“ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรก็ตามในชีวิต อยากให้โฟกัสที่ตัวเองก่อน ลองอยู่กับตัวเอง และบอกรักตัวเองเยอะ ๆ ไม่ต้องไปอยู่บนความคาดหวังของใคร เพราะเราเกิดมาตัวคนเดียว และท้ายที่สุดก็จากไปตัวคนเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น โฟกัสความสุข แล้วก็รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของตัวเองเยอะ ๆ นะคะ”

รายการ Club Pride Day กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ เธอเป็นคนที่สวยปานนางฟ้านางสวรรค์ และมีเครื่องการันตีเป็นมงกุฎจากตำแหน่ง Miss Grand Thailand 2022 และ รองอันดับ 1 MISS GRAND INTERNATIONAL 2022 แต่กว่าที่จะมีวันนี้ เธอผ่านชีวิตจริงยิ่งกว่าคลื่นทะเล เคยลำบากจนต้องทำมาแล้วหลากหลายอาชีพ และยังต้องก้าวข้ามดราม่า ฟันฝ่าคำบูลลี่ จนสามารถพิชิตมงกุฎ และเป็นผู้สร้างจุดยืนที่ชัดเจน ว่า LGBTQ+ ก็สามารถเป็นนางงามได้
สีสันแห่งชีวิต และแรงบันดาลใจ ถูกส่งต่อ เมื่อสองดีเจได้เปิดไมค์ต้อนรับ “อิงฟ้า วราหะ” จากเด็กสาววิ่งตามฝัน สู่การเป็นนางงามซุปตาร์ ขวัญใจมหาชน ซึ่งการที่มีวันนี้ได้ ผ่านหลากหลายเรื่องราว ที่ อิงฟ้า ได้นำมาแชร์ และพูดกันกันในรายการ
วัยเด็กของอิงฟ้า กับความลำบากที่เต็มไปด้วยความสุข
ย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็กของ เด็กหญิงอิงฟ้า เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการช่วยคุณพ่อ และ คุณแม่ทำงาน เพราะต้องช่วยแบ่งเบาภาระให้กับครอบครัว และไม่ค่อยจะได้ไปเที่ยวเล่นเหมือนกับเด็กทั่วไป โดย อิงฟ้า ได้เล่าชีวิตวัยเด็กของตัวเองให้ฟังว่า “อิงฟ้า คือชื่อที่คุณพ่อตั้งให้ค่ะ หนูจะมีพี่น้องอีก 2 คน คนโตชื่อ คีตะวัน คนกลางชื่อ ปลายฟ้า ส่วนหนูเป็นคนสุดท้องเลย
ชีวิตวัยเด็กของหนู พอโตมาเนี่ยเราอาจจะมองว่ามันลำบาก แต่จริง ๆ ในตอนนั้นเรารู้สึกว่ามันมีความสุขมาก แบบว่ามันอบอุ่น อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วก็ในตอนเด็กหนูแทบจะไม่ได้ติดเพื่อนเลยค่ะ เพราะพวกเราย้ายบ้านค่อนข้างบ่อย มีครั้งนึงที่เราเคยสนิทกับเพื่อนคนนึงมาก ๆ รักเค้ามากเลย แล้วพอเราต้องแยกจากกัน เรานอยด์ไปนานเลย ร้องไห้เสียใจ ท้ายที่สุดเราก็รู้สึกโอเค ด้วยชีวิตเราพอเลิกเรียน ก็ต้องไปช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงาน ไปขายของ ในวัดบ้าง ที่โน่นนี่นั่นบ้าง ก็เลยทำให้เราเติบโตมากับการติดกับพ่อกับแม่มากกว่าที่จะได้ไปเที่ยวเล่นเหมือนกับเด็กทั่วไป
สำหรับหนูรู้สึกว่า สำหรับเด็กคนนึงมันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเป็นในยุคนี้ หากมีเด็กไปทำอะไรเหมือนที่หนูทำตอนนั้น อาจจะมองว่ามันดูเหนื่อยมากนะ แต่ตอนนั้นหนูไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อยเลย เหมือนอย่างเวลาที่แม่ไปขายไส้กรอกในวัด เราก็จะไปกับเค้า เข็นรถกันไป เราเองก็อยากช่วยแม่ เลยเสนอวิธีว่าเราแบ่งใส่ถุงมั้ย จะได้กลับบ้านเร็ว ๆ แล้วเดี๋ยวหนูอาสาเอง เพราะเราคิดว่าถ้าพ่อกับแม่เราขายน่าจะหมดยาก เพราะเค้าตั้งอยู่กับที่ แล้วรอคนเดินมาซื้อ หนูก็รู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นเราเข้าหาลูกค้าดีมั้ย เราอยากให้พ่อกับแม่กลับบ้านเร็ว ๆ พักผ่อน ไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน เราก็เลยลองใส่ถุงแบ่งเป็นชุด ๆ แล้วก็เดินไปหาลูกค้า ซึ่งมันก็ได้ผล คือมันหมดเร็ว เลยทำให้เราได้กลับบ้านเร็ว แล้วเราก็จำโมเม้นท์นี้ว่า เรามีความสุขกับการที่เราได้ช่วยให้พ่อกับแม่เราได้กลับบ้านเร็ว ได้กลับไปกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ชีวิตวนลูปอยู่แบบนี้ในช่วงวัยเด็กของอิงฟ้าค่ะ”

