“ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่าเรากำลังล้ม หรือ ผิดพลาด สิ่งแรกเลยคือ คุณต้องสำนึก และเมื่อสำนึกผิดจริง ๆ เราต้องให้อภัยตัวเอง เพราะถ้าหากเราไม่ให้อภัยตัวเอง คุณจะไม่มีแรงลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ดีกว่าเดิมได้เลย”

ยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นสื่อกลางที่สร้างแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดของชีวิตของเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “มะตูม เตชินท์” ดีเจสุดแซ่บ นักแสดงสุดจึ้ง พิธีกรมากฝีมือ และกำลังเฉิดฉายกับบทบาทนายแบบสุดฮอต ที่ได้มาเล่าเรื่องราวชีวิต หลังเจอมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ชีวิตในวันนี้เปลี่ยนไปได้อย่างสุดปัง
จากเด็กไทย ต้องไปโตที่เยอรมนี
“ย้อนไปสมันเด็ก ตอนนั้น คุณพ่อ กับ คุณแม่ เป็นนักร้องเหมือนกัน เปิดร้านอาหารด้วยกันจนกระทั่งยุคฟองสบู่แตก คุณพ่อก็เลยย้ายไปอยู่ที่อเมริกาคนเดียว ทีแรกตั้งใจจะไปแค่ 3 เดือน แต่สุดท้ายคุณพ่อก็หย่ากับคุณแม่แล้วก็มีครอบครัวใหม่ ไปอยู่อเมริกาแบบไม่กลับมาเลย 15 ปีหลังจากนั้น ตูมไม่ได้เจอพ่อเลย ตอนนั้นคุณแม่ก็เลยหย่ากับคุณพ่อ แล้วพาลูก ๆ ซึ่งตูมมีพี่สาว 1 คน น้องสาว 1 คน คุณแม่พาลูกทั้งสามคนไปอยู่เยอรมัน แต่งงานกับชาวเยอรมัน แต่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันไวมาก ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเดือนเดียว ตอนนั้นตูมเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนชลประทานวิทยารุ่น 47 เรียนแค่เทอมเดียว เทอมถัดมาตูมต้องไปเยอรมันเลย”

Culture Shock ทำให้ต้องรีบปรับตัว
“ตอนไปเยอรมันช่วงแรก ในตอนที่คุณแม่แต่งงานกับพ่อเลี้ยง ตอนนั้นเราก็เครียดกับการปรับตัว ด้วยความที่เป็นคนที่ดื้อ เวลาแม่จะสั่งอะไรก็ไม่ค่อยจะทำตามอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ซึ่งตูมก็อยากขอบคุณ พ่อเลี้ยง ซึ่งตอนนี้ท่านเสียชีวิตไปแล้ว พ่อเลี้ยงของตูมเป็นคนที่เวลาจะทำอะไรต้องแฟร์ มีประโยคนึงที่พ่อเลี้ยงเค้าทะเลาะกับแม่ ตอนนั้นแม่ก็จะมาปกป้องตูมเพราะว่าเป็นลูก แต่พ่อเลี้ยงเค้าก็พูดประมาณว่า ทำไมฉันถึงตำหนิลูกชายเธอไม่ได้เลย เค้าพูดว่าคนไทยชอบเลี้ยงลูกชายไว้บนหัว ผู้ชายทำไรก็ได้ เวลากินเสร็จแล้วลุกไปก็ได้ แต่ผู้หญิงต้องเก็บ ผู้หญิงต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง ซึ่งฝรั่งถามว่า Why? ทำไมเป็นผู้ชายถึงมีสิทธิ์มากกว่าผู้หญิง ซึ่งพอเรามาย้อนดูตัวเอง ในตอนนั้นตูมก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่ในตอนนั้น พอตูมได้ยินก็ไม่พอใจ ด้วยความที่เรายังเด็กด้วย ตอนนั้นเป็นช่วงคริสต์มาส หิมะตกหนักมาก แล้วทะเลาะกันเรื่องนี้แหละ ตูมก็เลยตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านแบบไม่ใส่รองเท้าเลย
