เปิดชีวิตตลกที่ไม่ตลอด ของ “ธงธง มกจ๊ก” ดาวตลกสุดสตรอง สาวสองสายฮา

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตตลกที่ไม่ตลอด ของ “ธงธง มกจ๊ก” ดาวตลกสุดสตรอง สาวสองสายฮา

12 ต.ค. 2023

“คนเราบนโลกใบนี้ ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วสมหวังไปทุกอย่าง เราต้องมีทุกข์เกิดขึ้นแน่นอน เวลามีทุกข์หรือมีปัญหา มันจะทำให้เราเกิดปัญญาในการแก้ปัญหา พอทุกข์มันผ่านไป ความพัฒนาทางด้านจิตใจของเราจะแข็งแกร่งขึ้น เพราะฉะนั้นอย่ากลัวความทุกข์ และอย่ากลัวว่าจะต้องสูญเสีย ในความสูญเสียนั้นมีข้อดีอยู่หาให้เจอ”

 

 

ยังเป็นคลับที่รวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “ธงธง มกจ๊ก” ดาวตลก LGBTQ+ อารมณ์ดีมากฝีมือ ที่คอยสร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ให้กับคนดูมาอย่างยาวนาน และมีผลงานมาหลากหลายทั้งการเล่นตลก ละคร ซิทคอม ภาพยนตร์ หรือละครเวที ถึงแม้ว่าเธอจะโด่งดังจากการเล่นตลก แต่สีสันและประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้ตลกอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าเธอเป็นตัวแม่สุดสตรอง สาวสองสายฮา ที่ได้มาแชร์เรื่องราวชีวิตให้ฟังในรายการด้วย

 

พาย้อนวัยเด็ก ของ ธงธง มกจ๊ก

“ชื่อ ธงธง มาจากที่เราเกิดวันลอยกระทง เลยมีชื่อเล่นว่า ธง อยู่แล้ว จากนั้นพอมาเล่นตลกกับพี่จตุรงค์ เค้าก็ให้เราตั้งชื่อเอง แล้วมันกะทันหันมาก ตอนนั้นกำลังเล่นตลกอยู่ พี่รงค์ก็ถามว่า เร็ว ๆ จะใช้ชื่ออะไร จะประกาศบนเวที เราก็ไม่รู้จะใช้ชื่ออะไรดี จะชื่อไอ้ธงก็ไม่ได้ แล้วตอนนั้นทาทา ยัง กำลังดัง เราก็เลยขอเป็นชื่อ ธงธง เป็นพี่สาว ทาทา ละกัน แล้วก็กลายเป็น ธงธง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

วัยเด็กเราเป็นเด็กที่เรียบร้อย ขยันทำงานบ้าน ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังพ่อแม่ แล้วในตอนเด็กด้วยความที่เรากระตุ้งกระติ้ง แล้วเราก็กลัวว่าแม่เราจะอายที่มีลูกตุ้งติ้ง เราเลยกลายเป็นคนที่ทำงานบ้านเก่งมาก จนคนแถวบ้านเมาท์กันว่า ทำยังไงฉันถึงจะได้ลูกเหมือนยายแขก ทำไมลูกขยันจัง สอนลูกยังไง เรากลายเป็นคนที่พยายามทำอะไรก็ได้ ให้คนรู้สึกอิจฉาแม่ที่มีลูกอย่างเรา ซึ่งแม่ก็จะเป็นคนที่คอยชื่นชมเรา แล้วชอบให้เราแต่งหญิง ตอนเด็ก ๆ เราหน้าตาดีจิ้มลิ้ม แล้วคุณแม่เป็นนางเอกลิเก เวลาไปไหนก็เอาลูกไปด้วย แล้วเวลาแต่งหน้าเสร็จ เค้าก็จะมาแต่งหน้าลูก แต่งแล้วสวยเค้าก็เลยชอบ แต่พ่อจะไม่ชอบเลย ไม่อยากให้เราตุ้งติ้ง

ตอนเด็ก ๆ เราเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ดี เวลาไปเรียนหนังสือเราจะตีความสิ่งที่ครูสอนให้มันกลายเป็นความสนุกในห้อง เพราะเวลาหลังพักเที่ยงทีไร ทุกคนในห้องมักจะง่วงนอน ทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง เราเลยมักจะสนุกกับการแซวครูบ้าง แซวเพื่อนบ้าง ครูให้ข้อมูลอะไรมาเราก็ทำข้อมูลให้มันตลก นี่คือเรื่องถนัดของเราเลย”

