เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “โยชิมาทำไม” ซึ่งมาจากความสวยความปังของ โยชิ รินลดา นางงามสาวคนสวยผู้สร้างตำนานทุกครั้งที่ปรากฏตัว หรืออยู่ร่วมเฟรมกับใครก็สวยโดดเด่นออร่าพุ่ง จนเพื่อน ๆ อดแซวไม่ได้ ก่อนที่จะกลายเป็นไวรัล และถูกชาวเน็ตนำไปใช้กันในหลาย ๆ โอกาส
Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” มีโอกาสเปิดไมค์ต้อนรับ “โยชิ รินลดา” สาวสวยออร่า เจ้าของมงกุฎ Miss Tiffany's Universe 2017 เน็ตไอดอลชื่อดังในตำนาน ที่หลายคนขนานนามว่าต้นแบบผู้หญิงข้ามเพศยุค 2010 ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านหลากหลายเรื่องราว ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาหลายครั้ง ซึ่งทั้งหมดก็การันตีแล้วว่า ความสวยอย่างเดียว ไม่ทำให้ โยชิ มาไกลได้ขนาดนี้

โยชิ รินรดา พาย้อนความทรงจำวัยเด็ก
“ในวัยเด็กของ โยชิ ก็จะมีช่วงที่ห้าว ซึ่งเราห้าวตามเพื่อน แต่พอเริ่มขึ้น ม.ปลาย ก็จะเริ่มรู้อะไรมากยิ่งขึ้น เราก็จะกลับมาอยู่ในกฎระเบียบของโรงเรียน ซึ่งที่บ้านคุณแม่ยอมรับ แต่คุณพ่อค่อนข้างที่จะไม่ยอมรับ ก็จะถือว่าโชคดีหน่อยที่คุณแม่ยังเข้าใจและคุยกันได้ ด้วยความที่คุณแม่เป็นคนใจดี เราก็เลยกล้าที่จะเปิดใจกับคุณแม่ คุยกันทุกเรื่อง
เวลาที่โรงเรียนมีงานกีฬาสี เราก็จะเตรียมชุดผู้หญิงไปเปลี่ยน เรารู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่มีความสุขมากเลย คือตอนกลับบ้านเราก็เป็นผู้ชาย แต่พอออกไปข้างนอกแล้วได้ใส่วิก ต่อให้วิกมันจะโป๊ะมากแค่ไหน หรือวิกจะฟูมากแค่ไหน เราก็รู้สึกแฮปปี้ที่เราได้แต่งเป็นผู้หญิง บางครั้งอยากจะใส่ยีนส์ขาสั้นออกไปข้างนอก เราก็จะใส่กางเกงขายาวออกไปก่อน พอไปถึงตู้โทรศัพท์ก็จะปลดกางเกงขายาวข้างนอกออก แล้วใส่กางเกงขาสั้นข้างใน
วิกผมอันแรกในชีวิต ตอนนั้นเราบอกกับพ่อว่าเรียนนาฏศิลป์ ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันกิจกรรมน่าจะบอกกับพ่อได้ง่าย ก็เลยจะเอาเหตุผลนี้ไปบอกพ่อว่า ขอซื้อวิกได้ไหม หนูจะเอามาใช้นาฏศิลป์แรก ๆ พ่อก็เหมือนไม่อยากซื้อให้ แต่ด้วยความที่เราตื๊อและให้เหตุผลว่าต้องใช้ในกิจกรรม จนพ่อใจอ่อนยอมให้ใส่ พอได้ใส่วิกกลายเป็นว่าเราใส่บ่อยเกินจนพ่อแบบสงสัย ว่าเวลาซ้อมรำต้องใส่ด้วยเหรอ ก็โดนดุไปช่วงหนึ่งตอนที่ใส่บ่อย ๆ ส่วนคุณแม่ก็เป็นสายซัพพอร์ท เค้าจะคอยดูให้ว่าคุณพ่ออยู่ตรงไหน แล้วก็จะคอยส่งสัญญาณมาทางโทรศัพท์ว่าทางสะดวก เดินมาได้เลย
