ทำความรู้จัก “นนท์ อินทนนท์” TIKTOKER สายฮา กับเรื่องราวสุดแฟนตาซี ที่ต้องจีบมือจีบใจเล่า

Club Pride Day Recap

ทำความรู้จัก “นนท์ อินทนนท์” TIKTOKER สายฮา กับเรื่องราวสุดแฟนตาซี ที่ต้องจีบมือจีบใจเล่า

04 ส.ค. 2023

“ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร เราเป็นได้ในสิ่งที่เราอยากจะเป็น ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่จำเป็นต้องรอ เพราะเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข”

 

 

เมื่อการได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้ชีวิตมีความสุข รายการ Club Pride Day กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “นนท์ อินทนนท์” TIKTOKER กระแสแรงลุคโอปป้า ที่มาพร้อมกับคาแรกเตอร์การจีบมือจีบใจ ที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ แต่กว่าจะมาเป็น นนท์ ในวันนี้ เขาผ่านวีรกรรมสุดพีคมามากมาย ที่ได้นำมาแชร์ให้ฟังในรายการ

 

เมื่อการจีบมือจีบใจ จนกลายเป็นจุดจดจำ

กลายเป็นคาแร็กเตอร์ที่ทำให้แฟนคลับนึกถึง นนท์ อินทนนท์ นั่นคือการจีบมือจีบใจ ซึ่งที่มาของการเรียกฉายานี้ นนท์ ได้เล่าให้เราฟังว่า “อินทนนท์จีบมือจีบใจ มันได้มาจากแฟนคลับครับ เพราะแฟนคลับจะคอยครีเอทให้เราอยู่ตลอดเวลา แล้วมันมีช่วงหนึ่งที่หนูไลฟ์สด คนดูเยอะมาก 52 คน กำลังน่ารัก เพื่อนตอนนั้นประมาณ 20,000 แต่ตอนนั้นมีคนดู 52 คน แล้วเราจำได้เลยว่ามีแก๊งค์ ๆ นึง ที่บอกว่า พี่นนท์เป็นคนที่เวลาเม้าท์มอยมันจะมีความจีบตลอดเวลา มีความออกรสออกชาติ  แล้วถ้าสมมติวันไหนหนูไม่ทำ หนูลองกอดอก ฟีลลิ่งมันหายไปหมดเลยครับ เวลาได้จีบมือแล้วมันเหมือนกับว่ามันทำให้เรารู้สึกเหมือนจิตวิญญาณของเราออกมาละ แล้วก็มีน้องคนหนึ่งมาบอกว่า แบบที่พี่นนท์ทำ เค้าขนานนามสิ่งนี้ว่าคือการจีบมือ แล้วพี่นนท์เป็นคนชอบพูดแบบว่าเกาหลีเกาใจเอย เพราะฉะนั้นการจีบมือจีบใจมันเหมาะกับพี่นนท์ ควรเป็นชื่อด้อม จากนั้นพอเวลาหนูไลฟ์สดมันก็เริ่มมีคนดูขึ้นมาเป็น 100 คน 200 คน จนพอมันเป็นหลักพันปุ๊บ หลังจากนั้นเป็นต้นมาหนูก็ใช้ว่าอินทนนท์จีบมือจีบใจอยู่ตลอด”

 

 

คนรักเยอะมาก จนได้มีงานแฟนมีตติ้ง

จากการไลฟ์ที่มีคนดู 52 คน จนวันนี้เรียกได้ว่า นนท์ อินทนนท์ มีคาแรกเตอร์ มีความสามารถ และมีความน่ารัก จนทำให้มีแฟนคลับที่ติดตามเยอะมาก ๆ และ นนท์ ได้เล่าเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจของการได้จัดงานแฟนมีตติ้งของตัวเอง ให้เราฟังว่า “ล่าสุดจัดเมื่อช่วงวันเกิดครับ เพราะแฟนคลับเรียกร้องกันมาซักพักนึงแล้วครับ เหมือนพวกเค้าอยากเจอตัวตน อยากเห็นเราว่าเราเป็นยังไง เวลาเราอยู่ในกล้องกับตัวจริง มันจะเหมือนที่เราเป็นมั้ย เราก็เลยคุยกับผู้จัดการว่าอยากมีงานแฟนมีตติ้งซักครั้งในชีวิต