ในใจตอนนั้นอยากจะวิ่งกลับประเทศไทย ตั้งใจจะเดินออกไปสถานีรถไฟ ซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 10 กิโลเมตร พอไปถึงสถานีรถไฟก็ไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอะไรเลย ก็เลยไปนั่งร้องไห้คิดถึงคุณยายที่อยู่บ้านสวนที่ไทย ทำยังไงดี ตูมอยู่ข้างนอกประมาณชั่วโมงครึ่ง จนมือชาและเริ่มไม่รู้สึก เพราะว่าปอยหิมะเริ่มมาแล้ว ขาเริ่มแข็งแล้ว เราเคาะประตูบ้านคนไทยในละแวกนั้นก็ไม่มีใครเปิด มันไม่ได้เหมือนเมืองไทย สิทธิในการรับเด็กต่ำกว่าเกณฑ์เข้ามาในบ้าน พ่อแม่เค้าต้องยินยอม ไม่งั้นกลายเป็นว่าคุณให้ที่พักพิงอาศัยเด็ก ตูมก็เลยต้องเดินจากสถานีรถไฟ กลับมาที่บ้านอีก 10 กิโลเมตร รวมเป็น 20 กิโลเมตร ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ตอนนั้นในใจคิดว่า ทำไมทุกคนถึงมีความสุขโดยไม่มีเรา ทำไมทุกคนทิ้งเรา นี่เราเป็นตุ๊ดที่ยังปรับตัวไม่ได้ไม่พอ ยังจะต้องมาตายท่ามกลางหิมะเหรอ พอถึงบ้าน คุณพ่อเลี้ยงกับคุณแม่ เดินขึ้นมา แล้วพ่อเลี้ยงก็รีบเปิดประตูอุ้มเราที่ตัวแข็งไปแช่ในน้ำอุ่น แล้วเราก็เพิ่งรู้ว่า ตั้งแต่เราเดินออกไปได้ประมาณ 10 นาที พ่อเลี้ยงเค้าก็รีบออกตามไปเลย แล้วแจ้งตำรวจเป็นเรื่องเป็นราวแบบใหญ่โต แต่เรากลับมีอคติกับเค้า ตั้งแต่วันนั้นเวลาทะเลาะกัน ตูมเลือกที่จะเดินเข้าห้อง ตูมไม่เคยเดินออกไปนอกบ้านเลย ตูมเป็นคนที่ต้องให้โลกสอนก่อน ถึงจะเข้าใจ และยอมปรับตัวเอง
ในเรื่องภาษา แรก ๆ ตูมสื่อสารภาษาเยอรมันไม่ได้เลย มันเป็นภาษาที่ไม่ได้เหมือนภาษาอังกฤษ การออกเสียงของเยอรมันส่วนใหญ่มันจะอยู่ในคอ ตอนนั้นตูมก็คิดว่าต้องทำยังไงดีถึงจะเรียนภาษาเยอรมันได้ ตูมไม่ได้มีเงินเรียนพิเศษเพราะแม่ก็ทำงานโรงงาน แต่เรายังคงไปโรงเรียนอยู่ พอเราสื่อสารกับเพื่อนไม่ได้ ก็เริ่มโดนเพื่อนบูลลี่ แล้วเราเถียงไม่ได้ สิ่งที่จุดประกายว่าต้องเรียนภาษา เริ่มจากครูประจำชั้นถามก่อนว่า How you get here? มาเยอรมันได้ยังไง ขี่ช้างมาไหม เพราะตอนนั้น องค์บาก ดังมาก จากนั้นเพื่อนก็เริ่มขำแบบว่า You go to school with elephant เหรอ เราโมโหมากแต่ก็เถียงไม่ได้ อีกเหตุการณ์ที่พีคแบบไม่ไหวแล้ว คือวันนั้นเป็นวันชมรม เค้าก็จะให้เด็กทำกิจกรรมที่สนใจ แล้วมีคนนึง เค้าทำฟาร์มชิวาว่า แล้วตูมเป็นคนรักชิวาว่ามาก เหตุเกิดกลางโรงอาหารที่มีคนเยอะมาก พอตูมเห็นชิวาว่า เราก็ไปจับเค้า น่ารักจังเลย แล้วเจ้าของชิวาว่าก็กรี๊ด พร้อมบอกว่า Do not eat my dog ตอนนั้นนึกในใจว่าทำไมเค้ามองภาพลักษณ์คนไทย และเอเชียแบบนี้ ซึ่งเหตุเกิดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในโรงเรียนชนบท ไกลจากตัวเมือง Hamburg ไป ชื่อว่าเมือง Lubeck เป็นเมืองเล็ก ๆ ซึ่งตูมเป็นคนไทยและเอเชียเพียงคนเดียวในโรงเรียนนั้น เด็กนักเรียนมีเพียง 500 คน พอเราโดนบูลลี่มาก ๆ มันเริ่มรู้สึกว่า เราต้องพูดให้ได้แล้ว ก็เริ่มหาคุณครู ซึ่งคุณครูของตูมคือ สพันจ์บ็อบ ที่เป็นการ์ตูน เราดูการ์ตูนภาษาเยอรมัน พยายามฟัง และจะคอยเสพสื่อทุกอย่างที่เป็นเยอรมัน แล้วเลือกเพื่อนที่สนิทสักคนนึงให้มาที่บ้าน ให้มาสอน มาคุยเรื่องดารา เรื่องทั่วไป หลังจากนั้น 6 เดือน ที่ตูม ปิดสื่อไทย หยุดดูละครไทย ดูแต่ละครเยอรมัน ฝึกเยอรมัน ทำให้ตูมพูดเยอรมันได้ จนกลายมาเป็นประธานนักเรียนตอนจบรุ่นแล้วก็ทำโชว์ครับ”

ตัดสินใจกลับเมืองไทย เพื่อทำตามความฝัน
“ฝันของตูมคือ อยากเป็นดีเจครับ จริง ๆ ชื่อ ดีเจมะตูม มาจากแคมฟรอก ตอนนั้นในแคมฟรอก ตูม ก็ดังมาก ๆ แล้วในตอนนั้น ตูมชอบฟัง และติดรายการ ไก่คุ้ยตุ่ยเขี่ย แล้วไอดอลของตูม คือ พี่เชาเชา พี่โอปอล์ อาไก่ พี่ฉอด ตอนอยู่เมืองนอก ต้องบอกเลยว่าคลื่นเราสำหรับคนไทยในต่างแดนเป็นเรื่องอเมซิ่งมาก ซึ่งตูมเลยมีความฝันที่อยากจะเป็นดีเจ ก็เลยพยายามจะส่งเทปเดโม่ตัวเองตอนจัดรายการแคมฟรอกมาที่เอไทม์ 8 รอบ ไม่เคยเรียกเลย แต่ตูมก็ยังมีความฝันว่า ถ้าวันนึงได้กลับไทย เราอยากจะมาตอกบัตรที่ตึกแกรมมี่ อยากเป็นดีเจเอไทม์
พอเราดังในโซเชียล เข้าสู่ยุคโซเชียลแคม ตูมก็ดังในโซเชียลแคม อัดคลิปด่าคนจนดัง แล้วมีวันหนึ่งเรากลับเมืองไทย เดินอยู่ที่สยามพารากอน ก็มีสายเรียกเข้ามา ฮัลโหล ใช่ดีเจมะตูมมั้ยครับ ผมเล็กนะครับ จากอีเอฟเอ็ม อยากให้มะตูมมาออดิชั่นทำเทปเดโม่ รายการแฉข่าวเช้า ตอนนั้นดีใจมาก หนูซ้อมเป็นดาราหน้ากระจก ณ วันนั้นตูมไม่มีมาด แต่ตูมพยายามสร้างมาดตัวเอง ซึ่งตอนนั้นที่ตูมกลับมาเมืองไทย ตูมไม่ได้อยู่ในกรุงเทพนะครับ ตูมอยู่กับแฟนเก่าที่จังหวัดจันทบุรี ตูมต้องนั่ง บขส. ซึ่งเพื่อนสนิทตูมที่จันทบุรีมีแค่คนเดียว ก็คือ ผู้จัดการ ณ ปัจจุบันนี้ เค้าเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์มารับเรา แล้วบอกให้เราแต่งตัวดี ๆ นะ จากนั้นหนูก็นั่ง บขส. มา 4 ชั่วโมง เพื่อมาหาห้องเช่าเล็ก ๆ เป็นหอพัก หลัง ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ราคาสี่พันกว่าบาท ขอบคุณมาก ห้องดีมาก สะอาดมาก เป็นห้องไซส์ 22 ตารางเมตร เราถึงเริ่มเข้าใจชีวิตเด็กที่เพิ่งเริ่มต้นในกรุงเทพ แล้วตูมต้องนั่งมอเตอร์ไซค์จากหอมาที่ BTS หมอชิต ต่อ BTS มาถึงสุขุมวิท เพื่อมาตึกแกรมมี่ มาออดิชั่นตอนบ่าย 3 ถึง 6 โมงเย็น เป็นเวลา 9 เดือนเต็มที่นี่การทำเดโม่ตอนนั้นเป็นแบบอัดลงแผ่น CD แล้วต้องส่งให้พี่ฉอดฟัง หนูมีความตั้งใจว่าหนูจะต้องเข้าเอไทม์ให้ได้ ซึ่งหนูมีเวลาพิสูจน์ตัวเองเพียง 9 เดือน ก่อนที่เค้าจะเปิดผังใหม่ ซึ่งตูมมั่นใจมากว่ายังไงตูมก็ติด เพราะว่าตอนนั้นตูมเริ่มมีกระแสในโซเชียลแล้ว และตอนนั้นมันเริ่มมีละครช่อง 3 ติดต่อเข้ามาพอดี
ปรากฏว่าพอจะได้บรรจุที่เอไทม์ ตูมก็ต้องลองซ้อมกับคนหลายคนมาก ครูคนแรกที่ตูมได้ร่วมจัดรายการคือ ดีเจอ๋อง ดีเจดาด้า และคนที่ฝึกให้ตูมจัดรายการได้แบบทุกวันนี้ คือ ดีเจต้นหอม ศกุนตลา เค้าตั้งใจสอนตูมมาก ต้องพูดอย่างไร อ่านลูกค้าห้ามผิด อ่านข่าวต้องแบบไหน แต่สุดท้ายพอมาบรรจุจริง ๆ กลายเป็นว่า พี่ต้นหอม ลาออกจากแฉข่าวเช้า ไปทำพุธทอล์คพุธโทร ตูมก็ถามพี่หอมว่า ทำไมถึงไม่มาจัดรายการด้วยกัน ทำไมพี่ลาออก พี่หอมบอกว่า แกนี่มันไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆ ฉันอยากออกจากแฉข่าวเช้าตั้งนานแล้วเพราะขี้เกียจตื่นเช้า ก็เลยเอาแกมาคายตะขาบให้เพื่อที่จะมาแทนฉันไง ฉันจะได้มาแค่กลางคืนอย่างเดียว ตูมเลยถามไปว่า แล้วที่พี่สอนหนูอย่างดีคืออะไร พี่หอมบอกว่า ฟังนะลูก นี่แหละที่เค้าเรียกว่า วงการบันเทิง ตูมเลยเข้าใจ แต่ว่าในบุญคุณของ พี่ต้นหอม ในตอนนั้น มันเลยทำให้ตอนที่ตูมตัดสินใจทำธุรกิจ พี่ต้นหอม เค้าจะเป็นคนแรกที่ตูมชวนมาร่วมทำธุรกิจ และเป็นคนที่ตูมนึกถึงเสมอ
เคยมีเหตุการณ์หนึ่งตอนเป็นดีเจที่เอไทม์มีเดีย มันเป็นสิ่งที่หนูรู้สึกว่าชีวิตจริงไม่เหมือนสิ่งที่เราคิดไว้เลย เป็นเหตุการณ์ที่เราร้องไห้ปล่อยโฮออกมากลางรายการเลย คือมีรุ่นพี่คนนึงที่จัดรายการกับตูมอยู่ แล้วอยู่ ๆ เค้าก็ลุกแล้วเดินออกไปเลย ซึ่งก่อนหน้านั้นตอนจัดรายการเค้าเงียบ เค้ากดโทรศัพท์อย่างเดียว เวลาเราคุยด้วยเค้าก็ไม่คุยด้วย แล้วอยู่ ๆ เค้าลุกขึ้น แล้วลุกออกไปเลย แล้วตูมคือคนที่ไม่เคยจับเครื่องมือเวลาออกอากาศมาก่อน ตอนทำเดโม่ก็ไม่เคยจับเพราะมีผู้ช่วยดีเจทำให้ เราเลยตกใจ พอปิดไมค์ได้เท่านั้นแหละ นั่งร้องไห้เลย เป็นความรู้สึกว่า นี่เราทำอะไรผิด ซึ่งดีเจท่านนั้น คือ ดีเจมดดำ คชาภา ตูมไม่เคยถามเรื่องที่เกิดขึ้นเลย เกือบ 4 ปี