เปิดชีวิตของผู้สร้างสรรค์ความสนุก “โอ๋ ฐิติพันธ์” จากผู้กำกับหนังอินดี้ สู่มาดามฟันนี่สุดฮา

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตของผู้สร้างสรรค์ความสนุก “โอ๋ ฐิติพันธ์” จากผู้กำกับหนังอินดี้ สู่มาดามฟันนี่สุดฮา

09 พ.ย. 2023

“อย่าให้คำว่า เพศสภาพ มาเป็นตัวกำหนดชีวิตเรา เพราะศักยภาพมันไม่มีขีดจำกัด ถ้าเห็นโอกาส ไปต่ออย่าหยุด ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ สู้ต่อไปค่ะ”

 

ยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย ส่งมอบแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดสีในชีวิตของเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดสร้างสรรค์ “โอ๋ ฐิติพันธ์” จากผู้กำกับหนังอินดี้ สู่มาดามฟันนี่สุดฮา ผู้สร้างตำนานโคฟเวอร์ ส.ส.ปารีณา จนโด่งดังในชั่วข้ามคืน ที่ได้มาแชร์เส้นทางชีวิต พร้อมส่งต่อข้อคิด และแรงบันดาลใจดี ๆ ไว้ในรายการ

 

 

ย้อนวัยเด็ก ก่อนจะมาเป็นมาดามฟันนี่

“เราเกิดที่จังหวัดพิษณุโลก และเกิดในยุคที่คนเป็นกะเทยถูกบูลลี่ ถูกทำร้ายร่างกาย เหมือนกะเทยเป็นตัวประหลาดในสังคม ทำให้เราโตมากับความรู้สึกที่ไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง เราไม่ใช่ผู้ชาย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากเป็นผู้หญิง แต่ยูนิฟอร์มคำว่าผู้ชายมันทำให้เราต้องใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่น ที่หวังให้เราต้องรับราชการ ไปสอบทหารตำรวจ เพราะมีบำเหน็จบำนาญ ไม่อย่างนั้นโตมาจะไม่มีใครเลี้ยง และเราก็ไม่สามารถจะออกนอกกรอบนั้นได้

จนกระทั่งเราแอบไปเล่นละคร ชายไม่จริงหญิงแท้ เป็นเวอร์ชั่นแรกที่ พี่แหม่ม คัทลียา แมคอินทอช เล่น แล้วมันจะมีตัวละคร 2 ตัว ที่เป็นกะเทยแต่งหญิงและจะต้องคอยกันซีนนางเอก ซึ่งเราคิดว่าคงเป็นแค่ตัวประกอบ แต่กลับไม่ใช่ มันเป็นตัวละครหลัก แล้วตอนนั้นจะมีนิตยสารที่สรุปเรื่องย่อละคร ที่มีรูปเราแต่งหญิงอยู่บนหน้าปก มีชื่อเราด้วย การไปเล่นละครครั้งนั้น เราไม่ได้บอกพ่อกับแม่ เพราะคิดว่าเค้าคงไม่ดูหรอก แล้วบทก็คงจะไม่เยอะหรอก ปรากฏว่า ก่อนที่ละครจะออกอากาศ มีญาติเราไปซื้อนิตยสารเพราะเห็นรูปเรา แล้วทุกคนในครอบครัวก็รู้ว่าเรามาเล่นละครเรื่องนี้ ด้วยความที่เราต้องแต่งหญิง เล่นละครออกทีวี เพราะฉะนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ก็จะได้รับคำถามจากคนรอบข้าง เช่น ลูกเป็นกะเทยเหรอ แต่งหญิงแล้วเหรอ แต่ว่าคุณพ่อก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับตรงนั้นเลย ท่านก็จะเงียบแล้วก็รอดู แล้วก็อัดวีดีโอ กลายเป็นว่าพ่อภูมิใจ และนั่นเป็นครั้งแรกเลยที่เรารู้สึกว่าตัวเองแหกกฎในชีวิต”

 

 