ซึ่งการที่พ่อยอมรับได้ ต้องบอกว่าเราไม่เคยคุยกับพ่อโดยตรงเลยว่าขอเป็นผู้หญิงได้ไหม แต่เราจะค่อย ๆ เปลี่ยนเริ่มจากกางเกงสั้นตรงหัวเข่า แล้วค่อย ๆ เขยิบมาเดือนละนิ้ว ให้มันสั้นขึ้น พ่อก็จะค่อย ๆ ชินตา ซึ่งเราคิดว่าในใจลึก ๆ พ่อเค้ารู้ว่าเราเป็น แต่พ่อแค่ไม่กล้าพูดกับเรา เราก็ไม่กล้าพูดกับพ่อ ต่างคนต่างเงียบใส่กัน แต่เราก็เป็นตัวของเราเองไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเข้ามหาวิทยาลัยเราก็แต่งเป็นผู้หญิงเลย แล้วเพิ่งมาคุยกัน หลังจากที่ได้เป็นมิสทิฟฟานี่ ตอนนั้นไปออกรายการหนึ่ง จึงกลายเป็นโอกาสที่เราได้เปิดใจคุยกันในรายการนั้น
ในการผ่าตัดแปลงเพศ มันเป็นความเจ็บที่เราอยากจะเจ็บอยู่แล้ว เราอยากจะเป็นผู้หญิงเต็มตัวมาตั้งนานแล้ว แล้วก็ประจวบเหมาะที่มีสปอนเซอร์เข้ามาด้วย แล้วก็เป็นช่วงปิดเทอมด้วยทุกอย่างเหมาะสมหมดเลย เราก็เลยขอคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็ตกลงเซ็นยอมรับไป เราไม่ได้บอกคุณพ่อ แต่คุณพ่อไปเฝ้า คือทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแปลงเพศ ไม่ได้บอกคุณพ่อเลย แต่เป็นการบอกแม่ แล้วแม่ไปบอกพ่อต่อ สำหรับหนูและพ่อ มันเหมือนมีการซื้อขายเกิดขึ้น เหมือนเรารู้ว่าคุณพ่อชอบอะไร เราก็จะพยายามทำให้เค้าเห็น เรียนก็ไม่หลุด Top 5 หาเงินจ่ายค่าเทอมเอง หรือว่าส่งให้พ่อกับแม่บ้าง ค่อย ๆ ทำเป็นสเต็ป พ่อก็ค่อย ๆ เปิดมากยิ่งขึ้น เราคิดว่าในใจคุณพ่อเค้าแค่กลัวว่าเราจะใช้ชีวิตในสังคมลำบาก กลัวว่าจะมีงานทำรึเปล่า จะโดนคนในสังคมล้อรึเปล่า แต่สุดท้ายแล้วเราก็พิสูจน์ให้คุณพ่อเห็นว่า เราสามารถมีงานทำ แล้วก็อยู่ในสังคมนี้ได้เหมือนกัน”

จากภาพถือป้ายโรงเรียน สู่จุดเริ่มต้นของเน็ตไอดอลสาว
“สำหรับรูปตอนถือป้ายโรงเรียน มันเกิดขึ้นจากความพยายามของเรา เพราะเรามีความฝันว่าอยากจะถือป้ายโรงเรียนสักครั้ง เนื่องจากตอนเด็ก ๆ เราก็เห็นว่ารุ่นพี่คนที่ถือป้ายโรงเรียนเค้าสวยจังเลย ต้องทำยังไงฉันถึงจะได้ไปถือป้ายโรงเรียน ซึ่งมันจะมีสเต็ปของการที่จะได้ไปถือป้ายโรงเรียน เราจะต้องชนะขบวนพาเหรดในระดับสีก่อน แต่ละคณะสีต้องแข่งขันกันก่อน เราก็ตั้งใจไว้เลยว่า ชุดจะต้องเด่นและแหวกแนวจากหลายๆ ปี ก็เริ่มทำการบ้าน คิดออกแบบ ก็ทำให้เราชนะในระดับคณะสีมาได้ แล้วพอจะต้องเป็นตัวแทนถือป้ายโรงเรียนจริง ๆ ตอนนั้นก็คิดว่าต้องทำยังไงก็ได้ให้เด่นที่สุดอีกเหมือนกัน ก็เอาลูกบอลพลาสติกปาดครึ่งแล้วก็เอามาต่อกัน 3 ชั้น กลายเป็นชุดดอกไม้สวยหวาน ใส่รองเท้าส้นสูงตู้ปลา กลายเป็นสูงเด่นมาแต่ไกล แล้วก็มีคนถ่ายรูปเราไปลงเว็บบอร์ด ตอนนั้นก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนให้ความสนใจมากขนาดนี้ คาดหวังเพียงแค่ว่าขบวนพาเหรดเราจะต้องชนะแค่นั้นเอง
หลังจากนั้นพอรูปได้เผยแพร่ กลายเป็นว่าคนแชร์กันเยอะมาก ทำให้มีคนเข้ามาติดตามเรามากยิ่งขึ้นจากที่ไปถือป้ายโรงเรียน เราก็เพิ่งเข้าใจคำว่าเน็ตไอดอลตอนนั้น แล้วเริ่มมีคนติดต่องานเข้ามา หรือว่าชวนไปแคสโฆษณา แคสภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น เราก็เริ่มมีรายได้จากตรงนั้น แล้วเริ่มเกิดหลายแฮชแท็ก #กะเทยหน้าหวาน #หนุ่มหน้าหวาน เราว่าเป็นเพราะดวงด้วยที่คนให้ความสนใจ เพราะตอนแรกเราก็ไม่ได้คาดหวัง แต่พอกลายเป็นที่รู้จัก เราก็รู้สึกดีใจที่มีคนให้ความสนใจเรา
เงินที่ได้จากการทำงานครั้งแรก เราเอามาซื้อโทรศัพท์ให้กับพ่อแม่ ก่อนหน้านั้นพ่อกับแม่เป็นคนที่ Low Tech พ่อไม่มีโทรศัพท์เลย ส่วนแม่ก็จะมีไว้เฉพาะแบบรับสายลูกค้า เพราะว่าพ่อแม่เปิดร้านอาหารตามสั่ง ลูกค้าก็จะโทรมาสั่งข้าว ตอนนั้นเรามองว่าโลกอินเตอร์เน็ตมันก็สำคัญ ก็อยากจะให้พ่อกับแม่เห็นผลงานของเราด้วย ซึ่งถ้าจะให้ไปสอนเค้าใช้คอมก็คงจะไม่ได้ ก็เลยซื้อโทรศัพท์ให้พ่อกับแม่ ให้เค้าได้ดูรายการต่าง ๆ ที่เราได้ไปออกรายการ
อีกสิ่งหนึ่งที่คนสนใจหลังจากได้เห็นรูปถือป้ายโรงเรียนของเรา คือจะมีน้อง ๆ ทักมาถามเรื่องการเทคฮอร์โมนยังไงให้ละมุน ซึ่งในตอนนั้นเป็นช่วงที่หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ส่วนมากก็อ่านในบล็อกต่าง ๆ แล้วก็ถามจากรุ่นพี่ แล้วก็ไปจำ แต่ในตอนนี้ เราคิดว่าสื่อมีมากยิ่งขึ้น เด็กรู้เท่าทันสื่อ และเข้าถึงสื่อมากยิ่งขึ้น ก็จะรู้วิธีการเทคฮอร์โมนที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ซึ่งเด็กสมัยนี้ก็ถือว่าโชคดีมาก ๆ อยากแนะนำให้ไปตรวจระดับฮอร์โมน และปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเทคฮอร์โมนนะคะ เพราะแต่ละคนมีระดับฮอร์โมนในตัวไม่เท่ากัน และไม่รู้ด้วยว่า เวลาเราเทคแต่ละครั้งมันเยอะไปหรือเปล่า ซึ่งบางทีเทคเยอะไปมันอาจจะเกินขีดจำกัดที่ร่างกายเราจะรับไหว”

