เปิดชีวิตที่ไม่ได้ไปเรื่อย ของ “เป้ย ไปเรื่อย” จากอดีตสไตลิสต์สุดคูล สู่อินฟลูเอนเซอร์สุดปัง!

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตที่ไม่ได้ไปเรื่อย ของ “เป้ย ไปเรื่อย” จากอดีตสไตลิสต์สุดคูล สู่อินฟลูเอนเซอร์สุดปัง!

08 ธ.ค. 2023

“เวลาเราเจอปัญหา หรือความผิดพลาด ให้เราพยายามแก้ไข เพราะเป้ยเชื่อว่า ทุกความผิดพลาด มันจะมีความสำเร็จซ่อนอยู่เสมอ”

 

ยังเป็น Club ที่คอยสร้างแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้ฟังเรื่องราวทุกเฉดสีของชีวิตจากเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “เป้ย ไปเรื่อย” อินฟลูเอนเซอร์สายบันเทิงที่ได้รับความนิยมจากการพลิกชีวิตของสไตลิสต์สายโฆษณา และแฟชั่น มาสู่เพจที่ได้รับความนิยม และวีดีโอ TikTok ที่มาพร้อมความตลกความฮา สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนดู จากวิกฤติสู่โอกาส เป้ยทำอย่างไร แล้วชีวิตของเขาผ่านอะไรมาบ้าง เป้ย ได้แชร์ให้ฟังในรายการไว้ด้วย

 

 

“เป้ย ไปเรื่อย” ชื่อนี้ได้แต่ใดมา

“จริง ๆ เราชื่อ ท็อป แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนชื่อเลย เพราะรุ่นพี่เค้าจะมีชื่อเรียกให้กับน้อง ๆ แล้วตอนนั้น เป้ย ปานวาด ดังมาก กับบทที่เล่นเป็นแอร์โฮสเตส เรื่องสงครามนางฟ้า หนูก็ได้ชื่อ เป้ย เลยตอนนั้น

เราอยากเป็นดารา เพราะตอนเด็ก ๆ เราจะมีเพื่อนที่ได้ถ่ายนิตยสาร แล้วแม่ของเพื่อนชอบเอามาอวดที่โรงเรียนว่า ดูสิลูกไปถ่ายนิตยสารอันนี้มา ซึ่งเรารู้สึกว่าดีจัง ที่บ้านต้องภูมิใจมาก ๆ แน่เลย และในใจลึก ๆ เราก็อยากให้ที่บ้านมาอวดเราแบบนี้เหมือนกัน ก็เลยอยากเป็นดารา อยากอยู่ในวงการบันเทิง ก็พยายามเอาตัวมาคลุกคลี จนได้มาทำเสื้อผ้า มาเป็นสไตลิสต์

 ส่วน เป้ย ไปเรื่อย มันมาจากที่เราเริ่มทำเพจ ซึ่งชื่อเพจเป็นอะไรที่ตั้งยากที่สุดเลย ชื่อมาทีหลังคอนเทนต์ด้วยซ้ำ ตอนแรกเราคิดชื่อเป็นภาษาอังกฤษใหญ่โตเลย แต่สุดท้ายมาตกที่ เป้ย ไปเรื่อย เพราะว่าไปถามพี่คนนึงที่ทำสไตลิสต์เหมือนกัน พี่เค้าบอกว่าบุคลิกเราไปเรื่อย ก็เลยตัดสินใจใช้คำต่อท้ายว่า ไปเรื่อย แบบง่าย ๆ 3 พยางค์จบ”

 

 

ย้อนวัยใส ของ เป้ย ไปเรื่อย

“เมื่อตอนเด็ก คุณยายชอบพูดฝังหัวว่า ถ้าเป็นกะเทยจะโดนคุณอาตี คุณอาไม่ชอบกระเทย ทำให้ตอนเด็กเราต้องแอ๊ปแมน เราโตมากับพี่ชายที่เป็นพี่ชายจริง ๆ เลยได้รับไลฟ์สไตล์การฟังเพลง ดูหนัง อ่านการ์ตูน มาจากพี่ชายเยอะมาก เวลาเราอยู่บ้านเราก็จะแมน ๆ แต่เวลาอยู่ที่โรงเรียนเราก็จะเป็นอีกแบบนึง

