เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตของพิธีกรงามอย่างไทย “กอล์ฟ กิตติพัทธ์” จากคนขี้อาย จนกลายเป็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่เบ่งบาน

Club Pride Day Recap

เปิดจุดเปลี่ยนชีวิตของพิธีกรงามอย่างไทย “กอล์ฟ กิตติพัทธ์” จากคนขี้อาย จนกลายเป็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่เบ่งบาน

24 พ.ย. 2023

“ตอนนี้ความคิดของหนูที่รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง มันเหมือนหนอนที่คอยกินไส้ในของกุหลาบ แล้วถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้เรื่อยไป หนูจะหมดโอกาสที่จะเบ่งบานเป็นดอกกุหลาบที่สวยงาม หนูจงรีบกำจัดตัวหนอนที่ทำลายตัวหนูอยู่ข้างในออกไป แล้วหนูจะมีโอกาสที่จะเบ่งบาน แม้หนูจะเป็นดอกกุหลาบสีฟ้า หรือดอกกุหลาบสีเขียว ซึ่งมันแปลกแตกต่าง และอาจจะไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่หนูจะสวยงาม และเบ่งบานในแบบของตัวหนูเอง”

 

 

Club นี้มีเรื่องราวมากมาย Club นี้มีหลากหลายสีสัน และ Club นี้ยังคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “กอล์ฟ กิตติพัทธ์” จากคนเบื้องหลังอารมณ์ดี ที่กล้าเอาชนะความขี้อาย จนกลายเป็นพิธีกรงามอย่างไทย ทัชใจเหล่าเทยทั้งประเทศ และเธอพร้อมจะมาเผยเคล็ดลับ แชร์มุมมอง เล่าประสบการณ์ และแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ไว้ในรายการด้วย

 

ย้อนวัยเด็ก ของ ด.ช.กิตติพัทธ์

“สมัยเด็ก กอล์ฟ เป็นคนเรียบร้อย ในสมุดบันทึกของคุณครูที่เขียนถึงคุณพ่อคุณแม่ มักจะระบุว่า มีพฤติกรรมเรียบร้อย ซึ่งเราเป็นเด็กตั้งใจเรียน ที่อยู่ในกฎระเบียบ ไม่ค่อยออกนอกลู่นอกทาง และไม่ค่อยมีวีรกรรมใด ๆ เราเล่นกับพี่กับน้อง เล่นปืนต้นไม้ ปั่นจักรยาน เล่นดินเล่นทราย ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด อยู่กับธรรมชาติ และเราก็มีเพื่อนทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่อยู่บ้านใกล้ ๆ กัน แต่ถ้าถามว่าเราชอบอะไรที่บู๊ ๆ รึเปล่า ถ้าอย่างเรื่องกีฬาที่ต้องออกแรงเยอะ ๆ เราก็จะไม่ค่อยชอบ และชอบเล่นแบบเด็กผู้หญิงมากกว่า อย่างเล่นตุ๊กตากระดาษ เล่นหมากเก็บ เล่นตั้งเต เล่นบอลลูนสี

และด้วยความเป็นลูกคนกลาง เราพึ่งมารู้ในช่วงหลัง ๆ ว่า พ่อกับแม่ห่วงเรามากกว่าหน่อย หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Wednesday child ที่เด็กคนกลางมักจะมีปัญหา ความคิดแบบนั้นก็เลยทำให้พ่อกับแม่โฟกัสที่เราเยอะหน่อยว่า เวลาไปเรียนโรงเรียนอยู่กับเพื่อนเข้ากับเพื่อนได้ไหม จะโอเคไหม ซึ่งเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าเราอาจจะมีเพื่อนผู้หญิงเยอะหน่อย พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เราก็เริ่มเห็นตัวเองว่าเรามีความแตกต่าง แต่เราก็ชอบใช้ชีวิตแบบนี้ และกลายเป็นความโชคดีที่เราไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป เพราะมีเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนอยู่ด้วย แล้วคุณครูก็ค่อนข้างที่จะเปิดรับ และเข้าใจว่าสังคมมีความหลากหลาย เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร จากนั้นพอเริ่มเข้ามัธยมปลาย จนเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เริ่มอยากเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ฉันอยากไว้ผมแบบนี้ ฉันอยากแต่งหน้าแบบนี้ ซึ่งพอความชัดเจนมันมากขึ้น ที่บ้านก็จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง คุณพ่อก็เริ่มถามว่า ทำไมแต่งตัวแบบนี้ ทำไมไว้ผมยาว เราก็พยายามอธิบายว่า เราก็อยากใช้ชีวิตของเราแบบนี้ ซึ่งไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นพ่อกับแม่เข้าใจหรือไม่เข้าใจแค่ไหน เราแค่สื่อสารในสิ่งที่เราเป็นแค่นั้นเอง”