มาดามฟันนี่ กับการถูกบูลลี่ ที่กลายเป็นแผลฝังอยู่ในใจ

“น้อง ๆ ในยุคนี้อาจจะนึกภาพไม่ออก แต่ในยุคของเรา ต้องเจอกับการตื่นไปโรงเรียนแล้วถูกล้อว่า อีตุ๊ด อีกะเทย หรืออยู่ดี ๆ ก็มีเด็กผู้ชายกระโดดเข้ามาดึงตัวเรา ไปรุมละเมิด หรือทำร้ายร่างกายเรา ทั้ง ๆ ที่เราอยู่ในบ้านตัวเอง ซึ่งตอนนั้นเราไม่สามารถพูดกับใครได้ แม้กระทั่งคุณครูตอนสมัยประถม เค้าก็มีอคติกับเรา

ลองคิดดูว่า เด็กอนุบาล 1 ตัวเล็กแค่ไหน แล้วการไปโรงเรียนวันแรก ต้องซ่อนอยู่หลังต้นเข็ม เพื่อมองดูนักเรียนชายกับนักเรียนหญิงเล่นกัน แล้วก็ต้องสงสัยกับตัวเองว่าเราจะวิ่งไปเล่นกับใคร มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการที่เราจะเข้าสังคม และเราถูกบูลลี่ ถูกทำร้ายมาเรื่อย ๆ หนักสุดเลย ก็คงเป็นตอน ป.5 ที่คุณครูให้ทุกคนทำการบ้าน คัดลายมือให้สวย แล้วก็เอามาส่ง ใครเขียนไม่สวยจะตี ซึ่งในตอนนั้นเราเป็นคนที่ลายมือสวยที่สุดในห้อง เขียนเสร็จคนแรก พอไปส่งคุณครูก็บอกว่าเอามือมา แล้วก็ไปหยิบไม้มาตีมือเรา เราร้องไห้ ในขณะที่เพื่อน ๆ ในห้องก็กลัว เพราะพวกเค้ารู้ว่าเราลายมือสวยที่สุดในห้อง ทำไมเราถึงโดนตี แล้วคนอื่นจะต้องโดนตีแน่ ๆ แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครโดนเลย มีแค่เราโดนอยู่คนเดียว วันต่อมาเราก็เขียนใหม่ ตั้งใจว่าวันนี้เราต้องไม่โดน แต่ก็โดนอีก โดนอยู่ประมาณ 3 วัน ณ ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเหตุผลเป็นเพราะอะไร ไม่เข้าใจเลย ขนาดแม่เอาข้าวกล่องมาส่งให้ เค้ายืนรอแล้วเห็นเราร้องไห้ ก็เดินมาถามว่าเป็นอะไร แต่เราก็ไม่เคยเล่าเลย เพราะรู้สึกว่าเราคือคนผิด เรายังเขียนไม่สวย แต่เรามานั่งตกตะกอนดูแล้วมันไม่เหตุผลเลย ต่อให้ฉันเขียนไม่สวย เธอก็ไม่ควรตีฉัน

จากนั้นเราก็สอนตัวเองมาตั้งแต่เด็ก จำมาว่าเราเกิดมาผิดต้องยอมรับ มันก็เลยกดทับความคิดมาตั้งแต่ตอนนั้น เพื่อน คือผู้ที่ทำให้เราก้าวผ่านการถูกบูลลี่เหล่านั้นมาได้ เพราะตอน ม.ปลาย จะเป็นช่วงที่เพื่อนกะเทยด้วยกันจะจูนเข้าหากัน การมีเพื่อนมันเหมือนมีเซฟโซน ทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่แตกต่าง เราก็เลยก้าวผ่านมาได้ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้มันยากมาก เพราะมันเหมือนบาดแผลที่ถูกกดทับมาตลอด”

 

 

รักแท้...แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

“พอโตขึ้น การถูกบูลลี่มันเบาลง เราเริ่มมีอิสระในชีวิต แล้วมันเหมือนระเบิด ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจอนาคต เราใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง ปาร์ตี้หนัก อยากเรียนรู้เรื่องความรัก อยากเรียนรู้เรื่องเซ็กซ์ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคืออยากจะมีแฟน

ตอน ม.ต้น มีผู้ชายมาจีบ แล้วการจีบยุคนั้นคือ เค้าบอกเราว่า ฉันจะขอเพลงให้เธอนะ เธอเปิดฟังนะ 3 ทุ่ม คลื่นนี้ เราก็รอฟัง ปรากฏว่าเพลงที่ดีเจเปิดเป็น เพลงรักล้นใจ ของ พี่ปั่น จุดนั้นมันเหมือนกับซีรี่ส์วายเลย แล้วเราก็รู้สึกว่าความรักครั้งนั้นมันสวยงามเหลือเกิน แต่เค้าก็ต้องบอกเลิกกับเรา เพราะว่าที่บ้านเค้าเริ่มสังเกต และไม่ได้ยอมรับ สุดท้ายเราก็ต้องเลิกกันไป จนเค้าอายุเกือบจะ 50 ปี เค้าหย่ากับภรรยา มาใช้ชีวิตคนเดียว แล้วกลับมาหาเรา บอกว่าฉันขอกลับเป็นแฟนเธอได้ไหม กลายเป็นว่า เราเข้าใจผิดมาตลอดว่าเค้าคงไม่ได้รักเรา แต่จริง ๆ แล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเค้าไม่เคยลืมเราได้เลย ซึ่งความรักครั้งนั้น มันคือความรักที่ดีที่สุดของเรา แต่ ณ วันที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง กลายเป็นว่าความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว ภาพในวันนั้น มันไม่ใช่เค้าในวันนี้ เราก็เลยรู้สึกว่า มันก็มีบางอย่างที่ย้อนกลับไปไม่ได้จริง ๆ แต่ก็บอกตัวเองทุกวันว่า อย่างน้อยก็ยังได้เจอความรักที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต”

 

 

มาดามฟันนี่ กับช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด

“ช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด คือตอนอยู่ต่างประเทศ มันเป็นช่วงเวลาที่ใช้คำว่า อิสรภาพ ได้ฟุ่มเฟือยมาก ในตอนที่เราเรียนจบ ก็มีโอกาสคิดว่าเราจะทำอาชีพอะไรดี ซึ่งเราก็ไม่เคยคิดเลย เราคิดอย่างเดียวอยากจะมีแฟน มีคนรักที่ปัง แล้วเราก็รู้สึกว่า คนไทยไม่ได้ละ ฉันต้องลองตลาดต่างประเทศ ซึ่งช่วงนั้นมันก็มีเว็บไซต์ เราก็เลยไปโพสต์ อยู่ดี ๆ ก็มีชาวต่างประเทศทักมา เราคุยกันไปสักพักนึง เค้าก็บินมาเจอเราที่เมืองไทย และพาเราบินไปที่ต่างประเทศเลย นั่นเป็นการบินต่างประเทศครั้งแรก ไปอยู่ก็กะว่าจะไปเรียนภาษา ไปตายเอาดาบหน้า ตอนนั้นอายุแค่ 25 ปี เราบอกกับครอบครัวว่าจะไปต่างประเทศ ไปเรียนภาษา ครอบครัวก็ให้ไป

ชาวต่างประเทศคนที่พาเราไป เค้าอายุประมาณ 50 ปี แล้วเค้าทำงานตอนกลางคืน ซึ่งช่วงกลางวันเราก็จะต้องออกไปเรียน ไปทำงาน เค้าก็จะนอน พอเรากลับบ้านมาก็จะเจอกัน แล้วพอเราทำกับข้าวให้เค้าทานเสร็จเค้าก็ไปทำงาน ชีวิตก็เป็นแบบนั้น ซึ่งปีแรกมันพอจะไปกันได้ แต่หลังจากนั้นมันเริ่มส่อแววไปไม่ไหว ด้วยความที่อายุต่างกันมาก แล้วอยู่ดี ๆ เค้าก็พูดขึ้นมาว่า เราคบกันแบบไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม มันเกิดเป็นช่องว่างระหว่างวัย จนกลายเป็นสาเหตุที่เรารู้สึกว่า เราต้องเลิกกับคนนี้ ก็ตัดสินใจเลิกกันไป

