กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่าย! เปิดชีวิต “นัท นิสามณี” อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง เจ้าของวลีฮิต “ปังมากพี่นัท!”

Club Pride Day Recap

กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่าย! เปิดชีวิต “นัท นิสามณี” อินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง เจ้าของวลีฮิต “ปังมากพี่นัท!”

08 ก.ย. 2023

“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ บางคนจะบอกว่าคำนี้มันเป็นของคนโลกสวย ที่เอามาใช้ในวันที่เราเจอเรื่องแย่ ๆ แต่ นัท มองว่าบางครั้งเวลาเราเจอเรื่องแย่ ๆ เราต้องโลกสวยกับตัวเองบ้าง อย่าไปใจร้ายกับตัวเองมาก เวลาเจอเรื่องที่มันแย่มาก ๆ เชื่อเถอะมันจะมีเรื่องดีซ่อนอยู่ แค่คุณปรับ Mindset”

 

 

ยังเป็นคลับที่รวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “นัท นิสามณี” เจ้าของวลีฮิต “ปังมากพี่นัท!”

 

ตัวแม่ที่เริ่มจากเด็กช่วยคุณแม่ขายข้าวแกง สู่นางงามเจ้าของตำแหน่ง Miss Mimosa Queen Thailand 2013 ก่อนจะก้าวมาสู่วงการเน็ตไอดอล สายยูทูบเบอร์ที่มีผู้ติดตามทะลุ 1 ล้านคน ด้วยคาแรคเตอร์แอคทีฟ บวกกับความครีเอทีฟสุดสร้างสรรค์ ผสมกับความสนุกสนาน ทำให้ดังเป็นพลุแตก แต่กว่าจะมีวันนี้ ชีวิตของเธอผ่านมาหลากหลายดราม่า ฝ่าฟันปัญหามาหลายด่าน ซึ่งเธอได้แชร์เรื่องราว พร้อมแรงบันดาลใจดี ๆ ไว้ในรายการด้วย

 

“ปังมากพี่นัท!” วลีสุดปังจาก นัท นิสามณี

ใครที่ติดตามวงการยูทูบเบอร์ และบิวตี้บล็อกเกอร์ คงไม่มีทางที่จะไม่รู้จักชื่อของเธอคนนี้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากที่ นัท นิ สามณี เขาจะปังทั้งหน้าตา การแต่งกาย และไลฟ์สไตล์แล้วนั้น วลีฮิตของเธอยังปังติดหู จนคนชอบและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย โดยที่มาของวลีฮิตนี้เกิดจาก “ปังมากพี่นัท! เกิดจากที่ช่วงหนึ่งหนูชอบไลฟ์สดบ่อยมาก แล้วก็จะมีผู้ช่วยชื่อ น้องวิทูน และเวลาไลฟ์บางทีมันไม่มีคอมเมนต์ นัทก็ไม่รู้จะอ่านอะไร แล้วน้องวิทูนเค้าก็จะคอยชมว่าปังมากพี่นัท ความหมายก็เหมือน เลิศ จ๊าบ เจ๋ง ต่อมาพอเรากลายเป็นบุคคลสาธารณะ คนก็นำคำนี้ไปใช้ อย่างเช่นเวลาที่กินข้าวอร่อย หรือเจอผู้ชายหล่อ ๆ หรือฝนตกหนักมาก คนก็จะใช้คำว่าปังมากพี่นัท ซึ่งสามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์”

 

 

