“หลายคนอยากเป็นครีเอเตอร์ อยากทำคอนเทนต์ แต่ก็รอสวยก่อน รอพูดเก่งก่อน รอมีกล้องก่อน แต่ในตอนที่หนูเริ่ม หนูทำเลย อยากทำแบบไหนทำเลย เพราะถ้ามัวแต่รอ มันก็ไม่ได้ทำสักที"

เปิด Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ ของเหล่าตัวแม่ในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ฟลุ๊คกะล่อน” แขกรับเชิญสุดสวย ที่เริ่มจากการเป็นเน็ตไอดอลมีหนวดสุดยูนีค เธอผันตัวเองเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์สอนแต่งหน้า รับรีวิวสินค้า ต่อยอดสู่การเป็นยูทูปเบอร์สุดปัง และยังได้เป็นนางแบบสุดเฟียร์ส บนรันเวย์ Elle Fashion week ที่ทั่วโลกได้เห็น และต่างประทับใจในตัวเธอ กว่าจะมีวันนี้ได้ เธอผ่านหลายดราม่า ฟันฝ่าหลายอุปสรรค และพร้อมแชร์เรื่องราวเหล่านี้ไว้ในรายการ
ทำไมถึงเป็น ฟลุ๊คกะล่อน จากโลกของคนมีหนวด?
ย้อนไปช่วง ม.2 ตอนนั้นหนูเพิ่งเริ่มเล่น Facebook แล้วช่วงนั้นเพื่อนในโรงเรียนเค้าจะไม่ตั้งชื่อจริงนามสกุลจริงใน Facebook กัน ตอนนั้นหนูก็เลยให้รุ่นพี่ตั้งให้ รุ่นพี่เค้าก็ตั้งคำว่า กะ เว้นวรรค นามสกุล ล่อน มันเลยกลายเป็น ฟลุ๊คกะล่อน ซึ่งมันอาจจะมาจากบุคลิกของหนูตอนนั้น ที่จะอยู่ในกลุ่มเด็กผู้ชายกวน ๆ รุ่นพี่ก็เลยตั้งชื่อนี้ให้
ส่วน โลกของคนมีหนวด คือมันเริ่มจากตอนนั้นหนูแต่งหน้า แล้วก็มีหนวดด้วย หนูก็ถ่ายคลิปไปลงในเพจ ตอนนั้นเพจยังชื่อว่า ฟลุ๊คกะล่อน แล้วคลิปนั้นหนูลงไปสองชั่วโมง ยอดวิวมันพุ่งไปหลายล้านวิว ซึ่งหนูก็งงว่ามันก็แค่คลิปแต่งหน้าไม่มีอะไรทำไมคนดูเยอะขนาดนั้น บวกกับคลิปมันถูกแชร์ไปที่เพจของฝรั่ง ก็จะมีฝรั่งเข้ามาคอมเมนต์กันเยอะมาก มีคนหนึ่งใช้คำว่า World moustache ที่แปลว่า โลกของคนมีหนวด พออ่านหนูรู้สึกว่าคำนี้มันเพราะจัง ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อเพจเลยค่ะ
หลายคนคิดว่าการมีหนวดเป็นเอกลักษณ์ของหนู แต่ตัวหนูเองไม่ได้คิดว่ามันคือเอกลักษณ์ขนาดนั้น แล้วที่หนูไม่โกนหนวดก็เพราะว่า ด้วยความที่พ่อของหนูเป็นทหาร แล้วเค้าต้องโกนหนวดตลอด เพราะมันเป็นกฎของทหารที่ต้องโกนหนวด แล้วพอโกนมันทำให้หนวดของพ่อแข็งมาก แล้วแม่บอกว่าหนวดไม่สวย แม่ก็มาเตือนหนูว่า ถ้าหนูมีหนวดอย่าโกนนะ หนูก็เลยไม่เคยโกน เพราะหนูกลัวหนวดมันจะแข็งแค่นั้นเลย
ซึ่งตอนที่เป็นนักเรียนหนวดมันไม่ขึ้นเลย จนหนูมาเริ่มแต่งหน้าหนวดมันถึงค่อย ๆ ยาวขึ้นมา แล้วหนูก็ไม่กล้าโกนเลยปล่อยมันไว้ หนูรู้สึกว่ามันไม่ได้รบกวน หรือเป็นอุปสรรคในการแต่งหน้าแต่งตัว หนูมองว่ามันสวยดี ก็เลยปล่อยหนวดยาวมาเรื่อย ๆ คนก็เลยคิดว่ามันดูเก๋ มันดูมีความยูนีค”

ฟลุ๊คกะล่อน กับชีวิตในกรมทหาร
