เปิดมุมมองที่ไม่ธรรมดา ของ “ธรรมชาติ โยธาจุล” ตัวแม่เรื่องความเล่นใหญ่ เทยไทยผู้รันวงการ Tiktok

Club Pride Day Recap

เปิดมุมมองที่ไม่ธรรมดา ของ “ธรรมชาติ โยธาจุล” ตัวแม่เรื่องความเล่นใหญ่ เทยไทยผู้รันวงการ Tiktok

16 พ.ย. 2023

“ผู้ติดตามคือความรับผิดชอบของเรา เหมือนกับช่องของหนู เริ่มมาจากผู้ติดตามที่เด็กมาก หนูก็จะไม่มีคำหยาบในช่อง เพราะเรารู้สึกว่านี่คือความรับผิดชอบของช่องเรา การทำสื่อออกไป ทุกคนที่ติดตามเราจะต้องดูได้ แล้วก็ไม่เกิดโทษอะไรกับเขา”

 

ยังเป็นคลับที่รวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “ธรรมชาติ โยธาจุล” ตัวแม่เรื่องความเล่นใหญ่ เทยไทยผู้รันวงการ Tiktok ที่พร้อมจะมาเผยเคล็ดลับ แชร์มุมมอง เล่าประสบการณ์ และแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ไว้ในรายการด้วย

 

 

ย้อนวัยใส ของ ด.ช. ธรรมชาติ โยธาจุล

“หนูชื่อ ธรรมชาติ มาตั้งแต่เกิดค่ะ เคยถามพ่อว่าทำไมถึงตั้งชื่อนี้ แล้วพ่อบอกว่า ธรรมชาติจะอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งช่วงนั้นพ่อกำลังอินกับธรรมชาติ เพราะพ่อทำโครงการเกี่ยวกับต้นไม้ ก็เลยเอามาตั้งชื่อลูกว่า ธรรมชาติ

หนูเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน เรียกได้ว่าเป็นเด็กเนิร์ดคนหนึ่ง ตัดผมทรงนักเรียนถูกกฎระเบียบ ถุงเท้าครึ่งหน้าแข้ง กางเกงยาวปิดถึงช่วงถุงเท้า แต่ด้วยความที่เราเรียนก่อนอายุประมาณเกือบ 2 ปี หนูจึงได้เรียนกับเพื่อนที่โตกว่า แต่เรามีขนาดตัวที่ใหญ่กว่า เพราะฉะนั้นเพื่อน ๆ ก็จะไม่ค่อยกล้าทำอะไรเรา และจะเรียกเราว่าพี่ตลอด หนูก็เลยอยู่ในแวดวงสังคมที่มีเพื่อนคอยซัพพอร์ทตลอด

ตอนเด็กหนูไม่ได้คิดว่าตัวเองอยากจะเป็นสาวสอง หนูแค่ชอบดูพวกหนังที่เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ที่มีผ้าคลุม แล้วหนูก็เอาผ้าห่มมาทำเป็นผ้าคลุมแบบพริ้ว ๆ เล่นแบบนั้นมาตลอด ที่เห็นทุกวันนี้หนูแต่งหญิง มันมาจากช่วงที่เข้ามหาวิทยาลัย ได้เจอเพื่อน เจอสังคม เลยได้ลองทำโน่นทำนี่ แล้วพอได้ลองมาทำจริง ๆ แล้วติดใจ ก็เลยผมยาวมาตั้งแต่นั้น”

 