การร้องเพลง อีกหนึ่งความสุขของเด็กหญิงอิงฟ้า
จากการที่ อิงฟ้า เติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักดนตรี และมีแม่เป็นนักร้อง ทำให้เธอเป็นคนที่มีดนตรีในหัวใจมานับตั้งแต่วัยเด็ก โดย อิงฟ้า ได้เล่าเรื่องราวจุดเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักร้องของตัวเองให้ฟังว่า “ถ้าเป็นรายได้ที่อิงฟ้าสร้างได้ด้วยตัวเอง ก็จะมาจากการร้องเพลงค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วพ่อกับแม่หนูเค้าก็ไม่รู้ว่าหนูร้องเพลงได้ ซึ่งหนูอาศัยแบบครูพักลักจำ เราชอบไปยืนดูเวลาแม่ร้องเพลงตอนเย็น ๆ ก็จะเป็นนักร้องที่ชอบประกวดตามงานวัด แต่ว่าไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพนะคะ เราก็ไปจำแล้วก็ร้องตาม ส่วนพ่อเค้าจะมีอาชีพไปรับเปิดอิเล็กโทนตามงานบวช งานแต่ง งานสำคัญต่าง ๆ แล้วก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วงไม่มีนักร้อง หนูเลยขอพ่อขึ้นไปร้อง เพลงนั้นก็คือ เพลงคุณลำใย อาจจะด้วยคนเห็นว่าเราเป็นเด็ก แล้วเราร้องแล้วก็เต้น คนในงานเค้าก็เลยเอาทิปมาให้หนู หนูจำได้ว่าตอนนั้นเรากำเงินในมือเยอะมาก แล้วก็รู้สึกว่ามันได้เยอะกว่าการที่พ่อกับแม่ขายของอีก หนูก็เลยจำว่าสิ่งนี้แหละที่ทำให้เรามีเงิน แล้วเราสนุกด้วย ก็เลยเป็นอีกหนึ่งอาชีพ ช่วงแรก ๆ ก็ร้องแบบไม่มีค่าตัว พอจะไปร้องกับวงอื่น แม่ก็จะขอให้เราขึ้นไปหน่อย แล้วก็เอาค่าทิปพอ เหมือนแบบใครให้ก็ดี ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร จนเริ่มมีค่าตัวแบบเป็นจริงเป็นจัง
พ่อกับแม่เค้าก็ดีใจค่ะ ที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้เค้าเหนื่อยน้อยลง แล้วก็เห็นว่าเราทำแล้วมีความสุข เห็นเวลาหนูยืนเต้นบนเวที แล้วพวกเค้ามีความสุข เพราะว่าหนูก็จะเห็นว่าทุกครั้งที่เราขึ้นเวที พ่อก็จะสแตนบายข้างเวที คอยดูว่ามีปัญหาอะไรมั้ย มีใครมายุ่งรึเปล่า มันก็เลยเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ทุกครั้งเวลาหนูไปร้องก็ไปทั้งครอบครัว ก็เลยมีความสุขไปด้วย แล้วก็สร้างรายได้ไปด้วย
เรื่องแฟน ในตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าอยากมีเลย เพราะว่าชีวิตมันฟุ้งไปด้วยความอบอุ่นของพ่อ พ่อของหนูเค้าเป็นคนเลี้ยงลูกสาวมาแบบเป็นห่วง ด้วยความที่ตอนวัยรุ่น พ่อเจ้าชู้มาก เค้าก็เลยกลัวว่าเวรกรรมมันจะตกมาถึงลูก และเราเป็นลูกสาวหมดเลย เค้าก็เลยจะให้ความสนิทสนม คอยสอบถามเราตลอด แต่เค้าไม่ได้ห้ามเราเรื่องความรัก มีได้ แต่ต้องปรึกษาพ่อ ต้องพามาเจอ แต่ส่วนใหญ่แล้วทั้งสามคนก็ไม่กล้าแม้แต่จะทำให้เค้าเสียใจเลย เพราะเค้าไว้ใจพวกเรามาก เค้าให้อิสระเรา ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า ยิ่งเค้าไว้ใจเรายิ่งไม่อยากให้ทำให้เค้าเสียใจ”
จากนักร้องเสียงใส สู่หมอทำขวัญสุดสวย
จากการเป็นนักร้องเสียงใส อีกหนึ่งอาชีพที่ทำให้ อิงฟ้า กลายเป็นที่รู้จักและเริ่มมีแฟนๆ คือการเป็น หมอทำขวัญสุดสวย โดย อิงฟ้า ได้เล่าที่มาของการทำอาชีพหมอทำขวัญให้ฟังว่า “ความโชคดีของหนูคือ คุณยายชอบดูลิเก แล้วก็ชอบดูหมอทำขวัญ เวลามีงานวัด หรือใครบวช เราก็ไปดูกับคุณยาย ก็เลยเป็นความตั้งใจวัยเด็กว่าสักวันเราอยากลองทำดู ซึ่งการเป็นหมอทำขวัญนาค แต่มันไม่ได้ง่าย เพราะการที่เราจะต้องไปอยู่หน้างานจริง ๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องการร้องเพลงอย่างเดียว