แล้วมันก็มีช่องว่างก่อนที่เราจะเจอกับอีกคน ในช่วงนั้นเราก็ระเริงที่ แคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีหลากหลายวัฒนธรรม เราก็ไปเรียนรู้ ดูวิธีการจีบของคนประเทศนั้น แล้วอาหารไทยขึ้นชื่อมาก และด้วยความที่เรามีวีซ่าทำงานต่อ เราก็ได้ไปทำผัดไทยอยู่ในร้านหนึ่ง ทำไปสักพักเริ่มเบื่อ ก็จะเที่ยวตอนกลางคืนบ่อยมาก มีวันหนึ่งคลับเอ็มบาสซี่ ประกาศว่าจะจัดประกวดมิส เอ็มบาสซี่ ตอนนั้นเราอยากประกวด เลยโทรหาเพื่อน ให้ส่งชุดราตรีปักเลื่อมจากประตูน้ำให้หน่อย ขอสร้อยเพชรปัง ๆ เพื่อนกะเทยก็หวังดี ส่งมาให้ไม่กี่วันก็ถึงเลย ช่วงนั้นเราก็ลดความอ้วน เตรียมตัวว่าจะต้องทำอะไรบ้าง จนท้ายที่สุดมงลงค่ะ

หลังจากนั้นเราก็ยังขายผัดไทยต่อ แล้วเงินก็หมดไปกับการซื้อชุด ซื้อเครื่องประดับ แล้วก็ไปเที่ยวเกือบทุกคืน จนเกิดเป็นอาการติดเหล้า แต่เราก็ยังไม่อยากกลับบ้าน เราก็อยู่กับแฟน แต่แฟนคนนี้ไม่ชอบให้เราแต่งหญิง แต่เราก็แอบแต่ง เราทะเลาะกันบ่อยมาก และเราก็รู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์นี้มันจะต้องจบลงไม่ดีแน่ ๆ เพราะคนหนึ่งชอบแบบหนึ่ง ส่วนอีกคนก็ชอบอีกแบบ สุดท้ายก็ต้องเลิกกันจริง ๆ แล้วก็ต้องกลับมาเมืองไทย”

 

 

จุดเริ่มต้น บนเส้นทางผู้กำกับ

“หลังจากที่กลับมาเมืองไทย เพื่อนก็ชวนมาสัมภาษณ์ที่รัชดาลัยเธียเตอร์ ได้คุยกับ พี่บอย ถกลเกียรติ ตอนนั้นเพิ่งสร้างรัชดาลัย ก็จะมีการเอามิวสิคัลที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลมาแสดง ซึ่งตอนนั้นยังขาดคนทำงานอยู่ เราก็ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานดูแลอินเตอร์เนชั่นแนลมิวสิคัล ตั้งแต่เรื่อง cats the musical เป็นต้นมา เรากลายเป็นพนักงานที่ช่วย พี่บอย ทำละครเวที

ในเรื่องงานกำกับ เราใช้สัญชาตญาณ แล้วก็เรียนรู้หน้างานเลย เพราะว่าถ้าเราไม่ลองทำ เราจะไม่เรียนรู้ และเรารู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ เช่นสมมติว่า ซีนนี้นักแสดงคิดไม่ออกว่าจะต้องเล่นยังไง ถ่ายทอดอารมณ์ยังไง เราก็จะสามารถเล่นให้เค้าดูได้ สามารถบอกได้ว่านี่คือภาพที่เราต้องการ และเราก็รู้สึกว่าเราทำตรงนั้นได้

งานกำกับครั้งแรกสุด มันเป็นโปรเจคพิเศษ เรากำกับเพื่อลงเว็บไซต์ ถ่าย 3 วัน แล้วเราก็ไม่ค่อยมีประสบการณ์ ก็ถ่ายติดกันไปเลย 3 วัน ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พอวันที่ 3 มีผู้ช่วยช่างภาพก็ลงไปชักกระตุก เพราะเหนื่อยสะสม เนื่องจากตอนนั้นหนังที่เรากำกับเป็นหนังอินดี้ มันเป็นเหมือนเพื่อนช่วยเพื่อน เป็นเหมือนคนที่รักงานศิลปะด้วยกันแล้วมาช่วยกัน เวลาถ่ายมันอาจจะเกินเวลาจริงไปบ้าง

ผลงานที่เรากำกับก็มีเรื่อง Love Next Door ภาค 1 ลงในเว็บ ส่วนภาค 2 เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ และ IT GETS BETTER ที่ พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ เล่นเป็นสาวประเภทสอง เรื่องนี้เราเป็นเอ็กซ์เซ็กคลูทีฟโปรดิวเซอร์ เหมือนเป็นเจ้าของหนัง เริ่มตั้งแต่วางโครงเรื่องไว้ แล้ววิ่งไปหานายทุน ไปหาค่ายหนัง จนถ่ายทำออกมาเป็นหนัง แล้วดันได้เข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์มากที่สุดในปีนั้น ซึ่งมันเปิดโอกาสให้เราได้ไปเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศ และเรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับเองเลย

ในการกำกับหนังของเรา มันใช้ระยะเวลาเป็น 10 ปี เราต้องเริ่มจากลงทุนเองจากหนังที่ฉายในเว็บไซต์ ต้องไปหาเงินแสนกว่าบาทมากำกับเพื่อให้กลายเป็นผลงานของเรา แล้วนำไปฉายในเว็บไซต์ ได้เงินกลับคืนมาประมาณห้าแสนบาท ทำให้รู้สึกว่าเราก็ทำหนังได้นะ แล้วก็เอาหนังเข้าโรงเลย

เรามองการกำกับเป็นงานอดิเรกด้วย 2 ปีจะทำสักครั้งนึง เรื่องคนขับรถ ที่ ปั้นจั่น กับ ภูริ เล่น เรื่องนั้นเราก็กำกับ ล่าสุดคือ เรื่องกุมาร กวาดรายได้ที่ไทยไป 2-3 ล้าน แต่กวาดรายได้ที่เวียดนามไปเกือบจะ 20 ล้าน เพราะที่เวียดนามเชื่อเรื่องกุมารมาก ซึ่งเค้าไม่ได้มาดูเพราะหนังเราดีนะ แต่มาดูเพราะ ชื่อเรื่องมันดันชื่อกุมาร ฟีดแบ็คเลยดี มันทำให้เรารู้สึกว่าหลังจากนี้เราเลยคิดว่าจะไม่กำกับละ เพราะเราก็รู้สึกว่าเราอาจจะไม่เหมาะ แต่โอกาสก็ยังมาเรื่อย ๆ ล่าสุดที่เวียดนามก็บอกให้ช่วยเขียนมาเสนอภาคต่อไปอีก จากที่ตั้งใจว่าจะไปเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์เปิดช่องขายของ กลายเป็นว่ายังคงไม่ได้หยุดกำกับ เพราะโอกาสมาอีก

ที่รัชดาลัยเธียเตอร์ทำงานประมาณ 6 ปี แล้วมันจะมีช่วงท้าย ๆ ที่เราไม่มีโปรเจค ก็เลยใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ ไปคุยกับเพื่อน แล้วก็เอาโปรเจคไป Pitching ซึ่งมีงานประจำทำไปด้วย จนมีช่วงหนึ่งเรารู้สึกว่าอยากเปลี่ยนงาน ก็เลยออกจากรัชดาลัยเธียเตอร์ ไปทำที่บริษัทใหญ่ในการทำคอนเสิร์ตต่างประเทศ ทำตำแหน่ง Marketing Director ดูแลเรื่องการขายบัตรคอนเสิร์ตต่างประเทศทั้งหมด ทำอยู่ 4 ปี แล้วเป็น 4 ปีที่นักร้องต่างประเทศมาทำคอนเสิร์ตในเมืองไทยเยอะมาก หลังจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์น้ำท่วม แล้วก็โควิด คอนเสิร์ตกลายเป็นช่วงขาลง ขายคอนเสิร์ตไม่ได้ และกลายเป็นช่วงที่เราลาออกเพราะซึมเศร้าพอดี”

 

 

