หากจะให้นึกถึงผลงานของคนที่ทำให้เรารู้สึกสนุก ตลก เฮฮา น่าสนใจ และเป็นหนึ่งตัวแม่ของเหล่าเทยทั่วไทย เชื่อว่าหลายคนต้องนึกถึงชื่อของ ป๋อมแป๋ม นิติ ชัยชิตาทร โปรดิวเซอร์หัวกะทิ ผู้ที่อยู่ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังหลากหลายคอนเทนต์ฮาท้องแข็ง ที่คอยสร้างสรรค์ความสนุก พร้อมกับความสุขให้กับผู้ที่ติดตามผลงานเขา

“มียุคหนึ่งที่เราพยายามฝันให้ได้และไปให้ถึง แต่บางครั้งเราชอบหลงลืมสิ่งที่เราทำเป็น ว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เราทำเป็น มันก็เจ๋งไม่ต่างจากความฝันในอนาคตของเราเลย และเวลาเราฝันอยากจะทำอะไรสักอย่าง สายตาเราจะมองตรงไป จนไม่มองซ้ายขวา จนบางทีมันก็เสียดายความสุขระหว่างทางไปเหมือนกัน”
สีสันและแรงบันดาลใจดี ๆ ถูกส่งต่อ เมื่อรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับ ป๋อมแป๋ม นิติ ที่ได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจดี ๆ ให้กับผู้ฟังในรายการด้วย

ภาษาบาลีสันสกฤต ความเก๋ที่ป๋อมแป๋มเลือกเรียน
เรียกว่า ป๋อมแป๋ม เป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตแบบไร้แพทเทิร์น และมักจะเห็นความคิดนอกกรอบอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่การเรียน ป๋อมแป๋ม จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาภาษาบาลี-สันสกฤต ซึ่ง ป๋อมแป๋ม ได้เล่าเหตุผลที่เลือกเรียนสาขาภาษาบาลี-สันสกฤต ให้ฟังว่า “ต้องบอกก่อนว่าการเรียนอักษรศาสตร์ มันจะไม่ใช่วิชาชีพ ซึ่งมันเป็นวิชาในคณะมนุษยศาสตร์ ป๋อมแป๋ม เลือกไปเรียนอักษรศาสตร์ เพื่อสนองความอยากเรียนของเรา สนองความอยากมีความรู้ ตอนเรียนปี 1 ที่คณะก็จะให้เรียนรวมยังไม่มีการเลือกเอก ตอนนั้นเราก็ลงเรียนวิชาฝรั่งเศส วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาละคร
หลังจากนั้นก็จะมีรุ่นพี่มาแนะนำการเลือกเอกตอนท้ายปี 1 ตอนนั้นได้มีรุ่นพี่เอกบาลีสันสกฤต ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ในกลุ่มที่มักจะเจอกันทุกเย็น เค้าก็อธิบายเอกบาลีสันสกฤตให้ฟัง แล้วเราก็รู้สึกว่าทำไมภาษานี้มันสวยจัง อย่างตัวอักษรเทวนาครีที่ยาว 1 ประโยค จริง ๆ แล้วด้านประโยคสามารถแตกได้อีกประมาณ 18 ถึง 19 คำ และด้วยความสละสลวยของภาษา ทำให้คำนี้ขีดเส้นข้างบนแล้วกลายเป็น 1 คำ หรือว่าวรรณคดีสันสกฤต ก็จะมีความไพเราะที่ค่อนข้างตรงจริตเรา และการเรียนภาษาบาลีก็จะต้องเรียนวิชาพุทธศาสนาด้วย เราก็อยากเรียนไว้เถียงกับตำรา เราอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสเรื่องนี้ว่าอย่างไร แล้วมันเป็นการเรียนบาลีควบกับการเรียนศาสนา เราเลยรู้สึกว่ามันสนุกจังเลย”