ย้อนชีวิตวัยเด็ก ของ ด.ช.ณัฐชัย

“เรื่องราววัยเด็ก ของ ด.ช.ณัฐชัย เราโตมาในครอบครัวคนจีนที่มีจำนวนคนเยอะมาก นัท โตมาในบ้านตึกแถว ที่อยู่กันประมาณ 10 กว่าคน ทั้งคุณป้า คุณลุง อาม่า พี่น้อง ลูกพี่ลูกน้อง ญาติ ทุกคนนอนรวมกัน แล้วก็ใช้ห้องน้ำเดียวกัน แล้วเราก็โตมาโดยที่เราก็ไม่รู้ว่านั่นคือชุมชนแออัด และเราอยู่ในครอบครัวฐานะปานกลางกึ่งไปทางยากจน เพราะเราโตมาแบบนั้นตั้งแต่แรกจึงไม่เคยรู้ว่าเราลำบากนะ เราต้องเหนื่อยนะ เพราะว่า นัท ตื่นตี 4 ตั้งแต่มัธยมต้น เพื่อเดินไปตลาดกับน้องสาว เพราะคุณแม่ขายข้าวแกง จากบ้านหัวลำโพง ต้องเดินไปเยาวราช เพราะถ้านั่งรถเนี่ยมันเปลืองต้นทุน ซึ่งไม่เคยรู้เลยว่าเส้นทางนั้นมันอันตรายมาก เด็กสองคนเดินในถนนมืด ๆ ไปที่ตลาดหิ้วของ แล้วก็นั่งสามล้อกลับมา เราทำอยู่แบบนี้จนโตมา พอลองมองย้อนกลับไปเราถึงรู้สึกว่ามันอันตรายเหมือนกันนะ แล้วมันก็ลำบากเหมือนกันนะ

พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น มันเริ่มมีความอยากให้ตัวเองดูดี อยากที่จะสร้างภาพลักษณ์ ซึ่งจะเริ่มช่วงประมาณ ม.3 ตอนนั้นสังคมในโรงเรียน เริ่มทำให้ นัท รู้ว่ามีเพื่อนบางคนไม่ต้องทำงาน มีพ่อแม่มารับ แต่ก็มีบางคนต้องนั่งรถเมล์ บางคนต้องเดินกลับ เราเริ่มเห็นการเปรียบเทียบ และเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งที่ผ่านมา นัท ไม่เคยอายเลย เพราะหนูคิดว่าทุกคนต้องตื่นมาขายกับข้าวเหมือนกับหนูตอนตี 4 ทุกคน จนกระทั่ง ม.ปลาย มันจะมีครั้งหนึ่งที่นัทไปทำงานพาร์ทไทม์ แล้วมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ไม่สนิทก็เดินผ่านมาทักว่า อ้าวมาทำอะไร นัทก็บอกว่ามาเฝ้าร้าน แล้วก็ถามเพื่อนว่าเธอมาทำอะไร เพื่อนตอบว่ามาดูหนัง หนูเลยถามว่าทำไมถึงได้ดูหนัง ไม่ต้องทำงานเหรอ เพื่อนเลยบอกว่า ทำไมเธอต้องทำงาน ซึ่งต่างคนก็ต่างงง และก็เริ่มได้แชร์ประสบการณ์กัน ก็เลยเพิ่งรู้ตัวเองว่าที่ผ่านมาครอบครัวเราค่อนข้างไม่เหมือนคนอื่น”


ความสุขในวัยเด็ก ของ นัท นิสามณี

“นัท จำได้เลยว่าความสุขวัยเด็ก คือ การได้กินโอวัลตินกล่อง กับครัวซองค์เนยสด วันนั้นจะแฮปปี้มาก เพราะเวลาที่เราช่วยแม่ตอนตี 4 หนูต้องไปตลาด พอช่วง 6 โมงเช้าเราจะหิวมาก แต่แม่ก็จะบอกว่า ถ้ายังไม่ได้ขายห้ามกิน เพราะว่ามันเหมือนเป็นความเชื่อ ว่าต้องให้ลูกค้ามาประเดิมก่อน ห้ามกินก่อนลูกค้าเดี๋ยววันนั้นจะไม่เฮง ต้องเล่าก่อนว่าที่บ้านขายข้าวแกงไม่ได้ใหญ่โต เราขายในชุมชนแออัดแถวย่านหัวลำโพง ซึ่งในสัปดาห์นึง แม่จะให้เงิน 20 บาท เพื่อเดินไปเซเว่น หนูก็ต้องจัดการเงินกับน้องสาว และจำได้เลยว่าตอนนั้น โอวัลตินกล่องละ 12 บาท ครัวซองค์ 6 บาท แล้วเราจะมีความสุขแบบนั่งยิ้มกับน้องว่าวันนี้เราได้กินครัวซองค์เนยสด กับ โอวัลติน และวันนั้นกลายเป็นวันพิเศษของ นัท กับน้องสาวมาก”

 

 

เพราะความเข้าใจจากครอบครัว จึงได้เป็นตัวของตัวเอง

“นัท ขอใช้คำว่าโชคดี เพราะคุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อไม่ชอบ และไม่อยากให้เราเป็นสาวประเภทสองเลย แต่บังเอิญคุณพ่อเสียไปตั้งแต่เด็ก แล้วหนูก็มาตุ้งติ้งทีหลัง ส่วนแม่จะเข้าใจเรา เค้าเคยถาม นัท แค่ครั้งเดียวเลยว่า สรุปอยากเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ความเป็นเด็กหนูก็ตอบว่าอยากเป็นผู้หญิงครับ เพราะตอนนั้นที่บ้านจะห้ามพูดค่ะ พอเราบอกว่าอยากเป็นผู้หญิงก็กลัวจะโดนตี แต่ปรากฎว่าแม่ไม่ตี แล้วเช้าวันต่อมาแม่ซื้อชุดนอนลายพาวเวอร์พัฟเกิร์ลให้ มันเป็นของขวัญที่ฮีลใจหนูมาก เหมือนเป็นตัวแทนที่บอกว่าแม่ยอมรับในความเป็นตัวเรา

ทุกวันนี้ นัท ก้าวมาถึงจุดที่หลาย ๆ คนมองว่าประสบความสำเร็จ และตัว นัท ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะว่าหลังบ้านของ นัท ไม่อึดอัด การที่หลังบ้านเราซัพพอร์ท หรือไม่ห้ามเรา มันทำให้เราทำอะไรได้เต็มที่มาก”

 

จุดเริ่มต้น บนเส้นทางนางงามเดินสาย

“วันนั้น นัท ล้างจานอยู่ ก็มีลูกค้าคนหนึ่งมาทาน แล้วเห็น นัท เค้าก็บอกว่า น้องหน่วยก้านดีนะอยากเป็นนางงามมั้ย ฟังปุ๊บหนูวิ่งไปหลังบ้านแล้วบอกว่า แม่ ๆ โจรมาจับตัว เพราะตอนนั้นเรานึกภาพตัวเองเป็นนางงามไม่ออก อยู่ ๆ มีคนมาบอกว่าอยากเป็นนางงามมั้ยลูก ภาพตอนนั้นมันเลยคิดว่าจะเป็นแก๊งรถตู้จับตัวเราไปรึเปล่า ก็เลยวิ่งไปหลังบ้าน พอลูกค้าคนนั้นได้เจอคุณแม่ เค้าก็บอกว่า คุณป้าคะ หนูเป็นแมวมองนางงามเดินสาย น้องหน่วยก้านดี ถ้าเผื่อน้องสนใจไปประกวดติดต่อหนูนะคะ ซึ่งทีแรกหนูก็บอกแม่ว่าไม่เอา หนูจะประกวดได้ยังไง เราไม่เคยมองว่าตัวเองสวยมาก่อนเลย จนพี่แมวมองเค้าถึงขั้นต้องพิสูจน์ให้แม่ดูว่า เค้ามีบ้าน มีที่ดิน ฉันไม่ใช่ 18 มงกุฎ สุดท้ายแม่ก็ยอมให้ลองไปประกวด นัท ก็เริ่มเดินสายตั้งแต่ ม.4 ประกวดครั้งแรก จำได้ว่าวันนั้นได้ที่ 5 ได้เงินมา 1,000 บาท ซึ่งสำหรับเด็ก ม.4 ที่ตอนนั้นได้เงินไปโรงเรียน 20 บาท มันถือว่าเยอะมาก แล้วเราก็เป็นกะเทยเด็ก เวลาไปประกวดก็ได้แต่งตัว มีคนแต่งหน้าให้ ได้ใส่วิก ได้ใส่ส้นสูง จำได้ว่าส้นสูงครั้งแรกที่นัทใส่จะไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะนัทได้ใส่ส้นแก้วตู้ปลา 10 นิ้ว มันเป็นอะไรที่ว้าวมาก แล้วก็ได้เงินเยอะเอามาให้คุณแม่ ก็เลยประกวดต่อมาเรื่อย ๆ เพราะว่าอยากได้เงิน

