เปิดมุมมองสุดอบอุ่นของ “ชาย ชาตโยดม” นักแสดงมากฝีมือ กับบทบาทคุณพ่อ LGBTQ+ ที่ทัชใจคนดู

Club Pride Day Recap

เปิดมุมมองสุดอบอุ่นของ “ชาย ชาตโยดม” นักแสดงมากฝีมือ กับบทบาทคุณพ่อ LGBTQ+ ที่ทัชใจคนดู

22 ก.ย. 2023

พบชีวิตหลากหลายสีสัน แบ่งปันแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ กับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”

 

เมื่อความเป็นพ่อ ไม่ได้อยู่แค่ในละคร แต่ถูกสะท้อน จากเรื่องราวในชีวิตจริง รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “ชาย ชาตโยดม” ที่นอกจากจะเป็นนักแสดงคุณภาพมากฝีมือ ที่มีผลงานให้แฟน ๆ เห็นหน้าเห็นตาแทบจะทุกวันในจอ กับบทบาทล่าสุด ที่ต้องเล่นเป็นคุณพ่อ LGBTQ+ ทัชใจคนดู จนเกิดกระแสมาตาลดาฟีเวอร์ ในชีวิตประจำวัน ชาย ยังรับบทบาทคุณพ่อลูกสอง ที่รัก และเอ็นดูลูกมาก ๆ ถึงขนาดเคยคิดลาออกจากวงการบันเทิงเพราะอยากอยู่กับลูกตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีมุมมองชีวิต พร้อมแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ ชาย ได้แชร์ให้ฟังในรายการอีกด้วย

 

 

ชื่อความหมายดี ที่คล้องจองกันทั้งบ้าน

“ชื่อเล่น ชาย คุณพ่อเป็นคนตั้งให้ ซึ่งที่บ้านของชายมีพี่คนโตชื่อ เอก แล้วก็เป็น ชาย พอมีน้องชื่อ มิคกี้ แล้วน้องสาวชื่อ มินนี่ ซึ่งชื่อทั้งคู่ดูแปลกไปเลย ถ้าเทียบกับชาย และ พี่คนโต ส่วนชื่อจริงของ ชาย สมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนโน้นเป็นคนตั้งให้ ซึ่งชื่อของที่บ้านชายจะคล้องกันหมดเลย คือ อัคโรภาส , ชาตโยดม , บรมวุฒิ , นุชนาถ โดนย ชาตโยดม เป็นคำสมาส มาจาก ชาตะ กับ อุดม หมายถึงเกิดมาเพียบพร้อมอุดมสมบูรณ์”

 

“การแสดง” ทำให้เด็กขี้อาย ได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง

“ชายเป็นเด็กเรียบร้อยตั้งแต่เด็ก ๆ ในบรรดาพี่น้องสี่คน พี่คนโตจะเงียบที่สุด ชายถือว่าเริ่มมีปฏิสัมพันธ์เยอะขึ้น คุยเก่งขึ้นนิดนึง แล้วก็ทะลุไปมิคเลย ที่จะเฮฮามาก อารมณ์ดีสุด ๆ ชายจะอยู่ตรงกลาง ๆ ออกแนวแนวเรียบร้อย เป็นเด็กที่ติดบ้าน ติดคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็เป็นเด็กขี้อาย ซึ่งแปลกที่ว่าพอเจอนักแสดงหลาย ๆ คน เค้าจะมีที่มาคล้าย ๆ กัน คือเริ่มต้นจากการเป็นคนขี้อาย โดยสำหรับ ชาย มองว่าความขี้อาย มันคือความไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าที่จะไปอยู่ต่อหน้าคน ไม่กล้าที่จะเป็นจุดสนใจ แต่ในขณะเดียวกัน ชาย เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนก็อยากมีการแสดงออกอยู่ในตัว ซึ่งความขี้อายมันกลายเป็นสิ่งที่มาสร้างกำแพงกั้นเอาไว้ไม่ให้เราได้มีโอกาสแสดงออกอย่างที่เราต้องการเท่านั้นเอง แล้วมันก็สะสมมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งพอมาเจออาชีพนักแสดง เหมือนกลายเป็นข้ออ้าง และเป็นหน้าที่ เค้าจ้างให้เรามาแสดง และพอได้แสดงมันได้ปลดปล่อย และอยากที่จะแสดงออกมากขึ้น”

