเป็นพรุ่งนี้ไหมคะ แล้วถ้าแบ่งทีมได้ก็จะแบ่ง แต่ถ้าแบ่งทีมไม่ได้ หนูก็จะต้องบอกลูกค้าตามตรง”

 

 

พอต้องมาจัดดอกไม้ ในงานศพของคนที่รัก

“หนูจัดดอกไม้งานศพมาเป็นพันศพแล้วนะคะ แต่งานศพพ่อตัวเอง งานศพตาตัวเอง หนูกลับไม่มีสติ งานศพคนอื่นจัดสวยงามมาก สั่งดอกไม้เป็นยี่สิบชนิด แต่พอต้องจัดงานศพคุณพ่อ หนูสั่งดอกไม้มาแค่ 4 ชนิด

คุณพ่อเป็นมะเร็ง แต่ก็ไม่ได้จากไปแบบกะทันหัน แต่การเสียคนที่เรารักมากไปสักคน มันก็ต้องใช้เวลากว่าจะดึงสติไม่ให้เสียใจ ของหนูใช้เวลาหลักวัน แต่สำหรับแม่หนู ใช้เวลาเป็นปีเพราะว่าเค้ารักกันมาก เค้าอยู่ด้วยกันมา 44 ปี มันยาวนานมาก

ซึ่งเทรนด์การจัดดอกไม้งานศพมันเปลี่ยนไป อย่างเจ้าภาพที่เป็นสายแคมป์ ก็อยากจัดดอกไม้หน้าศพให้เป็นเหมือนการตั้งแคมป์ มีโต๊ะ มีเต็นท์ เจ้าภาพบางคนชอบรถ หนูก็ต้องจัดเป็นสวน  แล้วก็มีรถมอเตอร์ไซค์ไปจอด อย่างอีกเจ้าคือ คนตายชอบเป็ด ภรรยาบอกว่าสามีชอบเป็ดมาก แล้วเค้าเสียชีวิต จะจัดดอกไม้ออกมายังไงดี หนูก็เอาตุ๊กตาเป็ดไปวาง ซึ่งแต่ก่อนมันจะมีบังตาเพื่อไม่ให้เห็นศพ พอจัดดอกไม้เสร็จเค้าจะเอาบังตาออก จากน้ำตาที่เราเห็นเค้าร้องไห้ทั้งวัน พอเราจัดดอกไม้ทุกอย่างเสร็จ กลายเป็นว่าเค้ายิ้มแล้วก็ชมว่ามันสวยจังเลย นั่นทำให้หนูรู้สึกว่าการจัดดอกไม้งานศพมันช่วยคนได้ขนาดนี้เลยเหรอ แล้วหนูว่ามันได้บุญนะ สิ่งนี้แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้หนูจัดดอกไม้งานศพคู่กับงานแต่ง จนหลัง ๆ สุขภาพหนูเริ่มแย่ แล้วอดนอนไม่ได้ ก็เลยเลือกทำงานศพเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ได้ไปออกรายการแฉ พี่มดดำเป็นพิธีกร พี่มดดำถามว่าเธอรับจัดดอกไม้งานอะไร ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่ในหลวง ร.9 สวรรคตพอดี หนูตอบว่าจัดหน้าศพค่ะ มันกลายเป็นการโฆษณาที่ง่ายสุด ๆ คนก็รู้จักหนูในการเป็นนักจัดดอกไม้หน้างานศพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ก่อนหน้านั้นที่หนูจัดงานศพกับงานแต่งไปด้วยกัน มันก็มีคำครหาว่า เธอใช้ดอกไม้ที่จัดในงานแต่งกับงานศพเป็นดอกเดียวกันรึเปล่า เพราะมันมีการผสมดอกไม้แห้งกับดอกไม้สด แล้วหนูว่าดอกไม้แห้งมันก็เป็นวัสดุที่ไม่ได้ใช้แล้วหมดไป มันสามารถเอามา REUSE ได้ แต่ในตอนแรกหนูก็ตอบว่าไม่ได้ใช้ด้วยกัน แต่มันเป็นการโกหก หลัง ๆ หนูก็บอกว่าใช้ด้วยกันค่ะ คนก็ถามว่าใช้ด้วยกันได้ยังไงเป็นของไม่ดีนะ หนูก็บอกว่า ทีจานวัดงานแต่งก็ใช้ งานบวชก็ใช้ งานศพก็ใช้ ไม่เห็นต้องว่าเลย ลูกค้าก็อึ้ง เพราะบางคนเค้าถือ แต่พอต้องตอบคำถามมาก ๆ หนูก็เลยตัดสินใจรับแต่งานศพไปเลย เพราะร่างกายเราก็ไม่ไหวแล้ว ก็เลยรับแต่งานศพเรื่อยมา