ที่ตูมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย จนกระทั่งวันที่ตูมเป็นดีเจมะตูม และได้รับเกียรติให้ไปออกรายการแฉ ก็เลยไปถามเค้ากลางรายการเลย ตอนนั้นเป็นช่วงที่พูดขอบคุณพี่มดดำ แล้วหนูขอถามแม่คำถามนึง วันนั้นแม่เดินออกทำไม แม่รู้มั้ยว่าแม่อาจจะไม่จำ แต่เด็กที่มันโดนทำมันจำไม่ลืมนะ แม่ทำแบบนี้ไม่ถูก แล้วพี่มดดำบอกว่า อ๋อ ฉันตามผู้ชาย วันนั้นพี่มดดำไม่ได้โกรธอะไรตูมเลย เหตุการณ์คือ ตอนนั้นเค้าก็มีคุยกับผู้ชายคนนึง แล้วเหมือนมีคนส่งมาว่า เห็นผู้ชายเธออยู่กับผู้หญิงคนนี้ พี่มดดำก็ลุกไปตามผู้ชายเลย ทิ้งปมให้หนู 4 ปีเต็ม ซึ่งพี่มดดำก็ขอโทษ ก็เลยจบไป แต่จริง ๆ แล้ว ตูมรู้สึกว่า พี่มดดำ เป็นคนที่มีอิทธิพลมาก กับการเป็นดีเจของมะตูม เพราะว่าเค้าเป็นไอดอลเราตั้งแต่ตอนนั้นมา”

โควิด - 19 จุดเปลี่ยนชีวิตให้กลายเป็นมะตูมคนใหม่
“ความดังมันทำให้ตูมหลงครับ หลงแสงสี หลงชื่อเสียง หลงอำนาจ หลงเงิน ทุกอย่างมาครบ พอวันนึงตูมตื่นมาแล้วรู้สึกว่าใคร ๆ ก็ต้องการตูม ตูมเดินไปไหนก็มีแต่คนต้องการตัว ตอนนั้นแม้จะมีคนมาเตือนเรา เรากลับรู้สึกว่าอย่ามายุ่ง เคยมีคนมาขอยืมเงิน แล้วเรารู้สึกว่าการมายืมมันน่ารำคาญ เค้ามาขอยืมหมื่นนึง ตูมเลยให้ไปเลยแสนนึง ถือว่าทำบุญแล้วกันให้มันจบ ๆ ในตอนนั้นเราไม่เห็นคุณค่าของเงิน ถึงขนาดที่ว่า หนูไปซื้อของร้านสะดวกซื้อ แล้วเงินทอนมันแนบมากับบิลใบเสร็จ 20 บาท หนูก็รีบขยำเงินทอนและใบเสร็จทิ้งลงขยะ แล้วก็ขึ้นรถตู้ แล้วก็คิดได้ว่าเงิน 20 บาทไม่เป็นไรหรอกแค่ 20 บาทเอง แล้วเวลาตูมจัดงานวันเกิดที ก็มักจะหมดเฉียดล้านอยู่แล้ว คนในงาน 300 คน ทุกคนกินฟรีเต็มที่ อาหารทุกอย่างเกรดพรีเมี่ยมหมด เพราะตูมคิดว่า Work Hard Play Harder
แล้วในวันที่ติดโควิด ชุดความคิดตอนนั้นคือโอเคเราผิด ผิดเพราะเราจัดงานวันเกิด แต่ในใจก็คิดว่าเราก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นนะ เราแค่คิดน้อยไปหน่อย แล้วการติดโควิดมันถึงกับต้องเข้าคุกเลยเหรอ เพราะว่าตูมก็ต้องเกือบเข้าคุกจริง ๆ แล้วต้องรอลงอาญา เป็นศิลปินคนเดียวในประเทศนี้ที่ติดโควิดแล้วต้องขึ้นศาล ตูมบอกเลยว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เรามีแต่โทษโควิดที่เกิดขึ้น แล้วโทษตัวเองที่ได้รับผลกระทบและตกต่ำ แต่ ณ วันนี้ ตูมมีแต่ขอบคุณโควิด เพราะโควิดทำให้ตูมรู้จักคุณค่าของการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทำให้ตูมอยากออกกำลังกาย อยากรักตัวเอง สอนให้ตูมรู้จักประหยัด รู้จักว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน และมันช่วยคัดคนให้ชีวิตตูมอีก จากวันก่อนเพื่อน 300 คนที่มางานปาร์ตี้วันเกิดเรา แต่ตอนที่ตูมติดโควิด เกินครึ่งมาคอมเมนต์ด่าตูมหมดเลย โควิดมันเป็นโรงเรียนดัดสันดานที่ดีมาก ๆ ช่วงเวลา 17 วันในห้องสี่เหลี่ยมในโรงพยาบาล ในห้อง ICU โดยที่เราขาดการติดต่อทุกคน สิ่งที่ตูมคุยได้คือหุ่นยนต์อัตโนมัติที่เสิร์ฟข้าว แต่มันเป็นโรงเรียนที่ทำให้เรารู้สึกว่า จริง ๆ แล้ว ครูที่ดีที่สุดคือประสบการณ์ ครูที่ถ่ายทอดได้ดีที่สุดคือตัวเราเอง
ตูมไม่เคยเห็นภาพว่าตัวเองจะบวชเรียน ซึ่งถามว่าโควิดทำให้ตูมบวชมั้ย ไม่ใช่ครับ ตูมอยากบวชทดแทนบุญคุณบุพการีอยู่แล้ว แต่โควิดเป็นครูที่มาบอกเราว่า ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าจะหมดลมหายใจวันไหน เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ยังมีลมหายใจ จงทำเพื่อประโยชน์ ธรรมะทำให้ตูมรู้สึกหลุดออกจากกรอบ เราทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเดือดร้อนใคร ตูมจะไม่บอกว่ามีธรรมะแล้วทำให้เรากลายเป็นคนดี เพราะตูมยังคงเป็นมะตูมที่มีทั้งดีและไม่ดี เพียงแค่ตูมรู้จักวาระ และโอกาสที่จะใช้ความดีนั้นตอนไหน หรือถ่ายทอดความไม่ดีนั้นออกมาตอนไหน
ตูมบอกตัวเองเสมอว่า ถ้าตูมมีโอกาสขอบคุณได้ จะขอบคุณ พี่มดดำ เป็นร้อยรอบ ตูมกลับเข้ามาในวงการบันเทิงได้เพราะพี่มดดำ ตอนนั้นพี่มดดำสุ่มเสี่ยงที่จะติดโควิด ต้องจัดรายการที่บ้าน แล้วก็คือติดจริง ๆ เลยต้องหาคนมาแทน เค้าโทรมาบอกว่า ตูม แกไปแทนฉัน ทำใจเลยนะว่าแกจะโดนด่า แต่แกจะกลัวไม่ได้ เพราะยังไงแกก็ต้องกลับมาทำงาน กลับมาทำงานให้ช่อง กลับมาทำงานให้ฉัน แกรู้มั้ยว่าตอนที่แกติดโควิด พวกฉันเดือนร้อนขนาดไหน เค้าพูดเหมือนดุ แต่ตูมฟังแล้วตูมรู้สึกว่า เราต้องกลับมาทดแทนได้แล้ว หยุดจมดิ่งกับความเศร้าเราได้แล้ว แล้วสุดท้าย พี่มดดำ ก็ให้ ตูม ไปเป็นเมนพิธีกรในรายการแฉ
ในวันที่กลับมา พี่ ๆ ดีเจ ให้การต้อนรับเราดีมาก ดีเจพีเค ซื้อดอกไม้มารอรับตูมที่คลื่น ดีเจดาด้ามากอดด้วยความรัก พี่บุ๊คโกะ และทุกคนพอเห็นเรากลับมาที่คลื่นอีกครั้ง ไม่มีใครตำหนิ มันมีแต่คนรู้สึกว่า พี่ ๆ ก็เคยพลาดมาก่อน ดีแล้วมะตูมจะได้โต มันทำให้ตูมรู้สึกว่าเอไทม์ คือครอบครัว มันคือรุ่นพี่ สู่รุ่นน้องจริง ๆ
ในสังคมมันจะมีทั้งคนชื่นชมในความพยายามของเรา และคนที่พร้อมจะบั่นทอนในความตั้งใจและความพยายามของเราอยู่เสมอ นี่คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นปกติในโลกมนุษย์ ทุกวันนี้ยังมีคนตามด่าตูมอยู่ ซึ่งมันเป็นผลกระทบจากมะตูมในเวอร์ชั่นก่อน ซึ่งมะตูมเวอร์ชั่นนั้นสมควรได้รับคำด่าครับ แต่มะตูมในเวอร์ชั่นวันนี้ ต่อให้ตูมโดนด่า ตูมจะไม่ได้รับมาเลย แต่ตูมจะดูว่าอันไหนเป็นประโยชน์ที่อยากให้ตูมพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ถึงจะเปิดรับ