“หนูโตมาในกรมทหาร ที่บ้านเค้าพูดมาตลอดตั้งแต่เด็กว่าหนูต้องเป็นทหาร หนูเจอคำนี้กดมาตลอดว่าเราต้องเป็นทหาร แล้วที่บ้านไม่ได้มีฐานะดีมาก โรงเรียนก็ติดกับกรมเลย เดินทะลุประตูกรมไปเรียน ตอนเย็นก็ไปโลตัส ใช้ชีวิตอยู่แค่นั้น หนูไม่ได้มีโทรศัพท์ ไม่ได้มีโอกาสเห็นว่าโลกมีอะไรหลากหลายขนาดไหน เลิกเรียนเสร็จก็มาเตะบอลเตะตะกร้อกับเพื่อน ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้อยากจะปิดความเป็นตัวเองนะ แต่มันเหมือนไปทางสับสนมากกว่า หนูไม่รู้ว่าตุ๊ดคืออะไร จำได้แค่ว่าตอนเรียน ม.3 ทั้งชั้นมีคนที่แบบโดนล้อเป็นตุ๊ดอยู่คนเดียว หนูก็รู้สึกว่าเราไม่อยากโดนล้อแบบนั้น ซึ่งหนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นหรือเปล่า แต่หนูต้องอยู่กลุ่มเพื่อนผู้ชาย เค้าไปทำอะไรเราก็ทำด้วย เพราะกลัวโดนล้อว่าเป็นตุ๊ด
พอจบ ม.3 หนูก็ถูกส่งไปเรียนกวดวิชา เพื่อจะไปสอบเป็นนายร้อย ที่บ้านก็เก็บเงินส่งหนูเรียนกวดวิชา ต้องเสียเงินเยอะมาก แต่หนูรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่เคยอยากเป็นทหารเลย วันสอบหนูก็เข้าไปหลับ เพราะข้อสอบมันหลายร้อยข้อมาก แล้วหนูต้องอยู่ในห้องสอบ 4 ชั่วโมง หนูก็หลับเลย เพราะหนูทำไม่ได้แล้วก็ไม่อยากเป็นทหารด้วยด้วย พอวันประกาศผลหนูก็ไม่กล้าบอกที่บ้านว่าเราทำข้อสอบไม่ได้ พ่อแม่เค้าก็ลุ้นกันสุด ๆ แต่หนูสอบไม่ได้ หนูก็เลยกดดันว่าไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจเลย จนกระทั่งพ่อเสีย หนูก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น ได้เล่นโซเชียลมากขึ้น ได้เจอคนเยอะขึ้น ได้เจอหลากหลายอาชีพมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่ามันมีอาชีพมากกว่าครู ทหาร ตำรวจ แล้วก็ทำให้เราโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนหน้านั้นหนูไม่รู้ว่ามันมีอาชีพอะไรบ้าง ที่ผูกพันที่สุดก็คงเป็นอาชีพครู เพราะเวลาเราไปโรงเรียนเราก็เห็นคุณครูมีความสุขดีเวลาสอนเรา แล้วหนูสนิทกับคุณครูเยอะมาก คุณครูก็จะจำเราได้ ก็เลยรู้สึกว่าครูก็เป็นอีกทางเลือกถ้าไม่ใช่ทหาร แล้วที่บ้านอยากให้รับราชการ เพราะว่าเรื่องสวัสดิการที่อาจจะมีความพิเศษกว่าอย่างอื่น พ่อแม่ก็เลยอยากให้เรารับราชการเพราะจะได้สบาย ในอนาคตจะได้ไม่ลำบาก”

ย้อนวีรกรรมสุดพีค ของ ฟลุ๊คกะล่อน
“ตอนเรียนหนูก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนมาก แต่ก็ไม่ได้เกเร แล้วก็จะชอบกวนคุณครู อยู่กับแก๊งเด็กผู้ชายเพราะว่าเรากลัวโดนล้อ เค้าทำอะไรเราก็ทำด้วย แต่หนูก็ส่งงานไม่เคยสอบตก การเรียนอยู่ในระดับกลาง ๆ เกรดเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2.8 แบบนั้นค่ะ