หนูว่าในสมัยนี้ผู้หญิงเป็นหมอทำขวัญนาคเยอะค่ะ ย้อนกลับไปตอนช่วงเรียน ม.ปลาย หนูมีคุณครูที่เห็นว่าอิงฟ้าร้องเพลงได้ เลยลองพาไปแข่งร้อยแก้วร้อยกรอง หนูก็ไปเป็นตัวแทนของโรงเรียนก็เลยได้ทักษะการขับเสภา และการร้องร้อยแก้วร้อยกรองมา แล้วพอเรียนจบม.ปลาย ก็มีอาจารย์ที่ทำขวัญนาคเห็นว่าเราแหล่ได้ ร้องร้อยแก้วร้อยกรอง ขับเสภาได้ ร้องเพลงได้ เลยชวนให้ลองไปฝึกทำขวัญนาคดู หนูก็เลยไปฝึก
ตอนช่วงแรกที่หนูไปทำ หนูก็ไม่ได้มีค่าตัว แต่สิ่งที่หนูได้ช่วงแรกจากการทำขวัญนาคคือมันไม่ใช่เป็นเรื่องของเงิน แต่ว่าเราได้ไปเห็น เราได้รับคำชมก่อน จากตอนแรกที่หนูกลัวมาก เพราะการทำขวัญนาคส่วนใหญ่จะมีแต่คนมีอายุเข้ามาฟัง ซึ่งเค้าไม่สนด้วยนะคะ ว่าจะสวย จะดังแค่ไหน ความคาดหวังของเค้าคือ พิธีมันดูขลังไหม ร้องเพราะไหม และเค้าจะคาดหวังกับเสียงมาก ซึ่งเราก็กลัวมาก บอกครูว่าหนูเกร็งมากเลย ครูเค้าก็จะบอกว่าทำให้เต็มที่ร้องให้ดีที่สุด พอเราร้องไปจนจบงาน ก็มีคุณยายเดินมาบอกว่า หนูแบบเสียงดีเนอะ สวยด้วย ทำต่อไปลูก หนูเลยได้กำลังใจแล้วเรารู้สึกว่าเราทำได้ แล้วก็ลุยมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีค่าตัว ขยับขยายมาเรื่อย ๆ ค่ะ”

มรสุมลูกใหญ่ในชีวิตของอิงฟ้า
ในตอนที่ อิงฟ้า อายุ 18 ปี ชีวิตของเธอก็ต้องเจอกับมรสุมลูกใหญ่ หลังจากที่ต้องสูญเสียคุณพ่ออันเป็นที่รัก และแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ของเธอ โดยอิงฟ้า ได้เล่าเรื่องราววินาทีที่ต้องสูญเสียคุณพ่อให้ฟังว่า “ตอนนั้นหนูเหมือนไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยค่ะ เพราะเราคิดว่าในบรรดาครอบครัว พ่อน่าจะแข็งแรงที่สุดด้วยซ้ำ พอสัญญาณมันเริ่มมา รู้อีกทีก็คือเรามีเวลาอยู่ด้วยกันอีกแค่ 4 เดือน เพราะพ่อของหนู เค้าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด เป็นคนที่ชอบอดกลั้นเพื่อคนอื่นเสมอ แม้กระทั่งป่วยก็ไม่บอกใคร ครั้งล่าสุดที่เค้าตัดสินใจบอกครอบครัว คือเรารู้แล้วว่าเค้าปวดมาก ๆ ซึ่งจะปวดช่วงบริเวณท้อง ก็เลยพาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล คุณหมอก็แจ้งมาว่าทำไมถึงมาตรวจในตอนนี้ คุณพ่อเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ตอนนั้นทุกคนช็อค ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก ไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เราก็เชื่อเสมอว่าพ่อเราเก่งอยู่แล้ว เพราะว่าตั้งแต่เด็ก เราเห็นเค้าสามารถเป็น แล้วก็ทำอะไรได้หลายอย่าง กับเรื่องแค่นี้ เค้าเอาชนะได้อยู่แล้ว คุณหมอเค้าก็บอกว่า ถ้าพ่อเราอยากไปไหน อยากทำอะไรก็พยายามพาเค้าไปนะ เพระว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้หายคือปาฏิหาริย์ แต่ต้องบอกว่าด้วยระยะที่ 4 มันหายยากมาก ๆ ในช่วงนั้น เวลาพ่ออยากไปไหน พ่ออยากทำอะไร ทุกคนก็แบบสนับสนุนเต็มที่
ความฝันที่คุณพ่ออยากเห็นมาก ๆ คืออยากเห็นหนูเป็นนักร้อง ซึ่งมันก็เหมือนเป็นช่วงแบบประจวบเหมาะค่ะ ในตอนนั้นมีค่ายเพลงติดต่อมา ค่ายบอกว่าเอาคุณพ่อคุณแม่ไปอยู่ด้วยได้นะ หนูเลยคิดว่านี่คือความหวังสุดท้ายแล้ว ก็บอกกับพ่อว่าพ่อต้องหายนะจะได้ไปอยู่ที่นู่นด้วยกัน พ่อเค้าก็สู้ค่ะ แล้วมีช่วงหนึ่งอาการของมะเร็งตับจะมีอาการปวดมาก ๆ ก็ต้องฉีดมอร์ฟีน ซึ่งก่อนหน้านี้คุณพ่อขอฉีดตลอดเพราะว่าเจ็บมาก ๆ แต่พอคุณพ่อได้ยินช่วงที่เราบอกเค้าว่าถ้าพ่อหายเราจะไปอยู่กรุงเทพด้วยกันนะ เพราะว่าหนูจะได้เป็นศิลปินแล้ว จะได้ออกอัลบั้ม ซึ่งหลังจากที่เค้าได้ยินก็มีครั้งนึงที่เค้าปวดมาก ๆ ก็เรียกคุณหมอมาขอฉีดระงับปวด ตอนนั้นคุณหมอก็เลยเรียกแม่แล้วก็หนูไปคุยว่า ถ้าพ่อยังขอฉีดอยู่เรื่อย ๆ ท่านจะไปเร็วกว่า 4 เดือน ซึ่งคุณพ่อแอบได้ยิน แล้วพอได้ยินคุณหมอพูด หลังจากนั้นก็ไม่ขอฉีดอีกเลย พ่อทนเจ็บ อดทนมาก ๆ แล้วหลังจากนั้นก็มีการเรียกไปเซ็นสัญญาค่ะ ก็บอกพ่อว่าวันนี้จะไปเซ็นสัญญานะ แล้วก็เดินทางไปกับคุณแม่ แต่พอกลับมาท่านก็เสียแล้วค่ะ