จนได้มีโอกาสประกวดเวทีระดับประเทศ หนูไปประกวดมิสทิฟฟานี่ตั้งแต่ ม.5 ตอนนั้นใส่วิกไป ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพราะส่วนใหญ่นางงามที่ประกวดต้องทำหน้าอกมาแล้ว หรือแปลงเพศแล้วถึงจะไปประกวด แต่ด้วยความที่เราบ้าจี้ ทำให้ตอนนั้นเรามั่นใจในตัวเองสูงมาก เพราะพวกเพื่อน ๆ พี่เลี้ยงนางงาม ชอบบอกว่าเราสวยมาก ไปลงทิฟฟานี่ยังไงก็ต้องได้มง ตอนนั้นก็หน้ามืดตามัว เราก็ไป ผมก็ไม่มี นมก็ไม่มี พอไปประกวด ก็ตกรอบตามระเบียบ แต่ว่าไม่ย่อท้อ

หลังจากนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็กลับไปประกวดใหม่ รอบนั้นเรามั่นใจมาก เพราะฉันมีผม ฉันมีหน้าอก ฉันโตขึ้น แต่ก็ยังขาดการซ้อมอยู่ดี แล้วตอนที่ นัท ไปลงชื่อสมัคร ทุกโพล ทุกเว็บนางงาม ก็จะบอกว่าคนนี้แหละมงลง มันทำให้เราชะล่าใจ ไม่ฝึกตอบคำถาม ไม่ฝึกเดิน พอถึงเวลาประกวดจริง นัท จำได้เลยตอนนั้น พี่อั๋น เป็นคนถามคำถาม แล้วปีนั้น ดันเป็นปีแรกที่มีการจับเวลา 30 วินาที แล้วเมื่อก่อนเวลาประกวดกะเทย ทุกคนต้องมีกลอน เราก็เตรียมกลอนมาเลย แต่ดันเป็นปีแรกที่จับเวลา ซึ่งตอนฟังคำถามหนูไม่คิดอะไรเลย หนูคิดแค่ว่า ขอพระพิฆเนศช่วยลูกด้วย สวย 50 ดวง 50 มูอยู่ในหัว จน พี่อั๋นพูดคำถามเสร็จ เราก็ตกใจ เพราะมัวแต่สวดมนต์ แล้วพี่อั๋นก็ต้องทวนคำถามใหม่ ซึ่งเราก็เห็นตัวเลขเวลามันถอยไปแบบเร็วมาก กลายเป็นว่า นัท ตอบคำถามไม่ทัน ซึ่งจริง ๆ ปีนั้น นัท เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายอัตโนมัติเพราะว่าชนะรอบชุดว่ายน้ำ เราเป็นตัวเก็งแบบสุด ๆ แต่ก็มาตกม้าตาย เพราะมัวแต่ขอพรท่านอยู่

ณ ตอนนั้น มงกุฎเวทีมิสทิฟฟานี่ มันเหมือนเป็นความฝันสูงสุด พอเราพลาด เราเสียใจมาก นัท อยากจะบอกถึงน้อง ๆ ทุกคนเลยนะคะว่า บางทีเป้าหมายที่เรามีในชีวิตตอนนี้ แล้วเราคิดว่ามันเป็นทั้งหมดของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้ามหาวิทยาลัย หากเข้าที่นี่ไม่ได้ ฉันชีวิตพังแน่ หรือถ้าฉันไม่ได้ทำงานตามที่ฉันเรียนมา ฉันชีวิตพังแน่ หรือเลิกกับแฟนคนนี้ แล้วฉันอยากตาย ซึ่งถ้าผ่านไปได้ เราจะรู้ว่า จริง ๆ โลกมันกว้างใหญ่เหลือเกิน

แต่สำหรับ นัท ตอนนั้นเราเด็กมาก กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้ หนูเก็บตัวไปเลย จากคนที่ไปไหนมาไหนแบบเฉิดฉายกลายเป็นไม่ไปเจอใครเลย หนูไม่สามารถดูเทปรีรันการประกวดของตัวเองได้เลย เพราะหนูอาย หนูรู้สึกผิดหวังในตัวเอง

จนพี่เลี้ยงบอกว่า ไปลองลงประกวดอีกสักเวทีไหม ณ ตอนนั้นเราคิดว่า ถ้าเราทำได้มันอาจจะแก้ปมในใจเราได้ ก็ไปใหม่ด้วยการเตรียมความพร้อมทุกอย่าง ซ้อมตอบคำถามใหม่หมด เราคิดลุคเลยว่าคนส่วนใหญ่ไปชุดแบบนี้ เราต้องไปชุดยังไง มีการวางแผน ซึ่งผลของความพยายาม เราก็เลยได้มงกุฎของ Miss Mimosa Queen Thailand 2013 ก็พอจะแก้ปมในใจเราได้”

 

 

MV กะเทยไม่เคยนอกใจ ไวรัลที่ทำให้คนเริ่มรู้จัก นัท นิสามณี

“สิ่งที่เป็นไวรัลมาก ๆ นัทว่า น่าจะเป็น MV กะเทยไม่เคยนอกใจ ซึ่งเป็นผลงานในวงการบันเทิงอันแรกเลย ที่ต้องบอกว่าจับพลัดจับผลูมาก เพราะตอนแรกทีมจะเอา พี่ส้มโอ ที่เป็นนางเอก MV เพลงประเทือง ไปเล่น แต่พี่ส้มติดคิวไม่ว่าง แล้วบัดเจ็ทงานนี้มันน้อยมาก แต่ตัวหนูตอนนั้นเป็นกะเทยเด็กน้อย วันนั้นได้เงิน 5,000 บาท แล้วเค้าบอกว่าขอถ่าย 12 ชั่วโมง หนูมองว่า 12 ชั่วโมง ได้ 5,000 บาท มันเยอะมาก หนูอยากได้งานนี้มาก เลยเตรียมหน้าผมไปเอง แล้วก็ไปถ่าย โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะไวรัล จนกลายเป็นเพลงที่กะเทยทุกคนต้องร้องต้องรู้จัก”

 

ฝันอยากเป็นดารา จนได้มาทำอาชีพพิธีกรเคเบิลทีวี

“ตอนนั้นอยากเป็นดารา เพราะว่ายุคนั้นมันยังไม่มีอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ เหมือนทุกวันนี้ ตอนนั้นเลยคิดแค่ว่าอยากเป็นดารา แล้วความฝันมันก็เริ่มมาชัดเจนตอนที่เราพยายามเข้าวงการ ซึ่งเราเริ่มรู้ตัวว่าไม่มีทางได้เป็นดารา พยายามหลายรอบไม่ว่าจะไปแคสละคร แคสโฆษณา เราก็ไม่ได้งาน ตอนนั้นก็เป็นนางงามมาเรื่อย ๆ จนเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยก็จับพลัดจับผลูไปเป็นพิธีกรเคเบิลทีวี ที่เห็นทุกวันนี้พูดเป็นต่อยหอย เมื่อก่อนหนูพูดไม่ได้เลย เพราะว่าการประกวดนางงามจะได้พูดก็แค่ตอนตอบคำถาม ซึ่งมันก็เป็นแพทเทิร์น เราซ้อม ท่องจำ ไม่ต้องมีการแก้ไขปัญหาหน้างาน

วันที่ไปสมัครพิธีกรเคเบิล นัทไม่ได้ตั้งใจไป ตอนนั้นไปกับ พี่บิวตี้ ซึ่งเป็นรองมิสทิฟฟานี่ วันนั้นเค้าจะไปแคสพิธีกร ขอให้ นัท ไปถือกระเป๋าให้หน่อย ตอนนั้นพอรู้ว่าจะได้ไปดูสถานีโทรทัศน์ เราก็อยากไปดู อยากเห็นกล้อง อยากเห็นการถ่ายทำ ก็ตามเค้าไป พอพี่บิวตี้แคสเสร็จ โปรดิวเซอร์ ก็ทักว่าหนูมาด้วยเหรอ ลองไปแคสดู เจ้าของช่องรออยู่ หนูเลยลอง เค้าก็ดูแล้วบอกว่าหน่วยก้านได้นะ ก็ให้เราทำรายการหนึ่ง ตอนนั้นหนูหนูดีใจมาก