วีรกรรมตอนเด็กค่อนข้างแสบ หนูเคยถูกขวานฟันหัว ตอน ม.3 เป็นวันสอบวันสุดท้ายของโรงเรียน ซึ่งวันสอบวันสุดท้ายมักจะมีเด็กโรงเรียนอื่นมาเฝ้าเพื่อจะหาเรื่องตีกัน ซึ่งดูเป็นเรื่องปกติที่หนูเห็นมาทุกปี ในปีนั้นอาจารย์ก็เตือนแล้วว่าสอบเสร็จแล้วให้กลับบ้าน ตอนนั้นพอสอบเสร็จหนูก็ยืนซื้อน้ำอยู่หลังโรงเรียน สักพักหนูก็ได้ยินคนกรี๊ดแล้วก็วิ่งกัน พอเราหันไปไม่เห็นคนแล้ว เห็นแต่ขวาน คือมันเป็นขวานลอยมา พอเห็นปุ๊บหนูหลบเลยเพราะห่วงหล่อ ถ้าโดนหน้าต้องไม่หล่อแน่ หลบปุ๊บหนูวิ่งเลย วิ่งจะไปบอกเพื่อนว่าหนูรอด พอรู้ตัวอีกทีเลือดเต็มตัวเลย คือขวานมันโดนหัวเราไปแล้วแต่เราไม่รู้สึกเพราะตอนนั้นตื่นเต้น แต่พอรู้ตัวเลือดเต็มตัวเลย แล้วครูก็รีบพยุงขึ้นรถไปที่โรงพยาบาล ต้องเย็บ 8 เข็ม ซึ่งหนูก็ไม่รู้ว่าคนทำคือใคร หลังจากนั้นพ่อหนูเค้าก็เลยไปตามเรื่อง พาไปแจ้งความ เลยได้รู้ว่าคนที่ทำเป็นลูกทหารเหมือนกัน เค้าก็ฝากมาบอกแค่ว่า เค้าทำผิดคน”
ฟลุ๊คกะล่อน กับจุดเริ่มต้นของการเป็นเน็ตไอดอล
“การเป็นเน็ตไอดอลของหนูเริ่มจากการที่หนูเป็นเด็กนักเรียนที่อาจจะไม่ได้ตามระเบียบ ไม่ได้ตัดทรงนักเรียน ใส่กางเกงนักเรียนที่ขาสั้นมาก มีความเกเรหน่อย แต่ว่าไม่ได้ก้าวร้าว แล้วเวลาหนูลงรูปมันจะถูกแชร์ออกไปเยอะมากจากนักเรียนโรงเรียนอื่น หรือรุ่นน้องเราที่แชร์รูปไปว่าหล่อจัง เท่มาก จากนั้นก็มีคนกดไลค์รูปที่หนูลงตอนปิดเทอม รูปนั้นหมื่นไลค์หนูตกใจมาก หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนรู้จักหนูมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งคลิปแรกที่ทำให้คนรู้จักหนู น่าจะเป็นคลิปที่หนูร้องเพลงลูกทุ่ง ตอนนั้นร้องเพลงกวางขาว ที่มันมีคำผวนเยอะ ๆ ร้องไปลิ้นพันกันไป หนูก็อัดคลิปเล่นกับเพื่อน แล้วก็ลงใน Facebook ไป ผ่านไปหนึ่งคืนคลิปถูกแชร์ไป 700 แชร์ คนดู 60,000 คน แล้วก็ทะลุไปเป็นแสนคน หลังจากนั้นหนูก็ได้ออกรายการต่าง ๆ ได้ออกสกู๊ปข่าวเล็ก ๆ เริ่มมีไวรัล คนก็เลยมาติดตามหนูเยอะขึ้นจากคลิปนั้นเลยค่ะ”

จากเน็ตไอดอลสุดหล่อ สู่บิวตี้บล็อกเกอร์สุดปัง
“หลังจากที่เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น ตอนนั้นหนูยังไม่รู้จักเรื่องอาชีพเลย แค่รู้สึกว่าเราชอบทำคลิปตลกกับเพื่อนอยู่แล้ว ซึ่งคนก็แชร์เยอะ หนูก็ทำคลิปมาเรื่อย ๆ จนมีคนเริ่มจ้างงานให้ถ่ายรูปคู่กับครีมให้หน่อย 1 รูป 500 บาท จนราคามันก็ขึ้นไปแบบพันนึง พันห้า เริ่มมีการเซ็นสัญญา หนูก็รับและทำมาเรื่อย ๆ ประมาณ 3 เดือนหนูได้เงินในบัญชีประมาณ 1,200,000 บาท ตอนนั้นหนูดีใจมาก แต่ในช่วงที่หนูเริ่มหาเงินได้ ก็เป็นช่วงที่คุณพ่อเสีย แล้วหนูกับแม่ต้องย้ายออกจากกรมทหาร เพราะว่ามันเป็นกฎว่า ถ้าพ่อเสียเราจะอยู่ที่บ้านพักทหารได้อีกแค่ 1 ปี ตอนนั้นหนูกับแม่ก็คิดกันว่าจะย้ายที่อยู่อย่างไรเพราะว่าเราไม่มีรถ ช่วงนั้นมันใกล้วันเกิดแม่ หนูก็เลยรู้สึกว่าอยากจะซื้อรถให้แม่ เลยเดินเข้าไปที่ศูนย์แล้วบอกว่า หนูอยากผ่อนรถมากเลยค่ะ อยากจะซื้อรถ ซึ่งพนักงานก็บอกว่ายังผ่อนไม่ได้ หนูเพิ่งจะอายุ 17 ปีเอง หนูเลยถามว่าพอจะมีทางไหนที่หนูจะได้รถบ้าง เค้าก็บอกว่าอาจจะต้องเป็นการซื้อเงินสดอย่างเดียว หนูก็เลยกลับไปกดเงินสด แล้วอีกวันนึงก็เอามาซื้อให้แม่เลย กลายเป็นไวรัลเลยในตอนนั้น
แล้วหนูก็ทำบิวตี้บล็อคเกอร์มาเรื่อย ๆ หนูชอบอาชีพนี้มากและเราต้องทำทุกอย่างเอง ต้องคิดคอนเทนต์ ถ่ายคลิปตลก ๆ ทำแล้วสนุกดี แล้วหนูรู้สึกว่าเป็นช่วงที่หนูมีความโตขึ้นเรื่อย ๆ จากที่มีคนติดตามตอนหนูเป็นเด็กนักเรียน ใส่ชุดนักเรียน จนมาเริ่มผมยาวขึ้น เริ่มทำคลิปตลก เริ่มมีแฟน เริ่มแต่งหน้า แล้วมีคนจากหลายกลุ่มมาติดตามมากขึ้นเรื่อย ๆ หนูเลยอยู่จุดนั้นมานานพอสมควร
หนูชอบการแต่งหน้ามาก แล้วหนูก็ชอบดูการแต่งหน้าใหม่ ๆ ทุกวัน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์บางอย่างที่เมืองไทยยังไม่มี หนูก็เลยซื้อมาลองใช้แล้วเราชอบจังเลย ก็เลยเอามาปรับเป็นแบบของเราเอง เป็นสูตรที่เข้ากับคนไทย จนหนูเริ่มมีแบรนด์ของตัวเอง ตอนทำปีแรกคนยังไม่เข้าใจ หนูก็ใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนกว่าจะขายผลิตภัณฑ์ล็อตแรกหมด จนตอนนี้ล็อตที่ 4 แล้ว คนชอบแบรนด์เรามากขึ้น ใช้ตามเราจนขายวันเดียวหมด หนูดีใจมาก ๆ ที่แบบคนเริ่มเข้าใจแล้วก็ชอบในผลิตภัณฑ์ของเรา”

เมื่อต้องผันตัวเองมาเป็น “ยูทูปเบอร์”
“หลังจากที่หนูรับถ่ายรูปคู่ครีม รีวิวสินค้าต่าง ๆ แล้วมันมีช่วงหนึ่งที่ครีมในเน็ตโดนจับเยอะมาก แล้วก็เป็นสินค้าที่หนูเคยรีวิวตั้งหลายตัว ตอนนั้นมันเกิดความรู้สึกผิดต่อผู้บริโภคมาก ๆ หนูก็เลยคืนเงินให้กับลูกค้าที่จ้างเข้ามา เพราะไม่อยากทำงานตรงนี้แล้ว ซึ่งหนูคืนเงินไปเยอะมาก หลังจากนั้นเหลือเงินติดตัวแบบไม่ถึงห้าแสน หนูก็เลยเริ่มอยากทำช่อง Youtube เพราะ ณ ตอนนั้นคนเริ่มทำช่อง Youtube กัน หนูเลยจะเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนซื้อกล้อง เตรียมโปรดักชั่นต่าง ๆ เพื่อมาทำ Youtube จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแพลตฟอร์มจาก Facebook มาเป็น Youtube ตอนเริ่มทำคลิปแรก ๆ หนูคิดว่าคนติดตามในเพจ Facebook มีตั้ง 1.4 ล้านคน ยังไงถ้าเรามาทำ Youtube ก็ต้องมีคนตามมาดูเยอะแน่ ๆ แต่ปรากฎว่า คลิปแรกมียอดวิวแค่ 400 วิว เรียกได้ว่าการมาทำ Youtube ของหนูมันเริ่มจากศูนย์ แล้วต้องเริ่มใหม่หมดเลย กว่าจะเริ่มมีคนดูหลักหมื่น หรือหลักแสนเหมือนในตอนนี้
