“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับคุณผู้ชมสู่ช่องของ สปรีสปรี…สไปรท์ บะบะบะ บะบะบะบะ บิบะบะปั้ง” การแนะนำตัวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น แปลกหู ทำให้คนดูจดจำ จนกลายเป็นคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นของช่อง SPRITE BANG ที่เป็น Youtube Channel ของยูทูปเบอร์สายฮา ตัวมารดานัก Recap นางงาม “สไปรท์ บะบะบิ” หรือ “สไปรท์ - พัชร์ธีรัตน์ แหลมหลวง” ที่โด่งดังจากการทำรีแคปวงการประกวดนางงาม หรือที่เราเรียกว่า การวิเคราะห์นางงาม รวมไปถึงการนำรายการต่าง ๆ ที่เป็นกระแส อย่างรายการ The Face Thailand หยิบขึ้นมาพูดคุย จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟนคลับ และแฟนนางงาม ที่ติดตาม Youtube Channel ของเธอ

“ตัวเต็ง มันมีอยู่อยู่ในทุกการแข่งขันอยู่แล้ว ซึ่งข้อดีของคนที่ไม่ใช่ตัวเต็งก็คือ ไม่กดดัน และเป็นเหมือนม้ามืดที่จะทำยังไงถึงจะเอาชนะตัวเต็งได้ เพราะฉะนั้นถึงจะไม่ใช่ตัวเต็ง ก็สามารถโดดเด่นได้ ขอเพียงหาจุดที่ทำให้ตัวเองได้โชนแสงออกมา”
สีสันและแรงบันดาลใจถูกส่งต่อทันที เมื่อ 2 ดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับ “สไปรท์ บะบะบิ” ที่ได้มาพูดคุยแบ่งปันแรงบันดาลใจ ซึ่งกว่าที่เธอจะมีวันนี้ สไปรท์ ได้ผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต พบเจอมาหลากหลายสีสัน และได้นำมาแชร์ในรายการ CLUB PRIDE DAY คุยอย่าง Proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่

เพราะ “นางงาม” คือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก
ต้องบอกว่า นางงาม นอกจากจะเป็นความชื่นชอบแล้ว ก็ยังเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก ที่สไปรท์ อยากจะก้าวไปให้ถึงฝัน ซึ่งเธอได้เล่าแพชชั่นของการเป็นนางงามให้ฟังว่า “สไปรท์ อยากเป็นนางงามมากค่ะ ตอนเด็ก ๆ จะชอบเอาส้นสูง เอากระโปรงของแม่มาใส่ พอได้ใส่ก็รู้สึกว่ามันสวย มันสับ มันแซ่บ แล้วเราชอบเดินมาก เวลาได้ยินเพลงอะไรตอนเดินตลาด ก็จะลองเดินตามจังหวะเพลง แล้วลองคิดต่อว่าเพลงนี้เหมาะกับเอามาเดินรอบชุดว่ายน้ำ เพลงนี้เอามาเดินรอบชุดราตรีได้ พอถึงบ้านเราก็จะใส่ชุดว่ายน้ำ แล้วล็อคห้องไว้ แล้วเดินอยู่ในห้อง บางวันเดินจนเจ็บและเมื่อยเท้าไปเลย จนทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ ชอบเดินมาก ตั้งแต่เด็กจนโต เดินแล้วก็โพสท่าไปด้วย บางครั้งไม่มีรองเท้าส้นสูงก็เดินแบบใส่รองเท้าแก้ว เพราะฉะนั้น สไปรท์ ก็เลยกลายเป็นคนที่ชอบนางงามที่เป็นสายเพอร์ฟอร์แมนซ์ เดินสวย โพสเก่ง มีเอกลักษณ์โดดเด่น”

ตัวตนที่ใช่ กับครอบครัวที่เข้าใจ