 

 

กลับมาเป็น “ลูกชาย” คนเดิมได้ไหม

“วันเกิดของกอล์ฟในทุก ๆ ปี คุณพ่อคุณแม่ จะมีของขวัญให้เราเสมอ แล้วก็จะเขียนการ์ดอวยพรมาด้วย ซึ่งในปีหนึ่งช่วงที่เรากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ในการ์ดเขียนอวยพรปกติ แล้วในตอนท้าย ๆ คุณพ่อเขียนไว้ว่า ดีใจที่มีหนูเป็นลูก แต่สิ่งหนึ่งที่ถ้าพ่ออยากจะขอ และถ้ามันพอจะเป็นไปได้ คืออยากให้ลูกกลับมาเป็นลูกชายของพ่อคนเดิม นี่เป็นประโยคที่สะกิดใจเรา พอได้อ่านการ์ดแล้วเรารู้สึกว่าอยากจะอธิบายจัง แต่เราก็คิดว่าจะอธิบายยังไงดี หากอธิบายกันต่อหน้าคงเป็นเรื่องยาก และด้วยความที่เราเป็นคนที่อยู่ในกรอบมาตลอด นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่เราเลือกออกนอกกรอบ หลุดจากความคาดหวังของพ่อแม่ เลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นเราเขียนจดหมายดีกว่า เพราะถ้าพูดต่อหน้าความรู้สึกมันพรั่งพรู และคงจะร้องไห้จนพูดไม่ได้แน่ ๆ ก็เลยพยายามรวบรวมความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารจริง ๆ เราเขียนตอบกลับไปว่า เราดีใจที่ได้เป็นลูกของพ่อกับแม่ เราเป็นได้ทุกอย่างที่พ่อกับแม่อยากให้เราเป็น เราจะตั้งใจในทุก ๆ สิ่งที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ตั้งใจมอบให้ แต่อย่างเดียวที่เราทำให้พ่อกับแม่ไม่ได้ ก็คือกลับไปเป็นลูกชายคนเดิมของพ่อกับแม่ แต่ลูกสัญญาว่า ลูกจะมีชีวิตที่ดีในแบบของลูกเอง แล้วก็ส่งจดหมายไป

เรารู้สึกว่าหลังจากที่พ่อแม่อ่านจดหมายมันปลดล็อค และเริ่มเข้าใจกันมากขึ้น หลังจากนั้นเราเคยนอนเล่นดูทีวีกับแม่ แล้วแม่ถามขึ้นมาว่า ไม่กลัวเหรอที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ เป็นเพศที่สาม แม่แค่กลัวว่าถ้าลูกเป็นแบบนี้ ในอนาคตลูกอาจจะต้องใช้ชีวิตคนเดียว แม่กลัวว่าจะไม่มีใครดูแล เราก็บอกกับแม่ว่า ไม่นะแม่ ลูกคิดว่าลูกใช้ชีวิตของตัวเองได้ ต่อให้ลูกอยู่ตัวคนเดียว ลูกก็ใช้ชีวิตของตัวเองได้ พอได้ฟังแม่จึงตอบกลับมาว่า แม่เชื่อ แม่ว่าลูกแม่เข้มแข็งพอที่จะใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ เพราะการที่เรากล้าลุกขึ้นเพื่อที่จะบอกว่า ลูกอยู่คนเดียวได้ ลูกใช้ชีวิตคนเดียวได้ไม่ต้องเป็นห่วง มันก็ทำให้เค้าเปลี่ยนมุมมองความคิดเหมือนกัน