คนในครอบครัวส่วนใหญ่เป็นทนาย พี่ชาย พี่สาว และคุณอา เป็นทนายทุกคนเลย เราก็จะเห็นพวกเค้าอ่านหนังสือหนักมาก มีหนังสือเป็นปึก 4-5 ตู้ เห็นเค้าต้องท่อง มาตรา 4 มาตรา 8 หน้า 3 วรรค 2 เยอะไปหมด ซึ่งเราไม่เก็ทเลย เราก็เลยเบนเข็ม เราชอบแต่งหน้า ชอบแต่งตัว เลยปูทางไปสู่การเป็นสไตลิสต์ ซึ่งเราไม่เคยรู้สึกว่าพ่อกับแม่กดดันเราเลย จะมีแค่ช่วงที่ซิ่วตอนเรียนมหาวิทยาลัยช่วงนั้น ที่พ่อกับแม่เค้าพยายามเข็นให้เราเรียนให้จบ เค้าซีเรียสเรื่องการศึกษา แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องไปเป็นทนาย ต้องไปเป็นหมอ เค้าไม่เคยบังคับเลย แค่อยากให้เรียนให้จบ เพราะตอนนั้นเราก็มีมุมขี้เกียจเรียนอยู่บ้าง

เหตุการณ์ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ที่บ้านยอมรับไม่มีเลยสำหรับเรา เป้ยทำตัวปกติมาตลอด และรู้สึกว่าลึก ๆ แล้วพ่อกับแม่เค้าก็ยอมรับแหละ แต่ก็มีช่วงที่เราอยากจะบอกความเป็นตัวตนของเราให้คุณอารู้ เราอยากให้คุณอารู้จากปากเรา ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่สำคัญมากในชีวิตของเป้ยเลย ตอนที่ต้องบอก เนื้อตัวมันสั่นไปหมด เหงื่อออกเต็มมือ ตอนจะพูดลิ้นมันก็พันกัน แต่เราก็บอกคุณอาเลย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พอบอกไป คุณอาตอบกลับมาว่า ก็รู้มานานแล้วนะ แล้วทำไมถึงมาบอก เราก็บอกว่า อยากจะบอกจากปากของหนูเอง หลังจากนั้นเหมือนปลดล็อก เวลาจะซื้อของมาให้ คุณอาก็จะซื้อของน่ารัก ๆ สีชมพูมาให้ตลอด มันทำให้เรารู้สึกว่าสบายใจจังเลย หลังจากวันนั้นเราก็ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่สบายอกสบายใจ”

 

 

คลิปไวรัล ที่เปลี่ยนชีวิต เป้ยไปเรื่อย

“คลิปแรกเลยที่เริ่มทำ Tiktok ตอนนั้นเรารู้สึกว่ามันเป็นแพลตฟอร์มที่เล่นง่ายมากเลย แล้วใน Tiktok จะมีเสียงแม่สิตางค์ ตอนนั้นเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ เป็นเสียงที่นางเล่าเรื่องส้มหยุด แล้วพอเราเอาเสียงแม่สิตางค์มาเล่น กลายเป็นว่าเสียงของเรามันเล่าได้ยาวกว่าของแม่สิตางค์ เราเล่าจนไปหยุดที่ฉันโดนงูรัด แต่คนอื่น ๆ ที่เค้าเล่นเสียงแม่สิตางค์มาก่อน เค้าเล่นกันถึงแค่ตอนส้มหยุด แต่เซ้นส์ของความคอมเมดี้ในตัวเรารู้สึกว่า มันควรหยุดตรงฉันโดนงูรัด พอปล่อยคลิปของเราออกไป ปรากฎว่าคนก็เล่นตามเสียงของเราเยอะแยะเลย จากนั้นคนก็เริ่มรู้จักช่อง แล้วเราก็ได้ฟอลโลเวอร์มาหลายหมื่นคนเลย

จริง ๆ การเล่น Tiktok ให้คนชอบคลิปที่เราลง มันไม่มีเหตุผล มันอยู่ที่จังหวะ บางทีคนตลกที่สังขารบ้าง ตลกที่คำพูดบ้าง ตลกที่เพลงบ้าง เรามองว่าใครที่อยากจะทำ Tiktok ไม่ต้องรอ ทำไปเลย มีพี่คนหนึ่งใน Tiktok ตั้งกล้องอยู่นิ่ง ๆ แล้วก็เปิดเพลง จากนั้นเค้าก็ปล่อยให้เพลงรันไป แล้วยืนดูยอดวิว แล้วเค้าก็มองไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็ตลกแล้ว แล้วยอดวิวเป็นล้านเลย เห็นไหมว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ใน Tiktok”