สิ่งที่ได้จากการจัดดอกไม้หน้างานศพคือ มันให้รู้ว่า คนเรามีการเกิดมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับลงไป ซึ่งก่อนที่เราจะดับลงไป อะไรบ้างที่จะทำให้เราได้ติดตัวเราไป สิ่งนั้นคือบุญ บางคนเค้าเชื่อว่าบุญสามารถช่วยเราได้ถ้าเราย้ายภพภูมิไปแล้ว การจัดดอกไม้หน้างานศพ มันทำให้เราได้มีสติที่จะทำดี เพราะว่าบุญก็คือความดี ทำให้เราตระหนักถึงบุญ ตระหนักถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะถ้าเราอยู่ด้วยบุญ อยู่ด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน อยู่ในวัฒนธรรม สังคมมันก็ไม่ยุ่งเลย”

 

 

จัดดอกไม้ไม่ใช่แค่อาชีพ แต่คือความผ่อนคลาย

“การจัดดอกไม้ของหนู คือ หนูไม่ได้ชอบเพราะมันจะเป็นอาชีพ แต่หนูชอบจัดเฉย ๆ จัดเพื่อการผ่อนคลาย ซึ่งมันจะออกมาพร้อมกับผลงานของเรา มันสนุกแล้วเราชอบมัน แล้วผลงานที่เราทำ พอมันผ่อนคลายผลงานมันก็จะออกมาสวย แล้วอย่างหนูชอบความเป็นไทย หนูก็เอาการจัดดอกไม้แบบไทยเข้าไปผสมกับการจัดดอกไม้แบบสากล เอาการเย็บแบบ ร้อยพวงมาลัยใส่เข้าไป คนก็เห็นว่ามันก็เข้ากันได้นะ

อยากให้ทุกคนมีความสุขกับในสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ หาความสุขของเราว่าเราชอบอะไร บางทีเริ่มจากเพลงก่อนก็ได้ คุณชอบฟังเพลงประมาณไหน ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วคุณก็นำสิ่งนั้นมาต่อยอด ทุกอย่างมันทำให้เราเกิดรายได้ ถึงจะไม่เกิดรายได้ คุณก็มีความสุข แล้วเมื่อคูอยากจะเอาความสุขส่งให้คนอื่นต่อ นั่นมันก็เป็นรายได้แล้ว”

 

 

ผลงานแห่งความภาคภูมิใจ

“’งานจัดดอกไม้ที่หนูภาคภูมิใจ และแจ้งเกิดที่สุดคือ งานแต่งงานของ คุณป๊อก ปิยธิดา ตอนนั้นเรียนปี 3 แล้วได้จัดดอกไม้งานแต่งดารา มันมีผลกับใจมากเลย หนูได้ไปจัดให้เค้าที่พิพิธภัณฑ์วังหน้า ซึ่งตอนนั้นงานแต่งงานต้องมี Backdrop แต่หนูมองว่างานนี้ไม่จำเป็น สถานที่มันสวยอยู่แล้ว ฉากข้างหลังเป็นพระที่นั่งพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ สถาปัตยกรรมที่งดงามขนาดนี้ ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ หนูก็จัดดอกไม้แค่ตรงพื้น ตอนยืนก็เห็นพื้นเป็นดอกไม้ เห็นคน เห็นพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ งานมันก็เลยแปลกกว่าคนอื่น เค้าก็เลยชอบแล้วก็ใช้ต่อเทคนิคนี้ต่อ ๆ กันมา