งานของเราเหมือนกับว่ามานั่งกินหมูกระทะร่วมกัน แล้วก็แต่งตัวกันขำ ๆ มีการประกวดแจกของรางวัลกัน วันนันเป็นวันที่หนูมีความสุขมาก มีพ่อแม่ มีนักแสดงที่เราชื่นชอบ มีแฟนคลับที่รักเรา เราดีใจมาก ขอบคุณมาก ๆ ขอบคุณทุกคนที่มาหาเรา เราเป็นใครก็ไม่รู้ แล้วดังมาจากการด่า หรือพูดไปเรื่อย ไม่คิดว่าเราจะเป็นไอดอลของเค้าขนาดนี้ มีแฟนคลับมาบอกว่า พี่ไม่ใช่แค่ด่าคน แต่พี่ทำให้หนูรู้สึกว่าการได้ฟังพี่มันเป็นการฮีลใจ บางทีหนูเศร้า หนูเครียด หนูทะเลาะกับแฟน หนูรู้สึกว่าหนูดิ่ง หนูคลิกฟังพี่แล้วหนูมีความสุขมากเลย ก็เลยเป็นกำลังใจให้เราทำคลิปทำช่องต่อไป”

 

 

ความฝันวัยเด็ก ของเด็กชายอินทนนท์

“นักแสดง” คือความฝันที่ นนท์ อินทนนท์ รักและอยากทำมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนกลายเป็นความกล้าแสดงออก จริต แอคติ้ง ที่กลายเป็นคาแรกเตอร์ของ นนท์ โดยเขาได้เล่าความฝันของตัวเองให้ฟังว่า “นนท์อยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ เรารู้ตัวเองว่าชอบการแสดงมาตั้งแต่ ป.6 เพราะว่ามีช่วงหนึ่งที่เล่นละครเวที แล้วละครเวทีซ้อมหนักมากประมาณ 6 เดือนถึงหนึ่งปี ดังนั้นเวลาเราเรียนเสร็จ ก็ต้องไปซ้อมตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึงประมาณทุ่มนึงทุกวัน แล้วมีช่วงนึงนนท์เป็นไข้หวัดใหญ่ แล้วต้องนอนโรงพยาบาล เราถามพ่อกับแม่ว่าขอออกไปซ้อมได้มั้ย เรากลัวคนอื่นรอ หนูก็เลยวนมานั่งคิดตอนช่วงที่หนูโตแล้วว่า ถ้าเราไม่ได้ชอบสิ่งนี้ เราคงไม่มีแพชชั่นอยากจะไปทำสิ่งนั้นทั้ง ๆ ที่ตัวเองป่วย เราก็เลยรู้สึกว่าเราชอบการแสดง แม่ก็ส่งไปเรียนกันตนา เพราะแม่หวังว่าการเรียนพวกนี้เป็นบันไดสู่การเป็นดารา เรียนตั้งแต่ ป.6 มาจนถึง ม.3 ในละคร เราเล่นบทชายแท้ครับ คือ ณ ตอนนั้นคือไม่รู้ อินเนอร์ของเราอาจจะรู้สึกกังวลหรือกลัวไปก่อนรึป่าวก็ไม่รู้ เพราะเรารู้สึกว่า เราอาจจะไม่ได้ชอบผู้หญิงรึเปล่า เราอาจจะรู้สึก หรือเราไม่ชอบ คือมันกึ่งๆ ไม่รู้ว่าชอบหญิงหรือชอบชาย คือเราไม่รู้หรอก แต่เราชอบมอง มองว่าพี่คนนี้ดูดีจัง แต่ว่าการเรียนของเราคือบทผู้ชาย เล่นเป็นผู้ชาย แล้วบทมันก็จะเป็นแบบออกแฟนตาซีหน่อย ก็จะไม่ได้ชายแท้ อะไรประมาณนั้นครับ”

 

 