ตั้งแต่เด็ก สไปรท์รู้ตัวเองมาตลอดว่าอยากเป็นผู้หญิง แม่ในบางครั้งต้องซ่อนตัวตนของตัวเองจากครอบครัว เพราะกลัวครอบครัวไม่ยอมรับ แต่ท้ายที่สุด สไปรท์ก็เลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเป็น และสามารถสร้างความสุขให้กับตัวเอง จนครอบครัวเข้าใจ และยอมรับตัวตนของสไปรท์ได้ โดยเธอได้เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “สไปรท์โตมาด้วยความที่ไม่รู้หรอกว่ามีเพศอะไรบ้าง แต่ก็รู้ตัวเองว่าเป็นสาวเลย พอได้เข้าโรงเรียนถึงรู้เพราะว่ามันมีแบ่งเป็นแถวชายหญิง เราก็เลยรู้ว่าสังคมเป็นแบบนี้ ซึ่งพ่อกับแม่เค้ารู้มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่คิดว่าเราจะแต่งหญิง คิดว่าคงจะเป็นเกย์ที่ไม่ได้ออกสาวมากนัก
แต่พอเริ่มเข้าปี 1 ต้องอยู่หอใน เราก็เริ่มไว้ผมยาวได้ แล้วเวลากลับบ้านเสาร์-อาทิตย์ พ่อกับแม่ก็คิดว่าเราคงเป็นสไตล์หนุ่มวิจิตรศิลป์ พอช่วงใกล้จะเรียนจบ ตอนเรียนปี 3 ปี 4 เราเริ่มใส่ชุดนักศึกษาหญิง เริ่มเป็นผู้หญิงแบบชัดเจน พ่อกับแม่ก็รู้ละว่าเราคงจะแต่งหญิง ก็ได้มีการพูดคุยกันว่าในอนาคตมันจะทำให้เราหางานยากไหม มันคือความเป็นห่วงจากพ่อแม่ แต่ว่าไม่ทันแล้ว เราอยากเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นเราก็เริ่มแต่งให้ชิน แต่งให้เหมือนเป็นผู้หญิงปกติ มีวันหนึ่ง เพื่อนคุณพ่อมาที่บ้าน แล้วก็ทักว่า ลูกเคยเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้สวยนะ กลายเป็นว่าเพื่อนพ่อไม่บูลลี่เรา เค้าไม่ได้ล้อ พอพ่อเห็นว่าเพื่อนไม่ล้อ ก็คงคิดได้ว่าแล้วตัวเองจะติดเรื่องอะไร แต่สไปรท์เข้าใจพ่อนะ เพราะเค้ากลัวชาวบ้านจะมาแบบเม้าท์ลูก ซึ่งเค้าไม่ชอบแล้วก็เป็นห่วงเรา พอเค้าเห็นว่าสังคมรอบตัวไม่มีใครมีปัญหา ก็เลยเปิดกว้าง หลัง ๆ พอเห็นเราทำงานได้ มีงานที่ซัพพอร์ทเราได้ เค้าก็ไม่เป็นห่วงเรื่องเพศของเราแล้ว”

“ครีเอทีฟ” ก้าวแรกของ สไปรท์ บะบะบิ
เส้นทางกว่ามาเป็นยูทูปเบอร์สุดปังได้วันนี้ ย้อนกลับไป สไปรท์ ได้ผ่านการทำงานมาหลากหลายอาชีพ ซึ่งหลังจากเรียนจบปริญญาตรี ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เธอก็เข้ามาทำงานที่เรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของการทำงาน โดยการเป็นครีเอทีฟรายการชื่อดัง อย่างรายการ ศึกน้ำผึ้งพระจันทร์ นอกจากนี้เธอยังผันตัวไปเป็น Account Executive ไปจนถึงการทำธุรกิจร้านเช่าชุดของตัวเอง ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดย สไปรท์ ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “อาชีพแรกของหนูเลยคือ ครีเอทีฟ รายการโทรทัศน์ศึกน้ำผึ้งพระจันทร์ ซึ่ง อาไก่ (สมพล ปิยะพงศ์สิริ) กับพี่โอปอ (ปาณิสรา อารยะสกุล) ก็เป็นครูคนแรกของการสอนงานครีเอทีฟเลย หนูทำรายการมาตั้งแต่ตอนแรกที่ชื่อรายการมีคำว่าศึก ตอนหลังไม่มีคำว่าศึก และมีคำว่าพระจันทร์อย่างเดียว แล้วก็เกิดช่วงที่มีการขอแต่งงานเกิดขึ้น เราก็ต้องมานั่งคิดกันว่า คู่นี้เจอกันได้อย่างไร ต้องคิดกิมมิคและแต่ละคู่ ที่จะนำมาออกในรายการ มันก็เป็นความสนุกและนี่ก็คืออาชีพแรกหลังจากเรียนจบมาใหม่
