เปิดชีวิตหลังไมค์ ของ “ดีเจอ๋อง เขมรัชต์” จากหนุ่มร็อคสุดเท่วงมะลิ สู่ดีเจตัวแม่ฝีปากแซ่บสะเทือนวงการ!

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตหลังไมค์ ของ “ดีเจอ๋อง เขมรัชต์” จากหนุ่มร็อคสุดเท่วงมะลิ สู่ดีเจตัวแม่ฝีปากแซ่บสะเทือนวงการ!

02 ต.ค. 2023

CLUB นี้ยังคงรวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าซ “ดีเจอ๋อง เขมรัชต์” จากอดีตหนุ่มร็อคสุดเท่ของวงมะลิ พิธีกรรายการไฟว์ไลฟ์สุดคูล สู่ดีเจตัวแม่ ฝีปากแซ่บ สะเทือนวงการ ที่กว่าจะถึงวันนี้ ดีเจอ๋อง ผ่านหลากหลายเรื่องราวสุดพีค และได้แชร์มุมมองดี ๆ ให้ฟังในรายการด้วย

 

 

ความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก

“ย้อนไปตอนเด็ก อ๋องเป็นเด็กขี้อายมาก เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าโตมาแล้วจะเป็นแบบนี้ได้ แต่เวลาที่อยู่กับเพื่อน เราจะร่าเริงและไม่ชอบให้ใครในกลุ่มเศร้า ก็จะชอบเอนเตอร์เทนคนอื่นให้มีความสุข แต่ถ้าจะต้องทำการแสดงก็มักจะปฏิเสธ เราขี้อาย ตอนที่แม่ให้ขึ้นไปร้องเพลงงานวันเกิดคุณป้า เราก็โกรธแม่เพราะว่าอาย

แต่ลึก ๆ ในใจมันมีความชอบร้องเพลงอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว พอเริ่มโตก็เป็นคนที่ชอบประกวดร้องเพลง แม้จะมีความขี้อาย แต่เมื่อจะต้องทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ เราจะเต็มที่ จนกระทั่งจุดพีคเลยคือตอนมัธยม ที่ได้ลองประกวดวงดนตรีที่โรงเรียน เป็นแบบโฟล์คซอง ร้องเพลงภาษาอังกฤษ ฮู้ฮา ฮู้ฮากันไป หลังจากนั้นเราก็มีเรียนร้องเพลงบ้าง แต่ไม่ได้เรียนแบบจริงจัง มาเริ่มเรียนจริงจังในตอนที่เข้ามาตึกแกรมมี่แล้ว ตอนที่เริ่มทำเพลงแล้วถึงจะเรียนร้องเพลงแบบจริงจัง”

 

 

จากเด็กชอบร้องเพลง สู่การประกวดวงดนตรีมัธยมระดับตำนาน

“ตอนนั้น อ๋อง ประกวด HOTWAVE MUSIC AWARDS รุ่นที่ 5 ตอนนั้นประกวด 3 ครั้ง ตั้งแต่ ม.4 ตอนนั้นไม่เข้ารอบเลย พอครั้งที่ 5 ก็เข้ารอบ 30 วงสุดท้าย และครั้งที่ 6 ก็เข้ารอบ 30 วงสุดท้าย ใช้ชื่อวงเป็น วงมะลิ เลย แล้วพี่มิก เชษฐา ยารสเอก เป็นกรรมการ ก็เห็นแววว่าวงนี้ดูมีแววนะ ก็พาวงเราเข้ามาที่แกรมมี่ มาสกรีนเทสอยู่ 2-3 ปี ตอนแรกวงมี 6 คน พอมาสกรีนเทสแล้วเหลือ 4 คน ถึงได้เริ่มทำอัลบั้ม”

 

ตัวตน LGBTQ+ ที่ต้องเก็บซ่อนไว้

“ตอนเด็ก อ๋อง ไม่รู้ว่า LGBT คืออะไร แต่ด้วยความที่เป็นเด็กร่าเริง มันก็จะมีอาการวี้ดว้ายกับเพื่อน ออกมือออกไม้ แล้วก็ชอบเล่นกับเด็กผู้หญิง เลยมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ แต่มารู้จัก LGBTเพราะคนแซวเราว่าเป็นตุ๊ดป่ะเนี่ย ทำไมดูกรีดกรายจังเลย เราก็จะได้ยินคำเหล่านี้มาโดยที่เราก็คเข้าใจว่าอาการแบบนี้มันเรียกว่าตุ๊ด แต่คำว่าตุ๊ดตอนนั้นเป็น Negative นะ เพราะรู้สึกว่าทุกคนรอบตัวไม่อยากให้เราเป็นตุ๊ด และมองว่าการเป็นตุ๊ดดูน่าอาย