 

 

ไม่อยากเล่นลิเก ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวเป็นลิเก

“ธงธง เป็นคนนครราชสีมา เติบโตจากโรงลิเก เพราะทั้ง คุณพ่อและคุณแม่เล่นลิเก แต่ว่าเราไม่อยากเล่นลิเก เพราะมีความรู้สึกว่า ผู้ชายเวลาเล่นลิเกจะต้องมีแม่ยก แล้วการมีแม่ยกเนี่ย เราเรียนหนังสือมันมีศีล 5 เรารู้สึกว่ามันผิดศีล และที่ไม่อยากเล่นลิเกก็เพราะว่าต้องเล่นเป็นพระเอก ซึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวตนเรา เคยลองเล่นลิเกบ้าง ตอนที่พ่อจับเราเล่นลิเกเราก็ไม่ตั้งใจรำ ไม่ตั้งใจเล่น ก็เลยไม่ชอบเวลาที่เล่นลิเก เพราะเหมือนโดนบังคับมาเล่นเป็นพระเอก เลยรู้สึกว่าไม่เอาดีกว่า”

 

ซีนดราม่า ที่พาตัวเองให้ก้าวสู่จุดเปลี่ยนของชีวิต

“ในตอนนั้น เราเรียนจบแค่ ม.2 แล้วที่บ้านก็จับพลัดจับผลู ไปทำอาชีพในบ่อนการพนัน แม่ไปเป็นแม่ครัว แล้วเราก็ไปเป็นคนเก็บรองเท้าที่บ่อน แล้วมันมีซีนหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้เลย วันนั้นคนในบ่อนเยอะมาก 100-200 คน แล้วเจ้าของบ่อนเค้าเสียพนันเยอะมาก แล้วเราก็ได้ยินเสียงคนร้องโหวกเหวกโวยวายก็ตกใจวิ่งเข้าไปดู ภาพที่เห็นก็คือ แม่เรานั่งเก็บข้าวสุก กับข้าว และจานชามที่มันเกลื่อนข้างโต๊ะอยู่ ในขณะที่คนอื่นยืนเล่นต่อ จนแทบจะเหยียบหัวแม่เราอยู่แล้ว ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่า ด้วยความที่เจ้าของบ่อนเค้าเสียเยอะ เลยทำให้วันนั้นรสชาติอาหารที่แม่เราทำไม่ถูกปาก แล้วเค้าโมโหมากเตะจานข้าวกระจายอยู่ตรงนั้น ซึ่งสำหรับเราแม่คือผู้นำในชีวิต พอได้เห็นแม่ลงไปนั่งเก็บข้าวใต้เท้าคนอื่น มันสะเทือนใจเรามาก ตอนนั้นเราวิ่งออกไปข้างนอก แล้วไปยืนร้องไห้ บอกกับตัวว่า อายุ 17 แล้วนะ ทำไมเราถึงยังช่วยอะไรแม่ไม่ได้เลย เราก็เลยบอกกับตัวเองว่า เราต้องออกไปทำงานหาเงินแล้ว ซึ่งอาชีพลิเกเป็นอาชีพที่เราไม่ชอบมาก ๆ  แต่พี่สาวเป็นนางเอกลิเกอยู่ ก็เลยตัดสินใจไปเล่นลิเกกับพี่สาว เราก็เลยเข้ากรุงเทพแล้วมาเล่นลิเก ต้องบอกเลยว่าความทุกข์ทำให้เรามีปัญญา พอมันเห็นภาพขยี้ใจเราวันนั้น มันทำให้เรามีแรงบันดาลใจ ทำให้เราฮึดสู้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ถึงจะเกลียดอาชีพไหนเราก็ต้องมาทำอาชีพนั้น แล้วพอมาเล่นลิเกเราก็มีรายได้จากค่าจ้างวันละ 300 บาท”

 

 

จุดเริ่มต้นของการเป็นตลก

“หลังจากเล่นลิเก ที่บ้านก็เริ่มมีฐานะขึ้น เราก็กลับไปเรียนภาคค่ำ ในขณะที่เรียนด้วยความที่เราเป็นคนตลก เพื่อนก็เลยส่งชื่อมาประกวดที่ JSL ประกวดจี้เส้นอวอร์ด ก็จะมีตลกหลากหลายคณะมาดูการประกวด แล้วคุณจตุรงค์ เค้าเป็นกรรมการวันนั้นพอดี แล้วเห็นแววความตลกในตัวเราก็เลยชวนไปเล่นตลกด้วย

ตลกมันจะมีมุก 2 ประเภท คือ มุกเกร็ด กับ มุกชุด มุกเกร็ด ก็คือแต่งตัวเป็นปกติ แล้วก็ไปโจ๊ะมุกกันเลยบนเวที ส่วน มุกชุด ก็คือแต่งตัวแบบเป็นเรื่องเป็นราว มีลำดับการออกว่าใครออกก่อนหลัง แต่คณะพี่รงค์เค้าจะเล่นแต่มุกเกร็ดเป็นส่วนใหญ่ ตอนนั้นที่เราไปเล่นในคณะ เรายังไม่เปิดตัวว่าเป็นตุ๊ด เวลาเล่นมันก็ไม่ตลก ก็เกิดคำถามในใจว่า ทำไมตอนเราอยู่ในห้องเรียนมันตลก มันสนุกสนาน แต่พอมาใช้ชีวิตบนเวทีมันไม่สนุก มันตื่นเต้น ประหม่า เราเล่นตลกกับพี่รงค์โดยที่เล่นมุกไม่เฉียบขาด แล้วเป็นแบบนั้นอยู่ 7 เดือน ในที่สุดเราก็ยอมแพ้ ขอลาออก

พอลาออก เราก็พลิกผันอาชีพไปขายหอมกระเทียม เพราะว่าพี่สาวไปแต่งงานกับคนนครนายก ก็เลยไปอยู่ นครนายก แล้ววันนั้นช่วงนั้นที่นครนายก มีอยู่วัดนึง เค้าให้หวยแม่น เราก็เลยไปขายหอมกระเทียมที่วัดนั้น ขายอยู่ได้ประมาณ 7-8 เดือน วัดนี้เริ่มให้หวยไม่แม่น คนก็เริ่มไม่มี เราก็เริ่มขายไม่ดี เลยอยากจะเปิดร้านขายผลไม้แทน ก็ตัดสินใจโทรหาพี่รงค์ อยากจะยืมเงินมาเปิดร้านผลไม้สัก 30,000 บาท ซึ่งพี่รงค์บอกว่าถ้าอยากได้เงินก็มาเล่นตลกสิ เราก็เลยตัดสินใจกลับไปเล่นตลกกับพี่รงค์อีกครั้ง

กลับมาอีกรอบนี้ ที่คณะตลกเค้าเล่นมุกชุด ครั้งแรกที่กลับมา เราได้เล่นเป็นนางพยาบาล แล้ววันนั้นขึ้นเวทีแล้วมันตลก การได้เป็นตัวเอง พอเราเล่นสะดีดสะดิ้งแล้วคนชอบ ก็เลยเข้าทาง มันเลยเข้าปาก เราก็เลยอยู่ต่อมา แล้วก็เฉิดฉายในแบบที่เราเป็น”

 

 

เมื่อรายการกำจัดจุดอ่อน กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต

“ตอนนั้นเล่นตลกอยู่คาเฟ่กับพี่รงค์ได้ประมาณ 2 ปี พี่เป็ด เชิญยิ้ม เค้าโทรหาพี่รงค์ ว่าอยากให้เราไปอยู่ก่อนบ่ายคลายเครียด ก็เลยได้ไปอยู่ก่อนบ่ายคลายเครียด ทำได้ 7 เดือน รายการก็จะทำเทปล้อเลียนรายการ The weakest link กำจัดจุดอ่อน ตอนแรกก็วางเป็น พี่ตั๊ก ศิริพร แล้วอยู่ดี ๆ ทีมงานก็คิดว่า ถ้าผู้หญิงเล่นเหมือน ครูอ้อ มันซ้ำ อยากให้เป็นผู้ชายเล่น เราก็เลยได้มาเล่นตรงนี้ แล้วก็โด่งดังจากการเลียนแบบรายการกำจัดจุดอ่อน