หลังจากนั้นก็ไปเป็นครีเอทีฟเครื่องสำอาง ซึ่งทำงานร่วมกันกับ PR MARKETING ทำหน้าที่คิดคอนเทนต์เวลาเครื่องสำอางจะไปโปรโมทตามนิตยสารต่าง ๆ และต้องคิดงานให้กับนางแบบว่าต้องแต่งตัวแบบไหน ถือเครื่องสำอางยังไง คอนเทนต์ที่ถ่ายจะเป็นแบบไหน
ต่อมาก็ไปเป็น Account Executive ของบริษัทอีเว้นท์ออแกไนเซอร์ ทำหน้าที่คอยประสานงานระหว่างทีมกับลูกค้า แต่เมื่อเราเคยทำงานครีเอทีฟมาก่อน ก็จะมีหลายครั้งที่คอยเสนอไอเดียบ้างเวลาคิดงาน
จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่าชีวิตเมืองกรุง เหมือนดอกหญ้าในป่าปูน ตอนนั้นเราคือบุคคลธรรมดา ทำมาหากินแบบคนปกติทั่วไป นั่งรถเมล์ไปทำงานทุกวัน แล้วเราก็รู้สึกว่า พ่อแม่ก็อายุเยอะแล้วอยากกลับไปดูแลท่าน เลยตัดสินใจกลับไปอยู่เชียงใหม่ แล้วเปิดธุรกิจเล็ก ๆ ที่เชียงใหม่ดีกว่า ก็เลยไปทำร้านเช่าชุดราตรี เช่าชุดแต่งงาน ตอนนั้นฟีดแบคที่ดีมาก เพราะว่าตอนนั้นที่จังหวัดเชียงใหม่มันอาจจะยังไม่ได้มีร้านเช่าชุดที่มีชุดหลากหลายตอบโจทย์ลูกค้า แล้วก็มักมีเพื่อน ๆ ที่จะไปงานแต่งงานมาถามสไปรท์ว่า ทำไมร้านเช่าชุดที่เชียงใหม่มันไม่มีแบบที่เราอยากได้อะไรนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้สไปรท์ตัดสินใจไปเปิดเองเลย”

จากยูทูปเบอร์สายฮา สู่ตัวมารดานักรีแคปนางงาม
จุดเริ่มต้นที่ทำให้สไปรท์ได้เข้าสู่วงการยูทูปเบอร์ จนกลายเป็นที่รู้จัก มากจากการถูกเชิญไป
รีแคปรายการ “The Face Thailand” ในช่องยูทูปของเพื่อนที่ชื่อช่อง “Bryan Tan” ด้วยคาแรกเตอร์ติดตลก เป็นกันเอง ทำให้ผู้ชมเข้าถึงง่าย จึงทำให้เริ่มมาคนติดตามตั้งแต่ตอนนั้นมา โดย สไปรท์ ได้แชร์เรื่องเรานี้ให้ฟังว่า “พอ สไปรท์ ได้ไปอยู่เชียงใหม่ ไบรอันตัน ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ก็มาชวนไปรีแคป เริ่มจากการรีแคปพวกรายการ The Face Thailand กันก่อน จากนั้นด้วยความที่เราเป็นคนชอบนางงาม แล้วมันอยู่ในสายเลือด ไบรอันตัน ก็เลยชวนมาทำรีแคปนางงาม พอได้ทำแล้วมันสนุก มันจอยเหลือเกินเวลาเราได้พูดคุยเรื่องนางงามกับเพื่อน คนดูก็เลยรู้สึกว่ามีหลาย ๆ อย่างที่พูดแทนใจ พูดแทนความคิดคนดูได้ แล้วก็ปกติการดูนางงาม ถ้าดูคนเดียวอยู่ทางบ้าน มันเหงาค่ะ พอเรามาดูกับเพื่อนแล้วมีคนมาดูเป็นเพื่อนในไลฟ์อีก กลายเป็นว่ามีคนรู้จักเราทางด้านของแวดวงนางงามมากขึ้น