โชคดีที่ตัวเราเอง ไม่เคยรู้สึกว่าการเป็นตุ๊ดมันเป็นปัญหา แต่เราแค่รู้สึกห่วงใยคนรอบข้างมากกว่า ว่าเค้าจะคิดเห็นอย่างไร เช่นพ่อกับแม่ ตอนเด็กที่พยายามจะไม่ใครล้อว่าเป็นตุ๊ดเพราะกลัวพ่อแม่รู้ว่าเราถูกล้อว่าเป็นตุ๊ด ซึ่งส่วนใหญ่จะห่วงพ่อแม่เป็นหลัก เวลาอยู่บ้าน เราแค่จะไม่วี้ดว้ายขนาดนั้น แต่ตอนอยู่โรงเรียนเราก็จะวี้ดว้ายเต็มที่ กรี๊ดกร๊าดเต็มที่ แต่ด้วยความที่เราเป็นแบบนี้ พ่อแม่ก็เห็นอยู่แล้วว่าลูกเป็นยังไง วิธีการทุกอย่างของพ่อแม่ พอเราโตขึ้นมาถึงรู้ว่านั่นคือการวางแผนอย่างแยบยลของพ่อและแม่เรา คือตอนเด็กเราโตมาพร้อมกับความรู้สึกว่าพ่อไม่ชอบตุ๊ด พ่อไม่ชอบ LGBT เวลาดูหนังดูละครที่มีตุ๊ดเนี่ยเค้าจะฮึดฮัด จะมีความไม่อยากดู ไม่ชอบ แล้วแม่ก็จะคอยมาตะล่อมว่าป๊าเค้าไม่ชอบนะ แต่พอโตขึ้นมาเราก็เพิ่งมารู้ว่า มันเป็นกลวิธีที่เราเลี้ยงลูก เราก็ยิ่งรู้สึกประทับใจไปใหญ่ว่า พ่อแม่ฉันก็เต็มเหนี่ยวเหมือนกันนะ เค้ามีความพยายามมาก ๆ เลย”

 

 

ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะมีคุณแม่ที่เข้าใจ

“อ๋อง กับ แม่ จะสนิทกันมาก แล้วแม่จะพาไปร้านตัดเสื้อตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ส่วนพ่อก็จะทำงานต่างจังหวัด ซึ่ง อ๋อง มีพี่สาวคนนึงที่ติดกัน แล้วก็มีพี่ชายคนโตซึ่งก็โตกว่ามาก โตกว่าอ๋อง 8 ปี เค้าก็จะมีชีวิตของเค้า แล้ว แม่ พี่สาว อ๋อง ก็จะแพ็ค 3 ไปไหนไปกันตลอด ซึ่งที่ที่ไปบ่อยมากเลยคือร้านทำผม อีกที่คือร้านตัดเสื้อผ้า ก็จะเป็นนิสัยของแม่ลูกคู่นี้ว่าชอบคุยกันเรื่องเสื้อผ้า และ แม่ชอบดูหนังสือแฟชั่น เวลาแม่อยากได้เล่มไหน ก็จะวานให้อ๋องไปซื้อให้แม่หน่อย