 

วิธีทำคลิป ฉบับ เป้ย ไปเรื่อย

“ด้วยความที่เป้ยชอบอ่านพวก Gag ตลก แล้วมันก็จะมีพวกมีมเยอะแยะเลย เป้ยก็คิดต่อว่า ถ้าเอามีมเหล่านี้มาทำเป็นไลฟ์ เป็นแอคชั่น มันน่าจะตลก แล้วนำเสนอผ่านตัวละครที่เราคิดขึ้นเอง แรก ๆ ไม่ได้วางแผน แต่เพิ่งจะมาจริงจังตอนหลัง ที่เริ่มมีแบ็คกราวด์ของตัวละคร ยายมิ้นท์คือใคร ยายจอยคือใคร แบงค์คือใคร เกิดเป็นตัวละครขึ้นมาในช่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เวลาทำคลิปเราไม่กดดันเลย ทุกอย่างสบาย ๆ แล้วเราเป็นคนที่ชอบอ่านคอมเมนต์ เพราะมองว่าคอมเมนต์สำคัญ มันจะสามารถนำมาต่อยอดให้เราได้จริง ๆ ทำให้หลัง ๆ มาเราอยากทำเยียร์บุ๊คให้พวกตัวละครที่เราคิดขึ้นด้วย สรุปไว้เลยว่าเค้าคือใคร อายุเท่าไหร่ เหมือนการ์ตูนตาหวานที่เราชอบอ่าน

ก่อนหน้านี้ คลิปในช่อง เป้ยตัดเอง ขายเอง ทำทุกอย่างเอง ส่วนตอนนี้เริ่มมีการวางแผน ต้องทำออดิชั่น วิเคราะห์สิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นยังไง ถ้าเป็นคอนเทนต์หลัก เราจะถ่ายเองตัดเอง แต่เมื่อไหร่ที่มีลูกค้าเข้ามา ก็อาจจะจะต้องมีการจ้างโปรดักชั่น เพราะลูกค้าจ้างเรา เค้าต้องได้ในสิ่งที่ดีที่สุด และเราเชื่อว่าหลาย ๆ ช่องก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

มีเรื่องที่นึกย้อนไปแล้วตลก ลูกค้าตัวแรกที่ติดต่อเข้ามาคือผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดพื้น พวกน้ำยาล้างห้องน้ำ แล้วก็น้ำยาถูบ้าน ตอนที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา เราดีใจมาก แล้วจะคิดราคาเท่าไหร่ดี ตอนนั้นต้นทุนก็ไม่มีด้วย ก็เลยคิดไปเลย 500 บาท ลูกค้าก็บอกว่าโอเค เดี๋ยวติดต่อกลับมา ขอไปพิชชิ่งก่อน ท้ายที่สุดลูกค้าหายไปเลย เค้าก็คงคิดว่า เราโกหกหรือเปล่า ปกติค่าทำคลิปมันต้องแพงกว่านี้ พอหลัง ๆ เจอ ยายฝน ที่เป็นครีเอทีฟ ยายฝนมันก็บ่นว่าคิดไปแค่นั้นได้ยังไง หลังจากนั้นพอลูกค้าอีกเจ้าติดต่อมา เราเรียกไป 30,000 บาทเลย เรียกให้สะดุ้งกันไปเลย”

 

 

คลิปช่องเป้ย เป้ยขอทำตามใจตัวเอง

“จริง ๆ แล้วข้อเสียของ เป้ย คือ เรื่องความถี่ในการลงคลิป เพราะเราเป็นคนทำงานตามใจตัวเอง เรารู้สึกว่ามันไม่ต้องใช้แรงบันดาลใจ แต่ใช้ใจบันดาลแรง เวลาอยากทำ เราถึงจะทำ บางครั้งคลิปไม่ตลก เราก็ไม่ลบ ปล่อยไปเลย เราอย่าไปเพอร์เฟ็คทุกอย่าง เดี๋ยวคนจะคาดหวังมันต้องมีไม่ตลกบ้าง เป็นเด๋อ ๆ ด๋า ๆ บ้าง คั่นกันไป มีคนฟอล 300,000 คน คนไลค์ 40 คน ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นเรื่องปกติ เพราะบางครั้งคลิปที่คนจะดูหรือไม่ดู มันเป็นเรื่องของอัลกอริทึมบ้าง เรื่องของแฮชแท็กบ้าง หรือว่าเรื่องของ policy บ้าง ที่อาจจะมาปิดกั้นการมองเห็นคลิปของเรา ซึ่งเราก็ต้องมานั่งทำความเข้าใจกันเรื่องนี้ และปรับใช้ในการทำคลิปครั้งต่อ ๆ ไปของเรา”