หลังจากที่คุณพ่อเสีย หนูเคว้งมาก เหมือนเด็กมีปัญหาเลยค่ะ คิดตลอดว่าจะเอายังไงดี แล้วเสาหลักของครอบครัวจะเป็นในทิศทางไหน เพราะพี่คนโตก็แต่งงานมีภาระ ส่วนคนกลางก็ยังเรียน ยังทำงานยังดูแลตัวเองไม่ได้ ก็เหลือแต่หนู ซึ่งก่อนที่คุณพ่อจะจากไป เค้าก็เหมือนสั่งเสียกับเราเอาไว้ว่า เค้าเชื่อว่าเราเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดในบ้าน ฝากคุณแม่ด้วย เพราะตอนช่วงที่เค้ายังวัยรุ่น เค้าก็คือทำให้คุณแม่เสียใจไว้เยอะ เค้าเหมือนจะกลับใจมาเป็นคนดีก็มีเวลาแค่ไม่กี่ปี ก็ฝากให้เราดูแลแม่ทุกอย่าง พ่อเชื่อว่าหนูทำได้
และต้องบอกว่าเส้นทางการเป็นศิลปินของหนูหลังจากนั้นก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจที่จะออกมาแล้วก็เป็นพนักงานออฟฟิศ สู้ชีวิตต่ออีกระลอก”

ความฝันของพ่อ ที่อิงฟ้าอยากสานต่อให้สำเร็จ
หลังจากสูญเสียคุณพ่อ ทำให้อิงฟ้าเศร้าเสียใจ และเครียดจนคิดจะเลิกร้องเพลง แต่คุณแม่ของเธอก็ได้จุดประกายความฝันการเป็นนักร้องให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้อิงฟ้าตัดสินใจกลับมาทำตามความฝันของพ่อ และได้เข้าร่วมรายการแข่งขันร้องเพลงชื่อดัง The Voice Thailand Season 7 โดยเธอได้แสดงทักษะทางด้านการร้องเพลงและการแหล่รับขวัญนาคจนได้เข้าไปอยู่ในทีมของโค้ชโจอี้บอย หลังจากนั้นเธอก็ได้รับโอกาสทางด้านการร้องเพลง การทำขวัญนาค และงานทางด้านวงการบันเทิงมาอย่างต่อเนื่องจากความสามารถของเธอ โดยอิงฟ้า ได้เล่าที่มาของการลุกขึ้นมาทำตามความฝันของคุณพ่อให้สำเร็จไว้ว่า “มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราเริ่มโอเคเราอยู่ได้ แต่ครอบครัวเราจะอยู่ไม่ได้เพราะรายได้มันไม่เพียงพอ หนูก็เลยตัดสินใจปรึกษากับพี่สาวว่าจะเอายังไงดี เพราะว่าเราอยู่คนเดียวไม่ไหวแล้ว จากที่เราเคยอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตามันกลายเป็นเคว้งคว้าง ก็ปรึกษาพี่สาวว่ามีวิธีไหนที่จะช่วยทำให้เรามีอาชีพที่มีรายได้มากพอ เพราะมันอยู่ในจุดที่เงินไม่พอที่จะให้แม่ไปโรงพยาบาล แล้วหนูก็กดดันด้วย เครียดด้วย เราในช่วงประมาณวัยแบบ 20 ปี พี่สาวก็เลยชวนไปทำงานกับพี่ เป็นพนักงานออฟฟิศขายกาแฟ ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็ต้องขอขอบคุณเจ้าของบริษัทที่เอ็นดูเรา เพราะว่าเราก็ยังไม่มีวุฒิปริญญาตรีเลย แต่เค้าเอ็นดูและถูกโฉลกกับเด็กคนนี้ ก็รับไว้สอนงาน หนูเลยตัดสินใจมูฟออนที่จะสู้ต่ออีกระลอกกับการเป็นพนักงานออฟฟิศที่มีเงินเดือน
ในตอนนั้น หนูคิดว่าเส้นทางการเป็นนักร้องของเราคงหยุดไว้เท่านี้แหละ คงจะไปต่อยากแล้ว แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่แม่โทรเข้ามาหา แล้วอยู่ ๆ เค้าก็พูดขึ้นมาว่า จะหยุดเป็นศิลปินแล้วเหรอ มันเป็นความฝันของพ่อเราด้วยนะ และหนูว่ามันคือโชคชะตาด้วยค่ะ เพราะมันประจวบเหมาะกับการออดิชั่น The Voice Thailand Season 7 หนูก็เลยตั้งใจว่า ถ้าเราออดิชั่นผ่าน เราจะลุยต่อกับการร้องเพลงอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ผ่านเราจะหยุด แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมันผ่าน พอเราได้รับอีเมล์มาว่าเราผ่าน ก็เลยโทรหาแม่ว่าโอเคหนูจะลองดูกับมันอีกครั้งนึง