จากนักพัฒนาซอฟท์แวร์ สู่การเป็นโปรดิวเซอร์หัวกะทิ
ก่อนที่จะมาเป็นโปรดิวเซอร์หัวกะทิ ผู้อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของหลากหลายรายการที่สร้างความสนุกให้กับผู้ชม ป๋อมแป๋ม ได้ผ่านการทำงานมาหลากหลายอาชีพ ซึ่งเส้นทางในการทำงานกว่าจะมาเป็นโปรดิวเซอร์ในวันนี้ ป๋อมแป๋ม ได้เล่าให้ฟังว่า “งานแรกที่ ป๋อมแป๋ม เริ่มทำตอนปี 4 คือการทำงานในบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์โปรแกรมแปลอัจฉริยะ คือมันจะเป็นโปรแกรมแปล ที่ถูกแปลผ่านมือมนุษย์ให้เป็นภาษาคนก่อน แล้วฝั่งเราจะเป็นด่านสุดท้ายที่จะมาดูว่า บางคำที่ยังไม่มีการบัญญัติศัพท์มาก่อน เราก็จะต้องไปนั่งวางคำให้มันสละสลวยขึ้น
หลังจากนั้นก็มาทำ Event ให้กับหนังสือพิมพ์ The Nation และจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับตอนที่จะเกิด Five Live ของพี่อ้อย ซึ่งรายการเพลงตอนนั้น ก็เพิ่มขึ้นมา 5 วันต่อสัปดาห์ แล้ว ก็อตจิ ก็จะมาแตะมือกับหนู ช่วงนั้นรายการก็เลยมีการกวาดต้อนครีเอทีฟใหม่มา เนื่องด้วยรายการมันถ่ายทอดสดช่วงเที่ยงคืน และคนที่ทำอยู่หลาย ๆ คนก็มีครอบครัว มีลูก ก็จะมีภาระในการกลับบ้านเร็ว ทางรายการก็มองหาเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีภาระ และยังมีไฟแรง ป๋อมแป๋ม ก็เลยเข้ามาทำครีเอทีฟรายการ Five Live”

22 ปีในวงการ กับมุมมองเกี่ยวกับการทำรายการที่เปลี่ยนไป
นับตั้งแต่การทำครีเอทีฟรายการ Five Live มาจนถึงวันนี้ ป๋อมแป๋ม ได้ทำงานในแวดวงของการทำรายการมามากว่า 22 ปี ทำให้ได้เห็นการเคลื่อนตัวของแวดวงบันเทิง จากวันที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย มาจนถึงวันนี้ ซึ่ง ป๋อมแป๋ม ได้แชร์มุมมองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า “สิ่งที่พูดได้เลยคือ ตอนนี้ไม่มีคำว่าแมสอีกแล้ว เพราะอย่างสมัยก่อนเวลาทำรายการ 1 รายการ เราก็จะต้องตอบให้ได้ว่าทำให้ใครดู Demographic ที่เราต้องคำนึงก็จะมีเพศอะไร ซึ่งสมัยก่อนก็จะมีชายหญิง อายุเท่าไหร่ อยู่ที่ไหน การศึกษาเป็นแบบไหน
