พบชีวิตหลากหลายสีสัน แบ่งปันแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ กับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”
เมื่อความสุขในชีวิต เกิดจากการได้สร้างรอยยิ้มให้กับคนอื่น รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “ปาร์ตี้ วัชรพล” หนุ่มสุดโอปป้าอารมณ์ดี ที่ใช้พลังความสุข มาอุดรอยชีวิตเศร้า สู่การเป็นเจ้าของฉายา ‘นักพากย์ฟีลกู้ด’ ซึ่งกว่าจะมีความฟีลกู้ดได้ในวันนี้ เขาผ่านเรื่องราวหนัก ๆ ในชีวิต จนเกือบกดปิดสวิตช์ตัวเองมาแล้วหลายครั้ง เขาก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญ และมีมุมมองชีวิตดี ๆ มากมาย ที่ได้แชร์ไว้ในรายการด้วย

ชีวิตวัยเด็ก ที่ต้องแบกรับแรงกดดันหลายด้าน
“ย้อนกลับไปต้องบอกเลยว่าความฟีลกู้ดในตัวตี้ มาจากคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะทั้งคู่เป็นคนที่ฟีลกู้ด ใจกว้าง และ เลี้ยงเรามาอย่างดีมาก แต่ด้วยความที่ตี้เป็นเด็กต่างจังหวัดธรรมดา แล้วเราก็เกิดมาในยุคที่รู้ว่า ตัวเองอยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้มีต้นทุน มันเลยต้องขยัน ช่วยงานครอบครัวเยอะมาก กลายเป็นว่าพอโตมามันจะมีความแก่เกินวัยจากแพชชั่นที่อยากทำให้มีชีวิตที่ดี อยากให้พ่อแม่มีความสุข ซึ่งเราเริ่มคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนประถม
ตี้กดดันตัวเอง เพราะเหมือนเราเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น อย่างครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ไม่มีต้นทุน แต่บรรดาญาติพี่น้องเค้ามีหมดเลย มันเลยกลายเป็นคำถามในใจว่าทำไมเราไม่โชคดีมีพร้อมบ้าง เราก็เป็นเด็กดีนะ เราก็ทำตัวดีนะ ความกดดันตัวเองมันเลยสะสมขึ้นเรื่อย ๆ และตอนเด็ก ตี้ตั้งใจเรียน เป็นเด็กผลการเรียนอยู่ระดับท็อป 4.00 หรือ 3.90 ตลอด เพราะเคยตั้งใจอยากจะเรียนหมอ จนเกิดเป็นความกดดันตัวเองเพิ่มขึ้นอีกว่า ต้องเป็นเด็กที่เป๊ะ และเราเป็นประธานนักเรียน ต้องเป็นตัวเอย่างที่ดี เป็นนักเรียนดีเด่น ลุคตอนไปโรงเรียนคือเป็นเด็กเนิร์ด ใส่แว่น หลังตรง เป็นนักเรียนตัวอย่าง แต่พอกลับห้องไปเราไม่มีความสุขเลย เราชอบเก็บตัว กลับบ้านปุ๊บก็เข้าห้องเลย ฟังเพลง อ่านหนังสือ เวลามีปัญหาเรามักจะไม่ปรึกษาพ่อแม่ ซึ่งตี้ว่าพ่อแม่ไม่ได้ผิดพลาดในเรื่องของการสอนเราเลย เค้าสอนดีมาก แต่เรารู้สึกว่า การมีสเปซที่ห่างจากพ่อแม่จนเกินไป เป็นจุดหนึ่งที่อันตราย แล้วพอเรายิ่งโต เราดันปิดกั้นตัวเองจากพ่อแม่ ชอบอยู่แต่ในห้องเวลามีปัญหา มีความรัก หรือแม้แต่เรื่องเพศก็ตาม เราไม่เคยเล่าให้พ่อแม่ฟังเลย เราเก็บไว้กับตัวเอง กลายเป็นว่าพ่อแม่ไม่ได้ผิด แต่ตัวเราเองตางหากที่คาดหวัง หรือกดดันตัวเองจนเกินไป
แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะมีเหตุการณ์หนัก ๆ ที่เหมือนในละครมาก คือ ในช่วง ม.6 พอเรากดดันตัวเองมาก ๆ มันกลายเป็นจุดระเบิดของชีวิต ตอนนั้นเราเครียดมาก เริ่มไม่ตั้งใจเรียน ผลการเรียนที่เคยดีเริ่มตกลง แล้ววันนั้นเราทำข้อสอบไม่ได้ บวกกับเป็นภาวะซึมเศร้าที่มีผลจากเคมีในสมอง ตอนนั้นตี้เดินออกจากห้องสอบ ตั้งใจจะไปที่เขื่อน แล้วคนก็ตกใจมาห้ามไว้ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิด แต่มันกลายเป็นสัญญาณแรกที่รู้สึกว่าเราควบคุมตัวเองไม่ได้ ต่อมามันก็เริ่มสะสม และปะทุขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในตอนอายุ 18 ปี เป็นช่วงที่ทุกอย่างพังพร้อมกันทั้งเรื่องความรัก เรื่องการเรียน แล้วก็เรื่องครอบครัว มันมากดดันตัวเรา แล้วกลายเป็นความรู้สึกไม่อยากอยู่แล้ว อยู่ดี ๆ ก็อยากกดปุ่มหยุดชีวิตตัวเอง วันนั้นในห้องพยาบาล ตี้ทานยาแก้แพ้หมดกระปุก แต่ว่าโชคดีมากที่อาจารย์มาเห็น แล้วพาส่งโรงพยาบาลไปล้างท้องได้ทัน”

จากปุ่มปิดสวิตซ์ พลิกให้ชีวิตเลือกทำในสิ่งที่ชอบ
“การได้เห็นคุณค่าของลมหายใจ ตี้รู้สึกได้ตอนล้างท้องเลยครับ มันเป็นความคิดช่วงสั้น ๆ แต่เกิดผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจและร่างกาย ณ ตอนนั้นร่างกายชักกระตุก ไม่สามารถขยับตัวได้ หายใจไม่ออก ภาพที่เห็นคือพ่อกับแม่วิ่งมาหา แล้วเราร้องไห้ จากนั้นเค้าก็มากุมมือว่า ทำไมถึงทำแบบนี้ ในใจตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่น่ารอด คงเป็นวาระสุดท้ายแล้ว ตี้ก็ยกมือแบบที่ชักกระตุกอยู่ขึ้นมาเพื่อที่จะขอโทษเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหมอก็วิ่งมาล้างท้องพอดี เรื่องนี้อยากให้เป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกคน เพราะจากตอนแรกที่คิดว่าไม่น่ารอด แล้วพอเรารอดมาได้ ก็เลยคิดว่านี่แหละคือคุณค่าในการมีลมหายใจต่อ หลังจากนั้นเราเปลี่ยน Mindset ไปเลย ว่าจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับอะไรที่มันด้อยค่าแล้ว หลังจากนี้จะทำให้ตัวเองดีขึ้น ปรับวิธีการใช้ชีวิตใหม่ แล้วก็ทำให้พ่อกับแม่มีความสุขอย่างที่เราตั้งใจให้ได้
ตี้อยากเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริง ๆ ก็เลยไปบอกพ่อกับแม่ว่า จะขอสอบเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาศิลปะการแสดง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจอยากจะเป็นหมอมาตลอด ซึ่งพ่อกับแม่ก็เหมือนคิดอยู่ประมาณ 5 วินาที เค้ามองหน้ากัน แล้วสุดท้ายก็บอกว่าลุยเลย เค้าก็ให้เราเก็บเงินหยอดกระปุกเป็นค่ารถทัวร์ แล้วก็มาติวที่กรุงเทพ พอถึงเวลาตี้ก็ตั้งใจสอบมาก สุดท้ายก็สอบได้ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ การได้เรียนศิลปะการแสดงมันมีความสุข และเปลี่ยนชีวิตเรามากเลย โชดดีมาก ๆ ที่พ่อกับแม่เปิดทางให้เราได้ทำในสิ่งที่ชอบแบบไม่ปิดกั้นเลย พอมาเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเราได้เจอตัวตนของตัวเอง จากเรื่องเพศที่เคยปิดมาก่อน เราก็โดนละลายพฤติกรรม จนเรากลายเป็นตัวจี๊ดตัวแม่ไปเลย มันเป็นช่วงชีวิตที่แฮปปี้มีความสุข แล้วได้เจอคาแรกเตอร์ฟีลกู้ดของตัวเอง ก็ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละครับ
ตี้อยากให้คนที่มีภาวะซึมเศร้าไปหาหมอถ้ามันไม่ไหวแล้ว จิตแพทย์ คือทางออกที่ดีมาก ๆ แล้วตัวยาก็เป็นทางออกที่ดี แต่ส่วนตัวตี้เองไม่อยากทานยาตลอด ก็ลองถามคุณหมอว่ามีวิธีอื่นไหม คุณหมอก็แนะนำว่าลองโฟกัสแบบใหม่ โฟกัสกับสิ่งที่ทำได้ แล้วลองทำมัน เพราะมันมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่ได้หยิบมาลองทำ ตี้ก็เลยหยิบมือถือมา เริ่มถ่ายคลิปพากย์เสียง แล้วก็ทำทุกอย่างที่มันจะไม่พาตัวเองไปคิดถึงจุดปิดสวิตช์ตัวเองแบบนั้นแล้ว ขอบคุณคุณหมอท่านนั้นมาก ๆ ที่ชี้ทางเราแล้วเราก็ลองทำ ลองเปลี่ยนโฟกัสของเรา แล้วมันก็พาชีวิตเราไปถึงจุดที่ตัวเองแฮปปี้ได้จริง ๆ”

เปิดเส้นทางกว่าที่จะเป็น “นักพากย์ฟีลกู้ด”
“ตี้อยากจะเป็นนักพากษ์มาก ๆ ในตอนที่ทำงานประจำใจก็อยากลาออก เพื่อมาเป็นนักพากษ์ ก็เลยเลือกทำสองอย่างไปพร้อมกัน แล้วช่วงนั้น Facebook มันเพิ่งเริ่มเข้ามา ตี้ก็ใช้วิธีการแบบแอดเฟรนด์พี่ ๆ ที่เค้าเป็นนักพากษ์ เราแอดหมดเลย แล้วก็ทักเค้าไปว่า ขอฝากเสียง หรือขอโอกาสไปฝึกเป็นนักพากย์ได้ไหม ตอนนั้นทักไปประมาณ 20 ชีวิต มีคนตอบมา 2 คน และสองคนนั้น ตอบกลับมาแค่สติ๊กเกอร์กดไลค์ เหมือนให้เรารู้ว่าฉันเห็นแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีใครตอบรับ หลังจากนั้นก็ไปประกวด ก็ไม่ผ่านเลย แต่เพราะความที่เราอยากเป็นนักพากย์มาก ๆ ไม่อยากเปลี่ยนธงที่เราปักไว้ ก็เลยเปิดช่องโซเชียลแคม เราเป็นนักพากษ์คนแรก ๆ เลยที่เข้าไปอยู่ในนั้น อยู่มากว่า 13 ปี แล้วก็ลองพากย์เสียงเอง เริ่มจากพากย์นิทาน แล้วก็ปล่อยคลิปไป ปรากฏว่าไม่มีคนดู เป็น 6 เดือน ที่ไม่มีใครดู
วิธีการพากย์ของตี้ คือเอานิ้วตัวเองมาถ่าย แล้วก็พากย์ เหมือนเล่นคนเดียว แล้วก็ค่อย ๆ ปรับคอนเทนต์ กลายเป็นเอานักแสดงในละครมาตัดต่อ แล้วก็พากย์เสียงลงไป ปรากฏว่า คุณสรยุทธ เอาคลิปไปออกรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ทำให้คนแห่มากดติดตามเรา กลายเป็นหมื่นผู้ติดตาม แล้วก็จบที่มีผู้ติดตาม 3 แสนกว่าคน