มีวันนึงแม่ก็บอกว่าไปซื้อหนังสือยี่ห้อนี้กลับมาให้แม่ที ระหว่างที่เราซื้อก็เปิดดู แล้วไปเจอคอลัมน์นึง ยังตลกกับเพื่อนอยู่เลยว่ามันมีคอลัมน์แบบนี้นะคือ ใช้ชีวิตเป็นเพศที่สามอย่างไรในสังคมให้มีความสุข แล้วพอกลับมาบ้านก็เอาหนังสือให้แม่ปกติ รุ่งขึ้นแม่ก็อยู่ข้างบนเราอยู่ข้างล่างนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แม่ก็ตะโกนลงจากข้างบนบอกว่า อ๋อง อ่านที่แม่คั่นไว้หน่อยลูก อ๋องก็เข้าใจว่าเป็นแฟชั่นเสื้อผ้าที่ชี้ชวนกันดู ปรากฏเปิดมาเป็นคอลัมน์ที่เราได้อ่านมาก่อนนั่นแหละ เราไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้นกันอีกเลย แต่ความหมายทั้งหมดที่ อ๋อง รู้สึกว่ามันเอ่อล้นในใจเราเพราะ 1.คือแม่รับได้ 2.แม่เป็นห่วงเรานะว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ แบบที่เราเลือกยังไงในสังคม 3.แม่ช่างถนอมจิตใจเราเหลือเกินโดยที่เราไม่เคยคิดหรอกว่าจริง ๆ แม่บอกเลยก็ได้ แต่แม่ก็คงกลัว อ๋องเลยรู้สึกว่า แม่เราคิดแบบซับซ้อนมาก หลายมิติมาก กว่าจะเลี้ยงเรามาได้

อ๋อง ไม่เคยคิดที่จะเดินไปบอกที่บ้านว่า อ๋องเป็นตุ๊ดนะ เพราะรู้สึกว่าเค้ารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นยังไง อย่างป๊าเอง จากที่เค้าเคยแข็งมาก ๆ เรื่องการยอมรับ LGBTQ+ เค้าก็จะเริ่มผ่อนคลายขึ้น แล้วก็เราเอง เป็นคนที่เพื่อนทุกคนก็จะรู้จักพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะสนิทกับเพื่อน เพราะเราจะเป็นคนที่ชอบพาเพื่อนพาแฟนไปให้พ่อแม่รู้จัก ซึ่งวันที่รู้สึกว่าพ่อรับได้เลยคือเราเลี้ยงหมาตัวนึง แล้วหมาอยู่ที่บ้าน อ๋องกับแฟนกลับไปบ้าน พ่อก็พูดกับหมาบอกว่า อ้าวพ่อมาแล้วไปหาพ่อ แต่คำว่าพ่อไม่ได้หมายถึงอ๋องนะ หมายถึงแฟนอ๋อง เราก็เลยคิดในใจว่าฉันก็คงเป็นแม่มั้งในสายตาพ่อ แต่พ่อไม่พูด แต่เรารู้สึกว่ามันคือขั้นกว่าของการยอมรับอีกนะ เพราะมันคือการทำให้ทุกอย่างดูเรียบง่ายและเป็นปกติที่สุด

มันมีอีกเหตุการณ์นึง คือให้คนมาติด UBC ที่บ้าน แล้วมันต้องติดกล่องเป็นจุดใช้กล่องเดียวทั้งบ้านไม่ได้ เราก็มีห้องนอนของเรา มีทีวีเราก็อยากจะดูส่วนตัวมากขึ้น เราก็ให้คนมาติดกล่องในห้องเรา ซึ่งทีวีเราก็จะมีเครื่องเล่นดีวีดี พอคนมาติดตั้ง ป๊าก็เข้าไปช่วยติดตั้ง แล้วจังหวะที่เปิดทีวีขึ้นมาทุกอย่างมันก็ออโต้เพลย์ทั้งเครื่องเล่นดีวีดีทั้งหน้าจอทีวีเอง แต่ในเครื่องเล่นดีวีดีมันมีหนังโป๊ที่ใส่อยู่ในนั้น ซึ่งมันเป็นหนังโป๊ผู้ชายกับผู้ชาย พ่อเค้าคงเห็นคาตานั่นแหล่ะ ซึ่งพ่อเค้าคงไปบอกแม่ แล้วแม่เค้าก็ถามว่าป๊ารู้สึกยังไง ป๊าก็บอกว่า ก็ไม่รู้สึกอะไร แม่ก็เลยบอกว่า อ๋อง มันจะเป็นอะไร เราเลี้ยงลูกเราตกลงว่าให้ลูกเป็นคนดี อ๋องมันไม่ดียังไง อ๋อง มันรับผิดชอบตัวเองไม่ได้เหรอ แม่ก็ถามป๊าบอกว่า แม่ชอบสีชมพู ป๊าชอบสีเหลือง แม่จะบังคับให้ป๊ามาชอบสีชมพูเหมือนแม่ได้เหรอ ต้องบอกเลยว่าแม่เก่งมาก เรื่องทั้งหมดนี้แม่มาเล่าให้พี่สาวฟัง แล้วพี่สาวก็มาเล่าให้อ๋องฟัง ว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้นะ เราก็เลยรู้สึกว่าแม่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเรื่องนี้”

