“รู้สึกภูมิใจที่ละครเรื่องมาตาลดา ได้ให้คุณค่าเยอะมาก ทั้งคุณค่าในฝั่งของเพศทางเลือก และคุณค่าในฝั่งของการเลี้ยงดูความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งบทบาทของเราก็เป็นบทที่กลมอยู่ในครอบครัวของเรื่อง แล้วก็มีคนนึกถึงเรา มีคนที่เข้ามาคอมเมนต์บอกว่า อยากเป็นลูกสาวน้าวีกันค่อนประเทศแล้วค่ะ”
รายการ Club Pride Day คุยอย่าง proud เม้าท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ ไปกับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้มีโอกาสเปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ที่หลาย ๆ คนคิดถึง “โกโก้ กกกร เบญจาธิกุล” ซึ่งหากย้อนกลับไปปี พ.ศ.2543 เมื่อพูดถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับสาวประเภทสอง เรื่องแรก ๆ ที่หลายคนคิดถึงก็คือเรื่อง “สตรีเหล็ก” เรื่องนี้นอกจากเนื้อหาจะพูดถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ไม่ได้หาชมกันได้บ่อย ๆ ในยุคนั้น ความโด่งดังของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้สร้างชื่อให้กับนักแสดงและตัวละครหลายคน รวมไปถึง เจ๊เปีย สาวงามนักวอลเล่ย์บอล LGBTQ+ คนเดียวที่แปลงเพศ และลงเล่นวอลเล่ย์บอลในฐานะนักกีฬาชาย และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เป็น LGBTQ+ ในฐานะนักแสดงหลักตัวจริง
หลังจากนั้น โกโก้ ได้กลับมามีผลงานบนหน้าจออีกครั้งโดยรับบท วีนัส ผู้เลี้ยงดูนางเอก ในละครเรื่อง มาตาลดา ละครแนวฟีลกู๊ด ที่บอกเล่ามุมมอง LGBTQ+ พร้อมส่งต่อพลังบวกให้ผู้ชม จนกลายเป็นละครเรตติ้งดี เกิดเป็นกระแส มาตาลดาฟีเวอร์ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์หลายครั้ง ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ เธอผ่านหลากหลายบทบาท และผ่านประสบการณ์ชีวิตมากมาย ที่ได้นำมาแชร์ให้ฟังในรายการ
เรื่องราววัยเด็ก กับภาษารักที่ โกโก้ ไม่เข้าใจ
มีเรื่องราวของภาษารักจากครอบครัวในวัยเด็ก ที่ โกโก้ เคยเข้าใจผิดจนกลายเป็นความน้อยใจ และเพิ่งจะมาเข้าใจคำตอบของภาษารักนั้นในวันที่โตแล้ว โดย โกโก้ ได้เล่าเรื่องราวนี้ให้ฟังว่า “ในตอนเด็ก ๆ เราเข้าใจและรู้สึกว่าคุณพ่อเค้าจะรักพี่ชายคนรองมากกว่า เพราะในตอนที่จำความได้ คุณแม่ก็แยกห้องนอนไม่ได้นอนกับคุณพ่อ แล้วโก้กับน้องสาวนอนกับคุณแม่ พี่ชายคนโตก็แยกไปนอนอีกห้อง ส่วนพี่ชายคนรองจะนอนกับคุณพ่อ ตอนนั้นเราก็เข้าใจว่าคุณพ่อรักพี่ชายคนรองมากกว่า แล้วเวลามีอะไรคุณพ่อจะชอบเรียกแต่พี่ชายคนรอง ส่วนโก้เค้าจะชอบมาแหย่บ่อยมาก เราก็ไม่เข้าใจ คิดว่าเค้าไม่รัก
