Club นี้ยังคอยสร้างแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราวทุกเฉดสีของชีวิตจากเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับตัวแม่ด้านสิ่งลี้ลับ “อ๊อฟ คนเห็นผี” LGBTQ+ ที่ต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองมามากมาย และได้แชร์เรื่องราวเหล่านี้ไว้ในรายการอีกด้วย

อ๊อฟ คนเห็นผี ชื่อนี้ได้มาอย่างไร?
“ชื่อ อ๊อฟ คนเห็นผี เกิดขึ้นจากรายการ The Sixth Sense คนเห็นผี ซึ่งเป็นรายการของ พี่เจ จากช่อง อ้าปากค้าง ตั้งแต่นั้นมาก็ใช้นามสกุลนี้มาเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าเราจะเปลี่ยนไปทำรายการ คำผีบอก ที่ ช่องอมรินทร์ ก็ตาม แต่เราคิดว่าเราเกิดมาจากรายการนี้ เราควรใช้นามสกุลนี้ดีกว่า
เรื่องราวการเห็นผี มันเริ่มมาตั้งแต่จำความได้เลย ตอนเด็ก ๆ เราอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เวลามองออกไปข้างนอกบ้านเราจะเห็นดงกล้วย ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าเราเห็นเป็นแม่ตานี แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นแม่ตานี สิ่งที่เห็นคือผู้หญิงที่ใส่ชุดสีเขียวทั้งตัวยืนอยู่ตรงดงกล้วย พอเราไปบอกพ่อกับแม่ เค้าก็ไม่เชื่อ หาว่าเราเพ้อเจ้อไปเองตามประสาเด็ก ซึ่งเราไม่รู้ว่าแม่ตานีจะอยู่ประจำต้นกล้วยแต่ละต้นรึเปล่า แล้วแม่ตานีที่เราเห็นไม่ได้ใส่ชุดไทยสีเขียวนะ แต่เป็นชุดคล้ายกับชุดนอนที่เป็นผ้าโปร่ง ๆ ค่ะ”

เริ่มเห็นผี ในขณะที่คนรอบตัวไม่เชื่อ
“ทุกคนรอบตัวบอกเหมือนกันหมดว่าไม่เชื่อ ยิ่งพ่อกับแม่ก็ยิ่งไม่เชื่อเลย แต่ว่าโชคดีที่เรายังมีคุณตาอยู่ ซึ่งคุณตาจะคอยพูดว่า เอาน่าเดี๋ยวสักวันหนึ่งพวกเค้าก็รู้ เพราะคุณตาเป็นสัสดี และเป็นผู้คุมนักโทษที่ราชบุรี พอเสร็จงานท่านก็จะไปเข้าป่าล่าสัตว์ ก็จะมีของขลัง แล้วก็เหมือนเป็นสื่อกลางของหลวงปู่ท่านหนึ่ง เวลาครอบครัวเราจะมีเรื่อง กำลังจะมีปัญหาที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล หรือจะเจอปัญหาหนัก ๆ ท่านจะมาสื่อสารผ่านคุณตา ซึ่งเราคิดว่า คุณตาน่าจะเห็นผี
ตอนนั้นเวลาเห็นผีเราไม่รู้สึกกลัวเลย เพราะว่าเรามองเห็นเค้าเป็นคนปกติธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีเลือดไหล ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวแบบในหนัง และเราก็มองเห็นเค้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก แต่พอโตขึ้น การเห็นผีเริ่มส่งผลกระทบหนัก ๆ คือเพื่อนไม่เชื่อ และมักจะบอกว่าเราบ้า และจะพาเราไป 2 ที่ คือ ศรีธัญญา กับ บ้านสมเด็จ ให้เลือกเอาว่าจะไปที่ไหน แล้วเราก็ลองไปกับเพื่อนที่ ศรีธัญญา ตอนไปปรึกษา คุณหมอก็มีแบบทดสอบให้ทำ แล้วผลก็ออกมาว่าเราปกติ คุณหมอบอกว่าเราดูเป็นคนคิดเป็นขั้นเป็นตอน คิดเป็นระบบ เราก็เลยถามคุณหมอว่า แล้วสิ่งที่หนูเห็นมันคืออะไรคะ คุณหมอก็บอกว่า อันนี้ก็ต้องไปศึกษาดูอีกที พระพุทธศาสนาน่าจะมีบอก จากนั้นเราก็เลยได้ไปเจอกับคุณหมออีกท่าน ท่านเป็นธรรมะโอสถหลวงพ่อจรัญ แล้วเราก็เลยไปปฏิบัติธรรมที่นั่น
พอไปปฏิบัติธรรมหลวงพ่อก็เทศน์ได้ตรงใจมากทุกครั้ง ครั้งแรกไม่ได้มีโอกาสเจอแบบตัวต่อตัวกับท่าน ตอนนั้นนั่งสมาธิอยู่ แล้วท่านก็เทศน์ให้ฟังเรื่องตายแล้วไปไหน และเรื่องเกี่ยวกับภาวะจิต ว่าจิตของเราคืออะไร จิตของเรารับรู้ได้อย่างไร ตอนนั้นเรารู้สึกว่า นี่แหละคือสิ่งที่เราหาคำตอบอยู่ แล้วอีกคืนก็มีแม่ชี มาอ่านบทของหลวงพ่อจรัญ แล้วได้พูดเรื่องหนึ่งที่เราถึงกับร้องไห้เลยเพราะแม่ชีพูดเรื่อง เรือนแม่กาหลง ต้องบอกก่อนว่าสถานที่ปฏิบัติธรรมตรงนั้น เค้าจะไม่ให้ผู้หญิงกับผู้ชายพูดกัน เพราะว่าเราถือศีลอย่างเคร่งครัด แต่ตอนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ จะมีผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากเดินเข้ามาหาเรา แล้วก็พูดว่าเค้าชื่ออะไร มาจากไหน ตอนนั้นเราคิดว่าตัวเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งก็เลยสามารถคุยกันได้ แล้วพอทำความรู้จักกัน เธอบอกว่าเธอชื่อ แม่กาหลง บ้านอยู่ตรงนี้ เราก็คุยกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งในระหว่างนั้นเราไม่รู้เลยว่าคนรอบข้างจะมองเรายังไง และคิดว่าภาพที่คนรอบข้างเห็นตอนนั้น น่าจะเห็นเรายืนพูดคนเดียว และคงคิดว่าเราบ้า แต่จริง ๆ แล้วเรายืนพูดกับแม่กาหลง เราไม่ได้พูดคนเดียว แล้วพอตอนกลางคืนแม่ชีก็ได้มาเล่าเรื่องแม่กาหลงให้ฟังว่า ในวัดมีเรือนหลังหนึ่งเป็นเรือนไม้ชื่อ เรือนแม่กาหลง ซึ่งท่านเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็ยังยึดติดอยู่กับเรือนไม้เรือนนั้น ไม่ยอมไปไหนจนกลายเป็นเปรตอยู่ที่นั่น หลวงพ่อจรัญก็เลยไปโปรดมา แล้วก็ยกเรือนทั้งเรือนมาไว้ในวัดเพื่อทำเป็นเรือนสาธารณะประโยชน์ จะได้เป็นบุญให้แม่กาหลง ซึ่งก็คือแม่กาหลงคนนั้นที่เรายืนคุยด้วย
จริง ๆ แล้วการเป็นเปรต มันไม่ได้ตัวสูง ปากเท่ารูเข็ม มือเท่าใบลาน ในแบบที่เราเคยเข้าใจกัน จริง ๆ แล้วเปรตมี 12 ตระกูล มันจะแยกตามกันว่าคุณทำอะไรผิดมา หรือยังยึดติดกับอะไรอยู่ มันก็จะเกิดที่ตระกูลนั้น เปรตบางตระกูลตอนกลางวันเสวยสุขอยู่บนชั้นพรหม แต่พอตกกลางคืนก็ต้องลงมาชดใช้กรรมที่ตัวเองเคยทำไว้ เพราะฉะนั้นเปรตบางตนก็จะมีลักษณะเหมือนคนธรรมดาปกติเลย แค่เค้ายังลุ่มหลงอยู่กับอะไรบางอย่างเท่านั้น