ความรักของ นนท์ อินทนนท์

เรียกว่าผ่านเรื่องราวความรักมาหลากหลายครั้ง และมีแต่เรื่องพีคทั้งนั้น โดย นนท์ ได้เปิดหัวใจแชร์เรื่องรักให้ฟังว่า แฟนคนแรกเลยนะครับตามจีบตั้งแต่ ม.1 ได้คบประมาณ ม.6 เป็นแฟนที่เราชื่นชอบมาก คือหมายถึงว่าเราชอบด้วยเนเจอร์ เค้าเป็นผู้หญิงที่ตั้งใจเรียน หนูชอบคนตั้งใจเรียน เราคบกับเค้าได้แค่ 4 เดือนเองครับ เพราะว่าเค้าวนกลับไปคบกับแฟนของเค้าอีกรอบนึง แต่หนูเสียใจมาก เพราะว่าเราจีบเค้า เราตั้งใจจีบเค้ามาก แล้วเค้าคือคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่ เพราะว่าเค้าจะไม่ตัดสินเรา เค้าก็จะหยุดอยู่กับเรา ในความที่เราเป็นเราแบบนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าเราก็เสียใจ แล้วจีบตั้ง 6 ปี เรารู้สึกว่าเราชอบผู้หญิงคนนี้เลย ไม่ได้คิดอะไรนอกจากนั้นเลย เพราะว่าเรารู้สึกว่า เค้าเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจมาก เป็นคนเก่ง แล้วก็เป็นคนขยัน ตั้งใจเรียนมาก ๆ ตอนนั้นเราเลยอยากจะเรียนดีตามไปด้วย เรารู้สึกว่าเราชอบเค้าจัง แต่เราไม่ได้อยากได้เค้ามาครอบครอง แค่เราเห็นเค้ามีความสุข เราก็มีความสุขด้วย ตอนเลิกกันมันเลยเสียใจมาก ๆ

รักครั้งต่อมาคือตอนมหาลัย ครั้งนี้เปลี่ยนแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ หลังจากที่เฮิร์ทก็ทิ้งระยะห่างประมาณปีกว่า ๆ เหมือนช่วงนั้นกำลังที่จะเข้ามหาวิทยาลัย แล้วเราสอบตรงได้ที่ มศว. ศิลปกรรม พอสอบติดมันก็มีการให้เพื่อน ๆ มาเจอกันเพื่อที่จะละลายพฤติกรรมกัน แล้วก็มีคนนึง เราก็ไม่รู้ว่าความน่ารักของเรามันไปเด้งโดดสะดุดตาเค้าขนาดไหน เค้าทัก MSN
ทักทุกวันเลยจนรู้สึกว่าไอ้นี่มันแปลกไป มันทำไมมันถึงจะชวนไปกินข้าว แล้วดูแลใจเราดีมาก กินข้าวยัง ฝนตกนะ ดูแลตัวเอง ระวังเป็นหวัด เราก็แพ้ทางมาก แล้วมีช่วงหนึ่ง เราต้องทำรายงาน ผู้ชายก็ชวนไปทำรายงาน ไปหอเขา ไปทำรายงาน หนูก็ถามว่าทำไมไม่ไปร้านกาแฟ มันก็มีอินเตอร์เน็ต มันก็บอกว่ามาห้องดีกว่าทุกอย่างครบกว่า หนูก็ไป ไปถึงหนูแกล้งหลับเลย หนูหลับบนเตียงเลย เพราะหนูหามาในกูเกิ้ลแล้วว่า ทำยังไงเวลาไปเจอคนที่เราไม่ได้สนิทครั้งแรก มันบอกว่า ทำอะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่าเราเซฟโซนที่สุด อย่างแรกขึ้นมาคือหลับ หนูก็หลับก่อน แบบแกล้งหลับอยู่ แล้วภาวนาในใจตลอดเวลาว่าจะทำไรมั้ย หรือว่ายังไง หลับไปชั่วโมงครึ่งมันไม่แตะอะไรทั้งนั้น ทำรายงานจริง ๆ  แต่ซักพักอะไรดลจิตดลใจก็ไม่รู้ หนูบิดขี้เกียจ แล้วหน้ามันมาอยู่ตรงหน้าเราแบบกำลังจะจูเรา หลังจากนั้นเราก็ปล่อยใจเลย เรือนร่างนี้เป็นของคุณ คุณจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ หลังจากนั้นก็เป็นแฟนกับมันเลย คบกันมาซักพัก ประมาณปีกว่า ๆ ก็โดนนอกใจ เค้าก็ไปมีคนอื่น ก็เสียใจ ซึ่งเสียใจหนักกว่าคนแรกอีก เพราะเรารู้สึกว่าเราเสียเรือนร่างของเราที่เรารักษาพรหมจารีย์ ทำไมถึงไม่พึงพอใจกับเรือนร่างนี้เหรอ สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่า เราต้องรักตัวเราจริง ๆ แล้วแหละ เพราะว่าเค้าไม่ได้เห็นค่าอะไรเราเลย