แต่พอโตขึ้น เราได้เริ่มเข้าใจว่า ที่เค้าชอบแหย่ชอบหยอกเราก็เพราะรัก เพราะในตอนที่คุณพ่อเสียไปแล้ว คุณแม่ก็มาเล่าให้ฟังบอกว่า ที่พูดถึงพี่ชายเยอะเพราะเค้าเป็นห่วงพี่ชายคนโต เพราะช่วงวัยรุ่นพี่ชายคนโตจะค่อนข้างเกเร แล้วก็ห่วงพี่ชายคนกลาง เพราะเป็นคนนิ่ง ๆ กลัวว่าจะไม่ทันคน แล้วก็ห่วงน้องสาว ซึ่งโก้ก็ถามว่า แล้วแม่ไม่ห่วงโก้บ้างเหรอ แม่บอกว่า ลูกคนนี้เอาตัวรอดได้ คนอื่นน่าจะต้องพึ่งพาลูกคนนี้ พอแม่พูดแบบนี้ เราก็เลยเข้าใจว่าที่ผ่านมา คุณพ่อคุณแม่เค้ารัก และเห็นว่าลูกคนนี้น่าจะไปรอด คุณพ่อแค่ชอบมาแหย่ให้เราร้องกรี๊ด ตอนนั้นเราก็จะกรี๊ดละบอกพ่อว่าหยุดเดี๋ยวนี้ กรี๊ดใส่เค้า แล้วคุณแม่ก็มักจะดุเราเป็นประจำ
ที่ โก้ เป็น โก้ ณ วันนี้ ที่ทุกคนชอบทุกคนรักได้นั้น โก้ต้องขอบคุณแม่ เพราะแม่ไม่เคยบอกว่าอย่าเป็นกะเทยนะลูก แม่ไม่เคยพูด แต่แม่จะพยายามสอนให้เราเห็นตัวอย่าง เช่นในค่ายทหาร ก็จะมีทหารที่เป็นกะเทย แม่ก็จะยกตัวอย่างให้เห็นว่า ดูสิทหารที่เป็นกะเทยเค้าโดนแกล้ง ชีวิตไม่มีความสุขเลย ซึ่งแม่จะพูดให้เห็น แต่ไม่เคยมาบอกว่าลูกอย่าเป็นแบบนี้นะ เราก็ซึมซับไปโดยปริยายว่ากะเทยทำตัวแบบนี้ไม่ได้นะ แล้วอีกหนึ่งความน่ารักของแม่คือ สมมติถ้าเรากรี๊ดเสียงดัง แม่จะเตือนว่า ผู้หญิงดี ๆ เค้าก็ไม่ทำตัวแบบนี้หรอก แล้วก็สอนว่าผู้หญิงต้องเรียบร้อยไม่กรี๊ดเสียงดัง เราก็เลยซึมซับอีกว่าเป็นผู้หญิงต้องทำตัวอย่างไร
ซึ่งโก้ รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงมาตลอด มารู้ตัวว่าผิดปกติตอนเข้าโรงเรียน เพราะว่าต้องสวมชุดนักเรียนเป็นเด็กผู้ชาย แรก ๆ ไปโรงเรียนไม่มีเพื่อนเล่น เพราะเราไม่เล่นกับเด็กผู้ชาย ส่วนเด็กผู้หญิงก็ไม่เล่นกับเรา จนผ่านไปหลาย ๆ อาทิตย์ ตอนนั้นเราเอาตุ๊กตากระดาษมาเล่นที่โรงเรียนแล้วก็นั่งวาดชุดสวย ๆ ใส่ตุ๊กตา เพื่อนผู้หญิงก็มาเห็น แล้วชมว่าวาดสวยจังเลย วาดให้บ้างสิ ก็เลยมีเพื่อนเล่นเป็นกล่มเด็กผู้หญิงตั้งแต่นั้นมา ซึ่งคุณแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วโก้ก็ชอบเรื่องการรำ และเล่นละครด้วย คุณแม่ก็ส่งเสริมและพาเราไปแสดงด้วยหลาย ๆ ครั้ง แต่ลึก ๆ แม่ก็มองว่าเดี๋ยวพอโตขึ้น พอเราต้องโดนล้อจากคนในสังคม วันหนึ่งเราก็คงจะรู้ และก็คงจะกลับมาเป็นผู้ชายเหมือนเดิม ตอนนั้นผู้ใหญ่คิดแบบนี้”