อาชีพในฝัน ตอนที่ฉันยังเด็ก

“เมื่อก่อนแม่เคยเล่าให้หนูฟังว่า ตอนเด็ก ๆ หนูชอบบอกแม่ตลอดว่า อยากเป็นนักบิน ซึ่งหนูจำโมเม้นท์ตรงนั้นไม่ได้แล้ว แต่โมเม้นท์ที่หนูยังจำได้ก็คือ หนูอยากทำอาชีพ อินฟลูเอนเซอร์ ความคิดนี้มันเริ่มเข้ามาตอนช่วงที่หนูอยู่ ม.ต้น ย่าง ม.ปลายพอดี แล้วรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก อยากทำคอนเทนต์แค่ไหน ก็ทำแค่นั้น แล้วก็มีเงินมีรายได้ พอช่วง ม.ปลาย หนูได้ไปงาน Open House บ่อย ๆ แล้วได้เริ่มเห็นว่าอาชีพสจ๊วต เป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก มันเลยกลายเป็นสองอาชีพในหัวที่เราอยากทำ แต่ก่อนหนูเคยลดน้ำหนักจาก 120 กิโลกรัม เหลือประมาณ 70 กิโลกรัม เพื่อไปสอบสัมภาษณ์สจ๊วต ซึ่งก็ทำได้ แล้วก็ได้ทุนเรียนต่อ แต่ว่าสุดท้าย หนูก็รู้สึกว่าอาชีพที่มันกำลังมา ณ ยุคนี้ ก็ต้องให้อาชีพที่ทำงานเกี่ยวกับออนไลน์จริง ๆ หนูก็เลยเลือกมาสาย Youtuber และ Tiktoker

พอเข้ามหาวิทยาลัย หนูสอบชิงทุนมาได้ ได้เรียนฟรี 4 ปี แล้วก็เข้าไปแข่งขันโปรเจคที่ 2 และถือเป็นโปรเจคที่เปิดโลกหนูมาก ก็คือแข่งขันชิงทุนไปสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาดูงาน 10 วัน แล้วปรากฎว่าได้ทุนขึ้นมาอีก แล้วก็ได้ลองโปรเจคที่ 3 คือไปทำหนังโฆษณาแข่งกับเพื่อน ก็ได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ หลังจากนั้นเวลาให้สัมภาษณ์ที่ไหน หนูก็จะบอกตลอดว่า อาชีพก่อนที่จะมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ หนูทำอาชีพนักล่ารางวัล หนูเป็นคนที่เวลาอยากจะทำอะไร จะพยายามศึกษา อยากไปเป็นสจ๊วตก็พยายามศึกษา และ ลดน้ำหนัก อยากเรียนนิเทศศาสตร์ หรือว่าอยากทำสื่อออนไลน์ หนูก็พยายามศึกษาเรื่องการตัดคลิป และการเล่าเรื่อง ซึ่งพอเรามีอาวุธพร้อมใช้ เวลาลงสนามจริง หนูก็สามารถหยิบมาใช้ได้เลย

แต่ในทุกการแข่งขัน ความผิดหวังมันเป็นเรื่องปกติ แต่เวลาผิดหวังหนูก็เศร้าอยู่ไม่เกิน 1 วัน เพราะสุดท้ายมันก็ต้องไปต่ออยู่ดี หนูก็จะพยายามหาอะไรใหม่ ๆ มาทำแทน แล้วเวลาที่หนูอยู่นิ่ง ๆ จะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามาก ๆ หนูเลยจะต้องพยายามหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา ช่วงนั้นกลายเป็นช่วงที่หนูส่งคลิปประกวดเกือบทุกวัน เดือนนึงส่งประมาณ 20 งานเลยค่ะ”

 

 

เปิดเคล็ด(ไม่)ลับ ทำคอนเทนต์อย่างไร ให้โดนใจคนดู

“พอหนูเข้ามาเรียนคณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อสารแบรนด์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หนูได้เข้าใจหลักการวิเคราะห์ของแบรนด์ว่า โจทย์นี้ที่เค้าตั้งขึ้นมาต้องการอะไร ดีเอ็นเอของแบรนด์เป็นยังไง เราก็จะสามารถวิเคราะห์ได้ว่า เค้าต้องการคลิปแบบไหน จากนั้นหนูก็เอาสิ่งที่ได้เรียนมาปรับใช้กับช่องตัวเอง