ส่วนพ่อก็มีเหมือนกัน ในช่วงโควิด เรากลับบ้านไม่ได้เลย คุณพ่อคุณแม่อยู่ต่างจังหวัด กอล์ฟอยู่กรุงเทพ ทั้งที่ปกติกลับบ้านแทบทุกอาทิตย์ แต่พอมีโควิดเราไม่กลับบ้านเลยเป็นเดือน ๆ จนพอสถานการณ์มันคลี่คลายเราก็กลับบ้านได้ เราก็ได้กลับไปใช้ชีวิตด้วยกันปกติ กอล์ฟก็ช่วยแม่เข้าครัวทำกับข้าวเหมือนเดิม วันนั้นบนโต๊ะทานข้าว ด้วยความที่พ่อกับแม่เค้าดีใจเพราะลูกไม่ได้กลับบ้านมานาน พ่อก็บอกว่า ดีจังเลยที่ได้มากินข้าวด้วยกัน แล้วมีประโยคนึงที่พ่อพูดขึ้นมาว่า ดีจังเลยที่เราได้กลับมากินข้าวด้วยกันอีก แล้วก็ดีจังเลยที่พ่อมีลูกสาวที่ทำกับข้าวให้พ่อกิน นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่พ่อเรียกเราว่าลูกสาว แล้วหลังจากนั้น พ่อไม่ได้พูดแค่กับเรา กับคนอื่นพ่อก็แนะนำเราว่านี่คือลูกสาว สิ่งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เรารู้สึกว่าพ่อยอมรับในความเป็นตัวเราได้แล้ว

มีประโยคหนึ่งที่เราจำได้เลย คือตอนท้าย ๆ ก่อนที่คุณตาจะเสีย พวกเราไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่บ้าน แล้วกำลังจะลากลับบ้าน ตามประสาผู้ชายสมัยโบราณ ตาบอกว่าดูแลตัวเองให้ดีละกัน แล้วก็อย่าไปทำตัวเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว แล้วแม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พูดว่า พ่อไม่ต้องยุ่ง ลูกหนู หนูเลี้ยงเอง ณ ตอนนั้นเรารู้สึกว่า นี่คือสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่เขาต้องต่อสู้อยู่เหมือนกัน ในวันที่เราต่อสู้ พ่อกับแม่เขาก็ไม่ง่าย คนรอบข้างเราก็ไม่ง่าย นี่ยังไม่นับพี่ชาย และน้องชายเรา เขาก็ต้องเจอคำถามอะไรแบบนี้ แต่เขาพร้อมที่จะอยู่ข้างเรา ต่อให้เข้าใจหรือไม่เข้าใจเราไม่รู้ แต่เขาพร้อมที่จะอยู่ข้างเรา แล้วยอมรับในความเป็นเรา จนถึงวันนี้เรารู้สึกว่าแค่นั้นพอแล้ว ที่เหลือคำถามของคนบนโลกใบนี้ทั้งหมดไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะเราตอบได้หมดแล้ว และคนรอบตัวเราตอบได้หมดแล้ว แค่นั้นพอ”

 

 

จุดเริ่มต้น ของคนเบื้องหลัง

“เส้นทางอาชีพของ กอล์ฟ เริ่มจากการเป็นคนเบื้องหลัง คือเป็นครีเอทีฟรายการไฟว์ไลฟ์ และพิธีกรคนแรกที่เขียนสคริปต์ให้กับมือคือ ดีเจอ้อย นภาพร และอีกคนก็คือ ดีเจอั๋น ภูวนาท ซึ่งความตั้งใจของเราคือ อยากทำงานวงการบันเทิง แต่สิ่งที่อยากทำจริง ๆ คืออยากทำงานอยู่เบื้องหลังกองละคร เพราะเราเป็นคนชอบดูละครทีวี มันเลยกลายเป็นความใฝ่ฝันว่า เราอยากอยู่ในกองละครจังเลย และเราเรียนศิลปการละครมาด้วย