จากเน็ตไอดอลสาว ก้าวสู่วงการบันเทิง
“พอเริ่มมีชื่อเสียง ก็เริ่มมีคนติดต่อให้ไปออกรายการ เริ่มจากรายการ หัวโปก ก็อตทาเลนต์ ซึ่งน้าเน็ก ทำ ในตอนนั้น รายการไทยแลนด์ก็อตทางเลนต์กำลังมา น้าเน็ก ก็คิด หัวโปกก็อตทาเลนต์ แล้วมีการออดิชั่นเป็นเรื่องเป็นราว เราก็ไปออดิชั่น แล้วได้ร่วมรายการ
จากนั้นก็มีหนัง เรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่น่าร็อก (App Love) ของพี่เพชร แล้วก็มี หอแต๋วแตก ของพี่พจน์ เรารู้สึกว่าชอบทำทุกอย่างที่ได้อยู่หน้ากล้อง ชอบตั้งแต่อยู่โรงเรียน ชอบทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นนางรำ หรือเดินพาเหรด ชอบให้คนมาถ่ายรูป เลยรู้สึกว่าวงการบันเทิงเหมาะกับเรา ยิ่งได้มาเรียน คณะนิเทศศาสตร์ ก็รู้สึกสนุกกับงานเบื้องหลังเหมือนกัน และรู้สึกว่าตรงนี้เหมาะกับเรา
ในเรื่องการเลือกรับบท เราคิดว่าอยากจะรับบทที่อัพเดท และไม่ตอกย้ำ LGBTQ+ เราเคยมีโฆษณาติดต่อมา ให้กินขนม แล้วมีผู้ชายเห็นว่าสวยเลยเข้ามาคุยว่าเธอกินอะไรอยู่เหรอ แล้วเราตอบว่า ฉันกินขนมอยู่ แล้วผู้ชายตกใจที่เราเสียงใหญ่แล้ววิ่งหนี ซึ่งจริง ๆ บทนี้เราก็เล่นได้แหละ แต่แค่ไม่อยากตอกย้ำอะไรที่มันเดิม ๆ อยากจะมีอะไรที่มันอัพเดทบ้าง เพราะว่าถ้าตอกย้ำตรงนี้อีก บางทีผู้ปกครองเข้ามาเห็น เค้าก็กลัวว่าลูกของเค้าจะโดนผู้ชายทิ้งเพราะเสียงใหญ่แบบนี้บ้าง เราอยากจะเสนอมุมมองอะไรที่มันอัพเดทบ้าง
อย่าง ซีรี่ส์ The Interns หมอ มือ ใหม่ ที่เรามีโอกาสได้เล่นเรื่องนี้ พอเรารู้ว่าจะต้องรับบทเป็นคุณหมอ มันกลายเป็นเรื่องใหม่สำหรับเราจังเลยก็เลยรับเล่น ซึ่งพอมาเล่น ถึงรู้ว่าการเป็นหมอมันยากเหมือนกัน ต้องฝึกหลายอย่าง แล้วเป็นซีรี่ส์เรื่องแรกที่เราเล่นเป็นบทนำด้วย ซึ่งปกติเราก็จะเป็นรับเชิญ พอได้เล่นบทนำก็ต้องคิดว่าเล่นยังไงให้เป็นธรรมชาติ ต้องจำศัพท์หมอ และต้องพูดบทยาว ๆ ซึ่งยากเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้รับบทตัวละครนี้ เพราะมันเหมือนทำให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน เราก็สามารถมีอาชีพที่คนยอมรับได้ มุมมองก็จะเปิดกว้างขึ้น ใครที่กำลังมีลูกเป็น LGBTQ+ ก็จะเห็นว่า จริง ๆ แล้วลูกเราก็สามารถเป็นหมอได้นะ เหมือนสื่อนำเสนอให้ผู้ปกครองได้เห็นในมุมนี้ ในอนาคต บทที่เราอยากเล่น คงเป็นบทธรรมดา ๆ ทั่วไป เหมือนผู้หญิงกับผู้ชาย แล้วตอนจบเราสมหวัง ซึ่งยังไม่เคยเล่น ถ้ามีโอกาสก็อยากเล่น