หลังจากที่ฟังเรื่องหลวงพ่อจรัญ ที่สอนเรื่องภาวะจิต เราก็เริ่มกลับมาฝึกปฏิบัติจิตของเรา นั่งสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ สักพักมันก็จะเริ่มแยกออกโดยอัตโนมัติว่าคนนี้เป็นคน หรือไม่ใช่คน”

อ๊อฟ คนเห็นผี กับการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
“เราพิสูจน์มาตลอด คนอื่นก็บอกว่าไม่จริงมาตลอด บางครั้งเราก็มองข้ามไปบ้าง บางครั้งก็หลงทางโซซัดโซเซมาก็บ่อย จนกระทั่งช่วงมหาวิทยาลัยที่รู้สึกว่าคนรอบตัวเริ่มเชื่อ แล้วเราก็ได้ช่วยเค้าจริง ๆ ทำให้เค้าหลุดพ้นจริง ๆ เค้าหายจากโรคนั้นจริง ๆ เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นกำลังใจให้เราช่วยเหลือเคสต่าง ๆ ต่อไปได้
อย่างเช่น เคสของพี่ที่จังหวัดสุรินทร์ ที่มีโรงงานทำฟัน ณ ตอนนั้นภาพที่เราเห็นพี่เค้าคือหน้าเป็นกะโหลกแล้ว ไม่เห็นเป็นหน้าคนแล้ว ตอนนั้นเค้าป่วยมากโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่พอเราได้ไปช่วยเค้า เค้าก็หายเป็นปกติ หรือแม้แต่เคสรีสอร์ทร้างที่อัมพวา ในตอนที่เราไปเห็นรีสอร์ทสภาพไม่ได้เลย เป็นรีสอร์ทที่น่ากลัวมาก จนตอนนี้ หลังจากที่เราได้ไปช่วยแก้ปัญหา ปรากฎว่าแขกเข้าพักเต็มตลอด เค้ารีโนเวทใหม่ตามที่เราบอก แค่นี้มันก็เป็นกำลังใจเล็ก ๆ ที่เติมใจเราแล้ว ว่าเราได้ช่วยคน ใครจะว่าอะไรเราไม่รู้ แต่ว่าในขณะที่ฉันช่วยคนอื่นอยู่ แล้วคุณได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างแล้วหรือยัง
เวลาเราไปแก้ปัญหาให้คนอื่น จริง ๆ ต้องบอกว่าไม่มีใครไปรับอะไรแทนใครได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตน กรรมใครก็กรรมมัน แต่เราแค่ไปช่วยให้กรรมนั้น กลายเป็นการอโหสิกรรม อย่างเช่นไปแนะนำเค้าว่า ให้นั่งสมาธิแล้วแผ่เมตตาถึงคนนี้ ทำให้เค้าอโหสิกรรม เราจะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมตรงนี้ไป เพราะฉะนั้นคุณต้องทำด้วยตัวเองหมดเลย ไม่มีใครทำแทนใครได้
ส่วนการพิสูจน์เรื่องเพศให้คนที่บ้านยอมรับในตัวตนของเรา ต้องบอกว่าตอนเด็ก ๆ ใครเป็นตุ๊ดนี่คือโดนล้อหนักมาก แต่ว่าตอนนี้เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น เมื่อก่อนหากเราเป็นตุ๊ดก็ต้องพิสูจน์ตัวเองหลายอย่าง คือเรามาจากครอบครัวที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่เป็นทหาร ท่านคาดหวังกับเราสูงมาก ลูกเป็นตุ๊ดไม่ได้ แต่เราก็มีคุณยายที่สอนร้อยมาลัย แกะสลัก แต่กับพ่อแม่เราเสียน้ำตาหมดหลายปี๊บ กว่าที่เค้าจะอยู่ในจุดที่ยอมรับได้ และบอกว่าไม่เป็นไรลูก ขอให้ลูกเป็นคนดีก็พอ ซึ่งใช้เวลานานเหมือนกัน