ตอนโด่งดังแรก ๆ ยังไม่รู้ตัวเลย ตอนนั้นไปเดินห้างสรรพสินค้า พอผ่านจุดขายทีวีก็จะมีหน้าเราในทีวีทุกเครื่อง และทุกห้างเลย แต่คนก็ยังจำเราไม่ได้นะ เพราะว่าตอนแต่งหน้ากับชีวิตจริงมันไม่เหมือนกัน ในตอนที่เราไปเดินห้างแล้วได้ยินคนคุยกันว่า นั่น ธงธง คุณไปถ่ายรูปกับเค้ามั้ย แล้วเพื่อนเค้าบอกว่าไม่ใช่หรอก ธงธง ไม่แต่งตัวสกปรกแบบนี้หรอก ซึ่งวันนั้นเราใส่กางเกงวอร์มธรรมดา เราก็ไม่รู้ว่ามันดังยังไง เราต้องทำตัวยังไง เสื้อผ้าแบรนด์เนมคืออะไร จนเปลี่ยนการใช้ชีวิต เวลาเราต้องไปเจอคนเยอะ ๆ เราจะใช้ชีวิตแบบปกติมากไม่ได้ ต้องแต่งตัวหน่อย”

 

“เป็นต่อ” ซิทคอมดีต่อใจ ที่ทำให้ได้พบกัลยาณมิตร

“หลังจากที่เราไปออกรายการก่อนบ่ายคลายเครียด และมีชื่อเสียงแล้ว ทาง Exact คุณบอย ถกลเกียรติ ก็ติดต่อให้เราไปเป็นพิธีกรของ Exact ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้าที่จะไปเล่นเป็นต่อ เราเคยทำพิธีกรให้ Exact 11 รายการ ตอนนั้นทุกรายการที่เกิดใหม่มีชื่อ ธงธง หมดเลย หลังจากนั้นทีมงานก็ติดต่อให้ไปเล่นซิทคอม พอเราอ่านบทรู้ว่าต้องเล่นเป็นคนใช้ เราก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเล่นเป็นคนใช้แล้วมันจะเกิดภาพจำ เราก็จะได้เล่นบทคนใช้ตลอด ก็เลยไปบอกพี่บอยว่า ถ้าต้องเล่นบทคนใช้หนูไม่เล่นนะ ซึ่งพี่บอย ก็เลยบอกว่า ธงธง มันไม่ใช่บทคนใช้ เธอเล่นเป็นเมทนะ เราเองก็ไม่รู้ว่าเมทแปลว่าคนใช้ ก็เลยตกลงรับเล่น

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ซิทคอมเป็นต่อผ่านมา 19 ปีแล้ว และเป็นซิทคอมที่เรารู้สึกว่า ถ้าไม่ได้เล่นคงเสียดายมาก ๆ มันยาวนาน แล้วนักแสดงทุกคนผูกพันกันมาก แล้วไม่ว่าจะไปต่างจังหวัด หรือไปต่างประเทศ ก็ยังมีคนดูเป็นต่อ ล่าสุดเราไปเจอแฟนคลับ เค้าเป็นโรคเครียด แล้วก็ดูเป็นต่อมาตลอดจนหายจากโรค แล้วกลายมาเป็นแฟนคลับเรา มันเป็นความภูมิใจที่ได้มาเล่นซิทคอมเรื่องนี้

และการได้มาเล่นเป็นต่อ ทำให้เราได้รู้จัก น้องกิ๊ก มยุริญ ผู้ที่พา ธงธง ให้ไปรู้จักกับธรรมะ เรารักน้องกิ๊กมาก เหมือนเค้าเป็นญาติ เป็นพี่น้องเราจริง ๆ น้องกิ๊กเค้าห่วงใยเรามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน เรื่องการเมตตาคนอื่น แล้วน้องกิ๊กก็คาดหวังไว้กับเราเยอะ ว่าพี่ธงจะต้องเป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงทางธรรมะ เมื่อไหร่ที่กิ๊กไปบวชชีแล้วรู้สึกว่าพร้อมที่จะมาเปิดสำนักปฏิบัติธรรม อยากให้พี่ธงไปช่วยเป็นวิทยากร ซึ่งเราก็พร้อมที่จะไปช่วยน้อง ขอบคุณน้องมากที่เมตตาและเปลี่ยนให้เรา จากเป็นคนที่ไม่รู้จักธรรมะเลย จนมามีทุกวันนี้ก็เพราะ น้องกิ๊ก มยุริญ ขอบคุณมาก ๆ”

 

 