เราเคยถูกปฏิเสธงานเพราะเพศสภาพ ย้อนไปตอนเด็ก ๆ ช่วงมัธยมปลาย เคยมีคนทักเข้ามาเป็นงานพริตตี้ ซึ่งเค้าก็ยังไม่รู้ว่าเราเป็นสาวประเภทสอง พอได้คุยรายละเอียดงานเรียบร้อยหมดแล้ว สรุปสุดท้ายเราก็ไม่สบายใจกลัวเค้ายังไม่รู้ก็เลยไปบอกกับเค้าว่า จริง ๆ แล้ว หนูไม่ใช่ผู้หญิงนะคะ เค้าก็บอกว่าต้องขอโทษด้วยนะคะที่ต้องเรียนตามตรงว่า เรารับเฉพาะผู้หญิงแท้ แล้วเค้าก็หายไปเลย เราคิดว่า ถ้าเป็นในสมัยนี้ ในสังคมนี้ เหมือนเรามีคู่แข่งที่เยอะกว่า แล้วเราจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้เค้าเห็นว่า ฉันดี ต้องเลือกฉัน คิดว่าต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะ ในเรื่องบทบาทการแสดงในปัจจุบัน ส่วนตัวเรายอมรับหมดเลย เช่นผู้หญิงที่มารับบทเป็นทรานเจนเดอร์ แล้วเค้าแสดงดีมาก เค้าเก็บรายละเอียด น้ำเสียง ท่าทางทุกอย่างเหมือนว่าเค้าคือทรานส์เจนเดอร์จริง ๆ เราก็รู้สึกว่า เค้าเล่นได้ แล้วก็ยอมรับ ซึ่งหวังว่าในอนาคต สังคมไทยจะเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น อยากให้คนยอมรับ เวลาที่มีทรานส์เจนเดอร์ ที่เก่ง เก็บรายละเอียด ให้สามารถเล่นเป็นผู้หญิงได้เหมือนกัน”

เส้นทางนางงาม ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
“ตอนที่เราอยากจะประกวดนางงาม ตอนนั้นครบรอบ 20 ปี Miss Tiffany's Universe ด้วย แล้วเงินรางวัลเยอะ ซึ่งเป็นช่วงที่เราอยากลองอะไรใหม่ ๆ แต่ก็ยังคิดสองจิตสองใจ เพราะบางคนก็มาบอกว่า เป็นเน็ตไอดอลแล้วจะไปประกวดทำไม มีชื่อเสียงแล้วถ้าไปแล้วไม่ได้มงจะไม่อายเค้าเหรอ แต่อีกใจนึงก็คิดว่า มันเป็นความฝันของเรานะ ลองสักครั้งหนึ่งในชีวิตดีไหม และตอนนั้น พี่ไก่โต้ง Miss Tiffany's Universe 2006 ซึ่งเป็นนางงามค่ายเดียวกัน เค้าก็โทรมาคุยว่า ถ้าไม่ลงแม่ไม่ว่านะ แต่แม่จะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า มิสทิฟฟานี่จำกัดอายุแค่ 25 ถ้าหนูอายุเกิน 25 ไปแล้วอยากจะมาประกวดมันไม่ได้แล้วนะ เวลามันไม่สามารถย้อนกลับมาได้แล้วนะ เราก็เลยมาตกตะกอนความคิดว่า ถ้าเรามัวแต่กลัว ก็จะไม่ได้ทำสักที ก็เลยตัดสินใจลงประกวด
