พบชีวิตหลากหลายสีสัน แบ่งปันแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ กับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”
รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดเซ็กซี่ “ติช่า กันติชา” นางแบบสาวสุดมั่นใจ เธอแจ้งเกิดจากการประกวดแข่งขัน เดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซั่น 2 เมื่อปี 2558 จนถึงปัจจุบัน ติช่า ก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงอย่างต่อเนื่อง และถูกยกให้เป็นตัวแม่ ทั้งเรื่องของความเซ็กซี่ สนุกสนานเฮฮา หรือแม้กระทั่งเรื่องเพศศึกษา ที่เธอนั้นกล้าจะเปิดใจตอบคำถามที่ทำเอาหลายคนตกใจตาโตไปกับคำตอบของเธอ จนเรื่องนี้กลายเป็นภาพจำของติช่าในสายตาของใครหลายคน ซึ่งกว่าจะมาเป็น ติช่า ในวันนี้ ผ่านมาหลากหลายเรื่องราว และมีมุมมองดี ๆ ที่เธอได้นำมาแชร์ในรายการด้วย

ในจอดูเฮฮา แต่ว่าตัวจริงเป็นคนสันโดษ
“หลายคนอาจจะเห็นหนูเป็นคนเฮฮา เอนเนอร์จี้ล้น แต่จริง ๆ แล้วหนูมีมุมเงียบ แต่ด้วยความที่หนูเข้าวงการด้วยการเล่นใหญ่ พอเงียบคนอื่น ๆ ก็จะไม่ชินกับมุมนี้ของเรา ซึ่งหนูรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่สนุก เป็นคนที่คิดบวก และเป็นคนที่กระตือรือร้นมาก ๆ เลย แต่ในชีวิตจริง ถ้าเกิดว่าหนูทำแบบนั้นตลอดเวลาหนูคงเป็นบ้า หนูคงเหนื่อยกับตัวเองมาก ก็เลยมีโมเม้นท์ที่เงียบบ้าง นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ คนที่อยู่ใกล้ตัวหนูจะรู้ว่าเราเป็นคนเสียงโมโนโทน แต่พอออกรายการเสียงมันจะขึ้น ๆ ลง ๆ เสียงมีเมโลดี้ ซึ่งเราฝึกเอา
แม้จะดูเป็นคนเฮฮา แต่ก็มีบางเรื่องที่เราอ่อนไหวง่าย เช่นเรื่องเซ็กซ์บางอย่าง เพราะว่าในตอนเด็ก ๆ หนูเคยโดน Sexual Harassment ที่ผ่านมาก็เลยรู้สึกว่า เวลาพูดถึงเรื่องนี้ เราจะรู้สึกอาย และจะคิดว่าทำไมเราต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ด้วยนะ มันแย่จังเลย แต่พอหนูได้มาฟังคนอื่นให้กำลังใจเรา มันทำให้สามารถปรับ Mindset ได้ว่า มันไม่ใช่ความผิดเรา สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันแย่จริง ๆ มันไม่สามารถเอาออกไปจากใจได้ แต่เราต้องมูฟออนกับชีวิตได้ เราต้องไม่โทษตัวเอง มีเหยื่อหลาย ๆ คนชอบโทษตัวเองว่า ทำไมฉันไม่สู้ ทำไมคิดไม่ได้ในวันนั้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว วันนั้นมันทำได้ที่สุดของมันอย่างนั้นแล้ว