“เจ๊เปีย สตรีเหล็ก” บทบาทพลิกชีวิตของ โกโก้ กกกร
ภาพยนตร์เรื่องสตรีเหล็ก ภาค 1 และ 2 เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นซอฟท์พาวเวอร์ทางด้านกีฬาและ LGBTQ+ จนได้ส่งออกไปฉายในต่างประเทศ ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างดี รวมถึงได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลทั้งสิ้น 12 รางวัล และได้รางวัลมา 10 รางวัล ทั้งรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน เป็นต้น ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรู้จัก โกโก้ กกกร ในบทบาทของ เจ๊เปีย สาวงามนักวอลเล่ย์บอล LGBTQ+ คนเดียวในทีมที่แปลงเพศ และลงเล่นวอลเล่ย์บอลในฐานะนักกีฬาชาย จนกลายเป็นที่ชื่นชอบและโดนใจแฟนภาพยนตร์เป็นอย่างมาก โดย โกโก้ ได้เล่าเรื่องราวของจุดเริ่มต้นในการรับบทบาท เจ๊เปีย ให้ฟังว่า “ตอนนั้นโก้ทำงานเป็น นางแบบบอดี้ทาเลนท์ คือบางครั้งนางแบบที่เลือกมาอาจจะมีกรณีที่ขาไม่สวยหุ่นไม่ดี แต่ต้องมาทำงานผิว มาใส่ชุดว่ายน้ำโชว์หุ่น เค้าก็จะใช้หุ่นของเราเป็นนางแบบบอดี้ทาเลนท์ในการถ่ายแทน
ตอนนั้นผู้กำกับสตรีเหล็ก พี่สิน ยงยุทธ ทองกองทุน ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังโฆษณามาก่อน เราเลยได้ทำงานกับพี่สิน และในวันที่พี่สินตัดสินใจทำหนังเรื่องสตรีเหล็ก ในตอนแรกพี่สินเค้าวางไว้อยู่แล้วว่าจะไม่เอาเพศทางเลือกเล่นเลย ทุกคนที่เลือกมาเล่นเป็นผู้ชายหมด แต่ด้วยบทเจ๊เปีย เค้าทำอะไรเป็นผู้หญิงไปแล้ว พี่สินก็เลยต้องพยายามหาคนมาแคสต์แต่ก็ไม่มีใครที่ถูกใจ เค้าก็เลยมองว่าถ้าอย่างนั้นหาคนที่เป็นกลุ่มเพศทางเลือก กลุ่มที่เป็นทรานส์เจนเดอร์เลย ซึ่งด้วยความที่โก้เคยทำงานกับพี่สิน เค้าเลยให้เพื่อนติดต่อเราไปแคสต์บทเจ๊เปียดู
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนังไทยไม่ได้เป็นที่นิยม ในตอนนั้นรู้สึกว่าจะมีหนังไทยอยู่แค่ 9 เรื่องที่ออกฉายในปีนั้น แล้วในตอนที่เค้าติดต่อมาเราปฏิเสธ เพราะเรามองว่าทำบทบาทกะเทยออกมาแค่มองมุมเดียว ไม่ใช่เป็นแค่สีสัน แต่มันเป็นเรื่องราวที่ไม่ควรจะมีบทนี้ในหนังก็ได้ แต่เพื่อนก็เว้าวอนว่าผู้กำกับเค้ารีเควส เพราะเค้าเคยทำงานกับโก้ ก็เลยตัดสินใจไปแคสต์ ได้ทดสอบบท แล้วก็ได้คุยกับพี่สิน โก้ก็ถามตรง ๆ เลยว่า ทำไมพี่สินถึงอยากทำหนังเรื่องนี้ เค้าก็เล่าให้ฟังว่ามันเป็นเรื่องจริง มีบุคคลในหนังจริง ๆ โก้ก็ถามว่า พี่ตั้งใจทำเป็นหนังตลกใช่ไหม ซึ่งพี่สินก็พูดขึ้นมาว่า โก้น่าจะเข้าใจว่ากลุ่มเพศทางเลือก ต่อให้เล่าเรื่องเศร้าหรือเรื่องรันทดในชีวิต คนอื่นมาฟังก็ขำ ซึ่งเค้าไม่ได้หัวเราะเยาะนะ แต่พอเค้าได้ยินปุ๊บเค้าก็หัวเราะ พี่เลยจำเป็นต้องเล่าเรื่องราวดราม่า ในรูปแบบคอมเมดี้ พอเราได้ฟังเหตุผลจากพี่สินก็เลยเข้าใจ