 

เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับคนอยากทำคลิป Tiktok

“ตอนนี้ Tiktok มาแรง ใครอยากทำคลิปให้คนดูเยอะ ๆ เป้ย ก็อยากให้ลองเล่นบ่อย ๆ เสพสื่อเยอะๆ แล้วก็พยายามถอย 1 สเต็ป อย่าไปคิดว่าทำไมมันยากจังเลย เราเริ่มจากทำง่าย ๆ ก่อน ทำสิ่งที่เราอยากทำ แล้วก็ประเมินตนเองในสิ่งที่ชอบ ว่าข้อดีของเราคืออะไร ข้อเสียเราคืออะไร แล้วขยี้ตรงนั้นให้หนัก ๆ อย่าง เป้ย เองก็ไม่ได้เก่งทุกอย่างหรอก เป้ย แค่ชอบตรงนี้ เป้ย เลยทำมันออกมาได้ดี คุณก็ต้องหาสิ่งที่คุณชอบ คอนเทนต์ที่ใช่ แล้ววันนึงถ้าคุณทำคอนเทนต์ถึง เสียงชัด ภาพชัด เดี๋ยวคนก็เข้ามาติดตาม

สำหรับคอนเทนต์ที่ เป้ย อยากทำ เราฝันไว้ว่า ช่องจะกลายเป็นซิทคอมที่มีเป็นซีซั่นเลยว่า แต่ละซีซั่นจะมีกี่ Ep. โดยเราเล่นคนเดียว แต่เราจะต้องทำการบ้านหนักหน่อยว่าจะต้องแสดงออกมายังไง ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่เราอยากทำในอนาคต มันอาจจะดูยาก แต่เราก็ต้องตีเส้นของเรา เราตีเส้นไปไกล ๆ ก่อน แล้วเราต้องเดินไปให้ถึง อาจจะเดินช้าหน่อยแต่ถึงแน่นอน”

 

 

ย้อนเส้นทางรัก เช็คสถานะหัวใจ ของ เป้ย ไปเรื่อย

“ย้อนไปก่อนหน้าที่จะมาเจอ โนอา ที่เป็นแฟนคนล่าสุด เรามีแฟนเป็นชาวต่างชาติ เป็นผู้ใหญ่ที่โตกว่า แล้วตอนนั้นเราก็รู้สึกว่า ความรักของคนไทยมันต้องวิ่งตาม แล้วเหนื่อยจังเลย อยากเจอคนที่ไม่ต้องพยายาม แต่พอมาเจอคนนี้ที่เป็นชาวต่างชาติ เรารู้สึกโอเค มันเป็นความรักแบบ Long distance relationship คือ 1 ปีเราจะเจอเค้า 2 ครั้ง ครั้งละ 2 อาทิตย์ เค้าจะมาช่วงเมษายน กับ ตุลาคม ความสัมพันธ์ก็เป็นแบบนี้เรื่อย ๆ อยู่ประมาณ 2 ปี มันกลายเป็นความสัมพันธ์แบบคุยแชทกันอย่างเดียว ไม่ได้เจอ ไม่ได้จับตัว ไม่ได้ดินเนอร์อะไรกันเลย ซึ่งเราเป็นคนที่ชอบสกินชิพ แล้วเวลาเราอยู่กับใคร เราอยากให้เค้าตลก อยากให้เค้ายิ้ม แต่พออยู่กับแฟนต่างชาติคนนี้ มีหลายอย่างที่อยากจะพูด แล้วก็พูดไม่ถูก เพราะภาษาเราไม่หมือนกัน เราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะตลกเหมือนคนไทยรึเปล่า แล้วตอนนั้นมันเป็นจังหวะที่ โนอา ที่เป็นแฟนคนปัจจุบันเข้ามาพอดี แล้ว โนอา เค้าก็แสดงให้เห็นว่าเค้าดูแลเราได้ เราก็เลยไปจบกับชาวต่างชาติ แล้วก็คุยกับ โนอา คนเดียว