แต่ว่าโอกาสในตอนที่เข้ามาทำงานครั้งแรกที่แกรมมี่ ตอนนั้น ไฟว์ไลฟ์ เพิ่งจะขึ้นรายการใหม่ เค้าก็หาคนมาทำรายการนี้ กลายเป็นโอกาสให้เราได้ลองเข้ามา ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับที่เราอยากทำเป๊ะ ๆ แต่มันก็มีความใกล้เคียงกัน เรารู้สึกว่า ต่อให้เรียนตรงสายมา เราก็ไม่สามารถเอาวิชาความรู้จากในห้องมาใช้ในการทำงานได้เป๊ะ ๆ มันต้องเอามาปรับมาประยุกต์ใช้อยู่ดี ส่วนการที่เราได้มาทำรายการที่มันยังไม่ตรงเป๊ะกับที่เรียนมา สำหรับเรารู้สึกว่ามันท้าทาย เพราะเราหาทั้ง จุดแข็ง และ จุดอ่อน ของตัวเองเจอในการทำงานนั้น เช่น เราเรียนศิลปการละครมา แต่ต้องมาทำรายการเพลง สิ่งที่เป็นจุดแข็งเราคือ เราเรียนการเขียนบท เราเรียนการเขียนเพื่อการสื่อสารมาตลอด แปลว่าเรื่องการเขียนสคริปต์เรามีพื้นฐานมา เราแค่ต้องปรับ จากการเขียนบทละคร มาเขียนบทพิธีกร แต่สิ่งที่เราไม่มีความรู้เลย เนื่องจากเราไม่ได้เรียนสายนิเทศศาสตร์ เราไม่มีความรู้ทาง Media ยุคนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ เราไม่รู้จักอะไรเลย แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้เรียนรู้ แล้วเราก็สนุกกับการที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ Input ตัวเอง ซึ่งในการทำรายการสด เรื่องของการเตรียมงานก่อนล่วงหน้าก็สำคัญ และสิ่งที่เกิดขึ้นหน้างานก็สำคัญ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องทำงานเป็นทีม เราต้องแชร์กันในทุก ๆ เรื่อง”

 

 

ผิดได้ ร้องไห้ได้ แต่ครั้งต่อไปต้องไม่ผิดเรื่องเดิม

“วันแรกเลยที่ทำรายการ ด้วยความที่ ไฟว์ไลฟ์ เป็นรายการสด แล้ววันแรกหน้าที่ของเราคือต้องถือคิวการ์ดอยู่ใต้กล้อง ซึ่งมันจะเป็นบทขอบคุณลูกค้าตอนท้ายที่พิธีกรต้องพูดเป๊ะ ๆ แล้วความเป็นรายการสดมันต้องกำหนดเวลา แต่ด้วยความที่เป็นรายการวันแรก ตอนนั้นถึงช่วงท้ายรายการแล้ว ทางสถานีก็แจ้งมาว่าเหลือเวลาอีก 2 นาทีจะต้องจบราการแล้ว ซึ่งพิธีกรก็ไม่ได้สนใจจัดรายการต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านไปยังไม่ทันจะพูดขอบคุณเลย เรามอจอมอนิเตอร์ปรากฏว่า ภาพที่ออกอากาศตัดเข้าข่าวไปแล้ว โดยที่ไม่มีใครรู้เลย หลังจากวันนั้นพอรายการเริ่มออกอากาศไปเรื่อย ๆ ก็มีสปอนเซอร์เข้ามา แล้วมันจะต้องดูเรื่องผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้ ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับทางฝ่ายขาย แล้วเราก็ไม่รู้อีกว่าความเป๊ะมันต้องขนาดไหน ก็เลยทำรายการไปแบบสบาย ๆ พิธีกรอยากพูดอะไรก็พูด เราอยากทำอะไรก็ทำ แล้วพอจบรายการลูกค้าก็ฟีดแบ็คมาว่า Benefit ไม่เห็นครบตามที่ลูกค้าแจ้งมาเลย ทางฝ่ายขายก็มาโวยเรา แล้วก็โดนตำหนิจากหัวหน้าด้วย บวกกับเราเพิ่งมาทำงานใหม่ ๆ ไม่เคยเจอแรงกดดันหนักขนาดนี้มาก่อน สิ่งที่ทำในตอนนั้นคือ วิ่งเข้าห้องน้ำร้องไห้เลย แต่มันก็เป็นจุดที่เราได้เรียนรู้เป็นอย่างดี วันนั้นเราบอกตัวเองว่า วันนี้ผิดได้ เราร้องไห้ได้ แต่ต่อไปฉันจะไม่ผิดเรื่องเดิมอีก ต่อไปนี้เรื่องอะไรที่ไม่รู้จะถามเลย