พอได้ไปจัดรายการอาทิตย์หนึ่งเค้าก็ไล่ออก เพราะหนูพูดไม่ได้เลย ปัญหาหลัก ๆ เลยคือ เราพูดไม่อ้าปาก แต่ว่ากล้องกับคนดูเค้าต้องการให้เห็นปากขยับ ตอนนั้นหนูบอกว่าพี่หนูขอโอกาสพัฒนาตัวเอง แต่เค้าบอกว่าไม่มีโอกาสนั้น เราต้องการคนพร้อมเพราะว่าเค้าจ่ายเงินก็ต้องได้อะไรกลับมา หนูก็เลยบอกว่าขอนั่งดูในห้องส่งได้ไหม ตอนนั้นหนูนั่งอยู่ในห้องส่งตั้งแต่ 10 โมงยัน 3 ทุ่ม นั่งดูเลยว่าคนนี้ต้องพูดแบบนี้ ไฟมันเป็นแบบนี้ มันซึมซับ นัท กลัวต้องกลับไปขายข้าวแกง ก็เลยต้องพยายามทำอะไรก็ได้เพื่อให้เราได้อาชีพนี้ แล้วสุดท้ายนัทก็ค่อย ๆ ไต่เต้า จากสัปดาห์ละ 1 รายการ กลายเป็นทุกวัน แล้วสุดท้ายทุกคนต้องการตัว นัท นิสามณี ไปทอล์คในรายการ จากเด็กที่จะโดนไล่ออกจากพิธีกรเคเบิล กลายเป็นนักขายตัวท็อปในรายการเคเบิลทีวีตอนนั้น เปิดช่องไหนก็ต้องเจอหนูมานั่งขายของ จนวันหนึ่งช่องเคเบิลก็ถูกเป็นจอดำ นั่นเป็นจุดที่ทำให้ชีวิตหนูเปลี่ยนอีกครั้ง

นัท อยากจะบอกน้อง ๆ ว่า หลายคนที่อาจจะติดสวย หรือติดที่รูปลักษณ์ภายนอก หรืออาจจะมีบางคน โทษตัวเองว่าไม่สวยเลย หรือไม่มีโอกาสในชีวิต จริง ๆ แล้ว รูปร่างหน้าตา เป็นแค่ด่านแรก เพราะสุดท้ายแล้วสวยให้ตายก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีทักษะอื่น หรือบางคนอาจจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่เป็น Beauty Standard แต่โดดเด่นโด่งดังอยู่ในวงการเยอะมาก เพราะต้องมีความสามารถมากกว่านั้น

 

 

จากพิธีกรเคเบิลทีวี สู่เอเจนซี่ศัลยกรรม

“พอเคเบิลทีวีกลายเป็นจอดำ 1 เดือน นัท เริ่มเครียด แล้วเค้าก็นัดประชุมช่องไว้ว่ามันอาจจะไม่ได้กลับมา หรือกลับมาแล้วมันอาจจะไม่เหมือนเดิม เริ่มมีการคัดคนออก แล้วก็ต้องมีการปรับเงิน ต้องลดงบประมาณทุกอย่างลง ตอนนั้นเริ่มรู้ตัวแล้วว่าไฟมันใกล้เข้ามา จากหน้าที่เดียว คือ เป็นพิธีกรสวย ๆ เค้าก็ถามเลยว่า ถ้าใครมีความสามารถมากกว่านั้นจะได้อยู่ หนูเลยบอกวว่า หนูเขียนสคริปท์ได้ หนูจัดไฟได้ หนูพอจะจัดมุมกล้องเป็น หนูเลยได้อยู่ต่อ สักพักยุคเคเบิลมันก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะว่ามีทีวีดิจิตอล ช่องมันก็หลากหลายมากขึ้น ลูกค้าก็กระจายไป งบน้อยลง หนูถูกลดกลับไปเหลือเทปละ 1,200 บาทเหมือนวันแรกที่หนูทำงาน

จนมีพี่คนหนึ่งบอกว่าย้ายอาชีพเถอะ ตอนนั้น นัท คิดหนักมากว่าเราจะอยู่ตรงนี้ต่อ หรือเราจะไปตายเอาดาบหน้า แล้วมีพี่บอกว่าย้ายมาเลย มาทำเอเจนซี่ศัลยกรรมสิ มันกำลังบูม แล้วเรารูปร่างหน้าตาสวยทำได้อยู่แล้ว จน นัท ก็เลยตัดสินใจว่า คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก เพราะเราถูกบีบจากช่องไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเลยตัดสินใจออกจากเคเบิลทีวี พอไปทำเอเจนซี่ศัลยกรรม นัท เลยมีความสามารถในการคุยกับคนแปลกหน้า เข้าใจงานบริการจากการทำอาชีพนี้ หนูต้องทำหน้าที่รองรับอารมณ์คนไข้ ประสานงานกับคุณหมอว่าจะแก้งานอย่างไร ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ดีใจที่ได้ทำ แล้วได้ทักษะเยอะมาก ซึ่งทุกครั้งที่โลกมันเหวี่ยงอุปสรรคมา ถ้ามองเป็นอุปสรรคมันก็กลายเป็นอุปสรรค แต่ถ้ามองเป็นประตูบานใหม่ มันก็กลายเป็นประตูบานใหม่ได้”