ตอนที่ลงสมัคร เราก็มีความมั่นหน้าพอตัว ด้วยความที่เป็นเน็ตไอดอล มีผู้ติดตาม มีคนกดไลค์คิดว่าเป็นนางงามมันไม่ยากหรอก แต่พอเข้าไปจริง ๆ ไม่เป็นอย่างที่คิด ซึ่งตอนแรกก็ไม่เห็นตัวเอง แต่กรรมการหลาย ๆ ท่านก็บอกว่า แบบนี้เป็นนางงามไม่ได้ ซึ่งปกติเราก็จะขายของอยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์ แต่ในบริบทนางงามไม่ได้แค่ขายของ มันต้องเดินบนส้นสูง ต้องเป็นคนที่พูดมีเหตุผลรองรับ มันมีหลายทักษะมากกับการเป็นนางงาม ทำให้เริ่มรู้สึกว่า นางงามมันไม่เหมาะกับเรา
เราโดนแฟน ๆ นางงามว่าด้วย จากคนที่ชมเราว่าสวยน่ารัก กลับกลายเป็นคอมเมนต์ลบเยอะมาก ตอนนั้นเราดาวน์ไปเลย ความมั่นใจติดลบ อยากจะถอนตัวเลย โทรไปบอกแม่ว่า หนูไม่ไหวแล้ว แม่ก็บอกว่าถ้าจะถอนตัวก็ถอนได้ แต่พอโทรไปหาพี่ ๆ กองประกวด เค้าบอกว่าถ้าถอนตัวไม่เสียดายโอกาสเหรอ เพื่อน ๆ อีกหลายคนที่เค้าไม่มีโอกาสได้เข้ามาเป็น 30 คนสุดท้าย เค้าจะเสียโอกาสตรงนั้นไหม เราก็เลยกลับไปคิดว่า เมื่อเค้าให้โอกาสเราเข้ารอบมาแล้ว เหมือนเราก้าวขามาข้างนึงแล้ว ทำไมเราไม่ลองก้าวต่อไป เลยตัดสินใจเดินต่อ และตั้งใจมาก ซื้อคอร์สฟิตเนส ยกดัมเบล เล่นแขนหน้าแขนหลัง จ้างเทรนเนอร์ กินไข่ไก่ วันละ 5 ฟอง กินเวย์โปรตีน ทำยังไงก็ได้ให้เราตัวใหญ่ขึ้น เพราะว่าตอนเด็ก ๆ เราผอม ซึ่งถ้าจะเป็นนางงามก็จะต้องให้ความสำคัญกับรูปร่าง
หลังจากนั้น ในช่วงรอบ Preliminary เราก็เริ่มได้รับคำชม เค้าเห็นว่าเราพยายามจริง ๆ เราก็เริ่มมีแบบแรงฮึด พอถึงรอบ Final ก็เต็มที่มาก ๆ แต่ก็อาจจะทำได้ไม่ดีเท่ากับคนอื่น เพราะเราตื่นเวที ตอบคำถามแบบสั่น ๆ พอได้มง ก็ดีใจได้แค่แป๊บเดียว เพราะเหมือนกรรมการบอกว่า เราตอบคำถามได้ไม่ไหลลื่นเท่ากับคนอื่น ก็เริ่มมีดราม่าว่าล็อคมงบ้าง ไม่สมมงบ้าง แต่จะให้เราทำยังไง เราได้มงมาแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว เค้าให้มงเรามา ก็ทำหน้าที่ของเราต่อไป”

อยากให้ชื่นชมกัน โดยไม่ต้องเปรียบเทียบหรือด้อยค่าคนอื่น