ช่วงแรกเริ่ม หนูทำช่องเกี่ยวกับเด็ก เพราะรู้ว่าการทำช่องเกี่ยวกับเด็กมันจะโตไว พอทำไปได้สักพัก เรารู้สึกว่าช่องเด็กโตไวก็จริง แต่ว่าลูกค้าก็จะเข้าไม่ได้ หนูก็จะมีการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบคอนเทนต์ หรือเพิ่มรูปแบบคอนเทนต์ให้มากขึ้น อย่างงานอะไรที่เรายังรับไม่ได้เพราะเกี่ยวกับผู้สูงวัย หนูก็เปิดช่องให้แม่ ส่วนงานที่มันดูแมน ๆ หน่อย หนูก็เปิดช่องให้น้อง เพื่อให้เครือข่ายของเราสามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด

สำหรับคลิปที่คนจำได้มากที่สุด จะเป็นคลิปเกี่ยวกับการทำการทดลอง ดูจากยอดวิว มันรวมกัน 20-30 ล้านวิว น้อง ๆ เด็ก ๆ เค้าก็จะจำหนูได้ เวลาเจอก็จะทักกันบ่อย แต่คลิปที่ช่วงนี้กำลังมีคนดูมากขึ้น คือคลิปเกี่ยวกับเล็บของหนูเองค่ะ

จุดเด่น ที่กลายเป็นไวรัลของหนูคือคำว่า คุณผู้ชม ตอนเปิดคลิป ด้วยความที่หนูเรียนมา อาจารย์ก็จะบอกเสมอว่า ต้องทำไงก็ได้ให้คนจำ แล้ว Tiktok เป็นแพลตฟอร์มที่คนดูจะปัดทิ้งได้ใน 3 วินาทีแรก หากคลิปไม่น่าสนใจ หนูก็เลยพยายามทำให้คนดูยังจำเราได้ ด้วยคาแรกเตอร์หน้าเต็มละ เสียงดังละ คำพูดต้องติดปากด้วย ช่วงแรก ๆ เวลาเลื่อนผ่านช่องหนู ก็จะเป็น คุณผู้ชม คุณผู้ชม คุณผู้ชม คนดูก็จะจำได้ว่า พี่คนนี้ที่พูดว่าคุณผู้ชม กลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของช่อง หนูว่าความสนใจในการดูคลิปในปัจจุบัน น่าจะแค่วินาทีเดียวด้วยซ้ำ ทุกวันนี้หนูรู้สึกว่า คนข้อนิ้วโป้งขึ้นกล้ามได้แล้ว เพราะว่าปัดทิ้งคลิปไวมาก ดังนั้นเราต้องหยุดเขาด้วยรูปลักษณ์ภายนอกก่อน แล้วเราค่อยไปมัดใจเขาด้วยคอนเทนต์ข้างในของเราอีกที

ในตอนแรกหนูทำ Youtube มาก่อนประมาณ 5-6 ปี มีผู้ติดตามประมาณ 2,000 คน พอมา Tiktok ก็เริ่มจับทางถูก กลายเป็น 3 เดือนได้ประมาณ 1 ล้านผู้ติดตาม แล้วช่วงนั้นมันทำให้หนูขยันลงคลิป วันละ 10 คลิปเลย แล้วช่วงแรกวิธีทำคลิปของหนู คือ ถ่ายคลิปแบบพูดอย่างเดียว ไม่มีการตัดต่ออะไรมากมาย ขอแค่เลือกคอนเทนต์ให้โดนใจเด็ก ๆ แล้วก็โพสเลย คลิปไหนวิวดีเก็บเอาไว้ คลิปไหนวิวไม่ดีก็ซ่อน”

 

 