การประกวด The Voice เปลี่ยนชีวิตหนูไปเลยค่ะ อาจจะด้วยลุคที่หนูไปคือเป็นสาวผมสั้น แต่ว่าเหมือนมีพี่ ๆ กรรมการ เค้าให้เราทำขวัญนาคโชว์ คลิปที่เราทำขวัญนาคมันก็เลยถูกแพร่ออกไปเป็นไวรัล ก็เลยทำให้มีคนมาจ้างงานทำขวัญนาค และงานร้องเพลงมากขึ้น กลายเป็นว่าช่วงนั้นหนูลางานบ่อยมาก ก็เลยบอกเจ้าของบริษัทที่ทำอยู่ว่า อี๊หนูเกรงใจมากเลย หนูขอออกไปตามความฝันหนูก่อนได้ไหม แต่หนูจะไม่ลืมอี๊นะ แต่เค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องออก คือแบบไม่ต้องทำงานก็ได้เดี๋ยวให้เงินเดือน เพราะเค้าก็เอ็นดูเรามาก แล้วหน้าเค้าเหมือนคุณย่าของหนูมากหนูก็เลยรักเค้ามาก พอเราเริ่มมีงานมากขึ้น ๆ ทั้งถ่ายแบบด้วย ร้องเพลงด้วย ก็เลยทำให้เรามีเงินในจำนวนหนึ่งที่จะดูแลตัวเองได้ ดูแลครอบครัวได้ค่ะ”

จุดเริ่มต้น บนเส้นทางสายนางงาม
หากย้อนไปเมื่อปี 2020 อิงฟ้า เคยเข้าประกวดเวทีมิสแกรนด์สุพรรณบุรีมาแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ได้ถอนตัว ก่อนกลับมาลงประกวดอีกครั้ง โดยเป็นตัวแทนจังหวัดกรุงเทพมหานครได้ในที่สุด ซึ่ง อิงฟ้า ก็ถูกจับตามองว่าเป็นตัวเต็งอันดับต้น ๆ ของเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 ด้วยความที่มีใบหน้าสวยเป๊ะ รูปร่างดี บวกกับความน่ารัก และเสน่ห์การร้องเพลง ทำให้มีแฟนคลับติดตามเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดมีด้อมคนรักอิงฟ้าขึ้นมา โดย อิงฟ้า ได้เล่าจุดเริ่มต้นบนเส้นทางนางงามให้ฟังว่า “แต่เดิมหนูเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในการเป็นนางงามเลย แล้วภาพจำตั้งแต่เด็ก คือนางงามต้องเพอร์เฟคมาก ๆ แล้วชีวิตเรามันสมบุกสมบัน มันดูผ่านมรสุมมาเยอะมาก ๆ หนูก็เลยรู้สึกว่าเราคงไม่เหมาะหรอก
แต่มีอยู่งานนึง หนูได้ไปให้กำลังใจเพื่อน ซึ่งเป็นเพื่อนที่เราคบกันมาเป็น 10 ปี ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เคยไปเป็นแดนเซอร์ด้วยกัน เคยแบบผ่านมรสุมชีวิตมาด้วยกัน พอหนูไปเชียร์ก็ไปนั่งหน้าเวทีแล้วเราเห็นเค้าอยู่บนเวที แล้วมันรู้สึกว่านี่คือเพื่อนเราเหรอ เราภูมิใจแล้วก็รู้สึกว่าเค้ายังทำได้เลย แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ และเชื่อว่าเราต้องทำได้เหมือนกัน แล้ว ณ ตอนนั้นถ้าจะลองคือต้องลองเลย ถ้าตัดสินใจปีหน้าไม่ได้แล้วเพราะอายุหนูเกิน ก็เลยตัดสินใจจะลงประกวด แล้วเอาเงินเก็บที่เหลือ ส่งตัวเองเรียนเดิน หาชุด แล้วก็อยากจะลองดูซักตั้ง
ที่เลือกประกวดมิสแกรนด์กรุงเทพมหานคร เพราะหนูชอบบริบทบนเวที หนูมีความรู้สึกว่าเวทีนี้เปิดโอกาสให้กับคนกว้างมาก ๆ เราดูจากผู้เข้าประกวดหลาย ๆ ปีที่ไป แล้วเราก็เห็นถึงจริตบางอย่างที่เค้าเรียกว่า ความเอิ๊กอ๊าก ความสนุก แล้วเราชอบความม่วนความจอย และก็ชอบที่เวทีนี้รณรงค์เรื่องของประชาธิปไตย จนเรารู้สึกว่าเวทีนี้แหละตอบโจทย์เรา แล้วหนูเป็นคนที่พอทำไรแล้วหนูทำสุด เต็มที่จะได้ไม่เสียดายทีหลัง ก็เลยทำการบ้านเยอะมาก ๆ ติวตัวเองหนักมาก ๆ
ในตอนที่ตัดสินใจหนูก็คิดว่าจะลงประกวดของจังหวัดอะไรดี แล้วก็คิดว่าก้าวแรก ถ้าเราชนะกรุงเทพมหานครได้ ไปเวทีใหญ่เราไม่ต้องกลัวเลย เหมือนเราลองพิสูจน์ตัวเองไปเลย ก็เลยเลือกกรุงเทพมหานคร พอเลือกแล้วก็เลยทำการบ้านว่ากรุงเทพมหานคร เค้าต้องการคนแบบไหน แล้วคำถามที่เค้าจะถามมันต้องเป็นประมาณไหน ก็เลยทำให้เราสามารถที่จะผ่านไปได้ในรอบตอบคำถาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนแรกหนูก็ยังเดินไม่ได้แบบเพอร์เฟค เพอร์ฟอร์แมนซ์ยังสู้เพื่อน ๆ ไม่ได้ แต่ก็ต้องขอบคุณ PD ที่เค้าเลือกเพราะเค้าเห็นอะไรบางอย่างในความเป็นไฟท์เตอร์ของเรา”