 

 

ความฝันในวัยเด็ก คือ “อยากเป็นพ่อคน”

“ความฝันในวัยเด็กที่ชายจำได้คือ อยากเป็นพ่อคน ตอนเด็ก ๆ คุณครูก็จะถามว่าอยากเป็นอะไร อยากเป็นคุณหมอ อยากเป็นนายก อยากเป็นอะไร ซึ่งตอนเด็ก ๆ ชายคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าอยากจะเป็นอะไร แต่ว่า ชาย จำได้ว่าภาพครอบครัวของชายเป็นครอบครับใหญ่ มี คุณพ่อ คุณแม่ พี่น้องสี่คน น้า ๆ คุณตา คุณยาย คุณปู่ คุณย่า คือเรารู้สึกว่ามันสนุกจังเลย เราใช้ชีวิตกับครอบครัวในแต่ละวันมันมีความสุขมาก ก็เลยแค่คิดว่า โตขึ้นเราอยากจะมีครอบครัวอบอุ่นแบบนี้บ้าง เลยวางแผนไว้ว่า อายุ 20 จะแต่งงาน แล้ว 20 นิด ๆ เราควรเริ่มจะมีลูกได้แล้ว”

 

ไม่ชอบการจากพราก เพราะต้องย้ายประเทศบ่อย ๆ

“สิ่งที่ไม่ชอบเลยเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ชายไม่ได้เลือก คือต้องเดินทาง ด้วยความที่คุณพ่อไปรับหน้าที่ต่างประเทศ ก็เลยต้องตามไปด้วย ตอนที่ตามไปครั้งแรกคือ 5 ขวบ จากเมืองไทยไป อเมริกา เราก็พูดภาษาเค้าไม่เป็น ฟังเค้าไม่รู้เรื่อง กว่าจะใช้เวลาในการปรับตัวได้ก็เกือบ 3 ปี เริ่มคุยกับเพื่อน กว่าจะใช้ชีวิตเข้าที่เข้าทางก็ปีสุดท้ายแล้ว แต่พอชีวิตเริ่มลงตัว ก็มีเหตุให้เราต้องกลับมาเมืองไทยอีกแล้ว พอย้ายกลับมาเมืองไทย ก็กลายเป็นตัวประหลาดอีก เพราะตอนนั้นเราก็มีความมั่นใจแบบฝรั่ง แล้วพอกลับเข้ามาอยู่ในโรงเรียนไทย ก็มักจะโดนล้อ โดนบูลลี่ และกว่าจะใช้เวลาปรับตัวได้ก็อีกหลายปี พอปรับตัวได้ชีวิต ชาย ก็ย้ายอีกครับ พอขึ้น ม.4 ต้องย้ายไปอเมริกา โดยคุณพ่อคุณแม่ย้ายไปอังกฤษ แต่ส่งชายกับพี่ชายไปอยู่อเมริกา กลายเป็นครั้งแรกที่โดนพรากจากกัน ชายเลยฝังใจอยู่ตลอดว่าเราไม่ชอบการเดินทาง เพราะการเดินทางมันคือการทำให้คนเราต้องพลัดพราก มันเกิดความเสียใจตอนที่รู้สึกว่าจะไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้ว เพราะชายเป็นคนที่ติดคุณพ่อคุณแม่ ติดบ้าน แล้วอยู่ดี ๆ วันนึงเราก็โดนแยกไป ซึ่งชายไม่ชอบเลย ไม่ชอบการเดินทาง ไม่ชอบสนามบิน ไม่ชอบเที่ยว แต่ภรรยาเป็นคนที่ชอบเดินทางมาก เอะอะจะเที่ยวตลอดเวลา ซึ่งชายก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ แต่มันยังรู้สึกอยู่ในใจทุกครั้งที่จะเดินทาง ทุกครั้งที่จะขึ้นเครื่องบิน แต่ว่าเวลาเดินทางไปถึงแล้วก็แฮปปี้ ได้เที่ยว ได้ใช้ชีวิตที่สนุก แต่มันยังมีอะไรที่ค้างอยู่ในใจ”

 

 

ช่างสังเกตในวันนี้ เพราะคำบูลลี่ในวันนั้น

“ชายอ้วนตั้งแต่เด็ก บวกกับเป็นคนไทยไปอยู่อเมริกา หรือว่าติดความเป็นฝรั่งแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย มันก็กลายเป็นความแปลก แล้วก็จะโดนบูลลี่ เหมือนเวลาคนเดินผ่านแล้วซุบซิบนินทาเรา ภาพนี้มันยังฝังใจมาก แล้วมันทำให้เรารู้สึกแย่

จากที่เราโดนบูลลี่บ่อย ๆ ทำให้ ชาย กลายเป็นคนช่างสังเกต เพื่อเอาตัวรอด เราจะคอยสังเกตดูว่า ถ้ามีคนเค้ามองเราแบบนี้ แสดงว่าเค้าชอบหรือว่าไม่ชอบเรา ชาย จะพยายามอ่านใจคนว่ารู้สึกยังไงอยู่เพื่อที่จะปรับตัวเองให้ได้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะ ชาย กลายเป็นคนช่างสังเกต สังเกตคน สังเกตสถานการณ์ สังเกตอารมณ์ แล้วมันเอามาใช้ในอาชีพได้ เพราะว่าการเป็นนักแสดง ต้องเป็นคนช่างสังเกต พอช่างสังเกตเราจะเก็บรายละเอียดของคน พฤติกรรม นิสัย ท่าทางการเดิน แล้วเก็บเป็นรายละเอียดเอามาใช้กับตัวละครของเราได้

ปกติ ชาย เป็นคนที่ชอบอ่าน และชอบฟังแต่เรื่องดี ๆ ชาย ถูกสอนมาอย่างหนึ่งตั้งแต่เด็ก ๆ จากคุณแม่ เวลาจะมีงานวันเกิด ปีใหม่ สงกรานต์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านก็จะอวยพรว่า ขอให้ลูกเป็นที่รักที่ชื่นชมของทุก ๆ คน ขอให้เป็นที่เมตตา นั่นคือสิ่งที่คุณแม่เหมือนแบบใส่ข้อมูลให้ ชาย มาตลอด แล้วเราก็อยากให้คนที่ได้เจอเค้ารักเค้าเมตตาเรา เหมือนอย่างที่คุณแม่อวยพรซึ่งการที่เราเป็นที่รักที่เมตตาของคนอื่น มันจะเป็นเกราะป้องกันทำให้เราอยู่ในสังคมได้ง่ายขึ้น

และในตอนนี้ ชาย ฝึกตัวเองมาถึงจุดที่รู้สึกว่า ถ้ามีอะไรที่ไม่ดี เจอคอมเมนต์เชิงลบ ชายสามารถที่จะข้ามไปได้เลย ชายจะมาชั่งน้ำหนักเอาว่าส่วนใหญ่แล้วถ้ามันเป็นคอมเมนต์ที่ดี เราก็จะไปโฟกัสตรงนั้นมากกว่า หรือแม้กระทั่งเรื่องการดูดวง เนื่องจาก ชาย เป็นคนที่เชื่อทุกอย่าง ก็เลยเลือกที่จะไม่ฟัง ไม่ดูดวงดีกว่า เหมือถ้าเค้าทักบอกว่า เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ เดี๋ยวจะไม่สบาย เราก็จะกังวลอยู่กับสิ่งนั้น จนพาตัวเองไปถึงจุด ๆ นั้นจนได้ จึงตัดออกไปเลยดีกว่า”

 

 

จุดเริ่มต้น บนเส้นทางนักแสดง

“ตอนนั้นเกิดภาวะต้มยำกุ้ง ชายเลยต้องกลับจาก อเมริกา มา ไทย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เลยตั้งใจจะหาอะไรทำเพื่อที่จะหาเงินกลับไปเรียนต่อ แล้วก็แฟนที่คบอยู่ตอนนั้น เค้ารู้จักกับพี่ ในโปรดักชั่นเฮ้าส์ เลยชวนให้ ชาย ลองเข้ามาแคสดูมั้ย จะมี MV ของ พี่แอม เสาวลักษณ์ ก็เลยตกลงลองมา แล้วก็ปรากฏว่าได้ กลายเป็นงานชิ้นแรก เพลงเสียดายทำไม ตอนนั้นคิดว่าไม่แน่นะถ้าเราทำตรงนี้ เราก็อาจจะมีโอกาสได้หาเงินกลับไปเรียนต่อได้ ก็เลยตัดสินใจเริ่มเข้าโมเดลลิ่ง ไปแคสงานต่าง ๆ ไม่ต่ำว่า 6 เดือน ก็ไม่เคยได้งานอะไรเลย แล้วก็มานั่งคิดกับตัวเองว่าทำไม จนรู้ว่ามันเกิดจากความอายที่ยังอยู่ในใจเรานี่แหละ

ชาย ใช้เวลาอยู่นานมาก จนวันนึงตัดสินใจว่าถ้าเราอยากที่จะได้งานตรงนี้ มันก็ต้องหาวิธีตัดความอายออกไป แล้วลองเดินเข้าไปแคสแบบที่ไม่อาย เค้าให้ทำอะไรเราทำให้เต็มที่ไปเลย กลายเป็นว่าจากที่ไม่เคยติดเข้ารอบอะไรเลย มันเริ่มเข้ารอบ 5 คนสุดท้ายบ้าง 3 คนสุดท้ายบ้าง จนกระทั่งโอกาสมันก็มาคือไปแคสงานหนึ่ง แต่ไม่ได้งานนั้น ซึ่งในขณะที่แคสอยู่ เค้าก็กำลังแคสให้หนังของพี่คิง 303 กลัว กล้า อาฆาต เรื่องนี้น่าจะเหมาะกับชาย เดี๋ยวลองไปเจอพี่คิงหน่อยแล้วกัน ก็ไปเจอไปคุยแล้วก็ไปแคสกับพี่คิง ปรากฏว่าไปได้งานนั้น และเป็นครั้งแรกที่เล่นภาพยนตร์

ชาย เริ่มรู้ตัวว่ามีชื่อเสียงตอนเล่นละครเรื่อง รักเล่ห์เพทุบาย ครั้งแรก แล้วก็เล่นเป็นบทเป็นเกย์ ตอนนั้นพระเอกคือ พี่วิลลี่ แล้วก็นางเอกเป็น พี่หมิว แล้ว ชาย ก็เล่นเป็นเพื่อนพี่หมิว พอละครเริ่มออกอากาศ ก็เริ่มมีฟีดแบ็คบ้าง แล้วตอนไปอีเว้นท์พอเดินเข้าไปในห้างเจอคนเยอะมาก แล้วก็อยู่ดีๆ ก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้นมาในห้าง ชาย ก็ถามว่าเกิดไรขึ้นใครมา จนรู้ว้าคนที่มากรี๊ดพวกนั้นตั้งใจมาหาเรา อันนั้นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า ชาย กลายเป็นที่รู้จักแล้ว”

 

 

“พ่อเกรซ” บทคุณพ่อ LGBTQ+ ที่ทัชใจคนดู จนเกิดมาตาลดาฟีเวอร์

“ชาย รู้จักกับ อาจิ๋ม มยุรฉัตร มานานมาก อาจิ๋ม ดูแลเราเหมือนลูกมาตลอด ตั้งแต่ตอนเข้ามาวงการใหม่ ๆ แล้วก็ดูแลกันมาตลอด แล้ว ชาย ก็อยู่กับลูกอาจิ๋มทั้งสองคนคือ พี่จ๋า ยศสินี แล้วก็ พี่เจ็ท ด้วย เราโตมาด้วยกัน แล้วเค้าก็จะคอยหาบทที่ดีที่สุดมาให้ ชาย เสมอ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่พี่จ๋า พี่เจ็ท หรือว่า อาจิ๋ม โทรมาบอกว่าจะให้เล่นละครอะไร ชาย ไม่ต้องคิดอะไรเลย ตอบตกลงไว้ก่อน

พอ พี่จ๋า โทรมาวันนั้นบอกว่ามีละครที่อยากจะให้ชายเล่น เราก็ตอบไปว่าได้ครับไม่มีปัญหา พี่จ๋าบอกว่า เดี๋ยวฟังก่อนใจเย็น มันจะเป็นบทที่เป็น LGBTQ+ นะ เราก็บอกว่า ดีครับ ได้เลยพี่จ๋าบอกต่ออีกว่า แต่เป็น LGBTQ+ ที่มีลูก แล้วก็เป็นแดร็กควีนมีแดร็กคลับเป็นของตัวเองด้วยตอนนั้น ชาย เริ่มเห็นแล้วว่างานเริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอ พี่จ๋า เล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ได้เห็นภาพจริง ๆ ว่าในละคร พ่อเกรซ จะต้องเป็นยังไง มีแค่ภาพในหัวเท่านั้น แต่พอมานั่งทำการบ้าน พอเห็นบทแล้วถึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้วมันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะมาก สิ่งที่ค้นหาแล้วไปเจอในตัวละครของพ่อเกรซ ที่เค้าเจอมาตั้งแต่เด็กจนโต ความสัมพันธ์ที่เค้ามีกับพ่อกับแม่กับสังคมที่ไม่ยอมรับเค้าในตอนนั้น จนกระทั่งโดนตัดพ่อตัดลูก ซึ่งพอศึกษาตัวละครเข้าไปลึกกว่านั้น ถึงได้รู้ว่าการที่จะได้เล่นเป็นตัวละครนี้มันสนุกมาก

ซึ่งคนที่ตื่นเต้นกว่า ชาย คือ วิกกี้ เค้าชอบมากเวลาที่ ชาย เล่นเป็น LGBTQ+ เพราะว่าเคยเล่นก่อนหน้านั้นเรื่อง มาดามดัน เล่นเป็น เจ๊เมี่ยง ผู้จัดการดารา แล้วเค้าก็ชอบมาก อยากจะให้ชายเล่นแบบนั้นอีก ตอนที่พี่จ๋าโทรมาบอกว่าจะให้ ชาย เล่นเป็น LGBTQ+ พอวางสาย วิกกี้ เค้ากรี๊ดแบบชอบมาก เค้าคิดต่อว่าต้องเล่นเป็นแดร็กควีน ชาย จะต้องเป็น มารายห์ แครี รึเปล่า หรือว่า เซลีน ดิออน ต้องทัน บียอนเซ่ แล้วแน่ ๆ เค้าหาเรฟเฟอเร้นซ์ให้หมดเลย ต้องแต่งอย่างงี้ ต้องเดิน ต้องเต้นอย่างงี้ จน ชาย ไม่ต้องทำการบ้านเรื่องหาเรฟเฟอเร้นซ์เลย

วันของการฟิตติ้ง ชาย มีภาพในหัวเลยว่า จะต้องแบบแต่งตัวเต็มที่และ แล้วก็ต้องถ่ายรูป ชาย เตรียมพร้อมหมดทุกอย่าง จะต้องทำท่านี้ เต้นแบบนี้ แต่พอต้องทำจริง ๆ ชายแต่งหน้ามา 20-30 ปีแล้ว แต่พอต้องมานั่งแต่งเป็นแดร็ก รู้เลยว่าไม่เหมือนที่เคยแต่งมาละ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ชั่วโมงนึงผ่านไป สองชั่วโมงผ่านไป สามชั่วโมงผ่านไปยังไม่เสร็จเลย แต่ชายตั้งใจว่าชายจะไม่มองกระจก อยากจะรู้ว่าเดี๋ยวพอเสร็จแล้วจะเปลี่ยนแปลงขนาดไหน ขณะแต่งก็สัมผัสได้ว่าอันนี้ลบเหลี่ยมนี้ ไอ้อันนี้เติมคิ้วหายไป วาดโครงใหม่เลย ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด เหมือนเคาะทุกอย่างทิ้ง แล้วก็เปลี่ยนเบ้าหน้าใหม่หมดเลย แต่งเสร็จพอหันไปมองหน้าตัวเองในกระจกก็รู้สึกว่า โอ้โหสวยจังเลย ยอมรับว่าสวยจริง ๆ แว๊บแรกที่เห็นคือเหมือนหน้าคุณแม่

แต่ที่ยากกว่านั้นคือพอเริ่มใส่ชุด คือมันใส่เต็มไปหมด ใส่สเตย์ มีอันเล็ก อันใหญ่ อันกลาง เป็นถุงน่อง รัดเอว เติมสะโพก เติมก้น รัดนม เติมนม ใส่คอร์เซ็ทรัด ซึ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก จนกระทั่งใส่รองเท้าส้นสูง แล้วก็จับยืนขึ้นมา ตอนนั้นชายเดินไม่ออกเลย เราก้าวขาไม่ออกเพราะว่าเดินไม่เป็น ไม่เคยฝึกเดินมาก่อน ไม่รู้ว่าจะบาลานซ์น้ำหนักตัวเองยังไง พอจะถ่ายฟิตติ้งจริง ๆ ชาย เกร็งไปหมดเลย ท่าที่คิดมาในหัวทั้งหลายมันหายหมดเลย จะเอี้ยวตัวก็ลำบาก แค่จะก้าวขายังก้าวไม่ออกเลย ชาย ก็เลยขอยืมเอารองเท้าส้นสูงกลับไปซ้อมที่บ้าน คุณภรรยาก็เทรนด์ให้เต็มที่ พอ ชาย เดินเป็น ก็ใส่กับกางเกงขาสั้นหน่อย แล้วก็ใส่ส้นสูงเดินไป ลูกก็นั่งมองว่าพ่อเก่งนะ

สิ่งที่เหมือนกันของ ชาย กับตัวละคร พ่อเกรซ คือความเป็นพ่อ เพราะ ชาย อยู่ในช่วงจังหวะที่ความเป็นพ่อ ความเป็นครอบครัว มันกำลังอบอวลอยู่ในทุกอณู มันเป็นจังหวะพอดีกันที่มารับบทนี้ แล้วก็หลายประโยคจากตัวละคร ที่เค้ากำลังจะเล่าเรื่องของความรักจากคนในครอบครัว เรื่องของการสอนที่พ่อมีให้กับลูก กลายเป็นว่า นี่คือสิ่งที่ ชาย พยายามที่จะทำในชีวิตของ ชาย อยู่แล้ว ซึ่งพ่อเกรซเค้า เค้ามี ความเป็นพ่อที่เหนือกว่าที่ ชาย จะเป็นได้ เพราะวิธีการสอนลูก ของ ชาย ก็ยังจับพลัดจับผลู ชาย ยังทำผิด ๆ ถูก ๆ แต่ว่าพอมาเห็นในตัวละคร เห็นวิธีการพูด และคำพูดต่าง ๆ ของเค้า ถึงเข้าใจได้ว่าตัวละครนี้มีความคิดที่ดีกว่าเราเยอะเลย”

 

 

ครอบครัวที่พร้อมเปิดใจ คือพื้นที่ปลอดภัยของลูก

“ในจังหวะที่ ชาย เล่นเป็น พ่อเกรซ หลาย ๆ คนก็จะมาถามชายว่า ถ้าสมมติว่าลูกของชายเป็น LGBTQ+ ขึ้นมา ชายจะรู้สึกยังไง คำตอบแรกก็คือไม่รู้สึก ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้มันไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิดอะไร แต่พอได้มานั่งคิดจริง ๆ ถึงได้รู้ว่าเราก็กังวลในการใช้ชีวิตของเค้า คืออะไรที่มันนอกเหนือการควบคุมของเรา โดยเฉพาะสังคมภายนอก เราโอเค เราลูกอยากจะเป็นอะไรก็เป็นได้เลย แต่สิ่งที่เรากลัวคือ แล้วเค้าจะต้องเจออะไรในสังคม เราไม่โอเคเพราะไม่อยากให้ลูกต้องเจอความโหดร้ายในสังคมที่เค้าจะต้องออกไปเจอ ที่เราไม่สามารถที่จะไปช่วยเหลือ หรือเราไม่สามารถที่จะไปควบคุมอะไรได้

การเปิดรับ หรือการยอมรับ อย่างน้อยคือไม่ต้องยอมรับ 100% ก็ได้ แต่ต้องเปิดใจเท่านั้นเองคนเรามีหลากหลายรูปแบบมาก จะเป็นอะไร ขอแค่ให้เป็นคนดีแค่นั้นก็พอแล้ว เหมือนอย่างที่พ่อเกรซ สอนลูกที่ว่า คนเรามีหลากหลาย มีหลายเพศ ไม่ได้มีแค่ผู้ชาย หรือผู้หญิง แต่เพศไม่ได้มีตัวกำหนดว่าเค้าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าในครอบครัว โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ถ้าอย่างน้อยลองเปิดใจรับในอะไรก็ตามที่ลูกเป็นได้ มันจะช่วยทำให้ คน ๆ หนึ่งมีพื้นที่ที่ปลอดภัยได้ ซึ่งมันจะเป็นพื้นฐานที่ดีมาก ๆ ในอนาคตของคน ๆ หนึ่งเลย

 

ละครเวที ช่วยเติมไฟให้กับ ชาย ชาตโยดม

“เมื่อก่อนเรารักเราศรัทธาในอาชีพที่เราทำ แต่ว่าในขณะเดียวกันเราทำมาเกือบจะ 30 ปี มันก็จะเกิดความเคยชิน แต่เรายังอยากจะมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา การที่ได้ไปเล่นละครเวทีมันคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการเป็นนักแสดง ทุกครั้งที่เราเข้าไปซ้อม เราจะเจออะไรใหม่ๆ เสมอ แล้วเราก็ค่อย ๆ พัฒนาตัวเอง พัฒนาตัวละครจนสมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวัน ๆ มันก็เลยเหมือนเป็นที่ ๆ ชายสามารถที่จะกลับไปเติมไฟ เติมแพชชั่นได้ทุกครั้ง แต่ว่าโอกาสในการเล่นละครเวทีมันไม่ได้มีตลอด แต่ยิ่งได้มาเล่นกับ พี่บอย บอกเลยว่า ชาย ไม่เคยเจอใครที่มีแพชชั่นขนาดนี้ ทุกครั้งที่ พี่บอย พูดอะไรออกมา มันออกมาจากความรัก และแพชชั่นของเค้าจริง ๆ แล้ว ชาย ก็รับตรงนั้นเข้ามา แล้วก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เรามีพลังเพื่อออกไปทำงานต่อ”

 

 

บทบาทพ่อในชีวิตจริง ที่อยากอยู่กับลูก 24 ชั่วโมง

“ในวันที่ ชาย ได้เป็นพ่อ ชาย กลับรู้สึกผิดต่ออาชีพมาก เพราะว่าเมื่อก่อนในขณะที่เราพูด แล้วก็พยายามจะบอกน้อง ๆ ทุกคนว่า เราต้องศรัทธาในอาชีพของเรา ชายไม่ชอบเวลานักแสดงที่ไปกองถ่ายแล้วก็รู้สึกว่านี่กี่โมงแล้ว เหลืออีกกี่ฉาก เมื่อไหร่จะเสร็จ เรารู้สึกว่าทำไมพวกคุณไม่เห็นคุณค่าของโอกาสตรงนี้

จนมาถึงวันนี้ ชาย เข้าใจแล้ว เวลา ชาย อยู่ที่กองถ่าย เรากลายเป็นคนที่คอยว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ คิดถึงลูก ชาย ไม่อยากจะพลาดทุกการเจริญเติบโตของลูก สิ่งใหม่ ๆ ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตเค้า มันเกิดขึ้นทุกวัน ในขณะเดียวกัน ชาย ก็รู้ว่าเราก็มีหน้าที่ ที่จะต้องดูแลครอบครัว มันก็เลยเป็นความคิดที่ตีกันอยู่ในหัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็รู้สึกผิดกับทั้งสองฝ่าย ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน

ตอนนี้ลูก ๆ เค้าก็เริ่มโต จนเริ่มเข้าใจมากขึ้น ตอนเช้า ๆ ที่ชายตื่นขึ้นมาตี 5 ครึ่งชายจะเริ่มลงมาเตรียมตัวไปทำงาน พอลงมาไม่เกิน 5 นาที ลูกก็จะเดินตามลงมาละ เค้ากลัวพ่อหาย เค้าชอบถามว่าพ่อจะไปไหน พ่อจะไปทำงานอีกแล้วเหรอ ชาย รู้สึกว่าการได้อยู่กับลูกมันเป็นเวลาที่มีค่า แล้วมันเอากลับมาไม่ได้ถ้า ชาย ไม่อยู่ตรงนี้ แต่ยังไง ชาย ก็มีภาระหน้าที่ มีความรับผิดชอบที่จะต้องทำ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาบาลานซ์ไม่เจอ

ครอบครัว สำหรับ ชาย มันคือทุกสิ่งทุกอย่าง ชายเห็นคุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่าง ตอนเด็ก ๆ เราเห็นคุณพ่อคุณแม่เดินอยู่ข้างหน้า แล้วเค้าเดินจูงมือกัน แล้วจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นภาพนั้นอยู่ ชายก็เลยรู้สึกว่า ไม่ได้อยากจะได้อะไรไปมากกว่านี้แล้วในชีวิต ขอแค่ความอบอุ่นในครอบครัว แล้วให้ความมั่นใจกับลูก ๆ ว่าพ่อแม่จะรักกัน จะอยู่ด้วยกัน แล้วก็จะคอยเป็นเซฟโซน ที่ซัพพอร์ทให้ลูกเสมอ

ชาย อยากให้ลูกรู้ว่าพ่อรักเท่านั้นเอง อย่างลูกคนโต ตั้งแต่เด็ก ๆ ชายก็จะนอนกอดลูกทุกคืน แล้วก็จะบอกเค้าว่าพ่อรักลูกที่สุดนะ จนวันนึง ลูกคนโตเค้าเริ่มพูดได้ เค้าก็หันมาบอกว่ารักพ่อนะ แค่นั้นมันคือความดีใจที่สุดแล้ว จนมามีลูกคนเล็ก ชายก็จะบอกรักเค้าอยู่ตลอด ชาย อยากให้เค้ามั่นใจว่าพ่อรัก แล้วก็อยากให้เค้ารู้ว่าเรารักเค้ามากขนาดไหน”

 

 

ขอบคุณ วิกกี้ ที่คอยสนับสนุนในทุก ๆ เรื่อง

“ต้องขอบคุณ กี้ ในทุกๆ เรื่องเลยเพราะว่าเค้าซัพพอร์ท ชาย ในทุก ๆ เรื่อง อะไรที่ ชาย คิดอยากจะทำ อยากจะเป็น เค้าเชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ว่าชายทำได้ แล้วเค้าก็จะคอยซัพพอร์ทเสมอ เพื่อให้ชายได้ทำในสิ่งที่ต้องการอยากจะทำ และในขณะเดียวกันถ้าวันไหนที่ชายรู้สึกว่าเหนื่อยท้อกับอะไรก็ตามที่เข้ามาในชีวิต เค้าก็จะเป็นคนแรกที่คอยรับฟัง จะทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะมาอยู่ เป็นกำลังใจให้ว่าทุกอย่างมันจะต้องผ่านไปได้ มันไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุดในชีวิต สิ่งนั้นทำให้ ชาย เชื่อว่า เราต้องไปต่อได้แน่ ๆ เพราะว่าเรามีกัน”

 

คำขอบคุณ จาก ชาย ชาตโยดม

“ต้องขอบคุณทุก ๆ คน ที่ให้โอกาส ชาย เราอยู่ได้ด้วยโอกาสที่ทุกคนยื่นให้จริง ๆ เราไม่เคยคิดว่าจะยังได้บทที่ดีขนาดนี้อยู่ เรียกว่าเป็นโอกาสจริง ๆ ที่ทุกคนยังมอบให้อยู่ แล้วก็ยอมที่จะเชื่อว่า ชาย เป็น พ่อเกรซ ได้ รู้ว่าชายเป็นละครตัวไหนได้ แล้วก็ยังให้การตอบรับที่ดีมาก ๆ อยู่ขอบคุณทุกคนที่สุดแล้วครับ” - ชาย ชาตโยดม

 

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1