อีกเรื่องคือเรื่องครอบครัว เพราะว่าครอบครัวแตกแยก ตอนเด็ก ๆ หนูก็รู้สึกว่า เรื่องนี้ถ้ามีใครพูดถึง หรือว่าตัวหนูพูดเอง จะรู้สึกใจสั่น ซึ่งถามว่าตอนนี้ยังอ่อนไหวอยู่ไหม ก็ยังเป็นอยู่ แต่ก็รู้สึกว่าโตขึ้นแล้ว เริ่มรับได้ เข้าใจมัน กับคนที่เราเคยมีปัญหาด้วย หรือเคยเจ็บใจช้ำใจ เราก็ไปคุย ไปเปิดใจ มันช่วยได้เยอะ มันเหมือนเราเอาภูเขาออกจากอกได้ค่ะ
เห็นหนูเป็นคนกล้าพูดกล้าคุย แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ทุกครั้ง อย่างถ้าสมมติเป็นเรื่องเซ็กซ์ หนูจะไม่บอกคนอื่นว่า เธออยากคุยเรื่องเซ็กซ์เหรอ ไปคุยกับพ่อแม่เธอเลยสิ ไปเลยเธอไม่ต้องอาย เพราะหนูมองว่าบริบทของชีวิตแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน หนูมีหน้าที่นำเสนอในส่วนของเราเท่านั้น อะไรที่มันเป็นการบังคับความรู้สึก หรือความคิดของคนอื่น หนูจะค่อนข้างระวัง
และด้วยความที่เราเป็นคนปากไวมาก หนูรู้สึกว่าตัวเองคิดไวพอ ๆ กับปาก แต่ก็เคยมีหลายครั้งที่หลุดพูดแรง ๆ หรือพูดทำร้ายใจคนอื่น แต่ยิ่งโตขึ้น หนูรับรู้ตัวเองว่านิสัยเสียตรงนี้ เลยพยายามจะแก้ไข หนูย้อนกลับมามองตัวเองมากขึ้น และได้มองอะไรที่กว้างขึ้น ได้เข้าใจคนอื่น ๆ มากขึ้น หนูไม่ได้บอกว่าเป็นคนที่เพอร์เฟค แต่หนูรู้สึกว่าเราต้องปรับตัวเพราะต้องทำงานในทุก ๆ วัน”

ย้อนเส้นทางของ ตัวแม่ Sex Education
“หนูอยากทำ Youtube มานานแล้ว อยากทำอะไรของตัวเอง ในคอนเซ็ปต์ของตัวเอง แล้วก็คิดว่าเราจะทำคอนเทนต์อะไร ที่รู้สึกว่ามีแพชชันอยากจะทำในทุกวัน ตอนแรกก็ทำแนวไลฟ์สไตล์เพราะหนูชอบปาร์ตี้มาก แต่พอคิด ๆ ดู ก็เกิดคำถามว่าเราจะเหนื่อยไหมถ้าจะต้องมาทำทุกอาทิตย์ แล้วไลฟ์สไตล์ของหนูไม่ได้หรูหราเลย หนูมีห้องนอนแบบ 1 bedroom ที่แบบ 26 ตารางเมตร ถ้าต้องทำรูมทัวร์ คลิปคงจบภายใน 5 วินาที เลยตัดสินใจเลือกสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกว่ามีแพชชัน พร้อมกับมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ก็เลยเป็น Sex Education แบบ Sex Education + Entertainment เลยเรียกรวมกันว่า Sex Edutainment คือได้ทั้งความรู้ แต่ก็มีความบันเทิงเข้าไปด้วย
หนูมองว่า ที่ไทยคุยเรื่องเซ็กซ์กันอย่างถึงพริกถึงขิงมาก แต่มักจะคุยในเชิงพฤติกรรมว่า อันไหนแซ่บ อันไหนไม่แซ่บ แต่ในเชิงของปัญหา หรือความไม่มั่นใจ หรือความรู้ที่นำไปปรับใช้ในชีวิตได้ หนูว่าเค้ายังพูดกันน้อย ซึ่งเรื่องเซ็กซ์มันเป็นเรื่องที่ธรรมชาติมาก หลายคนชอบคิดว่าเซ็กซ์มันก็แค่มีอะไรกันตรงนั้น แต่จริง ๆ แล้วมีเรื่องราวเยอะแยะมากมาย ที่เราสามารถคุยเรื่องเซ็กซ์ได้