กอล์ฟ ทำรายการไฟว์ไลฟ์ อยู่ 6-7 ปี หลังจากนั้นมีอีกรายการใหม่ที่ขึ้นคือ รายการโอไอซี เป็นรายการภาคกลางวัน ก็ไปช่วยดูแลตรงนั้นด้วย แล้วก็มีอีกรายการที่ช่วยดูแลก็คือ รายการเกมฮอตเพลงฮิต”

 

 

จากคนเบื้องหลัง สู่พิธีกรสุดปังทัชใจเหล่าเทย

“หลังจากทำงานอยู่เบื้องหลัง 10 ปี ก็เป็นช่วงที่ แซทเทิลไลท์ทีวีกำลังเกิด แล้วตอนนั้นช่อง Bang Channel ก็เกิดขึ้น ซึ่งเป็นช่องใหม่ที่มีรายการหลากหลาย และก็มีโจทย์จากทางผู้บริหารว่า อยากได้รายการท่องเที่ยวมาอยู่ในช่องนี้ โดยคนที่รับโจทย์ตอนนั้นก็คือ ป๋อมแป๋ม นางก็ไปคิด แล้วก็นำเสนอออกมา โดยไอเดียที่นางคิดคือ อยากให้เป็นรายการท่องเที่ยว ที่มีบรรยากาศของการเที่ยวกับเพื่อน พอไปเสนอก็ผ่านเลย เจ้านายบอกให้ไปทำเทปตัวอย่างรายการมาเสนอได้เลย ป๋อมแป๋ม ก็ตัดสินใจว่า เดี๋ยวฉันเป็นพิธีกรหนึ่งคน แล้วก็ต้องไปกวาดต้อนเพื่อนเพื่อมาทำเทปตัวอย่างรายการนี้ ก็ไปชวน ก็อตจิ แล้วก็ เจ๊นนท์ ที่เป็นเพื่อนแต่ทำงานข้างนอกมาทำรายการนี้ ณ ตอนนั้น กอลฟ์ รับหน้าที่เป็นทีมซัพพอร์ทคอยช่วยงานเบื้องหลัง แต่กลายเป็นว่าเทปตัวอย่างที่ทำออกมาประสบความสำเร็จมาก หัวหน้าบอกว่าสามารถออนแอร์ได้เลย ซึ่งพอเริ่มออนแอร์ไปแล้ว แปลว่ามันต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ แต่เหตุคือ เจ๊นนท์ ที่ทำงานข้างนอก เริ่มมีข้อจำกัดเรื่องเวลากับการทำงานที่ไม่สะดวก ทำให้ต้องเปลี่ยนพิธีกร ป๋อมแป๋มก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นเธอแล้วกันกอล์ฟ ซึ่งสำหรับเราตอนนั้นรู้สึกว่า ที่เบื้องหน้าไม่ใช่ที่ของเราเลย ไม่เคยมีความคิดในการทำงานเบื้องหน้าเลย เราฝันกับการทำงานเบื้องหลังมาตลอด

จนหัวหน้าของเราเรียกไปคุยอยู่นาน แล้วก็มีประโยคนึงที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเราเลย คือเค้าบอกว่า ถ้าขนาดคนอื่นยังคิดว่าเราทำได้ แล้วทำไมเราจะไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ว่าเราก็ทำได้เหมือนกัน พอได้ฟังประโยคนั้นก็รู้สึกว่า โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันลอง โดยบอกกับหัวหน้าไปว่าขอลองทำอย่างเต็มที่ก่อน แต่ถ้าเราทำออกมาได้ไม่ดีก็ขอให้บอก เราพร้อมที่จะถอดตัว หรือเปลี่ยนไปในตำแหน่งอื่น ๆ แต่นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่เราจะรับเอาไว้ และจะพยายามอย่างเต็มที่ และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานเบื้องหน้า