นอกจากการพิสูจน์เรื่องเพศแล้ว การพิสูจน์ให้คนอื่นยอมรับว่าตัวเองเห็นผี อันนี้ใช้เวลานานกว่าเรื่องเป็นตุ๊ดอีก แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เชื่อเอง คือตอนที่มาถ่ายรายการแล้ว ตอนที่ทำรายการคำผีบอก ทำให้คุณพ่อคุณแม่เชื่อว่า เออมันก็อาจจะเห็นจริง ๆ นะ เพราะเราสามารถช่วยเค้าได้จริง ๆ ส่วนเคสไหนที่ควรบอก หรือเคสไหนที่ควรเงียบนั้น เคสที่เราจะบอก คือเคสที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ อย่างเช่น เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่เค้าต้องการมาเอาคืนจริง ๆ เราก็จะบอกวิธีทำบุญ วิธีแก้ให้กับเค้า แต่ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรทั่วไป ปกติเราจะไม่บอก หรือบอกว่าไม่มีอะไรหรอกสบายใจได้ แต่จริง ๆ แล้วเราก็เห็นอยู่
เราเพิ่งมาแยกออกได้เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแต่ก่อนเราสับสนมากระหว่างคนกับผี ก็เพราะเราเห็นผีเป็นเหมือนคนปกติทุกอย่างเลย ไม่มีหน้าเละ ไม่มีหนองเลือด แล้วเวลาเจอผี เราจะพยายามเก็บอาการมาก ๆ เพราะว่ากลัวเพื่อนเราจะตกใจกลัว ซึ่งผีบางตนมาเพื่อต้องการให้เราช่วย หรือบางตนก็ต้องการมาแสดงอำนาจว่าเค้าอยู่ตรงนี้ เค้าเป็นเจ้าที่ตรงนี้ และผีต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด เค้าก็ต้องไปสู่ภพภูมิที่เป็นสัมภเวสี อสูรกาย หรือเปรต แล้วเมื่อถึงเวลาหนึ่งเค้าก็จะไปจุตติเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ ภพภูมิมันมีหลายภพภูมิซ้อนกันอยู่”

นำความรู้ที่ได้จากช่วยเหลือเคส มาปรับเป็นประโยชน์สอนตัวเรา
“เราไปช่วยเคสในรายการมาเยอะมาก แล้วเราก็เอาเคสเหล่านั้นมาสอนตัวเองว่า ถ้าเราเจอลักษณะนี้เราควรตั้งอยู่อย่างไร เราควรดำรงตัวเองอย่างไรเพื่อไม่ให้ไหลไปตามกิเลส ซึ่งบางทีก็ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง เพราะเราก็ยังเป็นคนเทา ๆ ไม่ได้ขาวบริสุทธิ์ขนาดนั้น ก็พยายามทำให้มากที่สุด ต้องขอบคุณเคสทุกเคสในรายการเพราะทุกเคสสอนเราได้เยอะมากจริง ๆ
ซึ่งคนที่จะมาขอความช่วยเหลือ เช่น ที่บ้านแย่มาก มีคนทำของใส่ ไปทับที่ทับทางคนอื่น แล้วหลายเคสป่วย จากการไปล่วงเกิน เราก็ต้องดูว่าเป็นการล่วงเกินแบบไหน อย่างเช่น ล่วงเกินนิด ๆ หน่อย ๆ ก็คงไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ถ้าล่วงเกินเช่น ไปเหยียบหัวเรือเค้า ซึ่งคนโบราณเค้าถือกัน หรือการไปท้าทาย อันนี้เป็นการล่วงเกินที่หนัก