พอทำรายการแรก ๆ คนดูมีฟีดแบ็คตกใจ อาจจะเป็นเพราะคนที่มาพูดเรื่องเซ็กซ์เป็นผู้หญิง แล้วในสังคมไทย ผู้หญิงพูดเรื่องเซ็กส์เป็นอะไรอาจจะดูไม่เหมาะไม่ควร ยิ่งคนที่อยู่ในวงการบันเทิงพูดเรื่องเซ็กซ์ หลายคนก็จะมองว่า เธอพร้อมที่จะเสียการงานของเธอแล้วเหรอ เธอพร้อมที่จะเสี่ยงขนาดนั้นเหรอ ซึ่งจริง ๆ แล้ว Mood & Tone ของรายการสำคัญมาก แต่ว่า EP.แรก ๆ หนูก็ว่าทำให้คนดูช็อคเลย เพราะหนูมาคุยเรื่อง friend with benefit เลย เป็นเรื่องของการมีเซ็กซ์กับเพื่อน คนดูก็เลยค่อนข้างตื่นเต้นเพราะเป็นเรื่องราวใหม่ แต่ว่าหนูรู้สึกดีใจมาก ที่ในคอมเม้นต์ หรือคนที่มาดู ส่วนมากสนใจและเปิดใจ ส่วนคนที่ไม่ได้ชอบเรื่องนี้ เค้าก็อาจจะกดผ่าน ซึ่งหนูขอบคุณมาก ถ้าเกิดมันไม่ใช่คอนเท้นต์สำหรับคุณ คุณ Skip ผ่านได้เลย ไม่เป็นไรเลย
แล้วรายการของหนู ชวน LGBTQ+ มาเยอะมาก ก็เลยรู้สึกว่าพี่ ๆ เค้ามีประสบการณ์กันเยอะ เหมือนหนูคุยได้ทุกเรื่อง ดีใจที่เป็น Open Platform แล้วก็ดีใจที่แต่ละคลิปของหนู จะมีหลาย ๆ กลุ่ม หลาย ๆ คน มาร่วมรายการ ทำให้มีความหลากหลายเรื่องราว บางคนมีปัญหาเรื่องนี้พอดีก็มาฟังมาแชร์กัน แล้วทำให้คนเปิดความเข้าใจมากขึ้น
แล้วฟีดแบ็คของรายการในช่วงหลังมันเริ่มสร้างประโยชน์ให้คนดู อย่างล่าสุด EP.น้องอาไท ที่มาแชร์ว่า การไปซื้อถุงยางในร้านขายยามันดีนะ เพราะเค้ามีที่วัดให้ด้วย แล้วเภสัชส่วนมาก เค้าดีใจด้วยซ้ำที่มีคนมาถาม หลังจากนั้นคนดูก็มาคอมเมนต์กันว่า รู้อย่างงี้ไปดีกว่า เพราะบางทีเค้าช่วยเลือกไซส์ให้มันถูกต้องสำหรับเรา หนูรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เราไม่คิดมาก่อนว่า ต่างคนจะต่างมาแชร์คำแนะนำดี ๆ ที่มันสามารถเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง”

เมื่อคอมเมนต์เชิงลบ ไม่ค่อยกระทบจิตใจ ติช่า
“หนูไม่ค่อยอ่อนไหวกับคอมเมนต์เชิงลบ หนูจะเก็บคอมเมนต์ที่ดี ส่วนคอมเมนต์ที่ไม่ดีหนูจะอ่านแล้วตกตะกอน ถ้าเป็นคอมเมนท์ที่เรานำไปปรับปรุงหรือพัฒนาต่อได้หนูจะรับฟัง แล้วหนูเคยอ่านหนังสือว่า ตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ถ้าเราได้คำติมาหนึ่งคำ เราต้องบวกกับคำชมไปอีก 7 คำเพื่อจะลบล้างกันได้ โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เราจะมองคอมเมนต์เชิงลบไว้ เพื่อเป็นการเตือนว่าเราต้องเอาตัวรอด และต้องจำไว้ว่านี่คือความผิดพลาด และอย่าพลาดอีก ไม่อย่างนั้นคุณจะกลายเป็นคนที่สังคมไม่ชอบ