ทุกการสูญเสียมีข้อดีเสมอ ขอเพียงหาให้เจอ

“เหตุการณ์ที่ทำให้ ธงธง ตัดสินใจเข้าหาธรรมะ คือเรื่องราวของพี่สาว เค้าเกิดหัวปีท้ายปีแล้วเรารักกันมาก โตมาด้วยกันเห็นกันทุกวัน อยู่ดี ๆ เค้าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม พอตัดเต้านมเสร็จก็ เป็นมะเร็งสมองต่อ และเวลาที่เค้าปวดหัว จะปวดถึงขนาดขอกินยาตาย ซึ่งแสดงว่ามันต้องปวดและทรมานมาก เราก็เลยถามเค้าว่า เวลาปวดกับไม่ปวด อันไหนมันมากกว่ากัน เค้าบอกว่าตอนที่ไม่ปวดมีมากกว่า เราถึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นอยู่สิ อย่ากินยาตาย แต่ในใจตอนนั้นเราคิดเลยว่า ถ้าพี่สาวเราตาย  เราเองจะกระโดดเข้ากองไฟตาม เพราะรักพี่สาวคนนี้มาก แล้วก็พยายามหาวิธีว่า ทำอย่างไรถึงจะให้พี่สาวหายจากโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ ซึ่งตอนนั้นเป็นจังหวะที่เล่นเป็นต่อ ได้รู้จักน้องกิ๊ก มยุริญ เห็นว่าเค้าเป็นคนชอบเข้าวัด แล้วตอนนั้นเรารู้แค่เพียงว่า ถ้าเวลาเรามีความทุกข์เกิดขึ้น เราควรจะเข้าวัด ไปรดน้ำมนต์ หรือไม่ก็ไปนอนในโลงศพ สวดบังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย โรคภัยมันจะได้หายไป

เราเลยโทรหาน้องกิ๊ก แล้วน้องกิ๊กก็ขอเวลา 3 วันเพื่อพาเราไปปฏิบัติธรรม เราก็ตกลงไป ปฏิบัติธรรมอยู่ 2 คืน 3 วัน เราไม่เข้าใจ อึดอัด อยากกลับบ้านมาก จนถึงเวลาก่อนที่เราจะไปกราบลาพระอาจารย์ ตอนนั้นเรากราบพระอย่างมีสติ แล้วในขณะที่กราบ เราสำนึกรู้ทุกอย่าง แล้วก็เข้าใจเลยว่าเราต้องมีสติ ถึงจะอยู่กับความทุกข์ได้ ถ้าเราไม่เอาใจไปแตะ เราก็ไม่ทุกข์ โดยปกติคนเรามันมีทุกข์อยู่แล้ว ถ้าเรามองความทุกข์ให้มันเป็นปัญญา ว่าเราจะแก้ทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งในขณะที่เรากราบพระอย่างมีสติ ความทุกข์ในเรื่องของพี่สาวที่ป่วยมันหายไปจากใจ มันหายไปในขณะที่เรามีสติ มันทำให้เราเข้าใจว่าต้องอยู่กับปัจจุบันเยอะ ๆ  เราก็เลยกลายเป็นคนที่ชอบปฏิบัติธรรม และชอบไปฟังธรรมะดี ๆ จากพระอาจารย์ แล้วก็มาถ่ายทอดให้พี่สาวฟัง ให้เค้าสงบ พอสอนไปสอนมาเราก็เลยได้เข้าใจธรรมะนั้นไปด้วย พอเราปฏิบัติธรรมได้ 3 ปี พี่สาวก็เสียชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจเรา ก่อนหน้านี้ที่เรายังไม่ได้รู้จักธรรมะ ที่เรามีความรู้สึกว่าจะกระโดดเข้ากองไฟ พอหลังจากที่เราได้รู้จักธรรมะ ในวันที่พี่สาวเสียชีวิต พอเราเปิดประตูห้องที่โรงพยาบาล เราก็ได้เห็นร่างของพี่สาวนอนอยู่บนเตียง เรารู้ว่าเค้าเสียชีวิต และได้กำหนดสติว่าเห็นหนอ รู้สึกเศร้าหนอ น้ำตาไหลหนอ กำหนดรู้อยู่แค่ไม่เกิน 10 ครั้ง เราก็มีสติ และคิดว่าเราต้องทำอะไรต่อไปนี้ ภพชาตินี้ของพี่สาวสิ้นสุดแล้ว เราที่ยังคงมีชีวิตอยู่จะต้องอยู่ยังไงให้คนข้างหลังไม่ว่าจะเป็นสามีเค้า หรือลูกของเค้ายังอยู่ได้ มันมีหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบอีกเยอะ เราก็เลยจัดงานศพพี่สาวอย่างมีสติ จนวันที่เผาศพพี่สาว เราไม่ร้องไห้เลย เรารักพี่สาวมากนะ แต่เรายอมรับความจริงแล้วมันก็ไม่รู้ว่าจะร้องไปเพื่ออะไร มันไม่มีประโยชน์เลย หลังจากพี่สาวเสียชีวิต 6 เดือน พี่เขยก็เสียชีวิต เค้าไม่ค่อยกินข้าวกินปลา แล้วเค้าคงรักภรรยามาก อยู่ดี ๆ เค้าก็นอนแล้วก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย มันทำให้เราบอกกับตัวเองว่าฉันต้องอยู่ เรามีภาระอีกเยอะแยะมากมายที่จะต้องดูแล ต้องดูหลานที่เป็นลูกของพี่สาว ต้องเลี้ยงเค้าเหมือนลูกเพราะพ่อกับแม่เค้าไม่อยู่แล้ว

หลังจากนั้น ธงธง ก็ต้องสูญเสียคุณแม่อีกหนึ่งคน  ซึ่งมีเรื่องราวมหัศจรรย์ก่อนที่คุณแม่จะจากไป คือเริ่มจากคุณแม่ป่วย พอพาไปหาหมอ คุณหมอบอกว่า แม่มีภาวะหัวใจล้มเหลวแล้วนะ ปอดของแม่เป็นจุดด่างดำไปหมดแล้ว คุณธงธงพาแม่สวดมนต์ได้เลย ตอนนั้นเราก็ตกใจ โทรหาน้องแหม่ม วิชุดา น้องแหม่มก็แนะนำให้ไปอีกโรงพยาบาล ซึ่งคุณหมอก็เมตตาขึ้นไปตรวจคุณแม่บนรถเลย พอตรวจเสร็จหมอก็หันมาบอกเราว่า คุณธงธงทำใจดี ๆ นะครับ ไม่เกิน 4 ทุ่มคืนนี้แม่น่าจะไป เพราะดูจากฟิล์มเอ็กซเรย์ ตอนนี้ปอดไม่เหลือเลย ตอนนั้นเราตกใจมาก ขนาดปฏิบัติธรรมแล้ว แต่เราก็ร้องไห้แบบกำหนดไม่ทัน แล้วก็ประมวลตัวเองว่า เราก็ทำบุญมาเยอะ ทำมาทุกอย่าง เหลืออย่างเดียวคือการบวช เราอธิษฐานจิตเลยว่า อยากจะให้แม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองก่อน ขอให้แม่ออกจากโรงพยาบาล ให้ไปเห็นชายผ้าเหลืองก่อน พออธิษฐานจิตเสร็จวันนั้น 4 ทุ่ม น้องกิ๊กก็มาโรงพยาบาล แล้วก็เอาน้ำมนต์มาให้ เพราะเวลาคนที่กำลังจะเสียชีวิตจิตใจจะฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นให้เราหยดน้ำมนต์ลงกลางหน้าผากเพื่อเปิดตาที่ 3 แล้วก็ให้สวดมนต์เพื่อให้จิตสุดท้ายไปกับเสียงสวดมนต์ ไปกับธรรมะ ซึ่งทุกคนก็เตรียมการกันพร้อม เพื่อที่เราจะส่งคุณแม่ แต่อยู่ ๆ คุณแม่ก็อาการดีขึ้นมาก ๆ จนในที่สุดแม่ได้ออกจากโรงพยาบาล โดยที่ฟิล์มเอ็กซ์เรย์ออกมาว่าแม่อาการดีขึ้น ปอดแม่ดูใสสะอาด ไม่มีจุดด่างดำใด ๆ เลย น่าแปลกใจตรงที่ว่า แม่ได้มางานบวชเราด้วย หลังจากที่บวชให้แม่ เมื่อปีที่แล้ว (ก.ค. 2565) คุณแม่ก็เสียชีวิต ซึ่งแม่อยู่ต่อมาเป็นสิบปี คุณหมอยังงงเลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เราก็เลยเชื่อมั่นว่า เวลาทำความดีแล้วมันส่งผลกับเรา มันเป็นกุศล มันมีอยู่จริง แต่เราแค่มองไม่เห็นมันแค่นั้นเอง”

 

 

เปิดหัวใจ ส่องความรักของ ธงธง มกจ๊ก

“หัวใจตอนนี้โสดค่ะ โสดมา 12 ปีแล้ว เรารู้สึกว่า อย่างน้อย ๆ ความรักมันก็ให้บทเรียนนะ เวลาอกหักเราเป็นคนที่ไม่ร้องไห้ไม่เสียใจนาน กับคนแรก ตอนที่อยู่เดนมาร์ค เค้าเป็นคนต่างชาติ ตอนที่อกหักจากเค้า เราก็มีซีนที่ไปร้องไห้ใต้ฝักบัว เหมือนตัวเองเป็นนางเอกเอ็มวี แต่ก็รู้สึกว่า มันมีบางช่วงที่เราแฮปปี้นะ ส่วนคนที่สอง อกหักเพราะเค้านอกใจ และคนที่สามมันก็มีซีนอกหักอีก เราเลยรู้สึกว่าโชคดีจังที่ผู้คนเหล่านี้เข้ามาเพื่อให้เราได้เรียนรู้ว่า ความรักมันก็แค่นั้นเอง ทุกวันนี้ถามว่าอยากมีความรักไหม อยากมีนะ แต่พอมาถามใจตัวเองก็รู้สึกว่า เดี๋ยวเราก็เบื่อ

เรื่องเปย์ เรามองว่าเป็นเรื่องปกติ อะไรที่เงินสามารถทำให้เรามีความสุข ทำให้คนที่เรารักมีความสุข เราก็เปย์ แต่ที่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปมากคือ เวลารักใครเราจะลืมคนข้าง ๆ เพื่อนฝูงเราไม่ค่อยไปหา จนบางวันเราลืมแม่ไปเลย เคยมีอยู่เคสนึง ตอนนั้นให้แม่ทำน้ำพริกเพื่อจะเอาไปให้เค้า แม่ก็ลนลานกลัวตำไม่ทัน แล้วแม่ล้มกระดูกสะโพกหัก ตอนนั้นเราเข็ดเลย เรารู้สึกว่านี่เราทำอะไรอยู่ ทำไมถึงได้ลืมคนที่รักเรา แล้วก็ไปรักใครก็ไม่รู้ แต่แม่เชียร์ให้เรามีความรัก เพราะอยากให้เรามีความสุข แม่มักจะบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าลูกรักใครแม่ก็รักคนนั้น แม่เชียร์เราตลอด

ความรู้สึกอกหักที่สุด คือคนที่ 2 เค้าเป็นคนเดียวที่เรารู้สึกว่าเค้ารักเราจริง เค้าเป็นคนที่โหนรถเมล์มาด้วยกัน สร้างบ้านมาด้วยกัน ตอนที่เล่นตลกล้อเลียน The weakest link เค้าเป็นคนแกะท่าทางของครูอ้อ แล้วมาสอนเราว่า ต้องหันหน้าเข้ากล้องนะ พอพูดประโยคนี้เสร็จ ต้องหันมาอีกทางเพื่อให้กล้องอีกตัวรับหน้า เรามีวันนี้ได้เพราะเค้า แต่สุดท้ายก็ต้องแยกทาง แต่ถึงจะเจ็บหนักขนาดไหนเราก็ทำใจได้ เราไม่ค่อยเสียเวลากับความรัก เลยเสียใจไม่นาน แล้วเป็นคนที่หากเลิกแล้วจะไม่กลับไปคบกันอีก เพราะรู้สึกว่าคนที่มันนอกใจแล้ว มันกลับมาเชื่อใจไม่ได้แล้ว”

 

จากการมูเตลู สู่ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยวธงธงลงเรือ

“เราเป็นคนปฏิบัติธรรมแต่ชอบมูเตลู เคยไปมูเตลูที่พม่าเพื่อขออีกหนึ่งอาชีพ แล้วคืนนั้นก็ฝันว่า มีเทวดาเอาไก่มาให้ แล้วเราบอกว่าหนูไม่กินไก่ หนูกลัวไก่ แต่เทวดาบอกว่าเอาไปเถอะ นี่คือไก่เทวดานะ เราก็เลยอุ้มมาสองตัว แล้วหลังจากกลับจากประเทศพม่า ก็ได้ไปทำโรงทานเพราะเป็นคนชอบทำบุญ ก็ไปทำบุญโรงทานก๋วยเตี๋ยวเรือ ชามกระดาษเป็นรูปไก่สองตัวอยู่ในนั้น เลยนึกได้ว่าฉันต้องทำก๋วยเตี๋ยวเรือ ซึ่งพอเปิดตอนแรกปังมาก แต่พอปีที่สองเจอโควิดก็ต้องปิดร้านเลย ตอนนี้กลับมาเปิดแล้วกำลังจะได้ทุนคืน