ตำแหน่ง ที่มาพร้อมกับดราม่า และคำบูลลี่
ตลอดการประกวด อิงฟ้า ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ทุ่มเททุกกิจกรรม โดดเด่นทุกรอบการประกวด จนในที่สุดก็สามารถคว้าตำแหน่ง Miss Grand Thailand 2022 และ รองอันดับ 1 MISS GRAND INTERNATIONAL 2022 มาครองได้สำเร็จ แต่กว่าจะประสบความสำเร็จในวันนี้ เธอต้องผ่านหลายดราม่า ฟันฝ่าหลายคำบูลลี่ ซึ่ง อิงฟ้า ได้แชร์เรื่องนี้ให้ฟังว่า “หนูไม่รู้มาก่อนว่าวงการนางงามมันจะโหดร้ายขนาดนี้ มันมีทั้งความคาดหวังแล้วบางทีจะมีความเกลียดชังด้วย ต้องพูดว่าการเชียร์นางงามเค้าจะมีกลุ่มหลากหลายประเภท บางทีเค้าเชียร์คนนี้มันก็จะมีการกดอีกคนหนึ่งด้วยการบูลลี่ เปรียบเทียบ หรือการสาดคำพูดที่มันแบบทำร้ายจิตใจมาก ๆ เพราะว่าส่วนใหญ่เค้าจะไม่ได้ใช้แอคเคาท์จริงในการแสดงตัว คนเค้าก็เลยรู้สึกว่าฉันจะพูดอะไรก็ได้ ก็เลยจะมีคำพูดที่บางทีก็รุนแรงจนเรารับไม่ได้ จนเข้ากองใหญ่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่หนูโดนดราม่าเยอะกว่าเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งหน้า การแต่งตัว การทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ คือเค้าจะมีการเปรียบเทียบที่ทำให้เราดูด้อยให้ได้ จนหนูบอกกับพี่เลี้ยงให้มาช่วยหนูเก็บกระเป๋าหน่อย หนูอยากกลับบ้านแล้ว หนูไม่ไหว
ต้องบอกว่าเป็นการประกวดที่หนูร้องไห้คนเดียวบ่อยมาก เพราะมันไม่รู้ว่าจะไประบายที่ไหน แล้วหนูมีรูมเมท ก็เลยต้องคอยเปิดฝักบัวเพื่อที่จะกลบเสียงร้องไห้เรา เหมือนทำเอ็มวีแล้วก็นั่งร้องไห้ คือเราโดนเยอะจริง ๆ แต่ไม่รู้จะไประบายกับใคร บางทีเราไม่อยากเห็น แต่มันก็จะมีคนแชร์มาให้เห็นตลอด แม้ว่าบางวันเรารู้สึกว่าวันนี้เราทำเต็มที่ที่สุดแล้วนะ มันสวยแล้วนะ แต่ก็ยังมีคนบอกว่ามันยังไม่สวย ก็เลยรู้สึกว่าทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ชนะใจแฟนนางงามซักที แต่ท้ายที่สุดก็คิดว่าในเมื่อเราลงทุนทุกอย่างกับมันไปแล้ว ไปให้สุดแล้วกัน ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ก็เคารพการตัดสินใจของเจ้าของเวทีแล้วกัน
กับคำว่าสวยไม่สมมง หนูก็เจอมาตั้งแต่ประกวดมิสแกรนด์กรุงเทพมหานคร จนมาถึงมิสแกรนด์ไทยแลนด์ พอเราเจอแบบนี้บ่อย ๆ กลายเป็นว่าจากคนที่ยิ้มง่ายหัวเราะง่าย หนูกลายเป็นจะยิ้มและหัวเราะเฉพาะหน้ากล้อง แล้วในชีวิตจริงหนูมันดิ่งลงไปเลย จากคนที่ไม่เคยโดนด่าขนาดนี้ มาวันนึงเรามาอยู่จุดนี้แล้วกลายเป็นว่าเราต้องรับให้ได้กับสิ่งที่เค้าพูด พอก้าวข้ามผ่านเวลามา ตอนที่ได้ตำแหน่งมิสแกรนด์ไทยแลนด์ หนูเลือกที่จะโพสต์ขอบคุณ พอเสร็จหนูปิดเครื่องเลยแล้วก็นอนเลย พอเช้ามาหนูก็คือรู้เลยว่าถ้าโพสต์มาประมาณนี้คือโดนด่าไม่อ่านดีกว่า เพราะหนูพยายามที่จะหลีกเลี่ยง
จนมา MISS GRAND INTERNATIONAL ก็โดนเรื่องของภาษา ซึ่งหนูทำเต็มที่ที่สุดในการทำการบ้าน หรือในพาร์ทของตัวเอง บางทีอย่างที่บอกเราไม่ใช่เจ้าของภาษามันมีถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่เราก็พยายามทำด้วยความมั่นใจ ซึ่งในบางทีความหมายมันเปลี่ยน พอความหมายมันเปลี่ยนปุ๊บหนูก็โดนดราม่าจากคนไทยบ้าง คนเอเชียบ้าง ที่มันเยอะมาก ๆ จนเราแทบจะรับไม่ไหว พอรับไม่ไหวมันกลายเป็นอาฟเตอร์ช็อคจนหนูเบลอไปเลย เบลอจนถึงขั้นที่ ตอนที่ได้ตำแหน่งรอง First Runner up หนูก็ต้องไปขอบคุณสปอนเซอร์ ตอนนั้นหนูเหมือนคนที่ล่องลอย จนทีมงานบอกว่าฟ้าหลุดไปแล้ว ซึ่งหนูก็ไม่รู้ตัวนะว่าพูดไม่รู้เรื่อง หรือว่าเบลอ มันเหมือนหลายเรื่องมันรุมเร้าจนทำให้เราสมองรับไม่ไหวแล้วมันก็หลุดไปเลย แต่ก็ดีใจที่ตัวเองผ่านมาได้ แต่กว่าจะผ่านมาได้ ก็มีการพูดคุยกับคุณหมอ รับยามาปรับเคมีในสมองให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยค่ะ