การเจอผีไม่ใช่ว่าเค้าจะมาสั่งสอน บางทีเค้ามาขอส่วนบุญเราก็มี เพราะเราเป็นคนมีบุญมากเค้าก็มาขอเป็นเรื่องปกติ ซึ่งการเจอผี เรามองว่ามันเหมือนเฟืองสองเฟือง ซึ่งหมายถึงสองโลก ที่ต่างคนต่างหมุนไป จนกระทั่งเมื่อถึงวันเวลาหนึ่ง ฟันเฟืองมันมาประกบกันพอดีเป๊ะ มันก็คือจุดที่เราจะเห็นกันพอดี ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าฟันเฟืองมันจะมาประกบกันเมื่อไหร่”

ความเชื่อเรื่องผี กับมุมมองของ อ๊อฟ คนเห็นผี
“เราเห็นผีตลอด กลางวันก็เห็น ไม่ต้องรอพลบค่ำก่อนแล้วค่อยเห็น แล้วที่ส่วนใหญ่เค้าเชื่อกันว่า ตอนกลางคืนถ้ามีอะไรมาเรียกอย่าหัน หรืออย่าทัก เพราะว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีเฉพาะผีอย่างเดียวบนโลกใบนี้ มันมีคำว่าไสยศาสตร์อยู่ด้วย ไสยศาสตร์ คือพวกทำของคุณไสย ของพวกนี้จะเป็นลักษณะที่ทำให้เราตกใจก่อน พอตกใจแล้วเราทักปุ๊บ มันหมายถึงว่าจิตเราสัมผัสแล้ว ของเหล่านั้นมันก็เข้าแทรกเลย
ตัวตายตัวแทน สำหรับเรามองว่าตัวตายตัวแทนไม่มีบนโลกใบนี้ ซึ่งนี่เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่ว่าเราจะตายจะแทนกันได้ยังไง บางครั้งสาเหตุที่ต้องตายอาจเป็นเพราะทัศนียภาพของจุดนั้นมันจะต้องเกิดอุบัติเหตุอยู่แล้ว เช่นคนขับรถที่โค้ง ณ จุดที่มันไม่น่าจะโค้ง หรือบางครั้งจิตไม่มีสมาธิ เวลาขับรถไปเพลิน ๆ บางทีหลับใน แล้วมันถึงทางโค้งพอดี แล้วคนขับตื่นไม่ทัน ก็หลุดโค้ง
เรื่องจิตปรุงแต่ง มีจริงค่ะ ทางพระพุทธศาสนาเราเรียกว่า เจตสิก ซึ่งจิตปรุงแต่ง คือการที่บางทีเราคิดไปเอง หรือที่เรียกว่ามโน บางทีเราคิดไปเอง ซึ่งมากกว่าความเป็นจริง เช่น บางทีมีแค่ผีผู้หญิง แต่เราเห็นแล้วบอกว่า ฉันรู้สึกว่ามีผีผู้หญิงโบราณมาก ใส่ชุดโบราณแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งเป็นการพูดขู่ แต่จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเลย เค้าแค่ยืนอยู่เฉย ๆ ก็มี
ที่บอกว่า ผีต้องผมยาว ไม่จริงค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะผมยาว เพราะว่าผู้หญิงมักคิดว่าผมทำให้ตัวเองสวย ซึ่งวิญญาณเค้าจะอยู่ในรูปที่เค้าคิดว่าสวยที่สุด คือตายไปแล้วต้องไปอย่างสวย มันเลยทำให้เห็นผีผู้หญิงส่วนใหญ่ผมยาว
วิญญาณสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่เจอผี เจอวิญญาณมา เคยเห็นอยู่ตนเดียว เป็นสุนัขที่มีอนุสาวรีย์อยู่ที่ จังหวัดนครปฐม เราเห็นตนเดียวเลย เห็นแบบว่าออกมาจากหลังอนุสาวรีย์แล้วสะบัดหางฟุ้บ แล้วก็เดินเข้าไปเลย