โก้อยากจะบอกว่า ที่เค้าบอกว่ากลุ่มเพศทางเลือก เป็นสีรุ้ง จริง ๆ แล้วไม่นะ มีแค่ 3 สี สีแดงแสดงถึงความกล้าหาญที่มายืนหยัดในเพศของตัวเองที่ต้องการ สีน้ำเงิน ความคิด จินตนาการเป็นเลิศ และ สีเหลือง ความสนุกสนาน บันเทิง แม้เล่าเรื่องเศร้าก็สนุก 3 สีนี้เป็นสีที่ไม่มีสีใดผสมออกมาได้ แต่ 3 สีนี้สามารถผสมได้เป็นพันสี พวกเราคือแม่สีค่ะ
สตรีเหล็กได้รางวัลเยอะ ซึ่งหนังถูกนำไปฉายเทศกาลภาพยนตร์ที่เยอรมัน แล้วหนังจัดอยู่ในพาโนรามาฟิล์ม ซึ่งพาโนรามาฟิล์มส่วนใหญ่จะเป็นหนัง LGBTQ+ โดยเฉพาะ แล้วก็มาได้รางวัลที่มาเลเซีย รางวัลภาพยนตร์ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนยอดเยี่ยมแห่งปี ซึ่งเป็นภาพยนตร์ LGBTQ+ แต่ไปอยู่ในประเทศมาเลเซียและได้รับรางวัล มันทำให้เรารู้สึกปลื้มใจมาก
ในยุคนั้นภาพยนตร์สตรีเหล็กโด่งดังมาก ในวันที่ออกฉายเป็นสัปดาห์ที่สอง มีวันหนึ่งที่โก้ต้องออกมาซื้อเสื้อผ้าเพราะมีรายการที่ต้องไปออก เลยตัดสินใจไปซื้อรองเท้าที่มาบุญครอง พอไปถึงหน้าร้านรองเท้า ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเจ๊เปีย แล้วคนจากร้านอื่นก็เรียกเพื่อนเข้ามาอยู่ในร้านที่โก้เลือกรองเท้าอยู่เต็มไปหมดเพราะจะมาขอถ่ายรูป ตอนนั้นเราก็ทำอะไรไม่ถูก ชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะเจออะไรแบบนี้ ก็งงอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง จนต้องขอตัวออกมา
เวลาไปแจกลายเซ็นที่โรงหนัง พอถึงช่วงที่นักแสดงขึ้นเวทีปุ๊บ ต้องบอกเลยว่าเวทีพัง เพราะคนพุ่งตัวกันขึ้นมาขอลายเซ็น เคยมีเหตุกาณ์ที่ต้องไปแจกลายเซ็นในโรงหนังแห่งหนึ่ง ตอนนั้นนักแสดงทุกคนต้องอยู่กันคนละช่อง แต่ละช่องจะมีอะคริลิคกั้นไว้ แต่พอถึงเวลาพวกเราเซ็นกันอยู่ เราได้ยินเสียงเปรี๊ยะ ปรากฏว่าอะคริลิคที่กั้นไว้แตกเพราะคนแน่นมาก ทุกคนก็เลยต้องถอยออก ต้องมีเจ้าหน้าที่มาจัดการ คือมันเป็นความรู้สึกดีใจที่คนชอบหนังเยอะแต่ก็เสี่ยงอันตรายเหมือนกันนะคะ”
โกโก้ กกกร กับความรัก 20 ปี ที่ต้องปิดฉากลง