มีคำพูดที่หนูจะพูดกับแฟนคลับบ่อยมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แฟนคลับหนูมีปัญหาชีวิตบ้าง เหนื่อยบ้าง เราจะบอกเค้าเสมอ และเราใช้กับชีวิตตัวเองซึ่งใช้ได้จริงนะ กับคำว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ซึ่งมันเป็นคำที่พ่อหนูเค้าจะชอบสอนตลอด ไม่ว่าหนูจะเจอเรื่องอะไรก็ตามในชีวิต คือทุกข์หรือสุข มันจะอยู่กับเราได้ไม่นาน มันจะผ่านไปเหมือนกับเวลา ถ้าเมื่อไหร่ที่หนูทุกข์ หนูก็จะคิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีเรื่องใหม่มา พยายามไม่ยึดติดกับมัน ปล่อยแล้วกันเดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

กระบอกเสียงที่ชัดเจนว่านางงามก็เป็น LGBTQ+ ได้
เรียกว่าอิงฟ้าเป็นนางงามที่มีแพชชั่นชัดเจน และตั้งใจที่จะเป็นกระบอกเสียงให้กับ LGBTQ+ มาโดยตลอด ซึ่งในตอนประกวดเธอก็ได้ออกมายอมรับว่าตนเองเป็นกลุ่ม LGBTQ+ รักได้ไม่จำกัดเพศ นอกจากนั้นยังมีการโพสต์ข้อความเป็นกระบอกเสียงให้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม อีกด้วย โดย อิงฟ้า ได้เล่ามุมมองในเรื่องนี้ให้ฟังว่า “ตอนนั้นน่าจะเป็นในยุคบุกเบิก ตอนแรกหนูคิดว่าการประกวดนางงาม คนอื่นต้องมีโครงการต่าง ๆ นา ๆ เราจะเอาอะไรที่มันสามารถที่จะทำได้จริง แล้วก็เข้าถึงหลาย ๆ กลุ่มคน ก็เลยตัดสินใจว่าเราจะเป็นกระบอกเสียงให้ LGBTQ+ แล้วกัน
ในช่วงแรก ๆ ก็จะโดนหนักอยู่เหมือนกัน ว่านางงามอะไรจะมาพูดเรื่องคบผู้หญิง จะมามีคู่จิ้น แต่ก็ผ่านมันมาได้ จน ณ ตอนนี้เราก็รู้สึกเราภูมิใจ เพราะตอนที่เราไปเดิน Pride Month เราก็เห็นว่าปีแรก และปีเนี้ยมันก็ต่างกันมาก ซึ่งการรวมตัวของทุก ๆ คน มันทำให้เราเห็นว่าเค้าภูมิใจในสิ่งที่เค้าเป็น และฉันไม่ต้องมานั่งซ่อน แล้วเราจะบอกทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในเพศสภาพอะไร ทุกอย่างมันคือปกติ และเท่าเทียมกัน
เมื่อก่อนหนูก็เคยคิดว่าผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายเสมอ หนูเคยคิดว่าผู้หญิงจะมาคบผู้หญิงด้วยกัน มันจะมีความมั่นคงได้ยังไง ในเมื่อมันต้องคู่กันหญิงชายเท่านั้น กลัวว่าวันนึงเรามีแฟนเป็นผู้หญิง หรือว่าวันนึงเรามีแฟนเป็นผู้ชาย ถ้าวันนึงเค้าเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชายเราก็เสียใจสิ เคยคิดอยู่ในวังวนนี้ตั้งแต่เด็ก จนเราก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ตัวเองได้คบกับเพศอื่น แล้วก็คบเพศชาย มีแฟนเป็นผู้ชายมาตลอด จนพอเราเริ่มโตปัญหาชีวิตมันเยอะมาก พอเรามีความรัก เราจะมองหาความสบายใจ แต่หนูเคยเจอความรักที่วันนี้เหนื่อยแล้ว ยังต้องมานั่งระแวงอีกว่าจะเจออะไรอีก ซึ่งที่ผ่านมามันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ในเรื่องของความรัก
จนวันหนึ่งเรามาเปิดใจมีแฟนเป็นทอม แล้วมันก็สบายใจ มีความเข้าใจให้กัน แล้วก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันก็ทำให้เราหายเหนื่อยได้ จนเปลี่ยนใจมามีแฟนเป็นผู้ชาย มีแฟนเป็นผู้หญิง มีแฟนเป็นทอม เรียกได้ว่าหนูผ่านมาแล้วทุกเพศ แล้วก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า ความรักของเราหลังจากนี้ เรามองเห็นถึงความสบายใจมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ขอแค่เรามีความเข้าใจกัน แล้วก็ไม่ทำให้เราเหนื่อยกว่าเดิมในชีวิตประจำวันก็พอ