ในโซเชียล เวลาเราเจอคำคอมเมนต์แรง ๆ เราสามารถกดลบ หรือซ่อนมันได้ ซึ่งในชีวิตก็ควรเป็นแบบนั้น ถ้าสิ่งไหนที่เข้ามาในชีวิตแล้วทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเดินต่อแล้วพัฒนาไปไม่ได้ แค่ลบมันออกไป มันไม่ใช่เป็นปัญหาของเรา มันเป็นปัญหาของเค้า คำพูดที่มันหยาบคาย ด่าทอ หรือว่าดูถูกดูแคลน อย่าใส่ใจ เรารู้อยู่แล้วว่าตัวเราเป็นใคร สุดท้ายแล้วเอาคำพูดเหล่านั้น มาเป็นแรงบันดาลใจ และพัฒนาต่อไปให้ดีขึ้นดีกว่า
ถ้าต้องพูดกับตัวเองในเวอร์ชั่นเก่า ก็ต้องบอกว่าขอโทษนะ ที่กลับไปเป็นมะตูมคนนั้นไม่ได้แล้ว ขอบคุณนะที่เป็นกระจกที่สะท้อนสันดานได้ดีมาก ๆ ตูมรู้เลยว่าตูมควรปรับปรุงตัวเองตอนไหน ณ วันนี้ตูมร่าง 2 อาจจะไม่ได้ดีที่สุด ตูมอยากเป็นร่าง 3 ที่ดีกว่านี้ ร่าง 4 ที่ดีกว่านี้ ในทุกช่วงวัยตูมอยากพัฒนาให้ดีกว่านี้ แต่ถ้าให้พูดกับร่าง 1 ได้ ก็อยากบอกว่า ขอบคุณนะ เหนื่อยมาเยอะแล้ว พักเถอะเดี๋ยวร่าง 2 จัดการต่อเอง”

จากดีเจฝีปากแซ่บ สู่นายแบบสุดฮอต
“การเป็นนายแบบ มันเริ่มจากการที่ตูมออกกำลังกายก่อน หลังจากที่เมื่อต้นปี ทุกคนทราบข่าวตูมจับโจรที่ร้าน ตอนนั้นตูมวิ่งจับโจรแล้วตะโกนไปด้วย แล้วรู้สึกตัวเองเหนื่อยจังเลย ทำไมปอดฉันไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เหมือนเมื่อก่อนเราวิ่ง 5 กิโลเมตรแล้วเราไม่หอบ แต่วันนี้ 3 กิโลเมตรแล้วหนูไม่ไหว มันเป็นภาวะลองโควิด ปอดของตูมเป็นรอยขีด คือปอดเรามันก็เหมือนกับพลาสติก โควิดก็เหมือนถ้าเราใส่กรวดทรายไปแล้วเขย่า ๆ ต่อให้เราเทออกมาหมดมันก็มีรอย มันต้องฟื้นฟูด้วยการออกกำลังกาย ต้องทำให้มันพองลม ปอดมันจะได้แข็งแรง ตูมเลยกลับมาฟิตเนสอีกครั้งหลังจาก 2 ปีที่เราติดโควิดเราก็ไม่ได้ฟิตเนสครับ แล้วก็คุมอาหารแบบจริงจัง 3 เดือน แล้วรู้สึกว่าอยากจะถ่ายนู้ดสักครั้ง วันที่ตูมออกกำลังกายอาทิตย์แรก ตูมโทรจองสตูดิโอถ่ายแบบเลยในอีกสามเดือนข้างหน้า เป็นการกดดันตัวเองว่าอีก 3 เดือนเราต้องถ่ายแบบ ต้องทำให้ได้
ทุกคนชอบไปหาข้อมูลว่า ทำยังไงหุ่นถึงดี ทำยังไงถึงออกกำลังกายแล้วหุ่นสวยมีบอดี้ มีซิกซ์แพค ซึ่งข้อมูลทุกอย่างอยู่อินเตอร์เน็ตหมดเลย ทุกวันนี้คุณมีแค่โซเชียล คุณหาได้หมดเลย แต่ใจที่จะทำตามข้อมูลนั้นมันยากมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ด้วยวินัย ซึ่งการสร้างวินัยให้กับตัวเองมันยากมาก จากคนปกติที่ไม่เคยลุกไปวิ่ง อยู่มาวันนึงต้องวิ่งวันละชั่วโมงครึ่ง เป็นเวลา 3 เดือนครึ่ง แล้ววินาทีที่เราตื่นเช้ามาแล้วจับท้องตัวเองแล้วมันมีซิกซ์แพคเป็นลูก มันภูมิใจในตัวเองมากเลย