แฟนคนที่สอง ผู้ชายคนนี้ชอบดูดวงมาก พาหนูไปดูห้วยขวางครั้งแรกจำได้เลย  หมอดูทักบอกหนูว่าแฟนคนนี้ชอบเดินทาง แล้วก็ชอบอะไรที่มันแอดเวนเจอร์ ไม่ชอบเดินทางปกติ หนูก็คิดในใจ รู้ดี รู้เยอะไม่จริงหรอก เค้าก็เดินห้างปกติ ไม่ได้แอดเวนเจอร์อะไรเลย เข้าเดือนที่สามแฟนชวนไปเที่ยวสิงคโปร์ ผู้ชายจองหมดเลย หนูไม่เคยไปไง แล้วหนูก็ถาม แล้วตั๋วขากลับทำไมไม่มี แฟนบอกว่าไม่เป็นไรเธอ เดี๋ยวเราใช้ชีวิตร่วมกัน เดี๋ยวเราอยู่ด้วยกันก่อนยาว ๆ แล้วพอวันสุดท้าย แฟนบอกว่าโอเคเดี๋ยวจะกลับแล้ว เล่นยูนิเวอร์แซลเหนื่อยมาก หอบของเยอะมาก หลังจากที่เล่นเสร็จ หนูก็ลากกระเป๋ามา นางก็พาหนูไปขึ้นรถแท็กซี่ ขับไปสักพักหนูก็หลับก่อน ขณะที่จะหลับหนูก็เห็นว่าทางทำไมถึงเลี้ยงซ้าย เพราะปกติถ้าขนาดนี้มันต้องเลี้ยวขวานะหนูจำทางได้ คงไม่เป็นไรหรอกมั้งหนูก็หลับ ตื่นมาเจอเป็นโดมเลย รถทัวร์จอดเรียงกันเลย หนูก็ถามว่า เธอจะขึ้นรถทัวร์ไปต่อไปที่สนามบินเหรอ แฟนบอกว่าเราจะนั่งรถกลับกัน ตอนนั้นเสียงในหัวของหนูก็คือนั่งรถกลับกัน นั่งรถกลับกัน หนูก็ถามว่ากี่ปีจะถึง นางบอกว่าไม่รู้ นางก็ไม่เคย หนูก็คิดว่ามันต้องยังไงบ้าง ก็คือ เราจะต้องนั่งรถทัวร์จากสิงคโปร์ไปลง มาเลเซีย ก็ประมาณ 2 คืน 3 วันเลยครับ ยังไม่จบพอไปลงมาเลยเซีย ต้องลากกระเป๋าไปเปลี่ยนรถจากมาเลเซียไปต่อหาดใหญ่ ไปถึงหาดใหญ่ต้องต่อรถตู้ไปกรุงเทพ 4 ต่อ 2 คืน 3 วัน กลับมาหนูเป็นทอมซินอักเสบเข้าโรงบาลเลย หนูด่ามันทั้งทริปเลย แต่แฟนก็บอกว่า มันอยากใช้ชีวิตกับเรา มันอยากที่จะมีโมเมนท์ หนูบอกว่าโมเมนท์ที่ไทยเยอะแยะมากมาย ทำไมไม่จดจำ เค้าก็บอกว่าอยากมีโมเมนท์ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน อยู่ด้วยกันแล้วมันอาจจะมีความสุขกว่านี้ แล้วมันไม่หยุดที่แค่นั้น มีนั่งรถไฟจากเชียงใหม่ด้วยนะ นั่งรถไฟฟรีจากหัวลำโพงไปเชียงใหม่ รับตั๋วประมาณตี 3 ตี 4 รถออกบ่ายสามโมงเย็น หนูนั่งยมแล้วยมอีกไม่มาซักที แล้วหนูก็ถามว่ามันจะมีช่วงเย็นแบบอากาศดี ๆ บ้างไหม แฟนมันก็บอกมีช่วงเย็นเลย ก็คือช่วงที่ลอดอุโมงค์ลำปาง พอไปถึงเย็นอยู่ครึ่งชั่วโมงถ้วน หลังจากนั้นนรกเลย ร้อนมาก ขากลับหนูก็เลยจองรถนอนให้แฟน 700 บาท หนูบอกไม่เป็นไรเธอ เราซัพพอร์ทกันได้ คือเราเข้าใจเธออาจจะอยากแบบชิว ๆ แต่สิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นมันไม่เหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องเลิกกันเพราะว่าเค้าเอาแต่ใจมาก พอเลิกกันนางก็มาบอกกับเพื่อนสนิทหนูว่าไม่น่าเลิกกันเลย นางจะพาหนูไปปีนภูเขาเอเวอร์เรส หนูคิดในใจขอบคุณมากที่เลิก เพราะว่าเอเวอร์เรสแสนกว่าบาท ต้องไปทำหัวใจ ต้องไปเดินเหิน ต้องไปฝึกก่อนเหมือนนักวิ่ง เดชะบุญเลิกไปแล้ว