“หลายคนชอบมองว่า โก้ประสบความสำเร็จกับความรักที่มันมีอายุ 20 ปี แต่โก้มองว่า เวลาไม่ใช่เป็นตัวกำหนดว่าคน ๆ นี้จะประสบความสำเร็จมั้ย คบกัน 1 ปีแล้วเค้าเลิกกัน กับคบแบบโก้ 20 ปีเลิกกัน สุดท้ายมันก็เลิกกันอยู่ดี 20 ปีไม่ได้ประสบความสำเร็จมากกว่า 1 ปี ถ้า 20 ปีที่โก้อยู่มา โก้อยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน โก้ต้องอดทนอะไรบ้า ๆ บอ ๆ กับอีก 1 ปีเค้าอยู่ด้วยความสุขแล้วเค้ารู้ตัวว่าสุดท้ายแยกกันดีกว่า แสดงว่า 1 ปีมีคุณภาพที่ดีกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า ฉะนั้นเวลาไม่ใช่ตัวกำหนดเรื่องนี้”
นี่คือมุมมองที่ โกโก้ ได้เผยให้ฟัง หลังจากที่ได้เปิดใจเล่าเรื่องราวการยุติความสัมพันธ์กับอดีตสามี โดย โกโก้ ได้เล่าจุดเริ่มต้นของวันรัก และจุดสิ้นสุดของวันลา ให้ฟังว่า
“เค้าทำงานโรงภาพยนตร์ค่ะ ตอนนั้นมีภาพยนตร์รอบพิเศษเรื่องหนึ่ง ซึ่งโก้เองเป็นคนชอบดูหนัง แล้วถูกชวนไปร่วมงานแล้วก็เจอกัน พอเจอกันก็ได้คุยกันเค้าก็ขอเบอร์เราไว้ แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อมาเรื่องหนัง เราก็ตอบว่าได้ ในตอนนั้นมีเพื่อนเค้าที่เป็นชาวต่างชาติเค้าชอบเราเพราะเห็นเราในทีวี อดีตสามีเราก็ทำตัวเป็นพ่อสื่อให้ แล้วเค้าก็โทรมานัดเราไปหา ปรากฏว่าเราเพิ่งรู้ตอนนั้นว่าเค้านัดไปเจอเพื่อนของเค้า เราก็บอกว่าไม่เอาแบบนี้ เราไม่ชอบ หลังจากนั้นเค้าก็รู้สึกผิด เค้าก็เลยอยากขอโทษแล้วก็นัดมาดูหนัง พอออกจากโรงหนังมา เค้าก็ชวนคุยเรื่องหนัง ณ โมเมนท์ที่คุยเรื่องหนัง เรารู้สึกว่าเราคุยเรื่องนี้แล้วเราถูกคอ รู้สึกว่าไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ก็เลยอยากจะคุยกันอีก อยากไปดูหนังด้วยกันอีก จนได้คบเป็นแฟนกัน โก้แต่งงานปี 2005 ถ้านับถึงตอนนี้มันก็ 17 ปี รู้จักกันมาก่อน 3 ปี รวมแล้วก็ประมาณ 20 ปีค่ะ
ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว มันเคยเกิดเหตุการณ์ คือเค้ามีคนอื่นค่ะ แล้วเราจับได้ เค้าก็บอกว่าขอเวลาที่จะคุยกับเราต่อ เราก็เลยบอกว่าถ้าจะไปต่อ ทุกเรื่องเราต้องแชร์กันนะ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเป็นศูนย์ ไม่ได้ติดลบ ต้องทำยังไงเพื่อที่จะให้มันเป็นบวกขึ้นมา แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดเรื่องแบบนี้อีกไม่ต้องคุยกันแล้ว เราจะไม่โกรธกัน เราจะไม่เกลียดกัน แต่เราจะทำความเข้าใจกันว่าเราต้องแยกย้าย จนมาเกิดเรื่องอีกครั้งเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ที่เราจับได้ว่าเค้ามีคนอื่นอีก