ความเครียดกดทับ จนต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า

“มันสะสมมาจากตอนที่ทำคอนเสิร์ต จนเรารู้สึกว่าตื่นมาแล้วไม่อยากมีชีวิต ทำไมชีวิตมันไม่มีเป้าหมาย เริ่มพัฒนากลายเป็นความรู้สึกเกลียดตัวเอง จุดที่ทำให้เราตัดสินใจไปพบคุณหมอ คือ เวลานอนเราจะคิดถึงมีดที่วางอยู่ที่ซิงค์ล้างจาน แล้วคิดว่าถ้าเราไปแป๊บเดียวเราจะหมดทุกข์ ในใจลึก ๆ กลัวเจ็บ แต่อีกใจก็คิดว่าคงไม่เจ็บหรอก แล้วมันเริ่มกลายเป็นคนที่มีอารมณ์สองขั้ว เราเลยไปพบจิตแพทย์ ไปมาทั้งหมด 4 โรงพยาบาล โรงพยาบาลสุดท้าย คุณหมอนั่งฟังอยู่เฉย ๆ ไม่พูดอะไรเลย พยักหน้าแล้วยิ้ม แล้วเราก็เหมือนไปทำตัวโรคจิตใส่หมอ ว่าหมอไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ อาการมันแปรปรวนมากเลยนะ หมอก็ยิ้มอดทนกับเรามาก แล้วก็ให้ยาตัวนึง มันมีผลข้างเคียงรุนแรงมาก พอเรากินเข้าไปจะเกิดอาการคล้าย ๆ กับต่อมความสุขมันฟูขึ้นมา อยากสวย อยากเป็นผู้หญิง ก็เดินทางไปซื้อชุดผู้หญิง รองเท้าส้นสูง วิก หมดเงินไปหลายแสน ซึ่งมันเหมือนกับว่าเป็นความสุขที่เราเก็บกดเอาไว้ แล้วผลข้างเคียงของยานี้คือ เราจะปวดกระดูกมาก มันปวดจากข้างใน แล้วเราจะต้องตื่นมากลางดึก เอาแขนเอาขาฟาดกับเตียงเพื่อระบายความเจ็บปวด เหมือนกับว่าตัวมันจะระเบิด มันทำให้เราคิดว่าเราจะไม่กินอีก”

 

 

Tiktok กลายเป็นยารักษาอาการซึมเศร้า ของมาดามฟันนี่

“พอมี Tiktok เข้ามา เราก็หักดิบกับยาที่กินอยู่ ซึ่งจริง ๆ มันไม่ควรทำ เราต้องเชื่อคุณหมอก่อน แต่ Tiktok มันทำให้เราไปหยิบวิกที่ซื้อไว้มาใส่ ชุดที่เราซื้อมาเราใช้มันถ่ายคลิปทั้งหมดเลย ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่รู้มาก่อนว่าเราซื้อมาทำไม จะใส่ตอนไหน จะใช้ทำอะไร แล้ววิก กะเทยจะรู้กันว่า วิกผมยาวแสกกลาง มันไม่ได้ใช้หรอก แต่เราอยากซื้อ รู้สึกว่าอยากมีผมยาวที่สวย ซึ่งนั่นคือวิกทรงผมปารีณา เวลาอัดคลิป 3 ชั่วโมง เราไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย มันสนุกมาก เราเรียนรู้ว่า การเปลี่ยนจุดโฟกัส โดยดึงตัวเองให้ไปจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่บางอย่าง มันจะช่วยให้เราลืมความเจ็บปวดบางอย่าง ณ ปัจจุบันได้

พูดได้เต็มปากเลยว่า Tiktok กลายเป็นยารักษาอาการซึมเศร้าของเรา แล้วเราก็แนะนำหลายคนแล้ว บางคนดีขึ้นจริง ๆ บางคนไม่เคยได้คุยไม่เคยได้พูดเลย แต่ไลฟ์สดหรืออัดคลิป มันเป็นโอกาสให้เค้าพูดแล้วเหมือนเป็นการได้ระบาย ทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นในการพูด และการพูดมันคือตัวช่วยที่ทำให้หายจากภาวะซึมเศร้า เพราะจากการสังเกตคนที่เป็นซึมเศร้าจะไม่ค่อยอยากพูดกับใคร แต่ถ้าคุณกดปุ่มไลฟ์สดแล้วคุณสามารถพูดคุยได้ มันก็กลายเป็นทางออกหนึ่งให้คุณได้ระบาย”