 

 

จุดเริ่มต้น ที่ทำให้คนได้รู้จัก นนท์ อินทนนท์

กว่าจะมีวันที่คนรู้จัก นนท์ อินทนนท์ กับคาแรกเตอร์ จีบมือจีบใจ ก้าวแรกของการเข้าสู้วงการอินฟลูเอนเซอร์ นนท์ ได้เล่าให้เราฟังว่า “ประตูด่านแรก คือการออกรายการของเพื่อนหนู เจษ เจษฎ์พิพัฒ แล้วได้ไปเจอโปรดิวเซอร์ ชื่อยายฝน มอนสเตอร์ฝน ยายฝนก็ถามว่าเธอมีแฟนไหม หนูก็ตอบว่าไม่มี นางก็ดีลมารายการจีบหนูหน่อย ของพี่โอ๊ต ปราโมทย์ แล้วหลังจากนั้นนางก็โทรมา คุยข้อมูลเม้าท์มอยหอยสังข์ เราก็เล่าให้ฟังหมด แล้วหลังจากนั้นพอหนูไปออกรายการจีบหนูหน่อย มันกลายเป็นไวรัล ตอนที่หนูพูดถึงเรื่องโอมากาเสะ เพราะหนูเป็นคนไม่ได้เอ็นจอยกับโอมากาเสะขนาดนั้น แต่กินได้ เพราะเป็นคนไม่ค่อยชอบลอง ชอบฉันรวม หมายถึงว่าชอบเอาข้าวมา แกงหน่อไม้มา แล้วคลุกกินได้เลย คือหนูเป็นคนหิวแล้วจะโมโหหิว แล้วคำพูดนั้นมันกลายเป็นไวรัล

หลังจากนั้นก็มีงานรีวิวเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วขยับขึ้นมาเป็นการออกรายการ แล้วก็เริ่มมีซีรีส์ ได้ไปออกรายการกับดาราดัง ๆ เราก็เลยรู้สึกว่าชีวิตของเราเป็นกราฟที่ค่อย ๆ ขึ้นมา เราอยากทำในทุก ๆ อย่างให้มันดีไปเรื่อย ๆ ครับ

ส่วนคลิปแรกที่หนูลงคือคลิปดูดวง หนูเป็นคนชอบดูดวง ชอบสายมู สมมติว่าเวลามีหมอดูอะไรที่ตรงจิตตรงใจเรา คือหนูอยากจะพูดเลย อยากจะบอกต่อเลย แล้วคอนเทนต์ของหนู บางทีหนูไม่ได้แค่พูดอย่างเดียว หนูก็จะมีร้องเพลงบ้างเป็นแบบมิวสิเคิล มีเต้นบ้าง ทำอะไรไปเรื่อยไป คือเราแค่รู้สึกว่า คนดูเค้าน่าจะชอบความเป็นเรา ก็เลยจัดเต็มเลย”

 

 

นนท์ อินทนนท์ กับการเปิดเผยตัวตนกลางโซเชียล

ดูเหมือนว่าชีวิตของ นนท์ อินทนนท์ จะมีความรื่นรมย์ ด้วยคาแรกเตอร์ คอนเทนต์ หรือบุคลิก จะดูเป็นสายเฮฮา แต่อันที่จริงแล้ว นนท์ เคยผ่านช่วงชีวิตที่ต้องต่อสู่กับการยอมรับในตัวตนของตัวเอง โดยเฉพาะการยอมรับจากคนในครอบครัว มีหนึ่งคลิปที่กลายเป็นไวรัล และทำให้หลาย ๆ คนได้รู้จักตัวตนของ นนท์ อินทนนท์ โดยในคลิปจะเป็นเหตุการณ์ที่ นนท์ ได้เปิดเผยตัวเองและบอกกับคุณพ่อกับคุณแม่ ในเรื่องตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง โดย นนท์ ได้เล่าเหตุกาณ์ที่มาของการทำคลิปนี้ว่า “ในตอนนั้นสิ่งแรกที่นนท์คิดเลยคือ นนท์แค่ไม่อยากโกหกเค้าอีกแล้ว อย่างแรกเลย เวลานนท์ไปเที่ยว เราต้องโกหกเค้าตลอด แล้วเราไม่มีความสุข ก่อนจะก้าวขาออกจากบ้าน เราไม่รู้ว่าเราจะพูดอะไร เพราะเรารู้สึกว่าเราโกหก แล้วเราไม่มีความสุขกับการที่เราไปเที่ยวเลย พอเราไปถึงหน้างานพอเราอยู่กับแฟนเรามีความสุขมาก เราคิดว่าทำไมเราถึงเป็นตัวเราไม่ได้ซักที ทำไมเราถึงบอกพ่อกับแม่ไม่ได้สักทีว่าเราคบใคร เรารู้สึกว่ามันทำให้เราบั่นทอน ถ้าสมมติเราได้เป็นตัวเองเต็มที่ ในการทำงาน การใช้ชีวิต เราคงจะมีความสุขในแบบของเรา หนูอยากบอกคุณป้า คุณลุง คุณย่า คุณยาย หนูอยากรวบทีเดียว แล้วก็เป็นวิทยาทานให้กับใครหลาย ๆ คน ที่ยังไม่ได้กล้าเปิดเผยตัวเอง หนูก็เลยตัดสินใจอัดคลิป