พอดีวันนั้นเค้านอนหลับไปแล้ว เรานั่งดูทีวีอยู่ แล้วไลน์มันก็เด้ง มีแจ้งเตือนมาตลอด ด้วยความอยากรู้ก็เลยเอามาดู พอเปิดเข้าไปก็เห็นข้อความ ที่รักคะ มีส่งรูปถึงบ้านแล้วนะคะ ฝันดีนะคะ ตอนนั้นเราก็บอกกับตัวเองให้ตั้งสติ มันเกิดขึ้นแล้ว ทำยังไงต่อ ก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ทนอยู่แล้ว ก็เลยปลุกอดีตสามีว่า รู้เรื่องน้องคนนี้แล้วนะ แล้วก็ให้เค้าดูโทรศัพท์ ตอนนั้นเกิดการแย่งโทรศัพท์จนเราล้มลง ถ้าไม่มีที่นอนเราคงบาดเจ็บ เราก็เลยลุกพรวดขึ้นมาแล้วบอกว่า ออกไปจากชีวิตฉันเดี๋ยวนี้ เค้าก็เก็บของออกไปเลยเลยตอน 5 ทุ่ม
มีคนที่สนิทกับโก้ เค้าก็มาถามว่าเป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไงบ้าง ซึ่งเรามานั่งค่อย ๆ ตกผลึก แล้วก็รู้สึกว่าโก้ไม่ได้เสียใจ ไม่มีความโกรธ แต่มันผิดหวัง คือก่อนหน้านี้ ช่วงโควิด โก้ไม่มีงานเลย โก้ไม่มีรายได้ เค้าก็ดูแลโก้อย่างดีนะ จนเรารู้สึกว่าเราเลือกคนโอเคนะ แต่สุดท้ายเราก็ผิดหวัง เราไม่เคยเตรียมใจว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น แต่รู้อยู่ตลอดเวลาว่า ถ้ามันเกิดขึ้นเราต้องดูแลตัวเองยังไง
ไม่มีเสียใจ โก้ไม่ได้หลอกตัวเอง คุณค่าของเราไม่ได้อยู่ที่คนอื่น คุณค่าอยู่ที่ตัวเรา ไม่คิดเรื่องแพ้ชนะ และไม่คิดเรื่องการเอาชนะเพราะมันไม่มีประโยชน์ คุณค่าอยู่กับเราตลอดเวลา คุณค่ากับมูลค่าต่างกัน มูลค่ามันมีเพิ่มมีลด แต่คุณค่าไม่มีลด”
ละครเรื่องมาตาลดา พา โกโก้ สู่หน้าจออีกครั้ง
หลังจากความโด่งดัง และชื่อเสียงที่ถาโถมหลังจากที่ได้เล่นภาพยนตร์สตรีเหล็ก โกโก้หันไปทำงานเกี่ยวกับการผลิตละคร ทำโรงงานเครื่องสำอาง เป็นฟรีแลนซ์ รวมถึงสอนแต่งหน้า สอนบุคลิกภาพ ทำงานอาสา เรียกได้ว่าหลากหลายบทบาท จนล่าสุด โกโก้ ได้กลับมามีผลงานบนหน้าจออีกครั้งโดยรับบท วีนัส ผู้เลี้ยงดูนางเอก ในละครเรื่อง มาตาลดา ละครแนวฟีลกู๊ด ที่บอกเล่ามุมมอง LGBTQ+ พร้อมส่งต่อพลังบวกให้ผู้ชม จนกลายเป็นละครเรตติ้งดี เกิดเป็นกระแส มาตาลดาฟีเวอร์ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์หลายครั้ง โดย โกโก้ ได้เล่าเหตุผลที่ทำให้กลับมาเล่นละครอีกครั้งว่า “จริง ๆ แล้ว โก้ไม่ได้หายจากวงการ เราเล่นละครต่อมาอีกก็หลายเรื่อง เพียงแต่ว่าละครอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จ แล้วอีกอย่างคือบทที่ได้รับมันไม่ได้เป็นบทนำ ส่วนใหญ่จะเป็นบทสีสันมากกว่า