รีแคป ก็คือการสรุป ว่าวันนี้ผลงานของนางงามแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง การจัดการประกวดเป็นยังไงบ้าง เหมือนมาเม้าท์มอยสรุปให้ฟัง ซึ่งมันต่างจากการ รีแอคชั่น เพราะรีแอคชั่น คือเราขึ้นคลิปการประกวด แล้วเราก็รีแอคความรู้สึกตอนดูสดไปเลย ซึ่ง ณ ตอนนี้ สไปรท์ทำทั้งสองอย่าง แต่คนมักจะติดกับคำว่าการรีแคปนางงามมา เพราะว่าก่อนหน้านี้เราอาจจะรีแคปมาบ่อยกว่า แต่จริง ๆ เราทำทั้งสองอย่างเลย
เกณฑ์ในการรีแคปของสไปรท์ คือเรารีแคปตามความชอบส่วนตัวเลยค่ะ ความชอบคือรสนิยม แล้วคนที่ติดตามเราเนี่ย แสดงว่าเค้ามีรสนิยมหรือความคิดคล้าย ๆ กับเรา ความชอบคล้าย ๆ กัน คนที่ไม่ได้มีรสนิยมที่เหมือนหรือคล้ายเรา ไม่ได้คิดตรงกับเรา เค้าก็จะไม่ดูเรา ก็จะมีนักรีแคปคนอื่นเหมือนกันที่มีรสนิยมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งคนดูก็มีทางเลือกอยู่แล้ว แต่ว่าคนดูที่ดูเราก็แสดงว่าเราชอบนางงามแบบเดียวกัน มุมมองทัศนคติเรื่องของการตอบคำถาม ความชอบในส่วนของเสื้อผ้าหน้าผมคล้ายกัน ก็เลยมาดูร่วมกันกับเราค่ะ”

นางงาม กับเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนไป
จากการที่ได้เป็นนักรีแคปนางงามมาหลากหลายเวที และได้รีแคปมาในระยะเวลานานหลายปี ทำให้ สไปรท์ ได้เห็นมุมมองด้านความงามของสังคม รวมถึงเทรนด์ของนางงามที่เปลี่ยนไป โดยความเปลี่ยนแปลงนี้ เธอได้แชรให้ฟังว่า “สไปรท์ มองว่ามุมมองด้านความงามของสังคมมันเปลี่ยนไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากพูดถึงความสวยงามก็ต้องมาพร้อมรูปลักษณ์ ขาว สวย หมวย แต่ในตอนนี้มันเปลี่ยนไปมากเลย สไปรท์ดีใจมากที่ทุกคนเคารพในความสวยซึ่งกันและกัน ทุกคนเคารพในความแตกต่างซึ่งกันและกัน มันทำให้ความสวยเริ่มเปิดกว้าง ยุคนี้เวทีประกวดของเมืองนอก เค้ามีให้เราเห็นเยอะแยะ ทั้ง สาวพลัสไซส์ สาวผิวสี ก็สามารถประกวดได้ มันทำให้เราก็รู้สึกว่า ณ ตอนนี้เทรนด์ความงามมันเปลี่ยนไปแล้ว”
นิยามคำว่า “นางงาม” ของ สไปรท์ บะบะบิ
แน่นอนว่าในการติดตามมนางงาม คนดูแต่ละคนย่อมมีนางงามที่ตัวเองชื่นชอบซึ่งจะมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันไป อย่าง สไปรท์ ที่เป็นนักรีแคปนางงาม ก็มีรูปแบบของนางงามที่ตัวเองชื่นชอบเหมือนกัน โดยเธอได้แชร์ให้ฟังว่า “คำว่า นางงาม สิ่งแรกเลยก็คือ ต้องงามก่อน งามที่ใบหน้า งามที่จิตใจ และงามที่สมอง ถ้าเอารูปลักษณ์ สไปรท์จะชอบคนที่ตัวสูง เพราะเรารู้สึกว่ามันสง่างาม ซึ่งในการประกวดจริง ๆ ถึงนางงามจะตัวเล็กก็สามารถทำให้ตัวเองดูมีความสง่างามได้เหมือนกัน แล้วสไปรท์ก็ชอบคนกระฉับกระเฉง มีความคล่องแคล่ว มีเพอร์ฟอร์แมนซ์ด้านการเดินที่ดี เพราะเราเป็นคนชอบดูการเดิน นอกจากนั้นก็ดูเรื่องของการตอบคำถาม การควบคุมสติ เรื่องไหวพริบ คลังความรู้ ทัศนคติ ตรรกะในการใช้ชีวิต ซึ่งต้องดูเป็นภาพรวมในนางงามแต่ละคน