 

 

ความโชคดีที่สุดในชีวิต คือการได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่

“อ๋อง พูดเสมอกับทุกคนว่า ไม่ว่าความโชคดีไหนในโลกใบนี้ที่เกิดขึ้นกับอ๋อง จะมาที่หลังความโชคดีของการที่อ๋องเกิดเป็นลูกพ่อแม่เสมอ เพราะมันคือที่สุดแล้วสำหรับชีวิตนี้ กับการที่เราเติบโตมาในครอบครัวแบบนี้ อ๋องรักพ่อรักแม่มากเพราะรู้สึกว่าเค้าเข้าใจเรามากจริง ๆ แล้วเค้ารักที่เราเป็นเราจริง ๆ เพราะบางทีสิ่งที่เราเลือกมันก็ไม่เหมือนลูกบ้านอื่นเลย แต่เค้าก็ยังพร้อมที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่ลูกเราชอบมันเป็นยังไง ก็เลยค่อนข้างที่จะแฮปปี้ครับ”

 

เมื่ออาชีพ ทำให้ต้องเก็บซ่อนตัวตนอีกครั้ง

“ย้อนไปตอนเป็นนักเรียน ทุกคนที่โรงเรียนรู้อยู่แล้วว่า อ๋อง เป็นแบบไหน เพราะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ใส่เสื้อกันหนาวสีบานเย็น ผ้าพันคอสีบานเย็น ตบวอลเล่ย์ใต้ตึก เวลากะเทยตบกันรุ่นน้องมาตามเรียกว่าป้าอ๋องไปเคลียร์หน่อย ดังนั้นเด็กบดินทร์ทุกคนรู้วาเราเป็นตัวมัม เป็นตัวคลอดบุตรตั้งแต่ตอนเด็ก

จนพอเราโต ต้องทำงาน กลายเป็นว่าถ้าอยากเป็นคนในวงการบันเทิงก็ต้องแอ๊บแมนนะ ก็ต้องเก๊กแมนสิ ถ้าจะเป็นนักร้อง ต้องเป็นผู้ชายนะ ซึ่งมันเป็นการรับได้ไปโดยปริยายว่าถ้าเราจะต้องทำงานวงการบันเทิงเราต้องมีคาแรกเตอร์ที่แมนขึ้น แล้วพอเข้ามาทำวง ก็มีความรู้สึกมันต้องทำอัตโนมัติว่าเราต้องเก๊กแมน เรามาสกรีนเทสเราก็เก๊กแมน แต่ว่าโชคดีที่ค่ายก็ให้พูดความจริงให้หมดว่าเราเป็นยังไง ตอนที่เข้ามาค่ายก็ถามเลยว่าใครมีความลับอะไรต้องบอก อ๋องก็พูดตรง ๆ ว่าอ๋องเป็นแบบนี้ ทุกคนในโรงเรียนรู้นะ แต่ว่าอ๋องก็พร้อมจะทำตามบรีฟอะไรอย่างเงี้ย เค้าก็บอกว่า ก็ใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่ขอแค่เวลาทำงานก็ขอให้เป็นพาร์ทที่ได้วางคาแรกเตอร์กันไว้ ใครถามก็ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ ก็ให้คนอื่นเค้าพูด ให้โดนด่าว่าเก๊กแมนดีกว่าโดนรู้ว่าเป็นตุ๊ดนะ ณ วันนั้นวงการบันเทิงยังไม่มีบทหลากหลายแบบทุกวันนี้ ละครจะมีตุ๊ดทีนึง คือ นาน ๆ จะมีที ซึ่งในยุคแบบ แม่โหน่ง วสันต์ แม่ก้อง ปิยะ ยุคนั้นเป็นยุคที่เราต้องขอบคุณเค้าที่ปูทางมาให้พวกเราถึงทุกวันนี้ เพราะยุคนั้นมันไม่ได้มีหนังวาย หรืออะไรแบบทุกวันนี้ แม้กระทั่งตัวนักร้อง แล้วยิ่งเป็นนักร้องเพลงร็อค มันไม่สามารถแสดงตัวตนได้เลยว่าเราเป็นตุ๊ด เพราะเราต้องเป็น อ๋อง มะลิ ที่ดูขี้เก๊กและพูดน้อย ให้ดูคูล ๆ แต่ในใจคือกรี๊ดนะ คิดเสมอเราคือ ดา เอ็นโดรฟิน , ทราย ฟาเรนไฮต์ อะไรแบบนั้น