ส่วนงานระดับชาติ คือ งานประชุมเอเปค เพราะว่าภาพของงานเอเปค มันเคยอยู่ในโบชัวร์ของมหาวิทยาลัยตอนที่หนูจะมาเรียน ป.ตรี ตอนนั้นเราก็มองว่ามันสวยมากเลย แล้ววันหนึ่งเราได้มารับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดรับเลี้ยงท่านคู่สมรสของผู้นำเอเปค มันเป็นงานที่เปลี่ยนชีวิต เรา และมันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากเลยสำหรับหนู”

 

เสน่ห์ของเป็นไทย ในมุมมองของ หญิงน้ำปรุง จรุงจิต

“หนูชอบแต่งชุดไทยอยู่แล้วตั้งแต่เรียนปี 3 หนูหลงใหลมากเพราะว่าเคยเห็นปู่ย่าตายายใส่ แล้วก็รู้สึกว่ามันสวยดี มันดูดี ซึ่งการเอาความเป็นไทยเผยแพร่ในโซเชียลของหนู หนูก็ทำให้คนเห็นว่าชุดไทยมันใช้ในชีวิตประจำวันได้นะ แล้วด้วยความเฮฮาของเรา บวกกับเทคนิคของการประดิดประดอยที่หนูชอบ พอลงคลิปในโซเชียลคนก็จำได้ บางคนเอาไปประยุกต์ใช้บ้าง บางคนหัดไปเป็นอาชีพก็มี เคยมีคนที่ทำเกี่ยวกับเว็บไซต์บอกว่า ยอดคนดูของพี่มันออแกนิคมากเลยนะคะ ไม่มีการโปรโมทอะไรเลย หนูก็บอกว่าใช่ค่ะ เพราะว่าทำไม่เป็น อ่านหนังสือออกก็บุญหนักหนาแล้วค่ะ

ซึ่งคลิปที่สร้างชื่อให้หนูคือคลิป เป่ากุหลาบ กับ คลิปขี่ม้าเก้าอี้ คลิปเป่ากุหลาบ คือ ปกติกุหลาบมันตูมอยู่ในห่อ หนูก็มาจับมาเป่าให้ดูเหมือนสอน คนก็เห็นว่า จากดอกกุหลาบที่กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร มันสามารถบานได้เกือบ 4 นิ้ว ส่วนคลิปขี่ม้าเก้าอี้ เกิดในงานบวชค่ะ เป็นการแสดงของกะเทย ก็เอาเก้าอี้มาควบเป็นม้าไปบริเวณช่วงนึงของโบสถ์ แล้วบังเอิญตัดต่อดี มีเสียงม้าพอดี คนเห็นแล้วชอบ แล้วก็รู้จักหนูมาจากสองคลิปนี้

สำหรับหนู หนูมองว่า ชาติไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม แล้วการคุยกันด้วยวัฒนธรรม มันเป็นการคุยกันที่ง่าย มันเป็นการคุยกันที่ประนีประนอม ขอให้ทุกคนดำรงอยู่ภายใต้วัฒนธรรม แล้วก็รักษาวัฒนธรรม มันทำให้การใช้ชีวิตง่าย และมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเมืองไทย”

 

 

เคล็ด(ไม่)ลับ การมูเตลูของ หญิงน้ำปรุง จรุงจิต

“หนูบอกเลยว่าของหนูมี 3 ที่ ที่แรกคือ วัดพระแก้ว ต่อมาคือพระปฐมเจดีย์ ตรงพระบรมสารีริกธาตุ ที่ลืมไม่ได้เลยต้องดูแลพ่อแม่ และบุพการีของเราให้ดีที่สุด 3 สิ่งนี้แหละค่ะคือที่สุดแล้วสำหรับหนู” -  หญิงน้ำปรุง จรุงจิต

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญสุดพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1