ถ้าย้อนกลับไปดูคอมเมนต์ในยุคแรก ๆ จากเจ๊นนท์ แล้วเปลี่ยนมาเป็นเรา จะมีคอมเมนต์เยอะมาก ที่บอกว่าเราไม่ตลกเลย พูดน้อยจัง พูดไม่ทันเพื่อนเลย ไม่เห็นสนุกเลย เอาคนใหม่ดีกว่า ซึ่งเราก็เอาคอมเมนต์เหล่านี้กลับมาประเมินตัวเอง ในขณะเดียวกันก็คุยกับทีมเบื้องหลังด้วย ซึ่งพี่ที่เป็นโปรดิวเซอร์รายการก็พูดว่า ฉันไม่ได้ต้องการเอาเธอมาเพื่อให้เธอเหมือนคนอื่น ฉันเอาเธอมาเพื่อที่จะให้เธอเป็นเธอ ทั้งสามคนมีเคมีที่ลงตัวในแบบของมัน แล้วเดี๋ยวมันจะหาวิธีการที่จะอยู่กันได้แบบลงตัว”

 

 

ทุกคนล้วนมีความเป็นตัวเอง ที่ไม่ควรถูกแปะป้าย

“หลายคนมักติดภาพว่า เป็นกะเทยต้องตลก ซึ่งเรื่องนี้ กอล์ฟก็เคยคิดเหมือนกัน เมื่อก่อนเรารู้สึกว่า กะเทยที่จะมีที่ยืนในหน้าสื่อมีอยู่แค่ 2 แบบหลัก ๆ คือถ้าไม่สวยระดับมงลง ก็ต้องตลก และถ้าเป็นกะเทยแบบธรรมดา เรารู้สึกว่าเหมือนไม่มีพื้นที่ตรงนั้นให้พวกเค้าเลย เรารู้สึกว่าท้ายที่สุดมันเป็นการแปะป้าย เหมือนที่เราแปะป้ายว่า ผู้ชายต้องเป็นคนเข้มแข็ง ต้องมีความเป็นผู้นำ ผู้หญิงต้องเรียบร้อย ต้องอ่อนหวาน ซึ่งในความเป็นจริง ทุกคนมีความเป็นตัวเองอยู่แล้ว และแต่ละคนมันหลากหลาย ซึ่งมันไม่ควรจะถูกแปะป้าย ความเป็นกะเทยก็เช่นกัน มันไม่ควรถูกแปะป้ายว่า เป็นกะเทยต้องตลก หรือเป็นกะเทยต้องสวยสิ เราแค่เป็นกะเทยธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบ ๆ ตามประสาของเราได้ไหม ไม่ต้องสวยมาก ไม่ต้องตลกมาก แต่ก็เป็นเราในแบบของเรา และเราได้รับการยอมรับจากสังคมในแบบที่เราเป็นได้ไหม นี่คือสิ่งที่เราเคยคิดมาเหมือนกัน

และมันพ่วงมากับเรื่องฟีดแบ็คในรายการด้วย ที่คนดูมองว่า เราไม่ตลกเลย ซึ่งเราเองก็ต่อสู้ และพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเหมือนกันว่า ถูกแล้ว ฉันไม่ใช่คนตลก แต่ตอนอยู่ในรายการฟังก์ชั่นของฉันคือแบบไหน และฉันอยากนำเสนออะไรออกไปในรายการ ซึ่งเราก็ต้องหาความเป็นตัวตนของเราให้เจอ แล้วก็นำเสนอออกไปให้คนเข้าใจ แล้ววันหนึ่งพอใช้เวลา คนจะเข้าใจ และยอมรับเราในแบบที่เราเป็นจริง ๆ”

 

 