แต่ในทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้เราลืมไปได้เลย เพราะสิ่งที่ต้องการหาจากการทำคอนเทนต์ คือต้องเช็คว่าความสนใจของคนคืออะไร หากเป็นเรื่องที่เค้าสนใจ คนเสพคอนเทนต์ก็จะคอยติดตามต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งคอนเทนต์ทุกวันนี้มันจะไม่ได้เป็นไปตาม Demographic เรื่องเพศ อายุ วัย หรือสถานที่อยู่ อีกต่อไปแล้ว แต่มันจะไปขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ และความสนใจ แล้วก็สิ่งที่เจออีกอย่างก็คือ เทคโนโลยีทุกวันนี้ มีอัลกอริทึมที่เก็บข้อมูลว่าคอนเทนต์นี้มันจะไปปรากฎต่อใครบ้าง เช่น ถ้าเราสนใจเรื่องอสังหาริมทรัพย์ แปลว่าเราต้องสนใจเรื่องการเงิน อัลกอลิทึมก็จะโยงคอนเทนต์การเงินให้เราเห็นบ่อย ๆ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้คอนเทนต์คือหัวใจหลัก และเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ
ในส่วนของพิธีกร ป๋อมแป๋มก็กล้าพูดว่า รายการหนึ่งที่ทำให้พิธีกรไม่ได้มีรูปแบบเป็นอย่างที่เคยคือ รายการเทยเที่ยวไทย นี่แหล่ะค่ะ พิธีกรรายการเราไม่ต้องมาปั้นซีนเปิดสวย ๆ หรือต้องพูดเปิดรายการสวย ๆ พิธีกรรายการเราเน้นเป็นตัวเอง ตากล้องต้องพร้อมตลอดเวลา เพราะเราต้องการให้รายการสนุก เพราะฉะนั้นบางครั้งอาจจะต้องถ่ายแบบย้อนแสงบ้าง พิธีกรไม่ต้องมีสคริปท์บ้าง แต่ว่าถ้าคอนเทนท์มันยังสนุกอยู่ สิ่งเหล่านี้พวกเราจะเก็บเอามาไว้ในรายการ”

ปิดฉาก “เทยเที่ยวไทย” รายการฮีลใจของเหล่าเทยมานานกว่า 12 ปี
เสียดายแล้วใครจะเป็นเพื่อนกินข้าว? , ขอบคุณที่มอบความสนุกให้กันมาโดยตลอด , ขอบคุณที่ทำให้วันนั้นที่หมดหวังกลับมามีเสียงหัวเราะอีกครั้ง เทยเที่ยวไทยจะยังเป็นรายการโปรดตลอดไป นี่คือส่วนหนึ่งของคอมเมนต์จากแฟนคลับของ เทยเที่ยวไทย รายการท่องเที่ยวยอดนิยมของไทย ที่ได้มีการประกาศปิดฉากซีซั่นไปอย่างสวยงามเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา หลังจากออกอากาศมายาวนานกว่า 12 ปี
งานนี้ ป๋อมแป๋ม ได้มีโอกาสในการแชร์เรื่องราวความประทับใจ พร้อมกับสาเหตุของการปิดฉากซีซั่นของรายการเทยเที่ยวไทย ให้เราฟังว่า “สำหรับป๋อมแป๋มรู้สึกว่า 12 ปีมันค่อนข้างถึงจุดที่รายการมันอิ่มแล้ว บวกกับตอนนี้ทุกคนในทีมก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เราเจอคือ เรารู้สึกว่าน้อง ๆ เริ่มเหนื่อยกับการที่จะต้องเดินทางแล้ว และในส่วนของหน้าที่การงานความรับผิดชอบก็เริ่มเยอะ ย้อนไปเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาสถานที่เที่ยว ที่ไหนสนุกเราไป ที่ไหนดูแล้วไม่สนุกเราก็ไม่ไป แต่พอทุกคนมีภาระหน้าที่ สิ่งที่ตามมาคือจะต้องมีการพิจารณาที่มากขึ้นในการเลือกสถานที่ ทำให้มีปัจจัยเรื่องของเวลาที่ต้องพิจารณากันมากขึ้น แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งพิธีกร ฝ่ายผลิตรายการ หรือแม้กระทั่งคนดู ความสนุกมันก็จะมีข้อจำกัดขึ้นเรื่อย ๆ