เป็นคลิปที่เรียลที่สุดตั้งแต่ที่เคยทำมา คือบอกเค้าว่าจะสวัสดีปีใหม่ เอาดอกมะลิไปไหว้ทุกคนเลย ให้นั่งเรียงเลย คุณป้า คุณพ่อ คุณแม่ นั่งเรียงรวมด้วยกัน แล้วก็มีน้องคนนึงมาถ่าย มีตั้งกล้องไว้ อยากให้มันดูเรียลที่สุด พอไหว้เสร็จ หนูก็พูดตามคลิปเลยว่า อยากจะบอกเค้าจริง ๆ ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราคิดแล้วว่าเราอยากเป็นแบบนี้ เราอยากเป็นในแบบของเรา หลังจากนั้นก็นั่งอยู่ประมาณเกือบสองชั่วโมง เพราะพ่อกับแม่ช็อค พ่อรับไม่ได้ แต่คนที่รับไม่ได้เยอะที่สุดคือแม่ หนูก็คิดว่าทำไมมันกลับกัน ปกติน่าจะเป็นพ่อที่รับไม่ได้ แต่กลายเป็นแม่ แต่มันก็จะมีโมเมนท์ที่พ่อเห็นเราร้องไห้จนไม่ไหว จนเรารู้สึกว่าเราหายใจไม่ออก จนพ่อมาลูบหัว แล้วก็บอกว่าจะเป็นไรก็เป็น ขอให้เป็นคนดี แค่นี้หนูมีความสุขมาก มันมีความสุขจริง ๆ ได้ยินแค่นี้แล้วมันรู้สึกว่าขอบคุณที่เค้าเข้าใจในสิ่งนี้ ที่เราไม่รู้ว่ามันจะผิดขนาดไหน แต่ว่าเราไม่อยากให้คุณพ่อ คุณแม่ คุณป้า หรือใครก็ตามแต่เสียใจเลยในสิ่งที่เราทำ แต่เราไม่สามารถที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของเราได้อีกแล้ว

นนท์พูดเลยว่า นนท์ใช้ชีวิตอย่างดีมาตลอด ตั้งใจเรียน ได้เกียรตินิยม ไม่ยุ่งกับยาเสพติด อยู่ในกรอบในศีลในธรรม หลังจากเรียนจบนนท์บวชให้เค้าเลย ทำในสิ่งที่ลูกคนนึงทำให้ได้ แต่สิ่งนี้นนท์ขอแค่อย่างนึงได้ไหม นนท์ขอเป็นในสิ่งที่นนท์อยากเป็นได้ไหม นนท์ไม่ทำให้ใครไม่สบายใจ นนท์รู้ว่าพ่อแม่เสียใจ แต่นนท์ขอได้ไหม เพราะว่านนท์ไม่สามารถที่จะเป็นแบบในสิ่งที่เค้าต้องการได้