เทยเที่ยวไทย กับ 12 ปีแห่งความประทับใจ

“กอล์ฟ ทำเทยเที่ยวไทยมา 12 ปี มันเหมือนเป็นชีวิตไปแล้ว ตอนที่ทำรายการ เราออกกองกันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ เราเจอกัน อยู่บนรถตู้แล้วมีเรื่องเม้าท์กัน ไปกินข้าวด้วยกัน มันเหมือนเป็นชีวิตเป็นไลฟ์สไตล์ของเราไปแล้ว พอไม่ได้ทำรายการเทยเที่ยวไทย แล้วเรากลับมาทำงานออฟฟิศแบบเต็มเวลามากขึ้น มันก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน และเราก็ห่างจากเพื่อนไปเยอะ จากที่เราได้เจอกันบ่อย ๆ ตอนนี้เหลือแค่ในกรุ๊ปไลน์ แทนที่เราจะได้นั่งคุยกัน มันก็มีความใจหายนิดหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่งคือคนดู ที่จะมีคนดูถามว่า ทำไมเลิกทำ คิดถึงจัง แล้วต่อไปหนูจะดูอะไรเป็นเพื่อนตอนกินข้าว ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบยากจัง แต่เราก็รู้สึกว่า ทุกอย่างมันก็มีช่วงเวลาของมัน และการที่เราหายไป แต่คนยังคิดถึงเราอยู่ อันนี้ต่างห่างที่เรารู้สึกว่ามันมีคุณค่ามากจริง ๆ เราก็อยากไปในวันที่คนยังคิดถึงเราอยู่ และเราก็รู้สึกขอบคุณที่ยังคิดถึงกันเสมอ แต่ทุกอย่างมันก็มีเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของมัน หากในอนาคตจะปรับรายการไปรูปแบบไหน หรือจะกลับมารวมตัวกันใหม่ในรูปแบบไหน ก็ให้เป็นเรื่องของอนาคต”

 

เพราะผ้ามันผูกพันกับผู้คน และเป็นสิ่งที่ กอล์ฟ ชื่นชอบ

“เราเป็นคนที่ชอบงานฝีมือ ความสวย ๆ งาม ๆ เป็นสิ่งที่เราชอบมาก ๆ แล้วพอได้มีโอกาสศึกษาเรื่อง ผ้าพื้นเมือง ในบ้านเรา มันไม่ใช่แค่เรียนรู้เรื่องศิลปะ เพราะผ้ามันผูกพันกับผู้คน มันอยู่ในวิถีชีวิต แล้วมันมีชาติพันธุ์ ทำให้เรารู้ว่า ประเทศไทย ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายมากมาย มีชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสิ่งหนึ่งที่เขาถ่ายทอดออกมาก็คือในผืนผ้าเหล่านี้ พอได้เรียนรู้แล้วมันทำให้รู้สึกว่า เราชอบจังเลย เราสนุกกับการค้นคว้า เรียนรู้ รู้จัก และก็สะสมสิ่งที่เราชอบเก็บไว้เรื่อย ๆ”

 

 

หนังสือ คือเพื่อนติดตัวของ กอล์ฟ

“หนังสือ คือเพื่อนแก้เหงามาตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาที่ใครถามว่า ใช้ชีวิตคนเดียวไม่เหงาเหรอ เราก็จะบอกว่า ไม่เหงา ถ้ามีหนังสือเป็นเพื่อนก็ไม่เหงาแล้ว อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่เด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่จะมีหนังสือติดบ้าน แล้วมันอาจจะเป็นความเคยชินของเราที่เวลาเบื่อ ไม่มีอะไรทำ หรือเหงาเมื่อไหร่ก็หยิบหนังสือมาอ่าน แล้วการอ่านหนังสือมันเปิดโลกของเรามากขึ้น ทำให้ได้รู้จักผู้คนมากขึ้น ผ่านหนังสือที่เราอ่าน และทำให้เราเริ่มมีมุมมองต่อผู้คนที่เปิดกว้างมากขึ้น เราเริ่มมองว่า ถ้าเขาทำแบบนี้ อาจเป็นเพราะว่าเขาเคยผ่านอะไรมา มันทำให้เราเลือกที่จะไม่ตัดสินใครจากสิ่งที่เห็นเท่านั้น เพราะเรารู้สึกว่ามันคงจะมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับที่เราเคยอ่านมาในหนังสือ หรือในตัวละครต่าง ๆ ก็เป็นไปได้”