แล้วหนูมองว่า เวลาเราทำตามความฝันของตัวเอง มันมักจะมีคนที่มาบอกว่า เราทำไม่ได้อยู่แล้ว เหมือนเป็นเสียงยุง เสียงแมลงวัน ซึ่งถ้าหนูฟังเค้า หนูคงต้องนอนอยู่บ้าน ไม่ทำอะไรแล้ว ซึ่งไม่ได้ ถ้าเกิดคุณทำตามความฝัน คุณต้องมีความเชื่อที่แข็งแรง เพื่อให้ฝันคุณสำเร็จ
หนูมองว่า ความมั่นใจที่แท้จริง มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดในตอนที่ทุกคนชมคุณ แต่มันควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ไม่มีคนคอยปรบมือชมคุณ แล้วคุณสามารถปรบมือให้กับตัวเอง หรือยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง นั่นแหละค่ะคือความมั่นใจที่แท้จริง
ครั้งแรกในชีวิต ที่หนูรู้ว่าหนู Popular มากขนาดนี้ ก็คือช่วงที่ประกวดเดอะเฟซ ในตอนที่มีคนด่า เพราะหนูเคยไปดูสื่อบันเทิงเมืองนอก เค้าบอกว่า เธอจะยังไม่ดังพอ ถ้าเธอยังไม่มีคนที่เกลียดสักคนนึง แล้วตอนที่อยู่ต่างประเทศ หนูไม่ได้ติดตามสื่อโซเชียลเลย รู้จักแต่ Facebook ไม่รู้ว่ามันมี Pantip หรือบล็อกต่าง ๆ ตอนที่มาประกวด เลยไม่รู้ว่า มีใครบ้างที่ด่าเรา ซึ่งตอนที่ประกวด เราก็รู้สึกมั่นหน้า รู้สึกมั่นใจ รู้สึกว่าฉันกำลังทำตามความฝันของฉันอย่างเต็มที่สุดความสามารถ แล้วมารู้ที่หลังว่ามีคนด่าเรา
สาเหตุที่รู้ เพราะวันหนึ่งมีผู้เข้าแข่งขันในรายการเดอะเฟซ เค้าร้องไห้ เค้าเสียใจมาก แล้วหนูก็เข้าไปปลอบว่าเธอเป็นอะไร เค้าบอกว่าฉันโดนคนด่าในคอมเมนต์ มันเสียกำลังใจ หนูเลยให้กำลังใจเค้า แล้วก็มีทีมงานเดินมาพูดว่า เธอโดนแค่นิดเดียวเอง ดูติช่าสิ มันโดนเยอะกว่าเพื่อนเลย ตอนนั้นหนูเลยสงสัยว่า หนูโดนด่าเหรอ หนูไม่รู้เลย แล้วหนูก็ไปเปิด Facebook เปิด Pantip หาชื่อตัวเองใน Google ปรากฎว่า หนูเจอคนด่าเต็มกระทู้เลย พออ่านไปเรื่อย ๆ หนูก็เริ่มขำ เพราะว่าเค้าด่าหนูแรงมาก ตอนนั้นหนูคิดในใจว่า ฉันต้องยอมรับความดังของตัวเองให้ได้แล้ว เพราะว่าฉันมีคนเกลียดเยอะมาก นี่คือความดังของจริง แล้วที่หนูขำเพราะว่า เป็นคอมเมนต์ที่ไร้สาระมาก เตี้ยแล้วมาทำไม ไม่สวย มั่นหน้า คือหนูรู้สึกว่าคอมเมนต์พวกนี้ เค้าทำเพื่อที่จะมาทำลายความมั่นใจของเรา รู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยเราเลย พวกเค้ามีเวลาให้หนูขนาดนี้เลยเหรอ หนูยังไม่มีเวลาให้พวกเค้าขนาดนี้เลย แต่ว่าไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย ตอนนั้นด้วยความที่หนูมีเกราะป้องกันที่แข็งแรง หนูโดนชมมาทั้งชีวิต หนูเป็นคนสวยในบ้านของหนู ครอบครัวชมและภูมิใจในตัวหนูมาตลอด พอมาด่าว่าเราไม่สวย หนูเลยมองว่า นั่นมันปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน”

เซ็กซ์ vs ความรัก เหมือนกันไหม?
“หนูว่าแล้วแต่คน อย่างตัวหนูเอง ถ้าย้อนไปตอนอายุ 18 หนูคงตอบว่า เซ็กซ์ กับ ความรัก มันไม่ใกล้เคียงกันเลย เซ็กซ์คือเรื่องของความอยาก การผสมพันธุ์กัน แล้วความรัก คือความรู้สึก แต่เมื่อยิ่งโตขึ้น เริ่มรู้สึกว่าทั้งสองอันจะเริ่มเชื่อมกันมากขึ้น แต่ก็ยังแยกพอได้ ไม่ใช่เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวไปเลย หนรู้สึกว่า มันแล้วแต่คนจริง ๆ
มีบางอย่างที่หนูพยายามทำความเข้าใจอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่มาทำคอนเทนต์ในไทย เช่นเรื่องของ การรับผิดชอบ หนูยังไม่ชินกับความคิดที่ว่า ฉันเป็นผู้ชาย ฉันมีเซ็กซ์กับเธอ แล้วฉันต้องรับผิดชอบเธอ ช่าไม่เคยมี Concept นี้ในหัว อันนี้คือในกรณีที่ไม่ท้องนะคะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หนูต้องพยายาม เพราะว่า พอเป็นเรื่องของเซ็กซ์ เรื่องของความรู้สึกของมนุษย์ มันไม่มีอะไรที่อธิบายได้เสมอ มันไม่มีสูตรสำเร็จ บางคนอาจจะเสียใจมาก แต่บางคนก็ไม่รู้สึกอะไรเลย
แล้วด้วยประสบการณ์ส่วนตัวหนู คือเพื่อนผู้ชายหลายคนเคยมาบอก ติช่า ว่า ตอนที่ฉันเห็นผู้หญิง มักจะมีการจัดหมวดไว้ในหัวเลยว่า กลุ่มนี้สามารถคบเพื่อเป็นแฟนได้ กลุ่มนี้เพื่อเซ็กซ์ แล้วก็อีกกลุ่มที่ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดคุณไปตกอยู่ในกลุ่มที่ฉันอยากแค่จะมีเซ็กซ์ การที่จะเปลี่ยนไปเป็นความสัมพันธ์แบบแฟนมันยาก หลายคนอาจคิดว่า มีเซ็กซ์ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง แต่ตัวหนูมองว่า เคสแบบนั้น มันเกิดน้อยมาก”

ส่องสเปก เช็คสถานะหัวใจ ของ ติช่า
“สเปกของหนู หนูชอบคนที่มีความแซ่บ มีความแบด ๆ หน่อย ๆ แล้วหนูชอบฝรั่ง เพราะหนูว่า หนูไม่ใช่สเปกคนไทยในเชิงของการเป็นแฟน เพราะ Attitude และ Mindset ของหนู อาจจะไม่เหมาะกับผู้ชายไทย เพราะหนูค่อนค่าสตรอง ไปไหน ทำอะไรแบบว่องไว แล้วก็เป็นคนที่พูดเรื่องเซ็กซ์ด้วย หนูก็เลยชอบคนที่เท่าเทียมกัน และส่วนมากก็จะเป็นชาวต่างชาติ แล้วถ้าเราคบกัน แล้ววันนึงเค้ารู้สึกไม่มั่นใจในตอนที่อยู่ข้างหนู หนูก็จะไม่มั่นใจในตัวเค้าเช่นกัน เพราะในความเป็นตัวเรา มันอาจจะไม่ใช่สำหรับทุกคน แล้วพอเราไม่ใช่สำหรับเค้า เค้าก็ไม่ใช่สำหรับเราเหมือนกัน แล้วถ้ามันไม่ใช่ หนูสามารถเลิกได้เลย