สิ่งที่หนูได้เรียนรู้คือ ตอนที่ทำเพจ Facebook หนูแค่ทำอะไรก็ได้ที่เป็นไวรัล จะแบบดีหรือไม่ดีก็ลองไปก่อน เดี๋ยวคนจ้างแน่ ๆ เพราะสินค้าใน Facebook ค่อนข้างเป็นสินค้ากระแส สินค้าไวรัล อย่างช่วงเทศกาลหนูก็จะเอาชุดที่เกี่ยวกับเทศกาลนั้น ๆ มาใส่จนเป็นกระแส แต่พอเป็น Youtube หนูรู้สึกว่าเราต้องจริงใจกับคนดูมาก ๆ แล้วเราก็ต้องนึกว่าคนดูเค้าอยากดูอะไร แล้วก็ไม่ต้องมีสคริปต์มาก ไม่ต้องประดิษฐ์อะไรมาก จับทางได้หนูก็เริ่มลองทำดู เริ่มทำคลิปแต่งหน้าก่อนเลย คลิปแรก 400 วิว ไม่มีลูกค้านะ หนูแค่ไปซื้อลิปสติกมา แล้วมาทำคลิปเหมือนเค้าจ้าง แต่จริง ๆ ไปซื้อมาทำเอง เพื่อให้ลูกค้าได้รู้ว่าคลิปเราเป็นอย่างไร ถ้าลูกค้าเข้าแล้วจะได้อะไรบ้าง หนูทำอยู่แบบนั้นเกือบปี กว่าจะมีคนดู 50,000 คน
เห็นลุคมั่นใจแบบนี้ จริง ๆ แล้วหนูขี้อาย หนูเป็นคนที่ไม่กล้าแต่งตัวมากขนาดนี้ แต่ว่าแฟนเค้าจะจับแต่ง แล้วถ้าแฟนพูดว่าสวย หนูก็จะมั่นใจ แต่ถ้าวันไหนหนูต้องแต่งตัวเอง ก็จะไม่ได้แต่งตัวแรง แล้วหนูไม่ค่อยกล้าพูดกับคนที่ไม่รู้จัก หรือว่าเวลาเจอกล้องเยอะ ๆ เจอทีมงานเยอะ ๆ เมื่อก่อนปีนึงหนูจะรับรายการแค่ 1-2 รายการ ไม่ค่อยกล้ารับเยอะเพราะอาย แต่หลัง ๆ พอได้มาอยู่กับพี่ ๆ แก๊งหิ้วหวี หรือต้องมาทำช่อง Youtube หนูก็ฝึกพูดมากขึ้น ฝึกอยู่กับกล้อง จนเริ่มพูดเก่งขึ้นบ้างค่ะ”

ก้าวแรกสุดเฟียร์ส บนรันเวย์ Ellle fashion week
“แฟนหนูเป็นคนที่ชอบแฟชั่น แล้วเค้าอยากให้เราแต่งตัวเยอะ ๆ หนูก็แต่งตัวตาม กลายเป็นคนที่มีความแฟชั่นในตัว บวกกับมีหนวดด้วย กลายเป็นความคิดของคนดูที่ว่าจะหล่อหรือจะสวย มันเลยกลายเป็นเอกลักษณ์ จนหนูชอบเดินแบบ ก็เลยลองไปแคสเดินแบบดู แต่ว่าไม่ผ่าน จนกระทั่งปีนั้นทางแบรนด์ Greyhound ติดต่อหนูมาว่าอยากให้ลองมาแคสเดินแบบจังเลย ตอนนั้นหนูไม่อยากไปเพราะรู้สึกว่าเราเคยไปสองสามครั้งแล้ว แต่พอได้คุยกัน ได้ฟังรายละเอียด เราก็รู้สึกว่าเค้าก็คงอยากเห็น แล้วแฟนหนูก็บอกว่าลองไปดู ตอนแคสหนูก็คิดว่าคงไม่ได้ ถ้าได้ก็เป็นรางวัล แล้วพอเห็นชุด หนูได้ใส่เป็นชุดสูท ซึ่งหนูชอบมาก พอแคสเสร็จผ่านไปอาทิตย์นึงไม่มีการติดต่อมาเลย เราก็คิดในใจว่าคงไม่ได้แล้วแหละ แต่ผ่านไปอีกวันเค้าได้ตอบมาว่าผ่านนะ อยากให้มาเดิน หนูก็ไปฟิตติ้งอีกรอบนึง เค้าก็ชอบมาก เราก็เลยได้เดิน Ellle fashion week ปีนั้น แล้วได้เป็นโชว์ปิดของปีนั้นด้วยค่ะ ภูมิใจและดีใจมาก ๆ”
ก้าวข้ามดราม่า ฟันฝ่าคำบูลลี่
“หนูเจอคอมเมนต์หนักมาก ช่วงนั้นหนูโดนด่าเยอะ เรื่องแรกจบไปไม่เท่าไหร่ เดือนต่อไปเจออีกเรื่องหนึ่ง โดนอยู่เป็นปี จนติดเทรนทวิตเตอร์อันดับหนึ่งประมาณครึ่งชั่วโมงได้ อย่างดราม่าชุดปิกาจู ตอนนั้นเกมโปเกม่อนมันดัง เราก็เอาชุดปิกาจูมาใส่ แล้วเราผมสั้น ลุคเราเป็นผู้ชาย พอลงคลิปไปคืนเดียวสี่ล้านวิว พอหนูลองอ่านคอมเมนต์ปรากฎว่า มีหลายหมื่นคอมเมนต์ด่าหนูหมดเลย หนูก็กดออก แล้วก็ไม่ยุ่งเลย