 

กำจัดความกลัวในใจ แล้วจะกลายเป็นบุคคลที่เบ่งบานงดงาม

“เป็นข้อคิดที่เราได้จากอาจารย์ที่สอนการแสดง ตั้งแต่สมัยเรียนศิลปการแสดง วันนั้นหลังเลิกเรียน  อาจารย์ได้มานั่งจับเข่าคุยกัน ท่านบอกว่า หนูเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งเลย เป็นคนที่มีแมททีเรียลในชีวิตดีมาก ๆ แต่ปัญหาของหนูตอนนี้คือ หนูกำลังมีความคิดที่รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ไม่ยอมรับตัวเอง เหมือนหนูเป็นดอกกุหลาบที่กำลังรอเบ่งบาน แต่ตอนนี้ความคิดของหนูที่รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง มันเหมือนหนอนที่คอยกินไส้กุหลาบอยู่ข้างใน แล้วถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ หนูจะหมดโอกาสเบ่งบานเป็นดอกกุหลาบที่สวยงามเหมือนกับคนอื่น ๆ หนูจงรีบกำจัดตัวหนอนที่ทำลายตัวหนูอยู่ข้างในออกไป แล้วหนูจะมีโอกาสเบ่งบานได้สวยเหมือนคนอื่น มิใยว่าหนูจะเป็นดอกกุหลาบสีฟ้า หรือดอกกุหลาบสีเขียว ซึ่งมันแปลกแตกต่าง และอาจจะไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ก็ตาม แต่หนูจะสวยงาม และเบ่งบานในแบบของตัวหนูเอง โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าจะต้องเหมือนใคร สิ่งที่สำคัญที่สุด หนูต้องเริ่มจากการยอมรับในความเป็นตัวของหนูเองให้ได้ก่อน แล้วลบความคิดไม่ดีต่อตัวเองทิ้งออกไปให้หมด ข้อคิดนี้กลายเป็นจุดปลดล็อคของเรา ให้รู้ว่า การที่เราตั้งคำถามตลอดเวลาว่า ฉันแปลกกว่าคนอื่นไหม ฉันเป็นคนที่เป็นส่วนเกินของโลกใบนี้รึเปล่า ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่เลย ทั้งหมดมันอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเราเติมเต็มชีวิตด้วยตัวเราเอง และยอมรับในความเป็นตัวเองอยู่แล้ว คำถามอื่นบนโลกใบนี้ก็ไม่มีความหมายกับเรา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครสักคนมาเติมเต็มตัวเรา เราต้องมีความสุขในแบบของเราก่อน แล้วถ้าจะมีคนอื่น ๆ เข้ามาในชีวิต มันก็จะบวก ๆ กับชีวิตเราขึ้นไป

เราเคยมีความคิดว่า โลกนี้ ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง เกย์ก็จะมีคู่ของเขา หรือแม้แต่ ทอม หรือเลสเบี้ยนก็มีคู่ของเขา แล้วกะเทยคู่กับใคร แต่พอเราเริ่มเข้าใจความหลากหลายทางเพศมากขึ้น เรารู้สึกว่า เพศไม่เกี่ยวเลย มันไม่ได้มีใครจับคู่กับใครบนโลกใบนี้ ท้ายที่สุดของความสัมพันธ์คือคุณรักใคร และรู้สึกว่าใช้ชีวิตอยู่กับใครแล้วมันลงตัว มันแค่นั้นเอง”

 

 

“การรัก และให้เกียรติ ในความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง มันจะทำให้เรารู้สึกว่า โลกนี้มันโอเคกับเรา มันไม่ได้มีอะไรน่ากลัว และไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เราถูกแบ่งแยกออกมาเลย”กอล์ฟ กิตติพัทธ์

 

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1