ในส่วนของ Tiktok จุดเริ่มต้นตอนนั้นคือตกงานครับ ตี้รู้สึกอิ่มตัวจากงานประจำ ก่อนหน้านั้นเราเคยทำครีเอทีฟ Kamikaze ซึ่งสองปีแรกตี้ทำไม่เป็นเลย ครีเอทีฟคืออะไรยังไงไม่รู้เลย แต่ว่าตี้โชคดีที่มีบอสช่วยสอนวิธีการคิด แล้วตี้ก็ลองเอาวิธีคิดนั้นมาทำกับศิลปิน แล้วก็มีผลงานอย่าง เพลงแน่นอก ที่เราเป็นหนึ่งในทีมครีเอทีฟที่รังสรรค์ผลงานนี้ขึ้นมา แล้วก็คอยคิดงานโปรโมทศิลปินอีกหลายคนอย่าง ธามไท ,โฟร์มด ,ขนมจีน ,หวาย แล้วก็เคยมาทำครีเอทีฟที่แกรมมี่ บัวชมพู ,MEYOU ,GENA DESOUZA จนถึงจุดที่รู้สึกอิ่มตัวแล้วก็ลาออก แล้วก็เจอช่วงโควิดเลย ตอนนั้นเราก็เลยตัดสินใจเล่น Tiktok ซึ่งจากการพากย์ที่ได้ยินแต่เสียง ก็ต้องเปลี่ยนมาพากย์แบบเห็นหน้า จากที่เราจบการแสดงที่ มศว. ก็ลองใช้ทักษะที่เรียนมา เริ่มแสดงแบบเห็นหน้า เริ่มแต่งหญิง ทำทุกอย่างที่มันจะได้งานได้เงิน
งาน Masterpiece ของตี้เป็นคลิปที่เอา ณเดชน์ กับ เจมจิ มากพากย์ ในตอนนั้นเค้าสองคนจะมีกระแสเทียบกันว่าใครดังกว่ากัน แต่ Concept ของเราคือฟีลกู้ด เราก็ปรับจากดราม่า มาเป็นแบบจับมาจิ้นกัน กลายเป็นว่าฟีดแบ็คดี มันทำให้เราเจอทางของตัวเอง ก็เลยทำคอนเทนต์ประมาณนี้ยาวเลย
การเป็น Content Creator ควรหาเอกลักษณ์ของตัวเองให้เจอ อย่างนักพากย์ในโซเชียลมีเยอะมาก ดังนั้นเราต้องหาจุดยืน หรือเอกลักษณ์ของตัวเองให้เจอ มันไม่ใช่แค่ศิลปิน แต่การทำงานอะไรก็ตาม ต้องหาตัวตนของตัวเองให้เจอ เพื่อให้มีความ Proud ในตัวเอง
ตี้จะมีกลุ่มแฟนคลับที่เค้าเป็นซึมเศร้า แล้วเค้าจะมีภาวะเครียด ซึ่งมีแฟนคลับอยู่ท่านหนึ่ง เค้าป่วยเป็นโปลิโอ ชีวิตเค้านั่งวีลแชร์ตั้งแต่ตอนเกิด แล้วก็เป็นโรคไตด้วย ต้องฟอกไตตลอด แล้วก็เป็นซึมเศร้าด้วย แล้ว ตอนนั้นเค้ามากดติดตาม Facebook ของตี้ แล้วพอดีช่วงนั้นเค้ากำลังคิดสั้น โชคดีที่จังหวะนั้นเค้ามาเจอคลิปที่ตี้แชร์เรื่องราวตอนที่เราเคยผ่านการคิดสั้นมา แล้วเราต้องก้าวไปยังไงต่อ กลายเป็นว่าเค้ามาขอ Contact ไปคุยส่วนตัว ตี้ก็บอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง แล้วกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เค้า ลุกขึ้นมาเล่น Tiktok เหมือนกับตี้เลย ทำให้เค้ามีจุดโฟกัสใหม่เกิดขึ้นกับชีวิต จนกระทั่งมีผู้ติดตามมากขึ้น แล้วก็มีรายได้จากการไลฟ์สด เค้าก็เอาเงินมาซื้อของขายออนไลน์ต่อ ตอนนี้ผ่านไป 6 ปีที่รู้จักกันมา เค้าก็ยังขอบคุณตี้อยู่เลย ตี้เองก็รู้สึกว่าโชคดีจังเลยที่ได้รู้จักกัน”

จากนักพากย์ สู่นักแสดงสุดโอปป้า
“ตอนเรียนการแสดง ตี้ก็อยากเป็นนักแสดง ส่งวิทยานิพนธ์เราก็ส่งนักแสดง เพราะมี พี่แอน ทองประสม เป็นไอดอล ตอนเล่นละครกับเพื่อน ๆ ก็เล่นเป็นพี่แอน ตี้ชอบการแสดงของเค้ามาก ก็เลยคิดว่าอยากเป็นนักแสดง และมีนักแสดงอีกคนหนึ่งที่เราชอบมากคือ พี่โอปอล์ ปาณิศรา เป็นไอดอลอีกหนึ่งท่านที่เราอยากเป็นเหมือนเค้า เป็นการแสดงตลก ที่ดูฉลาด ตี้เลยรู้สึกว่าอยากเป็นนักแสดงเหมือนพี่โอปอล์ แล้วก็เก็บความฝันนั้นไว้ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ จนกระทั่งเล่น Tiktok แล้วมันสร้างโอกาสให้กับเรา ก็เลยมีคนติดต่อมาให้ได้มีโอกาสเล่นละคร ผลงานที่ผ่านมาคือ เกมรักทรยศ ที่ได้เล่นกับพี่แอน ผู้ที่เป็นไอดอลของเราด้วย มีความสุขมาก อีกเรื่องคือ ลมพัดผ่านดาว ครับ”