“คนไม่รู้ พูดได้ไม่ผิด แต่เรารู้สึกว่า บางทีคนชอบเอาเราไปเปรียบเทียบ เช่น โอ้โห สวยฆ่าผู้หญิงมากแม่ ซึ่งเรารู้สึกว่า เราไม่ได้ไปฆ่าใคร เราไม่มีมีด เราไม่มีปืน เราไปฆ่าเค้าไม่ได้หรอก หรือคำชมที่ว่า สวยกว่าผู้หญิงอีก เอามดลูกฉันไปเถอะ เราไม่ชอบการชื่นชมเชิงเปรียบเทียบ ทั้งเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วด้อยค่าคนอื่น หรือว่า เปรียบเทียบเรา แล้วด้อยค่าเราเอง เรารู้สึกว่าทุกคนมีความสวยเป็นของตัวเอง เรารู้สึกว่าการชมแบบนี้มันก็คือการแบ่งแยก ทั้งนี้ทั้งนั้นคือ ถ้าเค้ามาพูดโดยที่เค้าไม่รู้ เราไม่ได้โกรธเค้านะ แต่ถ้าเค้ารู้แล้ว เราก็รู้สึกว่าคำชมพวกนี้อาจจะเลี่ยง ๆ ไปก็ได้
ยิ่งมีแฮชแท็ก #โยชิมาทำไม เรารู้สึกว่า พอเราไปถ่ายรูปกับคนอื่น แล้วเหมือนเค้าก็จะชื่นชมเกินขีดจำกัด เช่น โอ้โห โยมาฆ่าเค้าคนนั้นดร็อปเลย ซึ่งเวลาอ่านเราไม่ได้รู้สึกดีใจนะ ไม่ต้องมาชื่นชมในเชิงเปรียบเทียบกันดีกว่า แค่มาแซวกันเล่นดีกว่า ไม่ต้องแบบว่า โยชิไปฆ่าเค้าทำไม โยชิมาคนอื่นหมองเลย โยชิมาคนอื่นจมเลย ซึ่งเราเห็นคอมเมนต์ มันไม่ได้ดีใจที่ได้คำชมแบบนี้”

เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ นี่แหละคือความสุข
“แต่ก่อนเราแอ๊ปค่ะ พอเราได้เป็นมิสทิฟฟานี่แล้วเจอดราม่า ก็รู้สึกว่าไม่อยากออกไปข้างนอก ต้องทำตัวเป็นนางงาม แล้วก็ต้องแอ๊ปว่า นางงามไม่เที่ยวร้านเหล้า นางงามชอบทำงานเพื่อสังคม นางงามรักเด็ก เวลาอยากจะออกไปเที่ยว ก็จะไปเฉพาะงานวันเกิดเพื่อน งานวันเกิดตัวเอง แต่นอกจากนั้นเราก็จะไม่ออกไปปาร์ตี้ เพราะกลัวคนเห็นเราอยู่ร้านเหล้าแล้วมองไม่ดี เราก็จะแอ๊ปเป็นคนเรียบร้อย แต่จริง ๆ ในใจลึก ๆ หนูเป็นคนชอบเที่ยว ชอบสังสรรค์ ชอบปาร์ตี้ บางครั้งก็อยากเมา อยากเอ็นจอยกับเพื่อน แต่เราก็ไม่ไป เลยรู้สึกว่าชีวิตเรามีอะไรที่ขาดไปเหมือนกัน เพราะว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัยไม่ค่อยได้เที่ยวเลย
จนถึงช่วงโควิด ทุกคนกักตัวหมดเลยไม่ได้ออกไปไหน แล้วเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่า เรากำลังสวยสะพรั่ง อายุ 23-24 เป็นช่วงที่เราโตเป็นวัยรุ่น ควรที่จะออกไปใช้ชีวิต ออกไปเที่ยว ออกไปสังสรรค์รึเปล่า แล้วก็มานั่งคิดว่า จริง ๆ แล้วเรากลัวอะไรกันแน่ การที่เรากออกไปเที่ยวกลางคืนมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเราก็เป็นมนุษย์ปกติ แล้วเราจะมาห่วงสวย ห่วงที่จะไม่ดีทำไม ถ้าสมมติเราตายขึ้นมา เรายังไม่ได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนแบบเต็มที่ ซึ่งพอเจอโควิดก็รู้สึกว่า ชีวิตเราไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีโรคระบาดร้ายแรงอะไรจะเกิดขึ้นอีก ก็เลยตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตดีกว่า ดีใจที่ชีวิตนึงเราได้ใช้อย่างเต็มที่ แล้วก็ได้สัมผัสกับสิ่งที่เราไม่เคยกล้าทำมาก่อน ซึ่งหนูเป็นคนเต็มที่ เวลาไปเที่ยวก็คือเที่ยวสุด เวลาไปทะเลก็จะไม่ได้ห่วงผิวมาก แต่ก่อนก็จะเป็นคนกลัวแดด ล่าสุดก็ไปทะเลก็ผิวไหม้ ก็ช่างมันกลับมาก็ดูแล หรือว่าไปปาร์ตี้ เราก็ไปสุดเหมือนกัน
ทุกวันนี้เราอยากทำทุกวันให้มีความสุข ทำงานใช้เงินที่เราหามาซื้อความสุข เช่น ไปเที่ยว ไปสถานที่สวย ๆ จากที่เมื่อก่อนเป็นคนเก็บเงิน จะรู้สึกว่าเก็บไปเถอะเงินมันสำคัญ เราต้องมีเงินเก็บเยอะ ๆ แต่ทุกวันนี้ก็คือใช้เงินซื้อความสุข ไปเที่ยวสถานที่สวย ๆ กินอาหารอร่อย ๆ ให้ความสุขตัวเองมากยิ่งขึ้น”

เปิดอกส่องสถานะหัวใจ ของ โยชิ รินรดา
“ยอมรับตรง ๆ ว่าก็มีคนเข้ามาคุย แต่ด้วยความที่เหมือนเราโตขึ้น มันมีหลายองค์ประกอบมากที่ต้องคิด เพราะเราต้องทำงานหาเงินด้วย ก็รู้สึกว่าอยากจะได้คนที่เข้าใจเราจริง ๆ หรือว่าคุยกับเราได้จริง ๆ ถ้าเป็นแต่ก่อน เรายอมลดสเปกเพื่อที่จะได้กับคนที่อยากคุยด้วย เพราะความเหงา เราก็จะยอมลดความเป็นตัวเอง แล้วพอผ่านไปเรารู้สึกว่ามันอึดอัด เพราะเรายอมเค้าตั้งแต่แรก แต่พอตอนนี้ เหมือนเราโตมากขึ้นแล้ว ก็ไม่อยากคุยแล้วก็เสียเวลากับคน ๆ หนึ่งที่มันไม่ใช่
ความรักที่ผ่านมา มันมีทั้งดี แล้วก็ไม่ดี ซึ่งเราก็จะเสพแต่เรื่องดี ๆ ทุกวันนี้ เราสามารถเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ทุกคนเลย ในอนาคตเราฝันอยากมีลูก แต่ยังไม่อยากมีตอนนี้ เพราะรู้สึกว่าเรายังรับผิดชอบชีวิตเค้าไม่ได้ ถ้ามีลูกก็จะต้องให้ลูกมีที่เรียนดี ๆ กินข้าวดี ๆ ทุกมื้อ ซึ่งถ้าวันหนึ่งเราพร้อมก็อยากจะมีลูก แต่ตอนนี้หาแฟนก่อน อยากมีแฟนก่อน”

สีสันแรงบันดาลใจ จาก โยชิ รินรดา
“ความสุขของเราสำคัญมาก ๆ บางคนต้องพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งก็จะมีทั้งพิสูจน์แล้วเค้ายอมรับเรา กับพิสูจน์ให้ตายยังไงเค้าก็ไม่ยอมรับเราอยู่ดี เราก็แค่ออกมาจากตรงนั้นที่มัน Toxic แล้วก็ไปหาที่ที่เป็นของเราดีกว่า โลกนี้มันใหญ่มาก ถ้าตรงนี้มันไม่ใช่ ก็ไปอยู่ที่ที่เรามีความสุขค่ะ” - โยชิ รินรดา

ดูรายการย้อนหลัง