อ๋อง เคยโดนเปลี่ยนพิธีกร เพราะลูกค้ารู้ว่าเราเป็นตุ๊ดด้วยนะ ย้อนไปตอนนั้นมีงานนึงติดต่อมาคอนเฟิร์มแล้วเรียบร้อย พอใกล้ๆ วันงานก็จะขอแคนเซิล ด้วยเหตุผลบอกว่า ลูกค้าอยากเปลี่ยนใช้พิธีกรคนอื่น เราก็เลยต้องถามเจาะลึกขึ้นไป เพราะเราเป็นคนไม่ยอมอยู่แล้ว ถามว่าทำไมล่ะ เราไม่ดีตรงไหน สิ่งที่เค้าตอบมาคือ ลูกค้าไม่อยากได้ตุ๊ด ตอนนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าการเป็นตุ๊ดของคนที่เป็นพิธีกรมันเป็นอะไรเหรอ ถ้าไม่ชอบก็บรีฟมาสิว่าไม่เอาวี้ดว้าย ไม่กรี๊ด ไม่เล่นบ้าผู้ชาย ขอเฟิร์ม ขอคูล ขอนิ่ง เราทำได้ทุกอย่าง แต่จะปฏิเสธเราเพียงเพราะว่าเรามีคาแรกเตอร์เป็นตุ๊ด เรารู้สึกว่าใจแคบจังเลย ซึ่ง ณ ตอนนั้นมันก็มีข้อตกลงว่า ถ้าเกิดจะยกเลิกก็ได้  แต่ค่าตัวก็ต้องให้เราครึ่งนึงเพราะว่ามันใกล้วันงานมาก ปรากฎเค้าดันขี้งกก็เลยไม่ยกเลิก ให้เราได้ทำต่อ เราก็โชว์ความสามารถเต็มที่ เราทำแบบเฟิร์ม รันสคริปได้ปังโดยไม่กรี๊ด ไม่กรีดร้องได้เลย พอจบงานเค้าก็ฟีดแบ็คมาว่าลูกค้าโอ ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็บรีฟได้นะ สมัยนี้แล้วตุ๊ดเราก็ไม่ใช่ต้องกรีดร้องกันหมดทุกคน”

 

 

จากดีเจสุดแซ่บ สู่พิธีกรไฟว์ไลฟ์สุดคูล

“ตอนนั้นเป็นดีเจที่เอไทม์ปีแรกเลย แล้วทางไฟว์ไลฟ์เค้าอยากจะเปลี่ยนพิธีกร เลยให้ดีเจไปออดิชั่น อ๋องก็เป็นหนึ่งคนที่ไปออดิชั่น ออดิชั่นอยู่หลายรอบแล้วก็ได้ในที่สุด ก็ได้เป็น 1 ใน 6 พิธีกรรุ่นใหม่ ที่มาเสริมทัพพี่ ๆ ผู้ที่มีความสามารถมากมายอย่าง พี่อ้อย นภาพร ก็เลยมีโอกาสได้เป็นพิธีกรไฟว์ไลฟ์ ไล่ ๆ กันกับตอนปล่อยเพลงชิน คือเพลงชินมาแป๊บนึง แล้วก็มาทำไฟว์ไลฟ์ 7 ปี”

 

เกิดอาการแพนิค เพราะฝืนความรู้สึกตัวเองบ่อย

“อ๋อง เป็นคนรักการทำงานมาก เป็นคนที่กลัวไม่มีเงิน กลัวไม่มีกิน แล้วเป็นคนที่ชอบได้รับเสียงชื่นชม อยากทำให้ทุกคนมีความสุข อยากทำให้ทุกคนพึงพอใจ ดังนั้นพอต้องทำงาน ไม่ว่าอ๋องจะทำอะไรอยู่ อ๋องปล่อยได้หมดเลย แล้วก็ทำงานให้ดีที่สุด แล้ว อ๋อง เป็นคนที่ชอบเอาทุกเรื่องมาพันรวมกัน เช่น ระหว่างจัดรายการอยู่ ก็สามารถทะเลาะกับแฟนไปด้วยได้ มันต้องสับสวิตซ์ความรู้สึกแบบเร็วมาก แล้วเป็นคนทำอย่างงั้นมาตลอด