ความรักที่ผ่านมา เราคบกัน 4 ปี ซึ่งยาวที่สุดในชีวิตหนูแล้ว ที่จบความสัมพันธ์เพราะรู้สึกว่า เราโตกันไปคนละทิศคนละทาง เราทั้งคู่เป็นคนที่แตกต่างกันมาก ซึ่งเราแตกต่างกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในตอนแรกทุกอย่างมันใหม่ เลยรู้สึกว่าเราปรับจูนกันได้ แต่กลายเป็นว่า มันมีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แล้วความแตกต่างของเรามันวนกลับไปเรื่องเดิม แต่ว่าความสัมพันธ์นี้ หนูทำใจเลิกมาสักพักแล้วนะ พยายามจะปรับปรุง พยายามจะจูนเข้าหากัน แล้วมันก็ไม่ได้ จังหวะสุดท้ายเราก็คิดว่า เราทั้งคู่อาจจะมีความสุขกว่าถ้าไปกันคนละทาง
คนชอบมองว่าการเลิกกันเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในโลก แต่หนูรู้สึกว่า บางทีคนเลิกกัน เราควรจะยินดีกับเค้าด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นการบอกว่า คนสองคนไม่เข้ากัน แล้วเค้าสองคนได้หาจุดจบของกันและกันเจอแล้ว เค้าจะได้มูฟออนไปเจอคนที่ใช่กว่า ไปหาตัวเองให้เจอดีกว่า ถ้ามันไม่ใช่ ก็คุยกันแบบผู้ใหญ่ มาดูกันว่าแก้ได้ไหม แก้ไม่ได้ก็จบกัน ตอนเลิกกันหนูเสียใจมาก ด้วยความที่เป็นคนอ่านเยอะ แล้วก็พยายามใช้ทฤษฎีกับตัวเอง หนังสือบอกว่า พอเลิกกัน มันจะมีช่วงที่เรารับได้ ดูเหมือนกับโอเค แล้วก็จะมีช่วงดาวน์ มันจะเป็นเหมือนกราฟ ที่จะขึ้น ๆ ลง ๆ จนกว่าเราจะอยู่ในจุดสมดุลกับตัวเอง จุดที่ยอมรับได้ว่านี่แหละคือความจริง
ตอนนี้หนูก็มีคนคุย แต่ไม่ได้มีแฟน ซึ่งพอโตขึ้น มุมมองความรักมันก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อน ด้วยความที่เราเคยเจ็บปวดมาในอดีต ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยพ่อแม่เลิกกัน ฉันอยากจะเก่ง ฉันอยากจะดี ฉันอยากจะเป็นที่รัก แล้วเรารู้สึกว่า ฉันต้องเจอคน ๆ หนึ่ง คนๆ นั้นคือต้องสมบูรณ์แบบ เป็นเหมือนตัว O ที่จะเติมเต็มชีวิตฉันทั้งหมด แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ควรมองความรักว่า ฉันเป็นตัว C และ เธอเป็นตัว C พอมาอยู่ด้วยกัน เราก็จะเป็นตัว O อย่างสมบูรณ์แบบ มนุษย์ทุกคนควรจะเป็นตัว O ในแบบของตัวเอง และคนตัว O ควรมาเจอกัน เพราะเค้าเป็นสองคนที่พร้อมแล้ว มันจะเป็นความรัก ที่เรารักตัวเอง และรักคนอื่นได้ด้วย”

เพศศึกษา ควรสอนกันอย่างไร?