เรื่องแม่ซื้อ สำหรับเราเชื่อว่ามี จริง ๆ แล้ว เด็กทุกคนที่เกิดมาจิตมันบริสุทธิ์มาก ๆ ดังนั้นการที่วิญญาณจะสื่อสารกับเด็กจึงเป็นไปได้สูงมาก แล้วการที่เราเห็นเด็กยิ้มคนเดียว หัวเราะคนเดียว หรือบางทีร้องไห้อยู่ดี ๆ ก็หยุดร้องเอง เพราะเค้ามีแม่ซื้อ แล้วทำไมโตขึ้นถึงไม่เห็นแม่ซื้อ ก็เพราะประสบการณ์ ซึ่งประสบการณ์ในการเติบโตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนโตขึ้นมากับวัด เข้าวัด ทำบุญ ฟังเทศน์มาตลอด มันก็ยังสะสมและเห็นได้เรื่อย ๆ แต่บางคนโตขึ้นเริ่มห่างวัดมาเรื่อย ๆ เริ่มทำอะไรให้จิตมันไม่บริสุทธิ์ เมื่อนั้นเราก็จะไม่เห็น ซึ่งบางคนแม่ซื้อก็คือบรรพบุรุษของเค้าเอง หรือแม่ซื้อของบางคนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ บริเวณนั้นที่เค้าเชื่อถือกัน หรือไปขอลูกจากใครมา มันก็จะเป็นพลังนั้นมา เช่นสมมติว่าไปขอเจ้าแม่กวนอิมมา สิ่งที่เห็นตอนเด็ก ๆ อาจจะเป็นผู้หญิงจีนคนหนึ่ง ที่มาคอยดูแลเลี้ยงดูเราอยู่ พอโตขึ้นมาก็กลายเป็นเทพประจำตัวเรา กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือมาตั้งแต่เด็ก ๆ นั่นเอง
ไม่ว่าจะศาสนาไหน ทุกศาสนาสอนเหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน ของพุทธคือเข้าสู่นิพพาน ขึ้นไปอยู่ในภพภูมิที่ดี อยู่บนสวรรค์ เข้าหาพระเจ้า ซึ่งสุดท้ายแล้วทุกศาสนา การจะเข้าหาพระเจ้าได้ต้องเป็นคนดีมาก่อนทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีหมดและคนต่างศาสนา สามารถเจอผีอีกศาสนาหนึ่งได้ ตัวอ๊อฟเองที่เป็นพุทธก็เคยเจอผียิว เจอผีที่เป็นมุสลิม เจอผีฝรั่งที่นับถือคาทอลิก มีรายการหนึ่งของ พี่จิโร่ ชาน ที่อเมริกาที่เค้าดังมากตอนนี้ อยู่ดี ๆ เค้าก็คอลมา ซึ่งตอนนั้นเค้าไปบ้านร้างบ้านหนึ่งที่อเมริกา แล้วก็พิสูจน์ว่าเราเห็นเป็นอะไร ซึ่งสิ่งที่เราเห็นก็ตรงกับที่พี่เค้าเจอ มันตรงกันค่ะ”

เห็นผี จนมีบางทีที่ไม่อยากเป็นสื่อกลาง
“ต้องเรียนตามตรงว่ามีความรู้สึกนี้ทุกวัน เป็นความรู้สึกแบบเลิกถามฉันเรื่องนี้สักทีได้ไหม เวลาเจอกันถามฉันสิว่าฉันกินอะไร แต่พอเจอหน้ากันปุ๊บ ก็ถามเราตลอดว่ามีอะไรตามมั้ย ทำไมเจอหน้ากันไม่ สวัสดีคุณอ๊อฟเป็นยังไงบ้าง อะไรแบบนี้
ต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องดี ไม่ใช่เรื่องวิเศษ ไม่ใช่คนพิเศษที่มีเซ้นส์ เพราะบางทีเราต้องแก้ปัญหาให้เค้าด้วย แล้วบางทีเราแก้ปัญหาให้เค้าไม่ได้กลายเป็นว่าเรามานั่งเครียดเอง การเห็นวิญญาณทำให้เราเป็นซึมเศร้า เพราะบางทีเรายังยึดติดอยู่กับเค้า จนเราเครียด แล้วเราตัดไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องไปศรีธัญญา ที่นั่นเป็นที่พักใจเหมือนเดิม ไปปรึกษาหมอก็บอกว่า เรื่องวิญญาณหมอไม่ยุ่ง แต่หมอจะยุ่งเรื่องทักษะกระบวนการคิดของเราดีกว่าว่าทำไมเราถึงคิดอย่างนี้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังปรึกษาหมออยู่”