 

 

สะบัดแปรง จุดเริ่มต้นการเป็นอินฟลูเอนเซอร์สุดจึ้ง

“ตอนนั้น Facebook มันมีฟังก์ชั่นที่เรียกว่าถ่ายทอดสด ตอนนั้นไม่ใช่ทุกคนจะกล้าไลฟ์ เหมือนทุกวันนี้นะคะ หนูลองกดแล้วมันเป็นกล้องหน้า ซึ่งหนูก็นั่งแต่งหน้าพอดี เพราะจะออกไปกินข้าวกับเพื่อน เลยใช้กล้องหน้าเป็นเหมือนกระจก แล้วคนก็เข้ามา 10 คน สักพักกลายเป็น 5,000 คน แล้วก็ 10,000 คน ซึ่งคนเข้าใจว่าหนูมาสอนแต่งหน้า เพราะคนก็คอมเมนต์ว่าเขียนคิ้วสวยจังสอนหน่อย เรานึกในใจฉันแต่งหน้าไม่เป็น จะให้สอนอะไร

แต่ก็โชคดีที่เราเป็นคนพูดเอนเตอร์เทนไปเรื่อยเปื่อย คนก็เข้ามาดูเยอะขึ้น ก็เลยต่อยอด นัทก็ ไลฟ์ แต่งหน้าตลก ๆ ไปเรื่อย ซึ่งแต่งหน้ามันเหมือนเดิมทุกวัน แค่เปลี่ยนเนื้อหาไป มาวันนึงคอนเทนต์มันเริ่มตัน คนก็เริ่มดูน้อยลง นัทก็รู้สึกว่าจะต้องทำยังไงดี ถ้าเรายังอยากทำอาชีพนี้ เราต้องพัฒนาฝีมือ ก็เริ่มกล้าที่จะทำในลุคที่คนบอกว่าเราทำไม่ได้หรอก ปรากฎว่าพอเราก้าวไปในจุดที่เราเคยเชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ พอเราได้ลองทำเรารู้เลยว่าคอนเทนต์ไม่มีทางตัน หนูมีอีกพันล้านลุคที่รอให้หนูแต่งอยู่ เพราะตอนแรกเราแต่งแค่สายฝอ สายเกาหลี มันก็อยู่แค่นั้น ทุกวันนี้หนูแต่งเป็นนายก แต่งเป็นพระ แต่งเป็นผี แต่งเป็นทุกอย่างบนโลกใบนี้ หนูบอกเลยว่าคอนเทนต์สะบัดแปรง ถ้าหนูยังแต่งหน้าได้ มันไม่มีวันตัน เพราะมันก็จะมีลุคอื่นต่อไปเรื่อย ๆ”

 

ทุกปัญหา มันจะให้อะไรบางอย่างกับเราเสมอ

“นัท อยากจะบอกว่า ทุกปัญหาที่เข้ามา มันจะให้อะไรเราบางอย่างเสมอ ในวันที่ นัท ต้องถูกบีบให้ทำโปรดิวเซอร์เอง จัดไฟเอง ตั้งกล้องเอง นัท ไม่ได้ดีใจ แต่ทุกครั้งที่เราเจอปัญหา ถ้าเรารได้ตกตะกอนกับตัวเอง เราจะรู้ว่ามันมีข้อดีเสมอ ตอนที่ นัท ต้องมานั่งรองรับอารมณ์คนไข้ ที่เป็นเคสหลุดจากคลินิก นัท เลยรู้ว่า มีวิธีพูดสื่อสารยังไงให้คนใจเย็นขึ้น พอทุกวันนี้ นัท ไปออกงาน เราจะเป็นคนที่เอเจนซี่อยากให้ไปทำงานด้วย เพราะ นัท จะสามารถละลายพฤติกรรมให้อินฟลูเอนเซอร์ หรือดาราที่มาทำงานสามารถคุยกันได้ นัท เป็นคนใช้ชีวิตที่ไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่เคยทำอาชีพผิดกฎหมาย และ นัท ก็รู้สึกว่า นัท รักในอาชีพ ก็ค่อนข้างที่จะซื่อสัตย์ในอาชีพตัวเองมาก”