การยอมรับตัวเอง เหมือนเป็นการเปิดประตูให้คนรอบตัวยอมรับเราด้วย
“แต่ก่อนตี้จะคิดว่าภาพลักษณ์การแต่งเป็นผู้หญิงของเรา พ่อแม่จะไม่ยอมรับเลย แต่สุดท้าย แค่เรายอมรับในตัวเอง แล้วเรามีความสุขกับตัวเอง นั่นคือการเปิดประตูให้ใครก็ตามที่อยู่รอบตัวเราเข้ามาแล้วยอมรับเราเองโดยอัตโนมัติ อย่างละครล่าสุดเรื่องลมพัดผ่านดาว ที่ตี้เล่นเป็นบทพี่แจ๊ส เป็นบทตัวแม่ พ่อกับแม่ก็นั่งดูแล้วก็หัวเราะไปกับเรา เหมือนสุดท้ายเค้าเห็นแค่ว่าเรามีความสุขกับตัวเอง ไม่ทำร้ายใคร แล้วก็ไม่ทำร้ายตัวเอง มันก็เหมือนกับว่าเค้าก็ยอมรับเราโดยอัตโนมัติ ถ้าเรายอมรับตัวเองก่อน
สำหรับตี้ การรักตัวเอง คือความโชคดีของการเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วการเป็นมนุษย์เราเกิดมาด้วยตัวเรา แล้วก็ตายด้วยตัวเราเอง ดังนั้นคำว่ารักตัวเอง มันทรงพลังมากสำหรับตี้ ที่เราสามารถค้นหาตัวเองเจอ จากคนที่ไม่รักตัวเอง ไม่เห็นค่ากับชีวิต ที่กดปุ่มปิดสวิตซ์ตัวเองตอนนั้น ซึ่งถ้าสมมติวันนั้นการไม่รักตัวเองของตี้มันดันสำเร็จ ตี้คงไม่ได้เป็นนักพากย์ฟีลกู้ดในวันนี้ ทุกวันนี้เรามีความสุขมากกับคำว่ารักตัวเอง รักคนที่ชื่อปาร์ตี้นักพากย์ฟีลกู้ดมาก ๆ เราอยากพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ได้อยู่กับพ่อแม่ พาพ่อแม่ไปกินข้าว ไปเที่ยว ชีวิตที่อยากมีตอนนี้คือแค่นั้นเลย
ณ วันนี้ตี้ภูมิใจกับการที่ตัวเองไม่กดดัน และไม่คาดหวังให้ตัวเองต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่น แค่เป็นคนหนึ่งที่ตื่นมาแล้วบาลานซ์ตัวเองได้ ทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุข และอยู่กับปัจจุบันจริง ๆ ตื่นมารักตัวเองให้เป็น ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับชีวิตใคร เราจะพาตัวเองไปถึงจุดที่มีความสุข แล้วก็เป็นในแบบของเราจริง ๆ”

วิธีการค้นหาตัวตน ของ นักพากย์ฟีลกู้ด
“การค้นหาตัวเองเป็นโจทย์ที่ยากมากของคน แล้วทุกคนก็มักจะถามว่า มีวิธีการค้นหาตัวเองยังไง ตี้จะบอกว่าไม่ต้องพยายามหา ไม่ต้องไปกดดันตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกว่าฉันจะต้องมีตัวตนขนาดนั้น ขอแค่มีปักธงให้กับตัวเองบ้างว่าฉันอยากทำสิ่งนี้ และลองลงมือทำ มันเหมือนการทดลองไปเรื่อย ๆ แล้วหาทางเลี้ยว หาทางลัด บางคนถ้าเจอธงของตัวเองแล้วแบบมันชัดเจนอันนั้นก็โชคดีไป แต่ถ้ายังไม่เห็นตัวตนที่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร ลองออกแบบชีวิตตัวเองด้วยตัวเอง มันจะพาเราเดินทางไปถึงจุดที่มันเป็นของเราเอง” - ปาร์ตี้ วัชรพล
พบชีวิตหลากหลายสีสัน แบ่งปันแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ กับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”

ดูรายการย้อนหลัง