แต่เราก็รู้สึกว่า 12 ปีที่ทำรายการมา มันไม่ใช่เวลาที่ศูนย์เปล่า มีคอมเมนต์ที่แฟนรายการตอบเรามาว่า ในบางช่วงเวลาที่เค้าไม่ค่อยสบายใจ พวกเราช่วยให้เค้าหายเครียดได้ มีชาวไทยในต่างประเทศหลายคน เลือกรายการเราเป็นตัวบำบัดความคิดถึงบ้าน และก็มีน้อง ๆ ลูกสาว หลานสาว บอกว่ารายการนี้ คือที่ที่ทำให้เค้ากล้าเป็นตัวของตัวเองได้ มีหลายคนบ่นว่าแล้วต่อไปนี้จะกินข้าวกับใครล่ะ เพราะรายการเราเป็นเพื่อนช่วงกินข้าวของเค้ามายาวนาน ซึ่งพวกเรารู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่พอ แล้วก็จะไม่รู้สึกเสียดายที่ทำรายการมาหลายปี
เทยเที่ยวไทย พวกเราไม่ใช่คนที่มีด้อม หรือว่าไปไหนมาไหน ก็ไม่ได้มีคนตามเยอะ แต่ในวันที่เราประกาศว่าเราจะไม่ทำแล้ว ฟีดแบ็คที่มันกลับมาทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาพวกเราก็ทำให้คนเอ็นดูเรา และสนับสนุนเรา มันเยอะเกินกว่าที่เราคิดไว้ มันก็เซอร์ไพรส์เราเพราะพวกเราก็ไม่เคยคิดหรอกว่า รายการของเรามันจะไปทัชใจใคร เพราะว่าจุดประสงค์แรกในการทำรายการเทยเที่ยวไทย คือเราอยากทำรายการที่สนุก นี่จุดประสงค์แรกเริ่มของการทำรายการเลย และเราทำรายการจากวิถีการเที่ยวของพวกเราเองจริง ๆ เลยค่ะ
หลังจากนี้กำลังจะมีรายการใหม่ค่ะ ซึ่งเราก็จะดึงดีเอ็นเอในการทำรายการสด ที่มันจะมีอะไรที่ทำให้ตื่นเต้นในทุก ๆ วินาที เดี๋ยวรอเจอกันเร็ว ๆ นี้ค่ะ”
“น้าสมคิด” ตัวละครฮีลใจ จากละคร “มาตาลดา”
เป็นละครอีกหนึ่งเรื่องที่ฮิตติดกระแส มีคนพูดถึงในทางบวกอย่างล้นหลาม จนกลายเป็นละครฟีลกู๊ดแห่งปี สำหรับละครเรื่อง มาตาลดา โดยหนึ่งตัวละครที่เรียกได้ว่าเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ มาตาลดา ซึ่งเป็นนางเอก และเป็นหนึ่งในทีมคาบาเร่ต์โชว์ของพ่อเกรซ นั่นคือ “น้าสมคิด” ที่รับบทโดย ป๋อมแป๋ม โดยเขาได้เล่าที่มาของการได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์เหมือนกัน ด้วยความที่สนิทกับ คุณจ๋า ซึ่งเป็นผู้จัดละครเรื่องมาตาลดา ก็จะเห็นความตั้งใจของเค้าตั้งแต่ตอนที่โปรเจคนี้ยังเป็นโครงการอยู่ ซึ่ง คุณจ๋า พูดตั้งแต่ต้นเลยว่า จ๋าอยากทำคอนเทนต์แบบ Positive แล้วเค้าก็ได้บทประพันธ์เรื่องนี้มา ในตอนแรกเค้าก็มาปรึกษาว่ามันจะมีเรื่องของครอบครัวนางเอกที่เป็น LGBTQ+ ซึ่งคุณจ๋าก็ติดต่อเรามาให้เล่นบทนี้ เราก็ตัดสินใจรับเล่นแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย แล้วพอได้ไปเล่นเราก็รู้สึกว่า สิ่งที่คุณจ๋าตั้งใจ มันได้เกิดขึ้นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่เค้าตั้งใจจะถ่ายทอดออกมา ยิ่งได้กลุ่มนักแสดงอย่าง พี่ชาย , เต้ย , เจมส์จิ , อาตู่ , อาโย , ริว และ อแมนด้า ซึ่งทุกคนอิน และมีแพชชั่นกับเรื่องนี้ด้วย เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยเข้าใจกันหมดว่า หัวเรือเรากำลังจะไปไหน และเราพร้อมไปด้วยกัน
น้าสมคิด เป็นบทบาทหนึ่งที่เล่นแล้วค่อนข้างภูมิใจ ในวันที่เรารู้ว่าจะไปเป็นสีสัน จะไปเป็นน้ำจิ้ม เราก็ต้องเป็นน้ำจิ้มที่รสชาติมันกลมกล่อม ไม่แย่งซีนวัตถุดิบหลัก เรารู้สึกว่า ผู้กำกับ และผู้จัด เค้าทำงานกับน้ำจิ้มรสนี้หนักมาก เค้าเคี่ยวจนมันเป็นสูตรเด็ดของเค้า เรารู้สึกว่าเวลาที่ออกมาเรามีบทบาท เราเล่นตามบทบาท แต่ก็จะมีในบางครั้งที่ พี่เหมี่ยว จะมาเพิ่มบทบาทให้ตอนท้าย แต่จะไม่มีการพูดโพล่งขึ้นมาเองตอนถ่าย เค้าให้เกียรตินักแสดงมาก ๆ”

“ลุงพีช” ที่ปรึกษาอันดับหนึ่ง ในหนัง ‘Long Live Love’
นอกจากบทบาทการแสดงในละครเรื่องมาตาลดา ยังมีอีกหนึ่งบทบาท นั่นคือ “ลุงพีช” จากภาพยนตร์เรื่อง Long Live Love ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ ป๋อมแป๋ม ภูมิใจที่ได้ถ่ายทอดบทบาทของตัวละครนี้ โดยเขาได้แชร์ความประทับใจให้ฟังว่า “Long Live Love เป็นงานที่ค่อนข้างภูมิใจอีกหนึ่งเรื่อง มันเริ่มตั้งแต่ตอน คุณมุก (ผู้กำกับ) เค้ามาชวน ซึ่งเค้าก็ยื่นบทมาบอกว่าตอนที่เขียนเค้าเห็นบทนี้ต้องเป็นเรา เพราะว่าบท ลุงพีช มันเป็นเซฟโซนของตัวละครทุกคนที่มีปัญหาอยู่ พอเราไปอ่านบทก็พบว่าบทนี้ คนเขียนเค้าไม่ได้มองลักษณะเราว่าเป็น LGBTQ+ แต่เค้าเห็นว่าคนนี้ คนที่ชื่อป๋อมแป๋ม มันมีลักษณะที่เป็นเซฟโซนให้กับทุก ๆ คนได้ มุกเค้าเห็นว่าเวลาที่อยู่กับเรา เค้ารู้สึกว่าปลอดภัย เราเห็นความตั้งใจของมุกเลยรับเล่น พอไปเล่นบทนี้ก็ค่อนข้างมีความสำคัญ แล้วก็ตั้งแต่เวิร์คช็อปจนถึงถ่ายทำ มุกก็ไม่ได้ปล่อยเรื่องแอคติ้งเลย ยิ่งเจอกับ คุณชมพู่ , ซันนี่ และ น้องเบ็คกี้ การทำงานเรื่องนี้มันต้องมีความสัมพันธ์ของนักแสดง มันมาเป็นแคสเมท แล้วการเล่นเรื่องนี้ไม่มีการอิมโพรไวส์เพิ่มเลย เพราะว่าบทเค้ามาดีอยู่แล้ว”

“ความเท่าเทียม” ในมุมมองของ ป๋อมแป๋ม
จากที่ได้เป็นผู้ถ่ายทอดบทบาทของ LGBTQ+ รวมถึงมีการทำงานร่วมกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมายาวนาน ป๋อมแป๋ม ได้เผยมุมมองเรื่องความเท่าเทียม ให้ฟังว่า “ในสมัยก่อนมันมีภาวะที่เพศชายเป็นใหญ่ แล้วก็ต้องปกครองเพศหญิง ด้วยความจำเป็นในสมัยนั้นมันต้องทำให้สังคมเห็นว่าเรามีตัวตน แล้วก็ต้องขอบคุณคนรุ่นก่อน ที่เค้าต่อสู้มาเพื่อเรา