โก้ได้มาเล่น มาตาลดา เพราะว่าทางผู้จัด น้องจ๋า ยศสินี เค้าตามหาเราอยู่ แต่หาเราไม่เจอ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไม่ได้ทำงานวงการเลย ไปทำงานออฟฟิศ แล้วหยุดเล่นละคร 7-8 ปี เค้าก็เฟ้นหาจนมาเจอ แล้วก็ให้เราเข้าไปอ่านบท วันแรกที่ไปอ่านบท ก็ไปอ่านกับ น้องเต้ย จรินทร์พร เพราะว่าผูจัดเค้าอยากเห็นเคมีของ โก้ กับ เต้ย ว่าเข้ากันไหม เป็นแม่ลูกกันได้ไหม โชคดีที่ได้อ่านบทกับเต้ย เพราะว่าเต้ยเก่ง เค้ารู้คาแรกเตอร์ของมาตาลดา แล้วเค้าสามารถส่งมาให้เราแล้วเราก็เล่นต่อได้ เคมีเข้ากันได้ คุณจ๋าก็เลยเลือกโก้แล้วได้เล่นเรื่องนี้ค่ะ
ตอนแรกโก้ไม่ได้คิดว่าจะได้เล่นบทนำ เราคิดแค่ว่าก็คงจะเป็นบทสีสัน แต่พอได้เห็นบทแล้ว เรารู้สึกว่า บทนี้ไม่ได้ดูเป็นตลกค่ะ มันเรียลมาก บางพาร์ทมันมีความเครียด มีความกดดัน คือบทมันเป็นดราม่ามาก รู้สึกว่าอ่านแล้วสนุกตั้งแต่เรายังไม่ได้ไปทำงานเลย แล้วก็โชคดีที่ได้ไปทำ เราทำความเข้าใจบทได้ค่อนข้างดีด้วย ซึ่งผู้กำกับก็สอนดี แนะนำอย่างดี
พอวันไปทำงาน เราก็เตรียมตัวมาระดับนึงนะ เพราะไม่อยากให้ทีมงานเสียเวลา ซึ่งเรากลัวเรื่องนี้มาก แล้วเค้าอุตส่าห์เลือกเรา ไม่อยากให้เค้ารู้สึกว่าฉันเลือกผิดคน ซึ่งคิวที่ออกมาปรากฏว่า มีชื่อโก้เรียงทุกซีนเลย 20 ซีน ตอนเช้าเล่นกับน้องเต้ยแค่ 2 คน ช่วงบ่าย พี่ชาย ชาตโยดม มา เราก็เกร็งมาก แล้ววันนั้นเป็นวันเปิดกล้องวันแรก เป็นวันเปิดซีนของละครเรื่องนี้ คิดในใจว่า โกโก้ เธอจะรอดมั้ย แต่ก็โชคดีที่ได้อ่านบท ได้เวิร์คช็อปไปแล้ว แต่มันก็มีความตื่นเต้นเพราะไม่ได้เล่นละครมานาน แล้วตอนที่บล็อกกิ้งก็บอกกับเต้ยว่าเราตื่นเต้น เต้ยเค้าพูดว่าแบบไม่เป็นไรพี่โก้ เต้ยก็ไม่ได้เล่นละครมา 2 ปี เต้ยก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะ
กระแสตอบรับมันเกินกว่าที่คิดไว้มากค่ะ รู้สึกดีใจ และภูมิใจมาก ภูมิใจว่าละครเรื่องนี้ให้คุณค่าเยอะมาก ทั้งคุณค่าในฝั่งของเพศทางเลือก และคุณค่าในฝั่งของการเลี้ยงดูความสัมพันธ์ในครอบครัว ละครเรื่องนี้ทำให้คนที่เป็นพ่อ โดยเฉพาะอย่างเพื่อน ๆ ของโก้ พอละครออกไป เพื่อนที่เป็นคุณพ่อแล้ว โทรหาบ้าง อินบ็อกซ์มาหาบ้าง ว่าดูละครแล้วก็ชอบมาก ซึ่งมันเป็นปรากฎการณ์ที่ส่วนใหญ่แล้วคุณผู้ชายไม่ค่อยดูละคร แต่เรื่องนี้คือนั่งดูกับลูก แล้วทำให้เรารู้สึกว่านี่มันคือความภาคภูมิใจ แล้วบทของเราเป็นบทที่กลมอยู่ในครอบครัวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในละคร มีคนที่เข้ามาคอมเมนต์บอกว่า ตอนนี้อยากเป็นอยากเป็นลูกสาวน้าวีกันค่อนประเทศแล้วค่ะ”