ความแตกต่างระหว่าง Tiktok กับแพลตฟอร์มอื่น ๆ

“หนูรู้สึกว่า แพลตฟอร์มอื่นมันต้องยึดหลัก search engine มันต้องระบุว่าอยากดูคลิปอะไร ประเภทไหน คนประเภทไหน ช่องอะไร เราต้องเสิร์ชหา แต่ใน Tiktok ผู้ติดตาม หรือคลิปที่เด้งขึ้นมาหน้าฟีด มันจะขึ้นตามอัลกอลิทึ่ม เค้าจะวิเคราห์ว่าคลิปที่เราคลิกดู หมายความว่าเราสนใจหมวดหมู่คลิปแบบไหน แล้วคนที่ทำคลิปในหมวดหมู่นั้น ๆ เค้าจะไปขึ้นฟีด ของคนที่กดสนใจ เพราะฉะนั้น จากคนที่มีผู้ติดตามเป็นศูนย์ ก็มีโอกาสดังเปรี้ยงได้ แล้วมีการแชร์ต่อ อย่างถ้าคนดูมีปฏิกิริยากับคลิปเราไม่ว่าจะ กดไลค์ หรือกดแชร์ ก็จะเกิดการส่งต่อ กลายเป็น 10 วิว เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนวิว คลิปก็เลยโตไว

พอคลิปโตได้ไวมันจะสร้างรายได้ อย่างช่วง Youtube แรก ๆ หนูจะได้เงินจากการแข่งขัน หรือชิงรางวัล แล้วพอมา Tiktok ช่วงแรก ๆ ก็เก็บเล็กเก็บน้อย เดือนละไม่กี่พัน ซึ่งรายได้มาจากที่เราเล่น Tiktok เราก็จะมีรุ่นพี่ที่เรียนนิเทศศาสตร์ เค้าก็จะมีงานที่ส่งมาให้ว่าลองทำดูไหม ก็เริ่มทำคลิปรีวิวสินค้า เก็บเล็กเก็บน้อย จนเราเริ่มรู้จักพี่ ๆ ในวงการมากขึ้น ก็ได้โอกาสมากขึ้น สร้างรายได้มากขึ้น

มุมมองของหนู หนูว่าการตลาดในโซเชียลยังไปต่อได้อีกหลายปี เพราะหนูยังไม่เห็นนวัตกรรมอะไรที่จะมาแทนมือถือ แต่อาจจะมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น AI หรือระบบต่าง ๆ แต่หนูรู้สึกว่า ยังไงการดูคลิปออนไลน์มันก็ต้องใช้ Emotion อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่าการตลาดออนไลน์จะยังอยู่ได้อีกหลายปีค่ะ”

 

 

ที่ชอบทำเล็บยาว เพราะ...

“คือหนูเป็นคนที่ชอบซุปเปอร์ฮีโร่ กับสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว การทำเล็บยาว มันคือสิ่งที่หนูทำอยู่แล้ว ซึ่งแรก ๆ หนูไม่ได้ทำยาวขนาดนี้ แต่พอต้องมาทำคอนเทนต์ออนไลน์ไปเรื่อย ๆ หนูเลยมาตกตะกอนช่วงหลัง ๆ ว่า คนที่จะชอบแล้วติดตามกันในชีวิตประจำวัน มันมีประสาทสัมผัสทั้ง 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่พอมาอยู่หน้าจอ มันจะมีแค่ภาพกับเสียง เพราะฉะนั้นหนูก็คิดว่าทำยังไงให้ภาพกับเสียงของเราสามารถหยุดคนดูได้ แล้วพอเราเล็บยาว มันกลายเป็นภาพที่สามารถหยุดคนดูให้สนใจคลิปเราได้ แล้วหนูก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ ด้วยความที่หนูมีแม่คอยช่วยเรื่องงานบ้าน ก็เลยสามารถทำอย่างอื่นได้ปกติทุกอย่าง มีอยู่แค่บางอย่างที่ลำบากหน่อย เช่น หยิบบัตรเอทีเอ็ม แต่ยุคนี้เค้าก็ไม่ค่อยใช้บัตรเอทีเอ็มแล้ว และสามารถกดเงินผ่านแอพได้ ก็เลยไม่ใช่ปัญหาใหญ่  หรืออย่าง หยิบเข็ม ร้อยด้าย ก็จะลำบากหน่อย แล้วเวลาหนูทำเหรียญตก หนูจะให้โอกาส 3 ครั้ง ถ้าก้มไปหยิบแล้ว 3 ครั้ง หยิบไม่ได้ ก็ไม่เก็บละ คือเราเป็นคนอ้วน เวลาก้มมากก็ไม่ได้เพราะกลัวหน้ามืด เราก็เลยให้โอกาส 3 ครั้ง ส่วนการแต่งหน้าไม่ได้มีปัญหาเลย หนูแต่งเองได้ ซึ่งคนที่ไม่เคยทำเล็บยาวขนาดนี้ก็จะคิดว่ามันคืออุปสรรค แต่หนูต่อเล็บแบบนี้มา 5 ปีแล้ว เลยรู้สึกว่าชินแล้ว