หนูรู้สึกว่าในชีวิตจริง เวลาเราออกไปข้างนอกไม่มีใครมายืนด่าเราแบบนั้น ทุกคนมาต่อคิวถ่ายรูปกับหนู หนูก็เลยเลือกที่จะอยู่กับความเป็นจริง เพราะในโลกโซเชียล เราลงคลิปไป เพราะเราอยากได้งาน เราก็แค่ลงคลิป เสร็จแล้วเราก็ไม่สนใจ เพราะอย่างน้อยคนรอบตัวเราเค้าแฮปปี้ หนูก็แฮปปี้ โดยที่ไม่ได้อ่านคอมเมนต์เลย
ก็อาจจะโชคดีตรงที่ว่าหนูมีเพื่อนไม่เยอะ ก็จะมีแค่ผู้จัดการ มีแฟน มีแม่ แค่นั้นเลย แล้วหนูก็ไม่ได้ไปนั่งอ่านว่ามีคนด่าว่าอะไรบ้าง แต่แม่มักจะเข้าไปอ่าน หนูก็บอกแม่ว่าไม่ต้องอ่านเลย ไม่ต้องสนใจ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตของเราเองที่ลงไปให้เค้าเห็นในโลกโซเชียล เค้าไม่รู้หรอกว่าชีวิตจริงเราเป็นยังไง แม่ไม่ต้องไปสนใจเลย หลังจากที่แม่ไม่อ่านคอมเมนต์แม่ก็แฮปปี้ แต่ถ้ามีคอมเมนต์อันไหนที่มันตลก แม่ก็จะมาเล่าให้ฟังบ้าง แต่ท้ายที่สุดหนูก็ไม่ได้ไปยึดติด หรือให้ค่ากับคอมเมนท์ของคนที่เค้าไม่ได้รู้จักเรา”

รักแรก รักเดียว ที่จำได้ทุกรายละเอียด
“หนูกับแฟนคบกันปีนี้ปีที่ 9 มั้นท์เป็นแฟนคนแรก และคนเดียวเลยค่ะ ที่เริ่มคบกันตอนนั้นหนูอยู่ ม.2 แล้วเพื่อนเค้าที่เป็นผู้หญิงอยากรู้ว่าหนูเป็นตุ๊ดรึเปล่า เพราะคนเถียงกันเยอะว่าหนูไม่น่าจะใช่ผู้ชายหรอก แล้วเพื่อนของแฟนหนูเค้าก็ทักมาว่า รับแอดหน่อยค่ะ พี่น่ารักจังไร แต่หนูไม่ได้ตอบ เค้าก็เลยขอยืม Facebook ของแฟนหนูทักมาถามหนู เพราะอยากลองดูว่าถ้าผู้ชายทักมาหนูจะตอบไหม ปรากฎว่าชั่วโมงเดียวหนูตอบเลย แล้วก็ได้คุยกันแบบพี่น้องมาประมาณ 2 ปี
หลังจากนั้นวันเกิดหนู ก็เลยชวนเค้ามา ปีนั้นปี 2558 วันเกิดหนู 24 พฤศจิกายน หนูก็ชวนเค้ามาแล้วก็มีการดื่ม แล้วเค้าก็ดูเหมือนจะกลับบ้านไม่ได้ เราก็เลยเปิดโรงแรมให้เค้า 2 คืน แล้วเราก็พาไปเดินตลาดเจเจกรีน คืนนั้นก็ถามเค้าว่า เราคบกันไหม ตอนนั้น 23.38 น. เค้าก็แบบพยักหน้า ไม่ได้ตอบด้วยนะ แต่พยักหน้าตอน 23.40 น. ก็เลยได้คบกันวันนั้นเลยค่ะ
จริง ๆ แล้วทั้งหมดทั้งมวลในชีวิตหนู แฟนเป็นคนแนะนำแล้วก็จัดการตั้งแต่เริ่มแรกเลย เพราะเราคบกันตั้งแต่ตอนผมสั้น จนมีโรงพยาบาลที่เกาหลีติดต่อมาให้หนูทำจมูก ซึ่งหนูเองกลัวการทำศัลยกรรมมาก เพราะเห็นตามข่าวที่มักจะมีเรื่องการศัลยกรรมผิดพลาด แต่แฟนบอกว่าลองทำดูไหม มันอาจจะทำให้ชีวิตเธอดีขึ้นนะ เธออาจจะแต่งหน้าง่ายขึ้น หนูก็เลยตัดสินใจทำจมูกแท่งแรกแล้วการทำศัลยกรรมนี่แหละ ที่ทำให้หนวดหนูหายไป ทีแรกหนูไม่รู้เลยว่าการทำศัลยกรรมต้องโกนหนวด เพิ่งมารู้วันก่อนที่จะเข้าผ่าตัด จะยกเลิกก็ยกเลิกไม่ได้แล้วเพราะคิวมันจองยาก หนูไม่อยากโกนหนวดเลยเพราะกลัวหนวดเราแข็ง