พอครบ 3 เดือนครึ่งก็นัดถ่ายแบบ แล้วเก็บไว้เป็น Portfolio จากนั้นเมื่อปีที่แล้ว มะตูมได้ไปร่วมรายการ รู้ไหมใครโสด เวอร์ชั่นเวียดนาม แล้วก็เริ่มมีฐานแฟนคลับเวียดนามอยู่บ้าง แล้วตูมก็เลยเอาโปรไฟล์ไปแคสที่เวียดนามอินเตอร์เนชั่นแนลแฟชั่นวีค ในขณะเดียวกันมันกำลังจะมีโซลแฟชั่นวีค โซลแฟชั่นวีคสำหรับตูมคืออันดับหนึ่งของเอเชีย ตูมก็เลยลองแคส แล้วตูมไปแคสหลายประเทศมากเลย ญี่ปุ่นก็แคสส่งไปแต่ไม่ผ่าน ผ่านที่เวียดนามที่แรก ตูมเลยได้เริ่มเดินแบบที่เวียดนามอินเตอร์เนชั่นแนลแฟชั่นวีค และได้เดินฟินนาเล่ด้วย หลังจากนั้นโซลแฟชั่นวีคก็คอนเฟิร์ม แล้วได้เดินถึง 2 แบรนด์เลย
มะตูมรีดน้ำหนักตัวเองก่อนเดินโซลแฟชั่นวีค 1 อาทิตย์ ซึ่งตูมกินแอปเปิ้ลวันละลูก ซึ่งถามว่าหิวไหม บอกเลนว่าหิวมาก มันทรมานมากเลยกว่าจะผ่านตรงนั้นมา แต่สุดท้ายแล้วก็คือ ตูมกลายเป็นคนที่ยังอ้วนที่สุดในโชว์ เมื่อเทียบกับนายแบบคนอื่น ๆ แต่ตูมภูมิใจมาก ซึ่งตูมแคสไปในฐานะนายแบบ แต่เรามีฟอลโลเวอร์ เค้าก็เห็นเราเป็นเซเลบริตี้ของประเทศไทย ก็เลยขอให้เราใส่สองชุด ก็คือชุดเดินโชว์ และชุดเดินพรม คือตูมต้องออกไปเดินเดินพรมในฐานะเซเลบริตี้ก่อน แล้วตูมต้องวิ่งไปเปลี่ยนชุดเดินแบบ ตูมภูมิใจมาก มันเป็นฝันที่ตูมฝันไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว นายแบบคือฝันแรกของตูม เพราะว่าตูมรู้สึกว่าเราส่วนสูงถึง แล้วตอนนั้นเรายังเด็ก และยังไม่ได้มีโอกาส เราก็เลยปลุกปั้นน้องสาวก่อน น้องสาวตูมเป็นนางแบบอยู่ต่างประเทศหลังจากที่ครอบครัวเรามีนางแบบแล้วคนนึง เราก็เลยอยากมีนายแบบด้วย มะตูมก็เลยมาเก็บฝันตัวเองบ้าง”

กำลังใจจาก มะตูม เตชินท์
“ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่าไปต่อไม่ได้ คุณล้ม หรือคุณทำผิดพลาด อันดับแรกที่คุณต้องรู้ก็คือ คุณต้องสำนึกครับ ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งผิด แล้วต้องรู้จักให้อภัยตัวเอง เพราะถ้าคุณไม่ให้อภัยตัวเอง คุณจะไม่มีแรงลุกขึ้นมาทำสิ่งที่มันดีต่อไปได้เลย สุดท้ายแล้ว มะตูมอยากจะบอกว่า ไม่มีใครปรารถนาดี และอยากเห็นตัวเราได้ดี มากเท่ากับตัวเราเอง เพราะฉะนั้นจงฟังเสียงหัวใจตัวเองให้มากที่สุด แล้วสักวันหนึ่ง เราจะประสบความสำเร็จครับ” - มะตูม เตชินท์

ดูรายการย้อนหลัง