ก่อนหน้าที่จะถ่ายนนท์คิดครับ เพราะว่ามันมีแค่สองอย่างคือรับได้ กับรับไม่ได้ มันมีแค่นี้เลย คือ ณ ตอนนั้นทั้งสองคนยังรับไม่ได้ แต่เราแค่รู้สึกว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังรับไม่ได้ตอนนี้ ซักวันนึงเค้าน่าจะรับได้ เพราะนนท์ยังใช้เวลาตั้งหลายปีกว่าจะมาบอกเค้า เพราะฉะนั้นแค่วันเดียวรับไม่ได้ไม่แปลกอยู่แล้ว คือต้องให้เวลาอยู่แล้วครับ หลังจากนั้นคือทะเลาะกันจนต้องหนีออกจากบ้านครับ เพราะว่าแม่พูดคำที่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากได้ยิน แล้วมันเราทำให้เรารู้สึกว่าเราทำไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ หนีไปอยู่ที่โรงแรมประมาณ 3-4 ร้อย อยู่ประมาณ 2-3 คืน จนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เงินหมดแล้ว เราก็โทรไปหาคนอื่น ๆ ว่าเรารับทำงาน เราทำได้หมดเลยนะการแสดง แอคติ้งโค้ชเราได้หมดเลย เราอยากทำงานจริง ๆ จนช่วงนั้นโควิดเข้ามาอีกรอบนึง แล้วแม่เค้าโทรตามให้กลับบ้าน นนท์ก็เลยกลับ เพราะว่าเหมือนเค้าก็เป็นห่วง แต่หลังจากนั้นประมาณเกือบปีที่ไม่คุยกันเลย

หลังจากนั้นคุณพ่อเริ่มดีขึ้น หมายถึงว่าคุณพ่อเริ่มรู้สึกว่า ก็มันก็ไม่ได้ทำอะไร แล้วความสุขของการที่มันเป็น มันก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครนะ สุดท้ายแล้วนานาจิตตัง ลูกมันเกิดมา มันอยากใช้ชีวิตก็ปล่อยมันสิ แต่ฝั่งคุณแม่ก็ยังรับไม่ได้ จนเหมือนมีเพื่อนหลาย ๆ คนของหนูคงไม่ไหว ก็พยายามไปเกลี้ยกล่อม เป่าหูคุณแม่ จนคุณแม่เริ่มมีสายตาที่เริ่มกลับมาเข้าใจเรา เลยรู้สึกว่า แค่นี้ก็พอไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องชมก็ได้ แค่มองเราเหมือนเดิม ที่เรารู้สึกว่าเค้ามองเราเป็นลูกเค้าเหมือนเดิม เรามีความสุขแล้ว ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้ หลังจากนั้นก็เริ่มมาเป็นอินทนนท์ครับ หลังจากที่เราเป็นตัวตนของตัวเอง พอคนเห็นว่าเราเป็นแบบนี้ เราเริ่มเล่น Tiktok คนเริ่มเห็นเราจากการพูดคุย จากสื่อหลาย ๆ สื่อ จนได้มาออกจีบหนูหน่อย ได้มาทำรายการ ได้มีช่องทาง ได้มีคนรู้จัก นนท์ อินทนนท์จีบมือจีบใจ จนถึงตอนนี้

 แล้วมีวันหนึ่งเดินตลาด เหมือนมีคนมาขอเราถ่ายรูปเยอะมาก แม่ก็จะเริ่มเป็นฟีลแบบว่า อินทนนท์เหรอ ลูกชั้นไง มาเดี๋ยวแม่ถือของให้ลูกไปถ่ายเถอะ เริ่มมีความเป็นฟีลแบบภูมิใจ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร แล้วต่อมาวันนั้นเป็นวันที่เดิน ๆ อยู่แล้วเค้าก็บอกว่า ลูกสาวแม่ จะมีแฟนก็ลองหาแฟนเป็นหมอดูไหม จะได้มารักษาแม่ได้ เป็นฟีลพูดเล่น ๆ แซว ๆ เค้าเริ่มเข้าใจแล้วว่า ว่าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่บางอย่างอาจจะเป็นกรอบที่เค้าสร้างขึ้นมารึป่าว หรืออาจจะเป็นวัฒนธรรม ตั้งแต่ที่เค้าเกิดหรือมีชีวิตมา ซึ่งคนละสังคมกับเรา นนท์ก็เลยรู้สึกว่า มีความสุขยิ่งกว่าได้เงิน มีความสุขกว่าเราได้ในสิ่งที่เราอยากได้ คือแค่นี้เองครับ แล้วเราเลยรู้สึกว่าเราอยากจะมอบพลังบวกของเราได้แล้วอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะว่าเราไม่ต้องการเก็บอีกต่อไป บ้านคือบ้านของเราแล้วไม่ต้องแอบไม่ต้องปกปิด