ตอนที่เจอกับ โนอา วันนั้นเป็นวันรับปริญญาของเพื่อน แล้วเค้าก็ไปถ่ายรูปคู่กับเพื่อนเรา ด้วยความที่ตอนนั้นหน้าตาเราก็ไม่ได้ดีเท่าตอนนี้ ก็เลยไปคอมเมนต์ใต้รูปว่า เพื่อนน่ารักน้า แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่พิมพ์ทิ้งไว้ แล้วเค้าก็แอดกลับมา จากนั้นก็เลยคุยกันยาวเลย

ตอนคบกันแรก ๆ เราขี้หึงมาก ด้วยความที่แฟนเราหล่อ แล้วเมื่อก่อนจะมีคนแชทมาจีบ โนอา  บ่อยมาก เราก็จะคอยกันซีนอยู่ตลอด เรื่องทะเลาะบอกเลยว่าทะเลาะกันฉ่ำ บางครั้งทะเลาะเรื่องกินข้าว เรื่องเปิดปิดประตู ซึ่งมันเป็นเรื่องเล็กที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ด้วย เรารู้สึกว่ามันเป็นเหมือนการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง เรารู้อยู่แล้วว่าเราทำแบบนี้ไป เค้าก็คงไม่ไปไหนหรอก แต่มันกลายเป็นนิสัยเสีย ซึ่งหลัง ๆ เราก็พยายามปรับ จนเริ่มทะเลาะกันน้อยลง

โนอา เป็นพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป แล้วเค้าเป็นมุสลิม ซึ่งปัญหาเรื่องศาสนากับความรัก สำหรับคู่อื่นอาจจะมี แต่สำหรับเป้ยไม่มี เค้าก็ไม่ได้อึดอัด แต่เราเพิ่งมารู้ตอนหลัง เพราะเมื่อก่อนชวนกินหมูกระทะแล้วเค้าไม่กิน แล้วเค้าก็ไม่ได้บอกเรา ด้านครอบครัวเค้าก็แฮปปี้ พ่อแม่น่ารัก โชคดีมากพ่อของ โนอา เป็นคนจีนมาก่อน แล้วบ้านเราก็ครอบครัวจีนเหมือนกัน แล้ว โนอา ก็ไปที่บ้านบ่อย ที่บ้านเรารักเค้ามาก เผลอ ๆ รักมากกว่าเราอีก เรื่องครอบครัวพวกเราแฮปปี้มาก

ความรักตอนนี้ก็ค่อนข้างที่จะเปิดกว้าง เพราะก่อนหน้านี้เคยผ่านเรื่องราวหนัก ๆ กันมาในชีวิตคู่ ก็เลยคุยกันว่า เราลองหลวม ๆ กันหน่อยไหม เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ฉันก็รักเธอมากที่สุดในโลกเลย ฉันมีความรู้สึกว่า 11 ปี ต่อให้เลิกกับเธอไปคบคนใหม่ ฉันก็อยู่กับเค้าได้ไม่นานหรอก และเค้าก็คงอยู่กับฉันได้ไม่นานหรอก เพราะว่าฉันก็มีข้อเสียของฉันที่เธอรู้ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันไม่อยากจะหึงเธอแบบนั้นแล้ว ด้วยความที่โตขึ้น เธอเลื่อนตำแหน่ง มีหน้าที่การงาน มีภาระต้องรับผิดชอบเยอะ ฉันไม่อยากให้เธอต้องมานั่งปวดหัวกับการทะเลาะกันหนัก ๆ ในทุกวัน เราหลวม ๆ กันบ้างดีกว่า”

 

 

ตำนานน้ำพริกมะขาม ที่จำได้ไม่ลืม!