ในวันที่ อ๋อง มีอาการแพนิค ตอนนั้นกำลังจะเข้ารายการอ่านข่าว EFM ON TV ทางช่อง GMM25 จังหวะที่จะเข้าจิงเกิลรายการ มันมีภาวะเหมือนหัวใจหล่นไปตาตุ่ม จากนั้นคือตัวชา แล้วหัวใจก็เต้นแรงแบบแรงมาก ๆ เราก็ตกใจนะว่าเราเป็นอะไร เพราะมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน รู้สึกว่าต้องตายให้ได้เดี๋ยวนี้ มันน่ากลัวเหมือนหัวใจจะวาย เลยรีบลงไปห้องพยาบาลอาการมันก็หาย กลับมาสู่ภาวะปกติ อันนี้คือวันแรกที่เป็น วันต่อไปเป็นอีกก่อนเข้ารายการเวลาเดิม ที่เดิม แต่วันเนี้ยเราสู้ เราก็พยายามจะนั่งอ่านข่าวไปจนจบ มันก็เป็นภาวะของการทรมานมากเลยพี่ ทำเสร็จก็ไปหาหมอ หมอบอกว่าหัวใจมันกลับเป็นปกติแล้ว เราก็พยายามเช็คด้วยเครื่องเยอะแยะทำอยู่แบบนี้ 2 โรงพยาบาล ก็ไม่มีอาการผิดปกติ จนมาโรงพยาบาลสุดท้าย ก็บอกว่ามันไม่เป็นไรจริง ๆ นะคะ เคยคิดถึงเรื่องจิตเวชบ้างมั้ย พอเราฟังเท่านั้น ก็เริ่มรู้สึกว่าต้องไปพบจิตแพทย์ เพราะเราเรียนละครเวทีมา มันก็จะเรียนเรื่องจิตเวชประมาณนึงอยู่แล้ว  ก็ตัดสินใจไปหาหมอจิตเวช หมอก็ให้เล่าทุกอย่างให้ฟัง แล้วก็เลยสรุปมาว่า อ๋อง เป็น แพนิคดิสออเดอร์ ก็คือ อาการแพนิคที่สารเคมีในสมองมันแปรปรวน แล้วมันก็ประทุออกมาผ่านรีแอคของการเป็นแพนิคแบบนี้

สาเหตุที่แท้จริงคือ พักผ่อนไม่เป็นเวลา พักผ่อนไม่พอ แล้วก็ดูแลตัวเองไม่ดี อันนี้คือพื้นฐานนะที่มันจะนำไปสู่อาการแพนิคได้ แต่สิ่งที่มันทำให้เป็นเลยคือ เราชอบคัทอารมณ์ตัวเองเร็ว ๆ บ่อยเกินไป เราฝืนความรู้สึกตัวเองบ่อยเกินไป เช่น เสียใจมากเลย แต่ต้องเข้ารายการแล้ว ฉันก็สามารถคัทความเสียใจตรงนั้นแล้วก็หัวเราะออกมาได้เลยทันที ซึ่งมันผิดธรรมชาติ แล้วเป็นคนในวงการบันเทิง โกรธแค่ไหนคนเดินมาก็ต้องยิ้ม เสียใจแค่ไหนคนจะขอถ่ายรูปก็ต้องถ่าย แล้วพื้นฐานยิ่งเป็นคนไม่ชอบเห็นใครเศร้าอีก มันก็เลยทวีคูณขี้นไปอีก และสะสมมาเรื่อย ๆ เป็นสิบปี วันนึงมันก็เลยประทุออกมาด้วยอาการเหล่านี้ ตอนนี้ก็คือดีขึ้นมากแล้ว ใช้คำว่าปกติได้เลย แต่ก็ต้องระวัง อ๋อง ก็ต้องกลับมาใส่ใจเรื่องการดูแลตัวเองมากขึ้น”

 

 