เวลาหนูทำเล็บครั้งหนึ่ง จะใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมง ซึ่งยังไม่รวมแบบเพ้นท์ลาย แต่ถ้าเพิ่มลายเต็มเล็บ ก็น่าจะ 40-50 ชั่วโมง โดยหนูจะเรียกช่างมาทำที่บ้าน เค้าจะรู้แล้วว่าถ้า ธรรมชาติ มาใช้บริการ คือต้องหายไปเลย 2 วัน ส่วนปัญหาเล็บหัก เล็บพัง มีบ้างบางครั้ง อย่างที่หนูเคยต่อเป็นกรงเล็บเวลาเปิดปิดประตูแล้วโดนหนีบแล้วเล็บหักบ้างก็มี แต่ว่าหนูไม่เคยเล็บฉีกแบบเข้าเนื้อเล็บ แบบนั้นไม่เคยเป็นเลยค่ะ”

 

 

โลกออนไลน์ ที่มาพร้อมกับคำบูลลี่

“ต้องบอกว่าทั้งชีวิตหนูไม่เคยโดนบูลลี่เลย ตอนที่เรียนก็มีเพื่อนที่น่ารักมาก แต่พอเข้ามาในสื่อออนไลน์ หนูก็เพิ่งเคยโดนบูลลี่ ครั้งแรก ๆ คือ เมื่อก่อนนอกจากหนูจะทำเล็บแล้ว ก็จะถักผมด้วย แล้วเวลาทำ คนก็จะมาคอมเมนต์ว่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ทำแล้วดูสกปรก คือทำเล็บไปด้วย ทำผมไปด้วย ซึ่งเวลาเราเรียกช่างมาทำ ก็จะมีคนหนึ่งทำเล็บ คนหนึ่งทำผม แล้วพอคนมาบอกว่า ทำเล็บออกมาไม่ได้น่าดูเลย หนูรู้สึกว่ามันคือการบูลลี่ ซึ่งตอนแรกหนูไม่เครียดนะ แต่พอทุกคนเห็นพ้องต้องกันในคลิปเดียวกัน หนูรู้สึกว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วสิ่งที่เราทำมันคือความชอบ ไม่ได้เดือดร้อนใคร แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนดูเดือดร้อนสายตา แล้วมันทำให้หนูเฟลไปประมาณเดือนกว่า ๆ เลย  ช่วงนั้นหนูลงคลิปน้อยมาก แล้วก็เลิกถักผมไปเลย จนถึงตอนนี้หนูก็ยังไม่กลับไปถักผมอีกเลย

แล้วเวลาโดนบูลลี่ หนูจะเข้าไปในห้อง ปิดไฟ ร้องไห้สักคืนนึง ให้มันรู้สึกว่าโอเคดีขึ้น แล้วหนูต้องฟังเพลงร็อค ที่มันไม่ดิ่งเกิน เพราะถ้าฟังเพลงเศร้าแล้วเราจะดิ่งเกิน ฟังไปร้องไห้ไป ฮีลตัวเองไปให้มันพอโยก ๆ ได้ ร้องเสร็จเฮือกเดียวเท่านั้นก็จะหาย แล้วนัดเพื่อนไปกินชาบูต่อ เพราะชีวิตมันต้องเดินหน้าต่อค่ะ”