“พ่อแม่ควรจะสอนลูกยังไง แล้วแต่พ่อแม่นะ แต่หนูรู้สึกว่า ควรสอนให้ลูกรู้ว่า อะไรควร หรือไม่ควร ในแต่ละพฤติกรรมดีกว่า อย่างตัวหนูเอง ตอนเด็ก ๆ ที่เคยโดน Sexual Harassment มันจะช่วยหนูมาก หากหนูรู้ว่า ถ้ามีผู้ใหญ่มาจับตรงนี้มันไม่โอเค ถ้ามีผู้ใหญ่มาขอดูอย่ายอมนะ แล้ว ถ้ารู้สึกไม่สบายใจกับผู้ใหญ่คนนั้น มาบอกพ่อได้นะ มาบอกแม่ได้นะ หนูรู้สึกว่า ถ้าเราสอนเค้าให้ป้องกันตัวเอง หรือรู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้มันแปลก มันจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้
อีกอย่างคือ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องบอกให้เด็กพยายามมาบอกผู้ใหญ่หากเกิดปัญหา เพราะที่จริงแล้วต้องบอกผู้ใหญ่ว่าอย่าไปก่อปัญหา เราอยู่ในสังคมที่ต้องบอกเหยื่อว่า เธออย่าเป็นเหยื่อที่แย่นะ เธอต้องระวังตัวเองนะ ซึ่งที่จริงแล้วมันควรจะบอกว่า เธออย่าไปทำร้ายคนอื่น เราควรจะสอนกันให้เคารพคนอื่น ถ้าทุกคนสอนเด็กของเราดี ปัญหาการไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นมันจะน้อยลง
ในส่วนของการศึกษา หนูคิดว่าตอนนี้หลายโรงเรียนก็มีวิชาเพศศึกษา ซึ่งการคุยเรื่องเซ็กซ์ มันไม่ใช่แค่บอกว่า อย่าไปมีอะไรกันนะเดี๋ยวท้อง เดี๋ยวติดเชื้อ เดี๋ยวติดเอดส์ อย่าลืมใช้ถุงยางนะหนูมองว่ามันผิวเผินเกินไป ตอนนี้ถามทุกคนก็รู้ว่าถุงยางคืออะไร แต่คนที่ใช้กันจริง ๆ น้อย เพราะความรู้สึกที่เรามีต่อถุงยาง หรือการป้องกัน มันยังมีความเขินอาย
เพราะฉะนั้น การสอนเรื่องเซ็กซ์ หนูรู้สึกว่ามันต้องคุยกันมากกว่านี้ Mood & Tone ของคนที่สอน และคนที่ให้ความรู้ ต้องรู้สึกว่า ฉันพร้อมที่จะอยู่ตรงนี้เพื่อรับฟังเธอ และให้ความรู้เธอนะ แล้วก็คุยกันแบบไม่ต้องเขินอาย หนูรู้สึกว่ามันจะช่วยได้เยอะเลย และหากสอนความรู้ที่มันสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้ ก็น่าจะดี”

เป้าหมายต่อไป ของ ติช่า กันติชา
“ติช่า อยากสัมภาษณ์คนแบบ On Street มากกว่านี้ เพราะอยากจะดูเซ็กซ์ที่หลากหลายมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือดารา แล้วก็อยากจะให้มีช่วงอายุที่หลากหลาย เช่น อยากจะสัมภาษณ์เด็กที่เด็กกว่านี้ เพราะอยากจะถามว่า ความเข้าใจของเค้า ณ ตอนนั้นคืออะไร ถามคำถามง่าย ๆ แล้วให้เค้าตอบโดยที่เราไม่ต้องไปยัดคำตอบให้เค้า จะได้รู้สึกว่าเด็กกลุ่มนี้ อายุประมาณนี้ สามารถคุยเรื่องแบบนี้ได้ มันจะทำให้คนนำไปปรับใช้กับครอบครัวของตัวเอง หรือในโรงเรียนมากขึ้น อาจจะช่วยในการศึกษาเพศศึกษาในโรงเรียนมากขึ้น” - ติช่า กันติชา

ดูรายการย้อนหลัง