 

 

เมื่อการโคฟเวอร์แบบสุดปัง ทำให้โด่งดังชั่วข้ามคืน

“มันเกิดจากความบังเอิญ และ ไม่ได้ตั้งใจ คือมีอยู่วันหนึ่งเราดู รายการแฉ เห็น คุณปารีณา ไปออกรายการ เราก็รู้สึกว่า เดี๋ยวจะต้องมีคนทำคลิปปารีณาแน่ ๆ เราก็รอ ตั้งใจว่าเดี๋ยววันพรุ่งนี้เราจะตื่นมาดู ปรากฏว่าเราตื่นมาไม่มีใครทำคลิป เราก็คิดว่าสงสัยต้องทำเองแล้วมั้ง ก็เลยไปเอาวิกที่ใต้เตียง เอาเสื้อที่แอบซื้อไว้ตอนเป็นซึมเศร้ามาใส่ แล้วเราก็อัดไปประมาณ 2 คลิป ซึ่ง Tiktok จะมีระบบที่เราไม่ต้องจำบทเยอะ มันเร่งความเร็วคูณสองได้ แล้วมือก็ลั่นลงคลิปไป เราก็กลัวว่าจะโดนฟ้องไหม จะสมัครงานได้ไหม เพราะตอนนั้นสมัครงานไป 10 ที่ ถ้าเค้ามาเห็นคลิปนี้ รับรองว่าฉันไม่ได้งานแน่ ๆ แต่หลังจากนั้น คลิปก็เปลี่ยนชีวิตเราเลย คำว่า มาดามฟันนี่ มันถูกนำเข้าไปสู่การเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ตั้งแต่วันนั้นเลย

หลังจากโคฟเวอร์ คุณปารีณา จนโด่งดัง ล่าสุดเราได้เจอกันแล้ว ได้ไปออกรายการด้วยกัน ซึ่งจริง ๆ ก่อนหน้านั้นตอนที่เราโคฟเวอร์เป็นเค้า ก็คิดว่าเค้าน่าจะเกลียดเรา คิดว่าเค้าคงจะเข้าใจว่าเราไปล้อเลียนเค้า ทำให้เค้าดูตลก แต่บังเอิญว่ากระแสมันไม่ใช่แบบนั้น จำได้ว่าคลิปมันขึ้นไป 6 ล้านวิวเร็วมาก แล้ว คุณปารีณา เค้าก็เอ็นดูเรา แต่กว่าจะได้คิวมาเจอกันในรายการ มันใช้เวลาเกือบ 2 ปี ด้วยหน้าที่การงานทำให้คิวไม่ตรงกัน พอได้เจอกันมันก็เกินคาด เพราะว่าเค้าเป็นคนสบาย ๆ แล้วก็ให้เราสอนการหาเงินใน Tiktok ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เราจะติดสติ๊กเกอร์ยังไงบอกเอ๋หน่อย เราก็นั่งสอนกัน มันแฮปปี้ละ”

 

 

ความสุข ณ ปัจจุบัน ของ มาดามฟันนี่

“ตอนนี้ก็คือใช้คำว่า Go With The Flow อะไรมา เราก็อยากจะสนุกไปกับสิ่งที่พระเจ้ามอบมาให้ ไม่ว่าจะเป็น กำกับหนัง หรือตอนนี้ Tiktok มีฟังก์ชันใหม่ ๆ อยากจะให้เราขายของ หรือมีบทบาทใหม่ ๆ อะไรก็ได้ ที่เราไม่ต้องตีกรอบให้ตัวเอง มีความสุขในการเป็นตัวเอง ไม่ใช่ว่าเป็นตัวเองที่แต่งหญิงด้วยนะคะ เพราะปกติเราก็ไม่ได้ต้องแต่งหญิง เราเป็นอะไรก็ได้ แต่เรามีความสุขจากข้างใน เพราะฉะนั้นจะให้ฉันใส่วิก ไม่ใส่วิก แต่งหน้า ไม่แต่งหน้า เราก็มีความสุข” - โอ๋ ฐิติพันธ์

 

 

พบชีวิตหลากหลายสีสัน แบ่งปันแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ กับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1