 

 

จาก Tiktoker สุดจึ้ง สู่เซเลบริตี้สุดปัง

“เมื่อก่อนหนูไม่กล้าไปออกงานเลย เวลามีคนติดต่อไปออกงานเรามักจะปฏิเสธ แต่พอหลัง ๆ ได้ลองไปออกงาน แล้วได้เห็นว่าเวลาทำงานทุกคนน่ารัก หนูก็รู้สึกว่าต้องเริ่มแล้ว เวลาออกงาน ลูกค้าก็จะรีเควสชุดใหญ่ ชุดโต แบบอลังการเสมอ ซึ่งหนูจะแต่งตัวโดยยึดตามคอนเซ็ปต์งาน แล้วมาดูว่าที่บ้านเรามีชุดพร้อมไหม ถ้าไม่พร้อมก็จะมีช่างตัดชุดประจำ

ซึ่งความอลังการของชุด บางครั้งมันก็ลำบากนะคะ อย่างช่วงขบวน pride month หนูเคยตัดชุดลากพื้นยาว 5 เมตร แล้วเป็นแบบชุดที่ไม่เคยใส่มาก่อน แล้วเวลามาลองใส่วันงานจริง ชุดมันไม่เข้าร่างเลย ซึ่งวันนั้นต้องวิ่งงานประมาณ 3-4 ที่ ต้องหอบชุดขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ หอบชุดเดิน แล้วพอถึงงาน หนูเป็นลมกลางถนนไปเลย โชคดีที่วันนั้น พี่หมอเจี๊ยบ เดินเข้ามาช่วยพอดีเลย ขอบคุณนะคะ

ซึ่งการลงทุนกับการแต่งตัวแต่ละครั้ง ถ้าตัดชุดใหม่แบบใหญ่อลังการเลย ราคาก็ประมาณ 3-4 หมื่นบาทต่อครั้ง แล้วปกติหนูจะเป็นคนแต่งตัวแต่งหน้าเร็วมาก ประมาณ 20 นาทีเสร็จ แต่เท่าที่เคยแต่งนานที่สุด คือช่วงแรก ๆ ที่ไม่รู้ว่าลำดับขั้นตอนเป็นยังไง ก็ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ต้องนัดช่างหน้าเวลานึง ช่างผมเวลานึง ช่างชุดเวลานึง กว่าจะได้ออกไปทำงานมันนานมาก ช่วงหลัง ๆ หนูก็เลยพยายามให้ช่างตัดชุดแบบตัดแยกท่อนบนกับท่อนล่าง เผื่อนำไปใช้กับชุดอื่น แต่ถ้าเป็นชุดที่ใหญ่โตมาก ๆ เวลาน้อง ๆ ทักมาขอไปเดินงานกีฬาสี หนูก็ให้เลย เพราะยังไงเราก็ใส่ต่อรอบ 2 ไม่ได้แล้ว”

 

 