“น้ำพริกมะขาม เป็นเรื่องที่อยากเมาท์มาก ต้องบอกก่อนว่า เราอยู่กับยาย แล้วยายเป็นแม่ครัวทำอาหารไทย เราเห็นน้ำพริกมะขามมาตั้งแต่เด็ก เพราะตัวเราเองก็ชอบกิน วิธีทำคือ เอามะขามอ่อน ๆ มาตำ ผัดกับหมูสับ ใส่กระเทียม ซึ่งเราเห็นมาแต่เด็กว่ามันใส่หมูสับ แล้ววันนั้นเป็นวันแรก ๆ เลยที่ย้ายเข้าไปอยู่บ้านแฟน เค้าก็เป็นบ้านแบบกงสีที่อยู่รวมกัน นั่งกินข้าวรวมกัน

แล้วมื้อนั้นมีน้ำพริกมาตั้ง ซึ่งเราก็คุ้น ๆ เหมือนมันจะเป็นน้ำพริกมะขาม แล้วทุกคนบนโต๊ะกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างกิน เราก็ถามแฟนว่า เธอมันมีหมูไหม แฟนบอกว่าไม่มีนะเธอ แต่เราก็ไม่กล้าพูด เพราะทุกคนกำลังกิน แต่ในขณะที่กิน เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่เคี้ยวมันคือหมู พอกินเสร็จ ก็แอบไปบอกแฟนว่า เธอ ๆ พรุ่งนี้เธอไปถามร้านหน่อยสิว่าเค้าใส่หมูรึเปล่า เราคาใจ สรุปว่าพอแฟนไปถามปรากฎว่าน้ำพริกที่กินมาตลอดใส่หมู ตอนนั้น แม่ ของ โนอา เดินมาบอกเราเลยว่า เป้ย น้ำพริกมะขามใส่หมู เย็นวันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านเลย ต้องไปละหมาดกันทั้งบ้าน”

 

เป้ย ไปเรื่อย กับมุมมองต่อ #สมรถเท่าเทียม

“เป้ย วางแผนกับแฟนว่า ในอนาคตเราอยากทำธุรกิจร่วมกัน แล้วในวันหนึ่ง ถ้าไม่จากเป็นก็ต้องจากตาย ซึ่งถ้าจากตายแล้วอะไรใครจะดูต่อ แล้วก็มีอีกหลาย ๆ คน หลาย ๆ คู่ ที่เค้ารับราชการ บางทีเค้าก็อยากได้สิทธิ์การรักษาพยาบาลของแฟนด้วย

ซึ่ง เป้ย คิดว่า สมรสเท่าเทียมจำเป็นมากเลย อยากให้มันผ่าน และเรื่องคำนำหน้าก็สำคัญเพราะว่าตัวเป้ยเอง มีเพื่อนพี่น้องที่เป็น LGBTQ+ ที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยมามากมาย ก็อยากจะผลักดันกฎหมายนี้ให้ได้พร้อม ๆ กัน เพราะมีหลายคนที่ถูกลิดรอนสิทธิ์ ถูกปฏิเสธการเข้าทำงาน ถูกปฏิเสธการเข้ารักษาพยาบาล เพียงเพราะคำนำหน้านามมันไม่ตรงกับเพศสภาพ อยากจะให้มีกฎหมายที่รองรับว่าเค้าเป็นเค้า ปัญหาเหล่านี้มันจะได้หมดไป และอยากให้เค้าได้คำนำหน้าที่ตรงกับเพศสภาพจริง ๆ”

 

 

แรงบันดาลใจ จาก เป้ย ไปเรื่อย

“ทุกวันนี้ภูมิใจมากเลย เราผ่านมาหลากหลายอาชีพ ต้องรีดเสื้อทีละร้อยตัวเราก็ผ่านมาแล้ว ถ้าจะให้เล่าเรื่องความภาคภูมิใจ หนึ่งวันไม่รู้ว่าจะเล่าหมดรึเปล่า เราดีใจที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ ทุกปัญหาเราพยายามแก้ไข เพราะว่าความผิดพลาดซ่อนอยู่ในความสำเร็จ ถ้าคนที่มองความผิดพลาดออก เราจะเห็นความสำเร็จ และเราก็พยายามแก้ไขตรงนั้น ยอมรับความผิดพลาด เคยโดนด่า และใช้ความเป็นเด็กเอาตัวรอดมาได้ เพราะว่าเวลาเป็นเด็กผิดพลาดได้ ผู้ใหญ่ก็ยังสอน อย่าไปน้อยอกน้อยใจ เพราะถ้าโตมาแล้วทำผิด เค้าจะหาว่าเราโง่ แก่ขนาดนี้ยังมานั่งทำผิดทำพลาดอีก มันเลยกลายเป็นความภูมิใจในชีวิตทุกวันนี้ของตัวเองค่ะ” - เป้ย ไปเรื่อย

 

 

ดูรายการย้อนหลัง

 

album

0
0.8
1