เทคนิคการเลี้ยงลูก จาก โกโก้ กกกร
“เรื่องของการสอนมันเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่เราต้องเรียนรู้ อาจจะไม่ต้องรีบเร่ง แต่สิ่งที่ทำให้ครอบครัวผสานกันได้แน่นแฟ้นก็คือ ความสัมพันธ์ที่ดี ติดกระดุมเม็ดแรกผิดมันผิดไปตลอด เพราะฉะนั้นการที่เราจะติดกระดุมเม็ดแรกให้มันถูก เราต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี ง่าย ๆ เลยเริ่มจาก ภาษารัก ต่างคนต่างมีภาษารักเฉพาะตัวของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้ว ภาษารักจะมี 5 ลักษณะก็คือ บอกรัก สัมผัส ให้ของรางวัล บริการ และ ใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน คุณพ่อคุณแม่ลองดูว่า ภาษารักของลูกคืออะไร แล้วลองทำความเข้าใจ บางครั้งมันอาจจะไม่ใช่ภาษาที่เราคุ้นเคย หรือภาษาที่เราใช้ แต่ถ้ารู้แล้วค่อยเปิดภาษานั้นกับลูก แล้วก็สร้างเชื่อมความสัมพันธ์กับเค้า แล้วเดี๋ยวเค้าจะเข้าใจภาษารักของตัวเองได้เองค่ะ
โก้ อยากมีลูก แต่ไม่อยากขอเด็กมาเลี้ยง เพราะรู้สึกว่าการที่ โก้ ขอเด็กมาเลี้ยง เด็กคนนั้นคือเด็กที่มีปัญหาอาจจะพ่อแม่ดูแลไม่ได้ ซึ่งเค้ามีปมแล้ว 1 ปม แล้วพอเค้ามาอยู่กับเรา วันหนึ่งที่เค้าโตขึ้น ปรากฏว่าเค้ามีปมใหม่คือถูกล้อว่าแม่เป็นตุ๊ด เราจะเป็นคนที่ไปสร้างปมนี้ให้เค้า แล้วโก้ว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเค้า ความอยากมีลูกของเราสร้างอะไรบางสิ่งบางอย่างให้เค้าเป็นแผล เพราะฉะนั้นไม่เอาดีกว่า แต่กับเด็กอย่างหลาน ๆ ทุกวันนี้โก้เลี้ยงหลาน เราก็อยู่ใกล้กัน แล้วเราก็สัมผัสได้เลยว่า เค้าไม่ได้รู้สึกแปลกแยก และไม่ได้รู้สึกอายที่จะอยู่กับเรา อยากใกล้ชิดเรา แค่นี้มันเติมเต็มความต้องการของโก้แล้วค่ะ”
กำลังใจจาก โกโก้ กกกร
“โก้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเจอเรื่องราวอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนมีกัลยาณมิตรที่สำคัญ และกัลยาณมิตรคนนั้นก็คือตัวของเราเอง หันกลับมาชื่นชมตัวเราเอง หันกลับมาเมตตาตัวเราเอง ถึงแม้ว่าวันหนึ่งจะมีคนมาพูดว่ามันเป็นมันคือความล้มเหลว ขอให้แค่ยอมรับแต่ไม่ยอมจำนน เพราะว่าสิ่งที่เราทำมันสำเร็จไปแล้ว เพียงแต่ว่าความสำเร็จมันอยู่ระหว่างทาง มันสำเร็จตั้งแต่เราเริ่มคิดและลงมือทำ ขอให้กลับมาชื่นชมในความกล้าหาญของตัวเอง เพื่อที่เราจะก้าวต่อไป ที่เราจะให้ความสุขกับตัวเองต่อไป” - โกโก้ กกกร
ดูรายการย้อนหลัง