สำหรับนางงามต้องรู้จักการนำเสนอตัวเอง ต้องคิดว่าทำอย่างไรให้เป็นที่ดึงดูด น่าสนใจ คนจดจำ จะทำอย่างไรให้ตัวเองแตกต่างจากนางงามคนอื่น ๆ นางงามต้องมีซิกเนเจอร์ของตัวเองว่าคุณชอบการเดินแบบไหน จังหวะท่วงท่า การจัดระเบียบร่างกาย แต่ละคนจะมีซิกเนเจอร์การเดินเป็นของตัวเอง
ทั้งนี้ เพลงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เวลาเดินนางงามต้องฟังเพลงเสมอ เพราะถ้าเราเดินแล้วไม่ตรงจังหวะ มันก็จะไม่เข้ากับเพลง เพราะท้ายที่สุดแล้วการเดินมันคือโชว์ คุณต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโชว์ ไม่ใช่สักแต่ว่าจะเดิน ควรเดินให้ตรงจังหวะเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่กูรูนางงามก็พร่ำบอกกันว่าเวลานางงามจะเดินต้องฟังจังหวะเพลงด้วยนะ
ตัวเต็ง มันมีอยู่อยู่ในทุกการแข่งขันอยู่แล้ว ซึ่งข้อดีของคนที่ไม่ใช่ตัวเต็งก็คือ ไม่กดดัน และเป็นเหมือนม้ามืดที่จะทำยังไงถึงจะเอาชนะตัวเต็งได้ เพราะฉะนั้นถึงจะไม่ใช่ตัวเต็ง ก็สามารถโดดเด่นได้ ขอเพียงหาจุดที่ทำให้ตัวเองได้โชนแสงออกมา
และในการประกวดนางงามคนสวยมีเป็นร้อยเป็นพัน แต่คนมีเสน่ห์หายากนะคะ เพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับเสน่ห์ของเรา ว่าเราจะมัดใจ หรือต่อยอดแฟน ๆ ของเราได้มากน้อยแค่ไหนด้วย”

ดูนางงาม ให้เป็น Entertainment และมีความสุข
ในการดูนางงาม แน่นอนว่าแต่ละคนมีนางงามในดวงใจ มีรูปแบบความงามที่ตัวเองชื่นชอบ ทำให้ในบางครั้งเวลาดูการประกวดนางงาม หรือดูการรีแคปนางงาม อาจจะมีบ้างที่เกิดความคิดเห็นไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วยกับผลการแข่งขัน จนอาจก่อให้เกิดดราม่า หรือ คำคอมเมนต์ในเชิงลบ ที่มีผลกระทบต่อตัวนางงาม รวมถึงนักรีแคปนางงามหลาย ๆ คน ซึ่ง สไปรท์ ก็ได้แชร์ประสบการณ์ที่เคยเจอคำคอมเมนต์เชิงลบจากคนดูการรีแคปด้วยเช่นกัน โดนเธอเล่าว่า “เคยเจอคอมเมนต์เชิงลบที่มันกระทบจิตใจบ้างค่ะ เพราะว่าคนดูไม่ได้คิดเหมือนกับเราหมด เราเป็นแค่ตัวแทนของชุดความเห็นหนึ่ง ไม่ได้เป็นตัวแทนของชุดความเห็นของคนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนไม่เห็นด้วยกับเรา ซึ่งก็ไม่ผิด
บางครั้งคอมเมนต์เชิงลบมันก็กระทบจิตใจ คนพิมพ์มันพิมพ์แป๊บเดียว แต่คนอ่านมันจดจำและก็รู้สึกเจ็บ อยากให้นึกถึงใจเขาใจเรา ลองคิดว่าถ้าคุณเป็นฝ่ายโดนบ้าง คุณก็เจ็บเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็คอมเมนต์กันอย่างสร้างสรรค์นะคะ