หลังจากที่นนท์ พาคุณแม่มาเจออีกสังคมหนึ่ง เช่นเพื่อนเราที่เป็นผู้ชายกับผู้ชายแต่งงานกัน นนท์ไปงานแต่ง นนท์ส่งให้แม่ดู แม่เค้าน่ารักกันมากเลยเนอะ สุดท้ายแล้วความรักก็แค่เนี้ย ก็แค่ความรัก เค้ารักกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร เค้าก็แค่รักกัน ไม่ต้องไปจำกัดอะไร เค้าก็เลยรู้สึกว่าเค้าเริ่มเปิดใจขึ้น แล้วนนท์ก็พาเค้าไปอังกฤษ พาไปเห็นว่าคนอังกฤษเค้าดำเนินชีวิตยังไง เค้าไม่ได้สนใจชีวิตของใครเลยนะ เค้าสนใจแค่ชีวิตของตัวเอง เค้าก็อยู่ของเค้าได้ เค้าก็มีความสุขได้ในแบบที่เค้าเป็น หลังจากที่คุณแม่ไปเห็นโลกกว้างขึ้น ไปเห็นอะไรที่มันมีความสุข ไปเห็นอะไรที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ  ก็เลยรู้สึกว่าคุณแม่เค้าเปิดใจแล้วครับ

บางทีเราอาจจะคิดเยอะไปว่าพ่อแม่ต้องตี เราก็คิดเยอะไปเหมือนกัน บางทีแค่เราพูดคุยกัน แค่เราเข้าใจกัน หรือเรารู้สึกว่าถ้าเราพร้อมเราแค่พูด มันจบแล้วแค่นี้เอง เราไม่ต้องไปคิดถึงว่าเค้าจะรับได้หรือรับไม่ได้ แค่เราได้พูด แค่เราได้บอกกัน ไม่ว่าจะเวลานี้หรือเวลาไหน ในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้บอกกัน ได้พูดกัน ได้ปรับความเข้าใจกัน แค่นั้นมันคือจบ นนท์รู้สึกว่าคนเรามีเส้นทางที่จะมีความสุขได้ในแบบที่ตัวเองเป็น ไม่ต้องรอรวย ไม่ต้องรอมีชื่อเสียง ไม่ต้องรออะไรเลย คนเราสามารถที่จะมีความสุขได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่ในจักรวาลได้อีกนานขนาดไหน สุดท้ายแล้วคนเราเดินไปโดนรถชนก็ได้ มันเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เพราะงฉะนั้นถ้าเราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร เราไม่ได้ทำให้คนเดือดร้อน เราทำได้เลย ไม่ต้องรออะไร คือบางทีรอแล้วเราย้อนกลับมา 10 ปี 5 ปีที่เรารออยู่ เราจมอยู่กับสิ่งนี้ บางที เราเสียดายเวลามากเลย เรายังทำอะไรได้ตั้งเยอะนะครับ นนท์แค่รู้สึกว่า เราเป็นได้ในสิ่งที่เราอยากเป็น เรามีความสุขในแบบที่เราเป็นได้เลย”

 

 

กำลังใจ จาก นนท์ อินทนนท์

“คุณพ่อคุณแม่เค้าห่วง ในที่นี้คือเค้าห่วงว่าเพศที่สามความรักไม่ได้มั่นคง ไม่ได้มีโซ่ทองคล้องใจ เหมือนสมัยก่อน แต่นนท์แค่รู้สึกว่า สุดท้ายแล้วเลเยอร์ความเป็นเพศของเราในสมัยนี้มันเยอะมาก แค่เรารู้สึกว่าเราสบายใจกับใคร เรามีความสุขกับใคร นนท์อยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่คนอื่น ๆ ว่า ถ้าคุณลูกอยากจะเป็นอะไร สนับสนุนตั้งแต่วันนี้มันดีกว่า วันที่ลูกท้อแท้ เป็นซึมเศร้า รู้สึกกกดดันในชีวิต แล้วก็ต้องมากดดันในที่บ้านอีก ตอนนั้นมันจะลำบาก นนท์แค่รู้สึกว่าสุดท้ายแล้ว มองที่ลูกเป็นลูก ไม่ต้องมองที่ลูกเป็นอะไร ลูกมีหน้าที่ทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่ลูกอยากทำ และอยู่ในพื้นฐานของความเป็นลูก อยากให้คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนลูก ดีกว่าที่จะให้ลูกรู้สึกว่า ไปหาคนนั้นที ไปหาคนโน้นที สุดท้ายแล้วบ้านสำคัญที่สุด นนท์รู้สึกว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นบ้านที่ทำให้ลูกรู้สึกสบายใจ คนอื่น ๆ รอบข้างไม่ได้มีผลอะไรเลย แล้วเค้าจะรักตัวเองมากด้วยซ้ำ” - นนท์ อินทนนท์

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

 

album

0
0.8
1