 

 

อยากสนับสนุนการศึกษาให้กลุ่ม LGBTQ+

“ถ้าวันหนึ่งมีโอกาส นัท อยากทำองค์กรเพื่อ LGBTQ+ นัทพูดเรื่องนี้ตั้งแต่สามปีที่แล้ว ว่านี่เป็นความฝันที่เราอยากทำ เพราะในตอนเด็ก นัท เคยพยายามทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงคุณแม่ พอมาวันนี้ งานนัทค่อนข้างอยู่ตัว ทุกวันนี้ นัท อยากทานอะไรก็ได้ทาน นัทมองว่าการที่ นัท ได้ทานข้าวโดยที่ไม่ต้องซีเรียสว่าในกระเป๋าตังค์มีเงินอยู่กี่บาท สำหรับ นัท เรียกว่ารวยแล้ว และวันหนึ่งถ้า นัท พร้อมในหลาย ๆ ด้าน นัท อยากทำองค์กรเพื่อ LGBTQ+

นัทอยากทำเรื่องการศึกษาสำหรับ LGBTQ+ เพราะตอนเป็นเด็ก กว่า นัท จะได้ทุนมันยากมาก แล้วกว่านัทจะมาถึงจุดนี้ได้ เพราะว่าเราได้รับการศึกษาระดับพื้นฐานที่ควรจะได้รับ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะใช้ชีวิตไปอีกทางแล้ว ซึ่งในสังคมตอนนี้ มีน้อง ๆ LGBTQ+ หลายคนที่อยากทำงานแบบนั้นแบบนี้ แต่สังคมก็มักขีดเส้นว่ากะเทยต้องเป็นอาชีพนี้ถึงจะเหมาะ แต่จริง ๆ แล้ว กะเทยอยากเป็นหลายอาชีพ แต่บางทีพื้นฐานการศึกษาไม่พร้อม ก็ทำให้เป็นกรอบอยู่แค่กระจุกบางอย่างที่มี Role Model ที่เค้าปูทางมาก่อน

แต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ก็มีกะเทยที่เป็นด็อกเตอร์ กะเทยได้เป็นข้าราชการ แต่มันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ต้องตื่นเต้น คือเวลาเราเจอกะเทยเป็นด็อกเตอร์ คนมักจะตื่นเต้น ทำไมเวลาเราเจอผู้ชายเป็นด็อกเตอร์เราไม่เห็นตกใจเลย ซึ่งถ้า นัท ได้ปูพื้นฐานการศึกษา นัท เชื่อว่าวันหนึ่งเวลาเจอกะเทยเป็นข้าราชการเราจะไม่ต้องตกใจ เจอกะเทยเป็นด็อกเตอร์ เป็นนักขับเครื่องบิน เราไม่ต้องตกใจ เพราะมันควรจะเป็นเรื่องปกติ”

 

 

กำลังใจจาก นัท นิสามณี

“ชีวิตแต่ละคนก็มีเรื่องราวเยอะแยะมากมาย แต่ทุกวันนี้ นัท จะยึดอยู่อย่างเดียวคือ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ ซึ่งบางคนจะบอกว่าคำนี้มันเป็นของคนโลกสวย ที่เอามาใช้ในวันที่เราเจอเรื่องแย่ ๆ แต่บางครั้งเวลาเราเจอเรื่องแย่ ๆ เราต้องโลกสวยกับตัวเองบ้าง อย่าไปใจร้ายกับตัวเองมาก เวลาเจอเรื่องที่มันแย่มาก ๆ เชื่อเถอะมันจะมีเรื่องดีซ่อนอยู่ แค่คุณปรับ Mindset

นัท ไม่ได้เป็นไลฟ์โค้ช แต่อยากให้ทุกคนลองปรับ Mindset อย่างวันที่ นัท ตกงาน ถ้าเรามองว่าชีวิตหดหู่จังเลยมันคือเรื่องนึง แต่วันที่ นัท ตกงาน นัท มองว่าจะได้มีโอกาสมองหางานใหม่ วันที่ นัท เจอดราม่า มันก็ทำให้ นัท ได้ทบทวนและระวังคำพูดตัวเองมากขึ้น คงไม่มีใครกล้ามาสอนเรา ดราม่านี่แหละที่สอนเรา ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ” - นัท นิสามณี

 

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1