ซึ่งพอโกนเสร็จวันที่ต้องมาผ่าตัดหนูแต่งตัวสวยมากแต่ไม่ถ่ายรูปเลย เพราะหนูไม่มั่นใจที่หนวดมันหายไป จนกระทั่งหนูต้องทำศัลยกรรมอีกรอบหลังจากครั้งแรก 7 ปี ครั้งนี้เค้าก็ไม่ได้พูดเรื่องต้องโกนหนวด หนูก็คิดว่าอาจจะไม่ได้โกนหนวดหรอกมั้งรอบนี้ ปรากฏว่าโกน เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่โกนหนวด และรอบนี้มันไม่ขึ้นเลย
คบกันมา 9 ปี สิ่งที่ทะเลาะกันส่วนใหญ่เป็นการใช้ชีวิตมากกว่า เช่นเรื่องสั่งข้าว สั่งของ เก็บของในบ้าน แล้วตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เค้าเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลย”
กว่าจะเป็น ฟลุ๊ค&มั้นท์ มันไม่ง่าย
“ตอนคบกันแรก ๆ แม่ของหนูแอนตี้แฟนมาก ๆ เพราะเหมือนแม่เชื่อมาเสมอว่าหนูเป็นผู้ชาย แล้วเค้าก็จะพูดเสมอว่าโตมาต้องหาเมียนะ แต่สุดท้ายแล้วหนูไม่ได้เป็นแบบนั้น หนูมีแฟนเป็นผู้ชาย พอพาแฟนมาที่บ้านเค้าก็ไล่ แล้วเราเป็นคนกลาง หนูก็พยายามพาแฟนมาทุกวัน เพราะอยากให้แม่กับแฟนได้คุยกัน หนูพาแฟนมาบ้านประมาณ 6 เดือน จนแฟนเริ่มถามว่า หรือว่าเราแยกกันไหม ซึ่งหนูก็ไม่หยุดพยายาม คอยบอกแม่ทุกวันว่ามั้นท์ไม่ใช่คนใจร้าย ตื้อแม่อยู่เกือบ 2 ปี แม่กับแฟนถึงจะเริ่มคุยกัน หนูมองว่าเป็นเพราะระยะเวลาด้วย มันน่าจะพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าแฟนหนูเค้าไม่ได้เข้ามาหลอกเรานะ เค้าไม่ได้เข้ามาในตอนที่หนูมีตังค์ แล้วพอผ่านไปนาน ๆ แม่ก็คงเห็นว่ามั้นท์รักหนูจริง ๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้แม่ยอมเปิดใจ
อย่างที่บอกว่าหนูโตมาในกรมทหาร เราก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเยอะ ตั้งแต่คบกับมั้นท์ ถึงเค้าจะเด็กกว่าหนู 3 ปี แต่หนูรู้สึกว่าเค้าทำให้หนูโตขึ้นได้ในทุก ๆ วันเลย เค้าเอาอะไรมาใส่หัวหนู เอาอะไรมาแนะนำหนูให้เราโตขึ้นตลอด หนูรู้สึกว่าเค้ามาเติมเต็มในสิ่งที่เราคิดไม่ถึง หนูบอกรัก แล้วก็บอกขอบคุณเค้าตลอดเวลา แต่เค้ามักจะไม่ชอบให้เราชมต่อหน้าคนอื่น เค้าขี้อาย แต่หนูชมเค้าทุกวัน
ในอนาคตหนูอยากแต่งงาน หนูขอเค้าตลอดว่า ถ้าแต่งงานหนูขอคิดนะว่าเราจะแต่งธีมอะไร ชุดอะไร จัดที่ไหน ซึ่งหนูอยากแต่งธีมฮาวาย จัดที่ทะเล หนูบอกเค้ามาตั้งแต่ปีแรก จนตอนนี้ก็ยังอยากทำเหมือนเดิม แต่ว่ายังไม่มีโอกาสได้ทำเลย จริง ๆ หนูอยากแต่งงานตอนครบรอบ 7 ปี แต่ก็มีโควิด จนกระทั่งตอนนี้จะ 9 ปีแล้ว ก็ยังบอกว่าเราอยากแต่งทุกวัน หนูอยากสวยที่สุดวันหนึ่งของชีวิต แล้วก็อยากเชิญเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เราสนิทมาเป็นสักขีพยาน ซึ่งยังคงเป็นความฝัน รอถ้ามีโอกาสก็อยากแต่งงานค่ะ”

การสูญเสีย กับ ลิ้นชักแห่งความตาย