แต่ทุกวันนี้เรารู้สึกว่า ทุกคนในสังคมเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศแล้ว เรามองว่า ความเท่าเทียมในปัจจุบันมันไม่ใช่การยกขึ้นมาให้เป็นหนึ่งร้อยเท่ากัน แต่มันคือทุกเพศต้องลดระดับความสำคัญมาเป็นศูนย์เท่ากัน เพศไม่ควรเป็นปัจจัยในการตัดสินคุณงามความดี ศีลธรรม หรือความสามารถ มันอาจจะดูเหมือนเราเพ้อฝัน แต่ตอนนี้ที่ฝรั่งเศส มีระบบการสมัครงานที่เรียกว่า Nameless Resume ที่ไม่ต้องเขียนชื่อ ไม่ต้องระบุตัวตน แล้วเดี๋ยวนายจ้างจะพิจารณางานจากสิ่งที่เคยทำมา สิ่งที่เคยร่ำเรียนมา และที่สำคัญคือจากทัศนคติที่มีต่องานที่สมัคร ไม่ต้องระบุเลยว่าเป็นใคร ซึ่งต่างประเทศทำได้เว้ย แปลว่ามันไม่ได้เกินความคาดหวัง
ซึ่งในสังคมไทย เราเห็นแนวโน้มที่ดีในเรื่องของความเท่าเทียม เราเคยเจอตอนทำรายการเทยเที่ยวไทย มีน้องคนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชาย เค้าบอกว่ารายการนี้ทำให้เค้ารู้สึกว่ามัน Normalization ไม่ได้แปลว่าต้องยกย่องให้สูงส่ง แต่ก็ไม่ต้องไปเหยียดเขา ทุกคนคือคนปกติธรรมดา ที่ต้องว่ากันไปตามถูกผิด ดีชั่ว โง่ฉลาด อะไรแบบนี้
อีกอย่างที่เห็นเป็นเรื่องน่ารักของสังคม คือเมื่อก่อนเราก็จะเข้าใจว่า การยอมรับกลุ่มเพศทางเลือกแบบเรา ก็คงจะต้องเกิดขึ้นแค่ในกลุ่มเมืองใหญ่ แต่ว่า Tiktok ทำให้เราเห็นว่า คนในทุกภูมิประเทศเข้าใจและเปิดรับคนกลุ่มนี้ได้เหมือนกัน ไม่ได้มีปัจจัยในเรื่องของภูมิประเทศ ระดับรายได้ ระดับการศึกษาใด ๆ มาเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องเลย มันแปลว่าเรื่องนี้ ทุกคนเข้าใจได้เหมือนกันหมด”

ป๋อมแป๋ม กับภาพจำที่ต้องเฮฮาตลอดเวลา
จากเบื้องหน้า หลายคนมักจะมองเห็นภาพของ ป๋อมแป๋ม เป็นคนสดใส ร่าเริง ตลกเฮฮาอยู่เสมอ คอยสร้างเสียงหัวเราะและความสุขในทุกครั้งที่ได้ออกมาอยู่เบื้องหน้า จนกลายเป็นภาพจำว่า ป๋อมแป๋ม ต้องเป็นคนที่มีความเฮาฮาอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้เคยทำให้ ป๋อมแป๋ม กลายเป็นคนที่มีความคาดหวังว่าตัวเองต้องเป็นคนที่มีความสุขเสมอ ไม่อยากให้คนอื่นเห็นมุมเศร้า มุมเสียใจของตัวเอง แต่ในปัจจุบัน อาการนี้ดีขึ้นแล้ว ป๋อมแป๋ม ได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ซึ่งเขาได้แชร์เรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “ณ ตอนนี้เราไม่ได้รู้สึกว่าเราฝืนตัวเองขนาดนั้น ก่อนหน้านี้เราเคยมีปัญหาเรื่องนี้เยอะมาก