เราเป็นคนเชื่อเรื่องดวง เคยมีหมอดูทักตอนที่เข้ามาวงการใหม่ ๆ เค้าบอกว่าถ้าเธออยากดัง เธอต้องอ้วน เธอผอมแล้วเธอจะไม่ดัง ตอนนั้นเราเลยอ้วนมากเพราะกินน้ำอัดลมเยอะ ในที่สุดเป็นเบาหวาน จนตอนนี้ก็มีหมอทักนะ หมออายุรกรรมทักว่า เธอจะต้องลดหวานนะ ถ้าเธออยากมีชีวิตอยู่เธอต้องลด”

 

 

เพราะรู้จักหน้าที่ ถึงอยู่ได้นานในวงการบันเทิง

“เรามีความรู้สึกว่าเป็นคนนึงที่รู้จักหน้าที่ เวลาเราอยู่ในวงการบันเทิง เรารู้ว่าเป็นนักแสดงต้องมาตรงเวลา เราจะรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้ทำงาน มีความสุขที่ได้เจอเพื่อน ๆ  แล้วเวลาทำงานเราจะให้ใจกับทุกคน เคยถึงขั้นว่า เวลามีนักแสดงเอ็กซ์ตร้าคนไหนที่เล่นไม่ได้ เราจะคอยเชียร์อัพ เพื่อให้เค้ารู้สึกว่า เค้ามีคุณค่ากับตัวเอง เราอยากให้ทุกคนเห็นค่าของตัวเอง อันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้นานในวงการบันเทิง เรารักทุกคน ทุกคนก็รักเรา

ทุกวันนี้งานบันเทิงสำหรับเรา พอมันมีเด็กใหม่เกิดขึ้น มันก็เริ่มที่จะต้องเป็นยุคของเด็กใหม่ แต่เราสามารถอยู่ได้ ในรูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าบทบาทตัวเสริม หรืออาจจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เลย  เช่น เวลาน้องพิมพ์เป็นผู้จัด เราสามารถไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ไปช่วยดูแลให้ เชื่อว่าเราอยู่ได้ ถ้าเรายังรักที่จะอยู่ในวงการบันเทิง หนึ่งบทที่อยากลองเล่นคือ เราอยากเล่นบทโรคจิตมาก รู้สึกว่ามันคงยาก แต่มันท้าทาย หากมีโอกาสก็อยากจะลองทำ”

 

ความสุขของ ธงธง มกจ๊ก

“ความสุขในแต่ละวันคือการได้เห็นลูกหลาน เรามีความรู้สึกว่า หลานที่เราเลี้ยง เป็นลูกของเราเอง แล้วตอนนี้หลานของ ธงธง ก็มีลูก เราก็ช่วยเลี้ยงอีก นี่คือความสุขในทุก ๆ วันนี้ และหากมีโอกาสในอนาคต เราอยากเป็นวิทยากรสอนธรรมะ ซึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ เรามีความรู้สึกว่า เรื่องราวของเราจะเป็นประโยชน์อะไรได้บ้าง

สิ่งที่ภาคภูมิใจมากที่สุดเลย คือ คุณพ่อเคยสอนตั้งแต่เด็กว่า เราอย่ากลัวความเหนื่อย วันไหนที่เหนื่อยเรากินข้าวก็หายเหนื่อยแล้ว ดังนั้นอะไรที่ใครขอความช่วยเหลือเราจงทำให้เต็มที่ ณ วันนี้ เราได้เป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัวแทนพ่อ ได้เป็นคนที่ดูแลการเงินแทนแม่ ได้ดูแลและเป็นที่พึ่งให้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือคนอื่น ๆ อะไรที่ช่วยได้เราช่วยหมด นี่คือสิ่งที่เรารู้สึกภูมิใจที่สุด”

 

 

สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ธงธง มกจ๊ก

“คนเราบนโลกใบนี้ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วสมหวังไปทุกอย่าง เราต้องมีทุกข์เกิดขึ้นแน่นอน เวลามีทุกข์หรือมีปัญหา มันจะทำให้เราเกิดปัญญาในการแก้ปัญหา พอทุกข์มันผ่านไป เราจะเห็นว่าความพัฒนาทางด้านจิตใจของเราจะแข็งแกร่งขึ้น มันจะเกิดการสร้างเกราะป้องกันให้กับจิตใจของตัวเราเอง อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวว่าวันนี้ฉันจะต้องสูญเสีย ในความสูญเสียนั้นมีข้อดีอยู่ หาให้เจอ” - ธงธง มกจ๊ก

 

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1