ไม่หวังในชาตินี้ แต่หวังในชาติหน้า
“ความหวังของอ๊อฟ ณ ตอนนี้ หวังว่าถ้าเรามีกำลัง หรือว่ามีอะไรพร้อมที่จะช่วยใครได้ก็ยินดี ซึ่งช่วยเร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องของระยะเวลาแล้วก็บุญสัมพันธ์ แต่ถ้าถามว่า หวังอะไรกับตัวเองไหม ไม่หวังค่ะ เราคิดว่าชาตินี้ตัวเองหวังไม่ได้แล้ว และทุกครั้งที่ไปกราบพระ ก็จะอธิษฐานว่า ถ้าชาติหน้ามีจริงฉันใด ขอให้หนูได้เข้าใกล้กับพุทธศาสนามากกว่านี้ ขอให้หนูได้เข้าถึงนิพพานให้มากกว่านี้ เพราะชาตินี้เรารู้ตัวแล้วว่าเราเป็นตุ๊ด คงไปถึงตรงนั้นไม่ได้อยู่แล้ว จริง ๆ ในพุทธศาสนาบอกไว้เลยว่าพวกบัณเฑาะว์จะเข้าถึงนิพพานไม่ได้ เพราะการจะเข้าถึงนิพพานต้องพร้อมพิสูจน์ตั้งแต่บวช ซึ่งในการบวชถ้าจิตเป็นกุศลก็บวชได้ แต่ด้วยเพศสภาพของเราเองคงไม่บวชอยู่แล้ว”

ความเชื่อ ที่ต้องมาพร้อมกับสติ
“ถ้าใช้สติกับสิ่งที่เราเจอ หรือสิ่งที่เราพบเห็น เราจะรู้ว่าอันไหนจริงหรือไม่จริง ง่าย ๆ คือ ถ้าเค้าอยากจะช่วยคุณจริง ๆ เค้าจะไม่เรียกเงินคุณมากมายหรอก และเวลาที่มีคนต้องการมาช่วยเรา อย่ามองว่าคนนี้คือผู้วิเศษ คนนี้คือผู้มีพลังอำนาจพิเศษ ไม่จริงหรอกค่ะ เค้าแค่เห็นอะไรบางช่วงบางตอน แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวลในชีวิตคุณ คุณนั่นแหละที่เป็นคนเห็น คุณนั่นแหละที่เป็นคนรู้ พยายามใช้สติพิจารณาว่าเราเคยทำอะไรมา แล้วเราต้องรับผลกรรมอะไรให้ได้ เท่านั้นพอเลย
และอาจจะมีคนที่ไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องเชื่ออ๊อฟก็ได้ค่ะ คิดว่าอ๊อฟเล่าเป็นนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่งก็ได้ แต่ว่าอย่างหนึ่งที่อยากให้เชื่อเลยคือ ถ้าคุณทำอะไรไปแล้ว อันนั้นมันคือกรรม แล้วเมื่อมีกรรมมันก็ต้องมีวิบากกรรม เหมือนมีแอคชั่น ก็ต้องมีรีแอคชั่น คุณก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับรีแอคชั่นที่มันจะเกิดขึ้นกับคุณ ถ้าคุณทำดีสิ่งที่รีแอคชั่นกลับมามันก็คือความดี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณทำไม่ดีสิ่งที่รีแอคชั่นกลับมาก็คือความซวย ความอับโชคทั้งหลาย เพราะฉะนั้นก็เตรียมรับกับเรื่องนี้ไว้ให้ดีก็พอค่ะ” - อ๊อฟ คนเห็นผี

ดูรายการย้อนหลัง