จนต้องไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญ หาสาเหตุว่าทำไมเราถึงรู้สึกอึดอัด ทำไมมันเริ่มส่งผลไปถึงเรื่องอื่น ๆ ผู้เชี่ยวชาญก็ถามเราว่า สมมติถ้าให้ตะโกนออกมาว่า ตอนนี้อยากเป็นใคร แบบไม่ต้องคิดเยอะ เราก็โพร่งออกไปว่า อยากเป็นอาลาเล่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ถามเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเป็นอาลาเล่ เราก็ตอบไปว่า อาลาเล่เล่นอุนจิก็ไม่มีใครว่า ผู้เชี่ยวชาญเลยเข้าใจปัญหาตอนนั้นของเรา ที่เคยนั่งร้องห่มร้องไห้ตอนนั้น เพราะความเป็นยายมันกลืนป๋อมแป๋มไป เรารู้แล้วว่าจริง ๆ สิ่งที่ตัวเราปรารถนาคืออาลาเล่ แต่สิ่งที่คนคาดหวังกับเราคือความเป็นยาย ที่ต้องตลกเฮฮาอยู่ตลอด ถ้าเราหาจุดตรงกลางของสองความต้องการนี้ได้ ก็จะเจอป๋อมแป๋มที่แฮปปี้ เราก็จะเป็นยายในแบบที่เราไม่ต้องฝืน จะเป็นป๋อมแป๋มแบบที่ยิ้มได้ร้องไห้เป็น อย่างในเรื่องมาตาลดา ก็มีอยู่ฉากหนึ่ง ที่พูดกับพี่ชาย บอกว่าคนอื่นยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ มีเรานี่แหละที่ดูถูกตัวเองผ่านคนอื่นเค้าไปแล้ว มันแปลว่าความรู้สึกที่มีต่อตัวเอง ไม่ได้เกิดจากการมองตัวเอง แต่มันเกิดจากการคาดหวังว่าคนอื่นมองเราอย่างไร กลายเป็นเราคิดแทนคนอื่นไปแล้ว”

คนแบบไหนที่ใช่ และโดนใจ ป๋อมแป๋ม
นอกจากเรื่องราวชีวิตแล้ว ป๋อมแป๋ม ยังได้เผยเรื่องราวสถานะหัวใจตอนนี้ด้วยว่า ยังโสด ยังคงแอ๊วเอินไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนที่ชอบเหมือนเดิม นอกจากนี้ ป๋อมแป๋ม ยังได้เผยสเปกที่ใช่โดนใจที่สุด ให้ฟังว่า “ตอนนี้ชอบคนทำมาหากิน เราค่อนข้างแพ้ทางคนที่เรามองแล้วรู้สึกว่าเค้าเจ๋งจัง หรือเค้าเก่งจัง เพราะเวลาคบกันไปยาว ๆ เราไม่ได้มีความหวังว่าจะตื่นมาเจอคนรักเป็นคน แล้วมาชมว่าแฟนเราหล่อทุกวัน แต่เราอยากตื่นมาแล้วมองแฟนเราว่าภูมิใจกับคนนี้จัง ซึ่งเรารู้สึกว่าพื้นเพของเราคือคนทำงาน เราก็เลยค่อนข้างให้คุณค่ากับคนที่ใช้สมอง และร่างกายในการทำมาหากิน”

กำลังใจดี ๆ จากป๋อมแป๋ม
“มียุคหนึ่งที่เราพยายามฝันให้ได้และไปให้ถึง แต่บางครั้งเราชอบหลงลืมสิ่งที่เราทำเป็น ลืมทักษะที่ฝึกมา บางครั้งเราชอบลืมว่ามันก็เจ๋ง ไม่ต่างจากความฝันในอนาคตของเราเลยเหมือนกัน อยากจะให้ทุกคนให้คุณค่ากับสิ่งที่ตัวเองทำเป็นให้ได้เหมือนกัน และอย่าลืมเก็บแต้มความสุข บางทีเวลาเราฝันอยากจะทำอะไรสักอย่าง สายตาเราจะมองตรงไป จนไม่ยอมมองซ้ายขวา จนบางครั้งมันก็เสียดายความสุขระหว่างทางไปเหมือนกัน” - ป๋อมแป๋ม นิติ

ดูรายการย้อนหลัง