สไปรท์ อยากให้ดูนางงามเป็น Entertainment เพราะถ้าดูกันแบบเอาเป็นเอาตาย หรือเมนต์ด่าคนนั้นคนนี้ สุดท้ายคนที่เดือดร้อนคือตัวเรา นางงามไม่ได้มาช่วยออกเงินเวลาโดนฟ้อง เพราะฉะนั้นอย่าดูกันแบบเครียดเกิน สำหรับ สไปรท์ นางงามเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ทำให้เรามามีความสุข เหมือนหลาย ๆ คนที่มีความสุขกับการดูหนัง หรือดูบอล ความรู้สึกมันคล้ายกัน เพราะฉะนั้นอย่าดูนางงามแบบเกินงาม ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นองค์ประกอบในชีวิตเราอีกเยอะ ดูให้มีความสุขดีกว่าค่ะ”

นางงาม กับการขับเคลื่อนสังคม
หลายปีมานี้ การตั้งคำถามบนเวทีการประกวดนางงาม ได้ให้ความสำคัญในเชิงขับเคลื่อนสังคม โดยเวทีนางงามระดับโลกก็จะมีการวัดทั้งทัศนคติ ไอคิว ไลฟ์สไตล์ และความเข้าใจถึงกระแสความเป็นไปของโลก เพื่อดูความสามารถของนางงามในหลากหลายด้าน ส่วนเวทีการประกวดในประเทศไทย ก็ได้มีการยกระดับเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนสังคมด้วยเช่นกัน โดย สไปรท์ ได้แชร์มุมมองเรื่องนี้ให้ฟังว่า “ในช่วงหลัง ตั้งแต่มีรอบในการประกวดอย่างเช่น รอบคีย์เวิร์ด มันยิ่งเห็นชัดเจนว่านางงามเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้นางงามก็พยายามจะขับเคลื่อนสังคมอยู่แล้ว พอเกิดรอบคีย์เวิร์ดขึ้น มันเป็นการเปิดโอกาสให้นางงามได้พูดถึงประเด็นต่าง ๆ ของสังคม จนทำให้คนในสังคมตื่นรู้กันว่ามันมีปัญหาเรื่องนี้เกิดขึ้นในสังคมด้วยเหรอ จนทำให้เกิดการพูดต่อ ดังนั้นนอกจากการดูความสวย ความงาม นางงามยังได้พูดเพื่อเป็นกระบอกเสียงเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วยค่ะ
กับมุมมองที่ว่าการประกวดนางงามเป็นการกดขี่ผู้หญิง สไปรท์ รู้สึกว่า ณ ตอนนี้หลาย ๆ เวทีประกวดก็พยายามที่จะเชิดชู และ Empowering ผู้หญิง หรือเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดเหมือนกัน ซึ่ง สไปรท์ คิดว่าตอนนี้ทีมงานการจัดการประกวดเองก็ปรับตัวให้ตรงกับบริบททางสังคมด้วย”

กำลังใจจาก สไปรท์ บะบะบิ
“เป็นกำลังใจให้สำหรับทุกคนที่กำลังประกวดอยู่ อยากให้นางงามทุกคนใส่เต็ม มีเท่าไหร่ใส่มาให้หมด เพราะเราไม่รู้หรอกว่าจะได้มีโอกาสกลับมาประกวดอีกไหม ชีวิตของคนเรามันสั้น และนี่คือพาร์ทหนึ่งในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นทำมันอย่างมีความสุขที่สุด และขอเป็นกำลังใจให้สำหรับทีมผู้จัดการประกวด ทีมพี่เลี้ยงที่ดูแลนางงาม รวมถึงแฟนนางงามทุกคน เชียร์นางงามกันอย่างมีความสุข ขอให้ได้ตัวแทนนางงามที่ปัง ๆ เพื่อไปเป็นตัวแทนของประเทศค่ะ” - สไปรท์ บะบะบิ

ดูรายการย้อนหลัง