“หนูได้ยินที่บ้านพูดเรื่องตายมาตั้งแต่หนูเด็ก ๆ พ่อมักพูดให้แม่ฟังว่า ถ้าฉันตายเธอต้องเปิดลิ้นชักนี้นะ ในนั้นจะเป็นเอกสารที่บอกว่า ถ้าตายต้องทำอะไรบ้าง พอถึงวันที่พ่อตายจริง ๆ คำว่าวุ่นวายเหมือนตายวันแรกไม่เกิดขึ้นกับบ้านเราเลย ที่บ้านเราไม่วุ่นวายเลย แม่ทำทุกอย่างเสร็จภายในครึ่งวันแค่เปิดลิ้นชักนั้น แต่ตอนนั้นหนูก็ไม่ไปดูหรอกว่าในลิ้นชักมีอะไรบ้าง จนกระทั่งก่อนที่แม่ของหนูจะตาย แม่ก็พูดทุกวันว่า ถ้าแม่ตายให้มาเปิดลิ้นชักนี้นะ แฟนหนูก็งงว่าทำไมแม่เธอพูดแต่เรื่องตายตั้งแต่เราคบกันวันแรก จนล่าสุดแม่ตาย พอหนูไปเปิดลิ้นชักก็รู้ว่าเค้าเขียนไว้หมดเลยว่าหนูต้องทำอะไรบ้างไปที่ไหน โทรหาใคร เอาใบไปยื่นที่ไหน ทุกอย่างมันครบ หนูสามารถจัดการทุกอย่างเสร็จภายในครึ่งวันเหมือนที่แม่ทำให้พ่อเลย ทุกวันนี้หนูก็บอกกับแฟนว่าเราต้องมีลิ้นชักกันแล้วนะ ใครจะไปก่อนก็ไม่รู้ หนูเลยมองว่าเรื่องตาย ไม่ได้เป็นคำแช่ง เพราะเราได้ยินมาตั้งแต่เด็ก
แล้วแม่ก็เขียนไว้ว่า ถ้าแม่ตายเค้าไม่อยากให้จัดงาน เพราะแม่เป็นคนไม่ชอบพิธีรีตองอะไรมาก แต่หนูก็จัดงานให้แม่ 7 วัน ซึ่งหนูไม่รับงานเลย ไปงานศพตั้งแต่เช้ายันเย็น จนวันเผาเสร็จ หนูให้แม่เต็มที่เลย 7 วัน ยันวันลอยอังคาร หนูส่งแม่จนถึงที่สุดหลังจากลอยอังคารเสร็จ หนูทำงานเลย แล้วคนก็มองว่าหนูไม่เห็นจะเศร้าเลย ซึ่งหนูก็บอกว่า หนูก็ให้แม่เต็มที่หนูอยู่แล้ว เวลาที่หนูเศร้าหนูก็ไม่ได้มานั่งบอกใคร ซึ่งตอนนี้หนูต้องเดินต่อได้แล้ว”
ความสุข ของ ฟลุ๊คกะล่อน
“ทุกวันนี้ความสุขของหนู คือ ความสบายใจ เพราะว่าหนูใช้ชีวิตแบบสบายใจมาก ๆ ไม่มีเป้าหมายว่าเราต้องทำอะไร ฉันต้องมีเงินเท่านี้ อายุเท่านี้ หนูไม่มีเป้าหมาย ไม่มีวางแผนอะไรเลย หนูใช้ชีวิตกับแฟนสองคน แบบทำทุกวันให้มีความสุขที่สุด ให้รู้สึกว่าวันนี้ไม่เสียดายที่ไม่ได้ทำอะไร เพราะฉะนั้นตื่นมาเราก็ทำทุกวันให้ดีที่สุด ถ้ามีโอกาสเข้ามาเราก็คว้าเอาไว้ไม่ปล่อย แล้วหนูชอบเลี้ยงสัตว์ Exotic เพราะตอนเด็กพ่อชอบเปิดสารคดีให้ดู แล้วหนูก็อยากลองเลี้ยง ตอนนี้หนูเลี้ยง แมงมุม แมงป่อง ตะขาบ มด แล้วเวลาหนูเหนื่อยจากงาน หนูชอบมานั่งดูมันชักใย ชอบให้อาหารมันแล้วนั่งมองว่ามันกินยังไง มันเดินยังไง หนูชอบดูแล้วก็มีความสุขเวลาเห็นชีวิตของสัตว์ที่หนูเลี้ยง”

แรงบันดาลใจจาก ฟลุ๊คกะล่อน
“หนูรู้สึกว่า หลาย ๆ คนอยากเป็นครีเอเตอร์ หรืออยากทำคอนเทนต์ แต่แบบเดี๋ยวรอสวยก่อน รอผมยาวก่อน รอซื้อกล้องก่อน หนูจะบอกว่าตอนหนูเริ่ม หนูไม่ได้รออะไรเลย หนูอยากทำหนูทำเลย เพราะถ้ารอเราก็จะไม่ได้ทำสักที เพราะฉะนั้นถ้าชอบอะไร อยากทำอะไร ทำเลยอย่ารอ” – ฟลุ๊คกะล่อน
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง
