เปิดชีวิตสุดซี้ด ของ “เนสตี้ สไปรท์ซี่” เน็ตไอดอลอายุน้อยสอยเงินล้าน เจ้าของวลีฮิต “หรูหราหมาเห่า!”

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตสุดซี้ด ของ “เนสตี้ สไปรท์ซี่” เน็ตไอดอลอายุน้อยสอยเงินล้าน เจ้าของวลีฮิต “หรูหราหมาเห่า!”

17 ก.ย. 2023

Club นี้มีเรื่องราวมากมาย Club นี้มีหลากหลายสีสัน และ Club นี้ยังคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”

 

 

Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ ที่มาพร้อมกับความปังตั้งแต่ยังเด็ก “เนสตี้ สไปร์ทซี่” ตำนานเน็ตไอดอลอายุน้อยสอยเงินล้าน ที่ยิ่งโตก็ยิ่งสวยยิ่งเป๊ะ แถมยังได้โลดแล่นในวงการบันเทิง และร่วมงานกับดาราดังหลากหลายคน ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน เธอคือหนุ่มน้อยผมเกรียนในชุดนักเรียนประถม ที่โด่งดังไปทั่วโซเชียล จากการแต่งหน้าไลฟ์สด แนวตลกเฮฮาเป็นตัวเอง จนเป็นที่มาของวลีฮิต “หรูหราหมาเห่า!” จากวันนั้นถึงวันนี้ เธอเติบโตขึ้น และได้ผ่านหลากหลายเรื่องราว ที่พร้อมยกมาเล่า เอามาแชร์ใช้ฟังในรายการ

 

เนสตี้ สไปร์ทซี่ ชื่อนี้มีความแซ่บ

“ที่มาของชื่อหนู เกิดจากที่หนูเป็นคนคมเข้ม หนูก็เลยคิดว่า หน้าเป็นสาวใต้ ผมดำ ตาคม ลุคเรามันต้องเผ็ดร้อน พริกทั้งสวนก็สู้เราไม่ไหว เลยต่อท้ายชื่อด้วย สไปรท์ซี่ ซึ่งก่อนหน้านี้คุณแม่เป็นคนตั้งคำว่า ตี้ ให้ กลายเป็น เนสตี้ แล้วหนูก็เพิ่มคำว่า สไปรท์ซี่ เข้าไป ก็เลยเป็น เนสตี้ สไปร์ทซี่ แต่จริง ๆ ชื่อ เนส ที่มาจากเนสกาแฟ เพราะว่าตอนเกิดมาแม่บอกว่าหนูตัวเขียว ต้องอยู่ในห้องอบ ตอนนั้นเราเหมือนเม็ดกาแฟ เพราะว่าตอนเกิดตัวเล็กมาก น้ำหนักแบบไม่กี่กรัม แม่เลยตั้งชื่อให้ว่า เนส ค่ะ”

 

 

เป็นตัวเองได้เต็มที่ เพราะมีครอบครัวคอยสนับสนุน

“หนูโชคดีที่ครอบครัวเข้าใจที่หนูเป็น LGBTQ+ แม่เล่าว่า เริ่มดูออกตั้งแต่หนูเริ่มเดินได้เริ่มพูดได้ หนูจะไม่ทำอะไรที่ทะมัดทะแมง จะเป็นคนเรียบร้อย ส่วนพ่อเค้ารู้ แต่จะไม่ได้ต่อว่า ไม่ได้ห้ามหนูตรง ๆ แต่จะสื่อสารผ่านแม่ เค้าพูดอย่างเดียวว่าทำไมลูกเป็นแบบนี้ เพราะแม่เลี้ยงแบบตุ้งติ้งรึเปล่า

คุณพ่อ คุณแม่ ของหนู เป็นชาวสวนค่ะ คุณพ่อตัดยาง แล้วก็เลี้ยงวัวด้วย ด้วยความที่เป็นครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะมาตั้งแต่แรก ทำให้เครื่องสำอางทุกอย่างที่หนูซื้อ ก็มาจากเงินเก็บของหนูที่เหลือจากเงินไปโรงเรียน แล้วบางวันไม่มีเงินไปเรียนด้วย ก็ต้องแคะกระปุก เพราะบางวันคอรบครัวหมุนเงินไม่ทันเพราะมีรายได้อาทิตย์เว้นอาทิตย์ แต่จะมีเงินในกระปุกที่แม่บอกว่าหยอดไว้ให้หนู

ตอนเด็ก ๆ เวลาพ่อกับแม่ไปตัดหญ้า หนูจะต้องอยู่กับป้า ในตอนกลางคืน แล้วป้าจะเป็นสายซัพพอร์ทชอบเปิดเพลงให้เต้น ชอบถ่ายคลิป ชอบอวยหลานสาว แล้วที่พ่อรับหนูได้ ก็เพราะป้าเป็นคนเดินไปคุยให้ ว่าจะทำไงในเมื่อลูกเป็นแบบนี้ ต้องซัพพอร์ทเค้ามั้ย สุดท้ายแล้วจะทำไงได้ในเมื่อเค้าเป็นไปแล้ว คุณพ่อถึงยอมเปิดใจยอมรับ

แล้วตอนเด็ก หนูเป็นคนที่กล้าแสดงออก ซึ่งแม่ก็จะคอยซัพพอร์ทอย่างเต็มที่ มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูอยู่ประมาณ ป.2 ตอนนั้นพ่อยังไม่รู้ว่าหนูเป็นตุ๊ด แต่พ่อดูออกว่าเราตุ้งติ้ง แล้วด้วยความที่หนูอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนมาก หนูก็เลยบอกแม่ว่า ครูให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์นะ แม่ก็พูดมาคำหนึ่งว่า แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าชุด แต่สุดท้ายแม่ก็ซัพพอร์ทด้วยการเอาทองไปจำนำให้มาจ่ายค่าชุด

อย่างตอนกีฬาสี แม่ก็จะตื่นตั้งแต่ตี 3 แล้วบอกพพ่อว่าพาลูกไปทำกีฬาสี แต่ไม่ได้บอกว่าลูกไปทำอะไร แล้วแม่ก็มาปลุกหนู แล้วแอบพาไปแต่งหน้าที่ร้านเสริมสวย สวยฉ่ำเลยเพื่อไปเดินขบวนกีฬาสี แม่ซัพพอร์ทสุด ๆ เค้ากลัวว่าพ่อจะออกมาตลาดแล้วกลัวเห็นว่าลูกเดินขบวน แม่ก็จะห้ามไม่ให้พ่อออกมา แม่จะคอยกันซีนพ่อให้

หนูโตมาในสังคมที่ทุกคนเข้าใจว่าเราเป็นอะไร เราต้องการอะไร แล้วหนูเป็นคนที่ชัดเจน หนูเป็นก็บอกว่าหนูเป็น หนูไม่ชอบอะไร หนูก็พูดว่าไม่ชอบ การที่จะมีคนมาถามว่าเป็นตุ๊ดรึเปล่า แบบนี้หนูไม่เคยเจอเลยนะคะ แต่ก็มีกลุ่มเพื่อนบางคน ที่บอกว่าถ้าเป็นกะเทย เป็นตุ๊ด เป็น LGBTQ+ ตั้งแต่เด็กจะต้องโดนเพื่อนล้อ แต่หนูคือคนหนึ่งที่ไม่เคยโดนล้อ เวลาหนูเดินเข้าโรงเรียนเหมือนเราผมยาวมาก เดินเข้าโรงเรียนสับมาก แล้วหนูเป็นคนตุ้งติ้งตั้งแต่อนุบาล เพื่อน ๆ ก็ดูออก เข้าใจ และไม่ได้ล้อหนู

ในวันที่หนูทำศัลยกรรมจมูก และ หน้าอก เพื่อพัฒนาตัวเอง ทางโรงพยาบาลบอกว่าสามารถทำได้ แต่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต้องมาเซ็นยินยอมให้ลูกทำศัลยกรรมได้ และต้องทำการตรวจเลือด ตรวจร่างกายทุกอย่าง เมื่อผลตรวจทุกอย่างผ่านจึงทำศัลยกรรมได้

ด้วยความที่หนูเป็น LGBTQ+ ทุกคนก็จะเป็นห่วงว่าเราจะดูแลตัวเองได้ไหม เราจะทิ้งการเรียนไหม หนูก็เลยทำให้เค้าเห็นว่า หนูดูแลตัวเองได้ ทำอะไรด้วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องเป็นห่วงเลย หลังจากนั้นครอบครัวก็เปิดใจยอมรับ ยอมให้เราใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แบบเห็นได้ชัดเลย

หนูอยากให้ครอบครัวซัพพอร์ทลูก อยากให้รับฟังเค้า ถ้ายิ่งรับฟังเค้าจะยิ่งรู้สึกกล้าพูดกับเรามากขึ้น เพราะครอบครัวรับฟังหนู หนูเลยกล้าพูด กล้าที่จะเป็นทุกอย่างเลย แล้วก็อย่าพยายามปิดกั้น หรือบังคับเค้าว่าอย่าเป็น หนูว่าถ้ายิ่งไปรั้นทุกอย่างมันจะยิ่งตีออกจากกรอบเรื่อย ๆ”

 

 

โทรศัพท์เครื่องแรก ที่เปลี่ยนชีวิตของ เนสตี้ สไปรท์ซี่

“การเป็นเน็ตไอดอลของหนู มันเริ่มจากตอนนั้นวัวที่บ้านกำลังจะตาย แม่ก็เลยตัดสินใจขายเนื้อวัว แล้วตอนนั้นหนูยังไม่มีโทรศัพท์ ก็บอกแม่ว่าหนูอยากได้โทรศัพท์ เพื่อนมีกันหมดแล้วหนูยังไม่มีเลย แม่ก็ซื้อให้เลย 1 เครื่อง โดยเอาเงินที่ขายวัวไปซื้อให้ จำได้เลยว่าเพราะ ไอโฟน 6S เครื่องนั้น ทำให้หนูมีวันนี้

พอได้โทรศัพท์มา หนูก็ไม่รู้เลย Facebook คืออะไร แต่เห็นคนอื่นไลฟ์กัน หนูก็ลองไลฟ์บ้าง ไลฟ์ไปแต่งหน้าไป ตอนนั้นหนูก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตข้างหน้ามันจะเป็นยังไง แต่ไลฟ์ด้วยความชอบ คอนเทนต์แรก หรูหราหมาเห่า จากที่นั่งแต่งหน้าแล้วมีคนดู 7 คน มีแม่ กับเพื่อน ๆ ที่ดูกัน แล้วเพื่อนก็แชร์ไลฟ์ว่าเนสตี้พูดตลกมาก จากนั้นคนดูเริ่มขยับไป 100 คน หนูก็บ้าจี้ เต้นสะบัด ยิ่งร้องเพลงด้วย เต้นไปด้วยคนก็ยิ่งชอบ หลังจากคืนนั้น เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ คนดูเยอะมากจนตั้งรับไม่ทัน จาก 7 คน ในวันนี้ ตอนนี้ยอดผู้ติดตามหนู ใน Facebook 3 ล้านคน Tiktok 3 ล้านคน ส่วน Instagram 5 แสนคน

หนูคิดว่าเป็นเพราะโชคด้วย มันเป็นจังหวะชีวิตที่ลงล็อคพอดี ในวันนั้นหนูคือเด็กคนนึงที่ชอบการแสดง ชอบเต้น ชอบร้องเพลง แล้วก็ชอบความเฮฮา แล้วเวลาพูดหนูเป็นคนที่ชอบมีคำสร้อย ตอนไลฟ์หนูก็เลยพูดขึ้นมาว่า หรูหราหมาเห่า หนูไม่รู้ว่าคิดอะไรหนูก็เลยพูดขึ้นมาว่า นี่วันนี้เราจะแต่งหน้าแบบหรูหราหมาเห่า เป็นการจับคำนี้ไปผสมคำนั้น กลายเป็น หรูหรามาเห่า หรูหราจนเวลาเดินไปไหนหมาต้องเห่า

พอเริ่มมีคนดูไลฟ์เยอะ ก็เริ่มมีงานจากลูกค้า ซึ่งในตอนนั้นหนูไม่เข้าใจคำว่า รีวิว คืออะไร เรท คืออะไร หนูต้องมาเริ่มเรียนรู้ใหม่หมด ไปเสิร์ชหาข้อมูลว่า รีวิวคืออะไร เรท ต้องเป็นยังไง แล้วก็มีแบรนด์แรกติดต่อมาให้รีวิวแป้ง บัดเจ็ตเท่านี้ หนูก็ไม่เข้าใจว่า บัดเจ็ตคืออะไรอีก แต่หนูโชคดีที่ครอบครัวคอยอยู่ด้วยข้าง ๆ ตลอด ครอบครัวจะเป็นคนคุยรายละเอียดให้ ซึ่งงานรีวิวแรกลูกค้าให้เงิน 5,000 บาท ตอนนั้นหนูตื่นเต้นมาก เพราะเงิน 5,000 บาท มันเยอะมาก หนูจะต้องถ่ายยังไงให้ออกมาดีที่สุด แต่ก็มีโทรศัพท์เครื่องเดียว เราก็ถ่ายจนลูกค้าชอบ เงิน 5,000 บาทนั้นหนูให้แม่

หนูมีพี่น้อง 5 คน และหนูเป็นลูกหลงคนสุดท้อง พี่ ๆ จะคอยซัพพอร์ททุกคนเลย พี่คนโต ก็ไปเรียนตัดต่อเพื่อมาตัดต่อทำกราฟิกให้หนู พี่สาวคนกลางก็ดูเรื่องบัญชีให้เพราะเค้าเรียนจบบัญชี พี่อีกคนก็ซัพพอร์ทช่วยซื้อของและอุปกรณ์ให้ ส่วนพี่อีกคนติดทหารค่ะ”

 

 

เลือกทำคอนเทนต์ที่ใช่ พร้อมใส่ความเป็นตัวเองให้มากที่สุด

“เวลาถ่ายคลิป หนูจะเป็นตัวของตัวเอง หนูอยากทำอะไรหนูทำ เวลาหนูคิดอะไรได้ หนูจะทำก่อน เรื่องตัดต่อ หรือเรื่องจะลงคลิปหรือไม่ เดี๋ยวค่อยว่ากัน คอยเสนอความสุขไปให้คนยิ้ม คนมองเราแล้วยิ้มออกมา โดยหนูจะตามใจตัวเองมากกว่า ถ้ายิ่งไปขัด หรือทำอะไรที่ไม่เป็นตัวหนู จะดูออกว่าหนูทำไม่ได้ มันเกร็ง อย่างเช่นให้หนูท่องสคริปท์หนูก็ทำไม่ได้ หนูความจำไม่ดี เน้นพูดตามความเข้าใจตามธรรมชาติของหนูมากกว่า

เวลาไปออกรายการแล้วเราไปสนิทกับคนโน้นคนนี้คนนั้นก็จะบ้างที่เล่นกันแรง ๆ แล้วด้วยความที่หนูเป็นเด็กด้วย หลายคนก็มองว่าหนูแก่แดด แต่บางทีเราแค่เอนเตอร์เทนกันเฉย ๆ แต่ในชีวิตจริงหนูเป็นคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย พูดน้อย ถ้าอยู่หน้ากล้องก็จะเป็นคนที่มอบความสุข แต่เวลาอยู่คนเดียวก็จะมีเรื่องให้คิด และเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย

เวลาโดนคนติ ถ้าเค้าติเพื่อก่อ หนูจะปรับเปลี่ยนตัวเอง แต่ถ้ารู้สึกว่า อันไหนมันเกินไป หรือว่ามันมากไป หนูก็จะคิดว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ คนรักเราก็มี คนไม่รักก็มี เราก็ต้องทำความเข้าใจว่าจะต้องรับมือกับสิ่งนี้ยังไง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้จักตัวตนของเราจริง ๆ ว่าเราเป็นคนยังไง นอกจากตัวเราเอง ซึ่งหนูคิดว่ากาลเทศะ และการถ่อมตน เป็นสิ่งสำคัญมาก บางครั้งเวลาถ่ายคลิป ก็ต้องดูสถานที่ ดูคนที่เราสื่อสารด้วย ซึ่งหนูมองกาลเทศะเป็นหลัก

ส่วนตัวหนูจะเป็นคนเอิ๊กอ๊ากมั่นใจในตัวเอง แล้วเวลาเราแสดงออก หรือทำคลิปออกไปให้คนเห็น ก็จะมีบ้างที่โดนด่าว่ามั่นใจเกิน ไม่ชอบเลย หลากหลายความคิด ล้านคนก็ล้านความคิด แต่สิ่งที่หนูทำก็คือ หนูเอาสิ่งที่เค้าติมานั่งทบทวน ถ้าสิ่งนั้นเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ หนูจะนำมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่างที่มีคนเคยบอกว่าหนูตัวดำ แต่จะให้หนูทำยังไงดี เพราะสุดท้ายแล้วหนูเป็นคนผิวสีนี้ หนูก็แค่มั่นใจและภูมิใจในตัวเองเท่านั้น”

 

 

ชีวิตปัจจุบัน ของตำนานเน็ตไอดอลอายุน้อยสอยเงินล้าน

“ตอนนี้หนูอายุ 18 ปี เรียนชั้น ม.6 และกำลังจะขึ้นปี 1 ค่ะ ตอนนี้หนูมุ่งมั่นสิ่งเดียวคือขอให้ติด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หนูอยากเรียน วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มศว (COSCI SWU) มันเกี่ยวกับ Business และหนูอยากลองทำธุรกิจด้วย ซึ่งตอนนี้หนูกำลังจะเป็นเจ้าของแบรนด์ค่ะ ทำสินค้าวางขายในช็อบต่าง ๆ

ชีวิตของหนูทุกวันนี้คือ 6 โมงเช้า บินกลับไปเรียน ถึงโรงเรียนประมาณ 9 โมง พอเลิกเรียนตอนเย็นหนูก็บินกลับมากรุงเทพเพื่อทำงาน ใช้ชีวิตแบบนี้บ่อยมาก อาทิตย์หนึ่งอย่างต่ำคือ 3 วัน บินบ่อยมาก หนูเป็นคนชอบนั่งเครื่องบิน ชอบตกหลุมอากาศ หนูอยากเป็นแอร์โฮสเตสมาก หนูศึกษาเครื่องบิน เวลาหนูมองเครื่องบินหนูรู้หมดเลยว่านี่แอร์บัสอะไร

ด้วยความที่หนูทำงานไปด้วย แล้วก็เรียนไปด้วย มันบาลานซ์ยากมากค่ะ แต่โชคดีที่โรงเรียนหนูเข้าใจ อนุญาตให้ลาเรียนได้ แต่สิ่งที่หนูต้องทำก็คือตามงาน หนูไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง หนูแค่เป็นคนที่ส่งงานครบทุกอย่าง แล้วก็รู้สึกว่าโรงเรียนนี้ซัพพอร์ทหนูมาก อนุญาตให้ไว้ผมยาวได้เลย แต่ตอนถ่ายรูปจบการศึกษาก็ยังต้องใส่ชุดนักเรียนชายอยู่

แม้จะทำงานเยอะ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีสมบัติของตัวเองเลย หนูซื้อให้พ่อกับแม่หมดเลย รถ 3 คันและบ้าน 2 หลัง ซึ่งรถ 3 คัน มีหน้าที่หมด คันนึงเอาไว้ไปรับไปส่งหนูที่สนามบิน เพราะหนูอยู่ภาคใต้ อาทิตย์หนึ่งต้องบินไปบินมา 4 - 5 รอบ อีกคันพ่อก็จะเอาไปดูวัวและขนวัว ส่วนอีกคันก็จะต้องใช้ขับขึ้นสวนที่เป็นโฟร์วีล ส่วนที่ซื้อบ้าน 2 หลัง และทุกคนมีห้องส่วนตัว เพราะเมื่อก่อนทุดคนในครอบครัวหนูต้องนอนรวมกันตรงห้องโถง เพราะที่บ้านไม่มีห้องพอ แล้วหนูก็ซื้อวัวให้พ่อ ตอนนี้มี 40 ตัว พ่อเลี้ยงเป็นฟาร์มเลย ด้วยความที่เค้าเบื่อ เป็นคนแก่ต่างจังหวัดไม่มีอะไรทำ หนูเลยอยากให้เค้าทำตามสิ่งที่เค้าชอบ แต่ช่วงหลัง ๆ พอแก่ตัวลงพ่อเริ่มปวดหลัง ตอนนี้ก็เริ่มขายวัวออกไปบ้าง หูก็ต้องเตือนเค้าว่าทำไม่ไหวก็เบาลง อย่าไปทำหนักเกินตัว"

 

 

จะเก่งแค่ไหน แต่เรื่องหัวใจก็ยังเป็นสิ่งที่คุณแม่ห่วง

“ทุกวันนี้คุณแม่ จะคอยเตือนตลอดว่าอย่าเหลิง รักษาตัวเองให้ดี สุดท้ายแล้วเราเป็นคนที่มีคนรู้จัก เรายิ่งต้องวางตัวให้เป็น เราต้องอยู่ในกรอบอยู่ในรอย ความรัก คือเรื่องที่คุณแม่ห่วงหนูมาก เพราะหนูค่อนข้างจะเป็นคนติดเล่น ชอบคนง่าย ชอบเต๊าะไปเรื่อย แต่ว่าพอเอาจริง ๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร แล้วแม่ห่วงมาก ห่วงทุกอย่างในชีวิตหนู

หนูเคยมีความรัก ซึ่งเป็นความรักที่หนูอกหักหนักเลย เค้าอยู่เชียงใหม่ รักกันมาก เวลาเค้าบ่นว่าทำงานเหนื่อย หนูบินไปหาเลย เคยมี One day trip ไปถึงเชียงใหม่ลงเครื่อง 10 โมง พอบ่ายโมงหนูบินกลับมาทำงานกรุงเทพก็มี หรือไปตอน 4 ทุ่มตื่นมา 10 โมง กลับมาทำงานกรุงเทพก็มี เราไม่ได้เป็นแฟน แค่คุยกัน มันเริ่มจากการเป็นพี่น้อง แล้วปรับสถานะกันมาเรื่อย ๆ พอยิ่งปรับสถานะก็จะลงลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีเรื่องไม่เข้าใจ เริ่มมีความง้องแง้ง เริ่มทะเลาะกันมีปากเสียง หนูก็เลยพอ งั้นจบ กว่าจะมูฟออนได้ก็ 2-3 เดือนเลย สุดท้ายก็ตัดสินใจเป็นพี่น้องกัน

หนูชอบคนสะอาดสะอ้าน เป็นคนชอบคนดูแลตัวเอง ใช่ค่ะเป็นคนชอบคนตัวหอม เป็นคนชอบคนตัวหอมมาก ๆ และหนูเชื่อว่าถ้าเรามีแฟนที่ดี ความรักที่ดีจะซัพพอร์ทเราไปในทางที่ดีด้วย”

 

 

คำขอบคุณ จาก เนสตี้ สไปรท์ซี่

“หนูขอฝากติดตามผลงานของหนูด้วยนะคะ ถ้าเจอหนูอยู่บนบิลบอร์ดสนามบิน ฝากถ่ายรูปมาด้วยนะคะ ฝากถึงลูกค้าเข้ามาได้เลยหนูพร้อมทำงานทุกวัน สำหรับแฟนคลับ หนูขอบคุณมาก ๆ ที่ยังติดตาม แล้วก็ซัพพอร์ทหนูจนถึงวันนี้ ขอบคุณค่ะ” - เนสตี้ สไปรท์ซี่

 

 

ดูรายการย้อนหลัง

 

album

0
0.8
1