ความรัก 17 ปี ของ อ๋อง เขมรัชต์

“อ๋อง คบกับแฟนมา 17 ปีแล้ว แต่ก่อน อ๋อง ไม่ใช่คนเรียบร้อย แล้วตอนที่เจอแฟนคนนี้ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ก็วันไนท์สแตนด์ คิดแค่นั้น อ๋องรู้สึกว่า พอเรารักสนุก มันมาพร้อมกับความไม่คาดหวังอะไรเลย แล้วเราก็เป็นตัวเราได้เต็มที่ อีกฝ่ายก็คงเป็นตัวเค้าได้เต็มที่ เราไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องเห็นด้านดีของกันและกันเสมอ แต่ด้านเสียที่มันแสดงออกมามันดันเป็นสิ่งที่เราทั้งคู่รับได้ และเรารู้สึกว่าไม่เป็นไร แล้วพอมันไม่คาดหวัง มันก็ไม่ผิดหวัง แล้วมันก็ไม่เสียใจ จนวันนึงรู้สึกว่าคนนี้แหละที่ใช่สำหรับเราจริง ๆ

อ๋องเป็นคนงี่เง่ามาก เวลาอยู่กับแฟน อ๋อง จะทำทุกอย่างที่ไม่ทำกับคนอื่น และเป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย เพราะเรารู้สึกว่าก็เราเป็นคนแบบนี้ เค้าพูดเสมอว่า ก็เพราะ อ๋อง เป็นคนแบบนี้ แรก ๆ อ๋องก็จะต่อต้านเพราะอ๋องไม่รับตัวเอง แต่พอเปิดใจ ทำใจกว้างกับตัวเองมากขึ้น แล้วมองเข้าไปจริง ๆ ก็เลยเข้าใจตัวเองว่าเราชอบเผลอทำไม่ดีกับคนใกล้ตัว จนบางทีมันก็ทำให้บั่นทอนจิตใจ อ๋อง ก็เลยพยายามประคับประคอง แล้วก็ทำตัวเองให้ดีขึ้น ทุกวันนี้ก็จะชมเค้าเช้าเย็น เรารักเค้านะ มันอยู่ด้วยกันจนข้ามความความโรแมนติกฟุ้งฝันไปแล้ว แต่ก็อยากให้เค้ารู้ว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะมีเค้าอยู่ในแพลนชีวิตเราตลอด

 อ๋อง อินกับเรื่องสมรสเท่าเทียมมาก พรบ.คู่ชีวิตก็ไม่เอานะ เพราะรู้สึกว่ามันจะไปยากอะไร ในเมื่อคนสองคนเค้ารักกัน บุคคลกับบุคคลมันรักกัน แล้วทำไมเค้าถึงจะมีสิทธิ์ไม่เท่าคนอื่น คืออ๋อง ยังหาทางออกไม่ได้เลยว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงยังไม่ผ่านสักที การที่ผู้ชายสองคนรักกัน มันจะไปผิดแปลกกับผู้ชายผู้หญิงรักกัน หรือผู้หญิงกับผู้หญิงรักกันอย่างไร ทุกคู่มันมีเรื่องราวหมด ตราบใดก็ตามที่เราเป็นบุคคลกับบุคคล ก็ไม่ควรมากีดกัน หรือลิดรอนสิทธิเราในเรื่องนี้เลย”

 

 

กำลังใจจาก อ๋อง เขมรัชต์

“อ๋อง อยากบอกทุกคนว่า มีความสุขในแบบที่ตัวเองมีได้ให้มากที่สุด ทุกคนมีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าคนที่เงื่อนไขน้อยกว่าหรือเยอะกว่าจะมีความสุขไม่ได้ เราต้องมีความสุขก่อน ถ้าข้างในของเราแน่นไปด้วยความสุข ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น เราจะสู้กับมันไปได้ แล้วชีวิตเราจะมีคุณค่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในครอบครัวแบบไหนครับ จะพร้อมบอกทุกคนวันนี้ หรือไม่พร้อมเลยด้วยเงื่อนไขอะไรก็ตามช่างมัน อย่าให้อะไรก็ตามมาบั่นทอนชีวิต เพราะว่าชีวิตเรามีคุณค่าเสมอ แต่เราต้องเห็นมันก่อน ก่อนที่จะไปเรียกร้องให้ใครเห็น อ๋อง อยากให้ทุกคนมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทำอะไรก็ได้ที่ไม่กระทบคนอื่น และที่สำคัญไม่เดือดร้อนตัวเอง” - อ๋อง เขมรัชต์

 

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1