กว่าจะได้เป็นตัวเอง และแฮปปี้กับสิ่งที่ตังเองเลือก

“ด้วยความที่พ่อหนูเป็นกำนัน และเคยเป็นทหารด้วย เค้าก็จะคอยสอนหนูว่า เป็นลูกกำนันลูกทหารต้องแมนสิ แล้วตอนเด็ก ๆ หนูก็ไม่ได้มีความคิดจะแต่งหญิงอยู่แล้ว แต่มันก็จะมีความตุ้งติ้งหน่อย ๆ ซึ่งหนูก็พยายามปิดบังที่บ้านเพราะไม่อยากให้เค้ารู้สึกผิดหวัง ณ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่า การเป็น LGBTQ+ พ่อแม่ต้องไม่ชอบแน่เลย จนเข้ามหาวิทยาลัยเราถึงจะได้เป็นตัวเอง ซึ่งคนในครอบครัวที่เคร่งจัด ๆ หนูคิดว่าเป็นพ่อ แล้วพ่อเสียชีวิตช่วงเข้ามหาวิทยาลัย พอพ่อเสีย หนูก็รู้สึกว่าคงไม่มีคนคอยเพ่งเล็ง และได้คลายความกังวลลง และยิ่งได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนที่คอยเชียร์อัพ มันเลยเปิดโอกาสให้เราได้เป็นตัวเองมากขึ้น จนเราทำงานหาเงินได้ ก็เริ่มใส่วิก ซึ่งแม่ก็คอยดูอยู่ห่าง ๆ จนทุกนี้เราแต่งหญิง เดินร่อนไปร่อนมาในบ้าน แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

ล่าสุดหนูได้ทำคลิปกับแม่ แล้วถามว่า แม่รู้ว่าหนูไม่ใช่ผู้ชายตอนไหน สิ่งที่แม่ตอบมาทำให้หนูร้องอ้าว เพราะแม่บอกว่ารู้ตั้งแต่อนุบาล แต่แม่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น เพราะยังไงชีวิตก็เป็นของลูก ลูกเลือกทางเดินเองได้ และก็ขอให้รักษาชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด ณ ตอนนั้นหนูรู้สึกโชคดีมาก ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อก็อาจจะรับไม่ได้ขนาดนี้ แต่หนูก็อยากรู้ว่าพ่อมีความรู้สึกยังไงในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ หนูก็เลยติดต่อกับหมอดูให้คุยกับพ่อว่า พ่อรู้สึกยังไง หมอดูก็บอกว่า พ่อก็รู้ตั้งนานแล้ว พ่อก็ไม่ได้รู้สึกว่าโกรธเหมือนที่หนูคิด และพ่อก็บอกว่าใช้ชีวิตให้ดีก็แล้วกัน ณ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าแฮปปี้ละ มันเหมือนการทลายกำแพงทุกอย่างที่หนูเคยมี จากที่เคยคิดว่าจะเป็นหญิงดี หรือว่าเป็นชายดี กำแพงนั้นมันทลายลงทั้งหมด จนทุกวันนี้หนูไม่ได้ระบุเพศตัวเองแล้ว แค่เราแฮปปี้ในรูปแบบนี้ แล้วก็ทำแบบนี้ต่อไป”

 

เปิดวิธีการค้นหาตัวเอง ของ ธรรมชาติ

“เมื่อก่อนหนูชอบทำคลิปมาก และคิดว่านี่แหละคือทางที่ใช่ แต่พอมาทำงานจริง ๆ อาจจะรู้สึกว่าบางอย่างมันอาจจะไม่ใช่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วหนูจะต้องแยกให้ได้ว่าเรื่องนี้ทำเพื่องาน กับทำเพื่อความสุข บางครั้งเราทำสิ่งนี้อาจจะไม่ใช่ทางของเราเอง แต่ถ้าเกิดทำแล้วมันได้เงิน เราทำไปก่อน เพื่อหาเงินไปซื้อความสุขอย่างอื่น หนูรู้สึกว่ามันทดแทนกันได้

ส่วนคนที่อยากทำคอนเทนต์ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง หนูจะบอกตลอดว่า ให้เริ่มจากสำรวจตัวเองว่าชอบดูช่องเกี่ยวกับอะไร อย่างเช่น ชอบดูคลิปกิน เราก็ยึดคอนเทนต์นั้นเป็นหลักไปเลย ว่าคอนเทนต์หลักของเราคือการกิน แล้วเราก็ไปเล่นกับกระแสที่กำลังมา อย่างเช่น เวลามีกระแสนางงามมา ถ้าเราเป็นช่องกิน เราอาจจะไม่ได้ไปเล่าเรื่องนางงามเลยโดยตรง แต่เราอาจจะเล่าในเรื่องเมนูที่ แอนโทเนีย โพซิ้ว กินก่อนขึ้นขึ้นเวที หรือเรื่องเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชุดประจำชาติในปีนี้ ประยุกต์และจับเล่นให้ได้ แล้วก็ทำให้เร็ว”

 

 

ผู้ติดตาม คือความรับผิดชอบของครีเอเตอร์

“ในอนาคตหนูอยากทำคอนเทนต์ให้ความรู้ และข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพราะหนูรู้สึกว่าเราให้ความบันเทิงมามากพอสมควร แล้วก็อยากจะให้อะไรที่เป็นข้อมูลความรู้เพิ่มเติมบ้าง ที่คิด ๆ ไว้ น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชีพของ LGBTQ+ เพื่อให้น้อง ๆ ที่ดูคลิปนำไปปรับใช้ในชีวิต อย่างเช่น ช่างทำวิก ช่างทำชุด ช่างเล็บ ช่างเครื่องประดับ พยายามให้คนดูได้เห็นมุมมองของช่างเหล่านี้ ตอนนี้ก็มีการเก็บเบื้องหลัง และสร้างคอมมูนิตี้นี้อยู่

แล้วหนูรู้สึกว่า การมีคนข้างตัวที่ดี คอยแนะนำ ให้คำปรึกษา มันดีมาก ๆ เพราะว่าบางครั้ง การทำคอนเทนต์ในช่อง หนูก็ไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวตลอด บางครั้งก็ต้องถามเพื่อนที่เป็นผู้จัดการว่า ทำอันนี้ดีไหม ต้องปรับตรงไหนรึเปล่า ซึ่งการถามคนรอบข้าง บางครั้งก็ได้มุมมองที่มากกว่ามุมมองของเราคนเดียว และอาจจะช่วยคัดกรองได้ในเบื้องต้น เพราะสุดท้ายแล้ว เวลาทำคลิปออกมา ความรับผิดชอบทุกอย่างที่คิดออกไปมันมาจากเรา จึงต้องไตร่ตรองให้ดี หลาย ๆ ชั้น

แล้วยิ่งใครที่เป็นครีเอเตอร์ ผู้ติดตาม คือความรับผิดชอบของเรา เหมือนช่องหนู เริ่มจากมีผู้ติดตามที่เด็กมาก หนูก็จะไม่มีคำหยาบในช่อง เพราะนี่คือความรับผิดชอบของช่องเรา การที่แบบทำสื่อออกไป ทุกคนที่ติดตามเราจะต้องดูได้ แล้วก็ไม่เกิดโทษอะไรกับเขา

ทุกวันนี้ความภูมิใจของหนู คือ การได้ทำให้แม่อยู่สบาย พอพ่อเสียชีวิตไป เราก็กลายเป็นเสาหลัก การที่ได้ทำให้แม่ และน้องได้อยู่สบาย แล้วก็ได้ทำงานที่ไม่รู้สึกกดดันกับตัวเองมากเกินไป ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี มีเพื่อนที่ดี เป็นอะไรที่สดใส แล้วก็แฮปปี้ในทุกวัน”

 

 

ต้องอยู่ต่อไป จะได้พิสูจน์ว่าหมอดูแม่นจริง

“ล่าสุดหนูไปดูดวงมา หมอดูบอกว่า น้องธรรมชาติ โฟกัสงานไปเลย ไม่มีใครจะมาสนใจใยดีหนู หนูจะมีคู่ครอง(แล้วหมอดูเปิดไพ่) หลังอายุ 70 ค่ะ หนูก็บอกว่า โอเคค่ะ ขอบคุณค่ะ ซึ่งหมอดูจะแม่นไหม หน้าที่ของเราคือ อยู่ต่อไปให้ถึงอายุ 70 ปี เพื่อพิสูจน์ว่าหมอดูแม่นไหม ขอบคุณค่ะ” - ธรรมชาติ โยธาจุล

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1