แล้วต้องบอกว่าหนูโชคดีตรงที่ว่า ในความที่เราดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เราดูแลตัวเองได้ แล้วคุณแม่เค้าก็จะรู้ว่าหนูไม่ต้องให้ใครมานั่งเลี้ยง ไม่ต้องมาดูแล หนูสามารถดูแลตัวเองได้ แม่ค้าก็เลยรู้สึกว่า ไม่ว่าเราจะมีแฟนเป็นเพศอะไร แม่โอเคเลือกเลย ตัดสินใจเอาเอง อะไรที่ทำให้หนูเหนื่อยน้อยลง หรือว่ามีความสุข มีแฮปปี้ในชีวิต ก็คือรักใครแม่รักด้วย ก็จะเป็นแบบนั้น”

เปิดหัวใจ ส่องความรักของอิงฟ้า
นอกจากเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมรสุมมาหลายครั้ง เรื่องราวความรักก็เจอปัญหามาหลากหลายรูปแบบเหมือนกัน นอกจากนี้ อิงฟ้า ยังได้เผยสเปกที่ชอบให้ฟังด้วยว่า “หนูเป็นคนที่พอรักใครแล้วหนูรักมาก รักใครแล้วหนูให้หัวใจ แต่ถ้ามันสุดเมื่อไหร่ พอก็คือพอ และต้องสุดจริง ๆ ถึงจะดีดตัวเองออกมาได้ แต่ถ้ายังรู้สึกแบบว่าโอเคฉันยังทนได้ คิดว่าเค้าคงเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเราได้ หนูก็จะเป็นคนที่ชอบแบบหลอกตัวเองเพราะว่าเป็นคนที่บูชาความรักมาก อาจจะด้วยความที่เราเคยอยู่ครอบครัวที่อบอุ่นมาก ๆ มาวันนึงที่เราต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว พอเรามีความรัก เราก็เลยรู้สึกว่า เราต้องให้ไปก่อน แล้วถ้าจะทำให้มันลดลงหรือเปล่า ขึ้นอยู่ที่ ขึ้นอยู่ที่เค้าเลยค่ะ
ความรักที่ผ่านมา หลัก ๆ ที่หนูโดนก็จะเป็นเรื่องความไว้ใจ เมื่อไหร่ที่เราไว้ใจคนนี้ปุ๊บโดนตลอดเลย อาจจะมีการนอกใจบ้าง หรือการแอบคุยกับคนอื่นบ้างอะไรเงี้ย ซึ่งส่วนมากเราก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ด้วยลางสังหรณ์ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
เรื่องสเปกถ้ายังไม่เป็นแฟน หนูจะชอบคนที่มีเสน่ห์ ซึ่งคนมีเสน่ห์เราต้องได้เจอตัวจริง เพราะฉะนั้นหนูก็จะไม่ได้อินกับโลกโซเชียลมากในการที่จะทักจีบกัน หนูจะไม่ค่อยได้ตอบ หรือว่าคุยแชทซักเท่าไหร่ จะชอบคนที่เราได้เจอที่ทำงาน หรือได้เจอเวลาที่ไปเที่ยว หรือออกไปข้างนอก พอเราเห็นคนนี้มีเสน่ห์แล้วจะอยากคุยอยากอยู่ด้วย แต่ถ้าเป็นรูปลักษณ์ภายนอกก็จะชอบคนฟันสวย เพราะว่า First impression เวลาพูดกับใคร หนูจะชอบมองฟันเค้า หนูมีความรู้สึกว่าคนฟันสวยเวลาพูดเวลายิ้มมันมีเสน่ห์ และจะชอบคนเสมอต้นเสมอปลาย แรก ๆ เป็นยังไง ณ ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม แพ้คนที่ใส่ใจ เสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็จริงใจ ไม่โกหก
ความรักที่นานที่สุดหนูก็ว่าน่าจะ 4 ปี ซึ่งเป็น 4 ปีนที่สะบักสะบอมพอสมควร เป็นแบบรัก ๆ เลิก ๆ พอเลิกกัน หนูทำใจไม่นาน เพราะหนูเป็นคนที่ ถ้าสุดแล้วนี่คือสัญญาณบ่งบอกว่า ฉันทำใจได้แล้ว ก็คือพอ ถ้าเมื่อไหร่ที่ปล่อยมือแล้วต่อให้มาง้อแทบตายยังไงก็คือไม่เอา บางทีก็จะมีโอกาสให้ได้แก้ตัว อาจจะ 1-2-3 ครั้ง แต่ถ้าสมมติว่าเลย 3 ครั้ง แล้วทำผิดซ้ำ ๆ เดิม ๆ ก็คือหมดสิทธิ์แล้วแค่นั้นเอง”

#อิงล็อต คู่จิ้นสุดคิ้วท์ จากวงการนางงาม
ในระหว่างการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 ได้มีคู่จิ้น อิงฟ้า-ชาล็อต เกิดขึ้น และด้วยความน่ารักของโมเม้นท์ที่ทั้งคู่ได้ทำงานร่วมกัน ทำให้มีแฟนนางงามที่ชื่นชอบทั้งคู่ ส่งผลให้แฮชแท็ก #อิงล็อต มักจะติดเทรนด์ในโลกโซเชียลอยู่ตลอด โดย อิงฟ้า ได้เล่าเรื่องราวของแฮชแท็ก #อิงล็อต ให้ฟังว่า “มันเริ่มจากการขึ้นไลฟ์สดผ่านทางอินสตราแกรมก่อนที่จะเข้ากอง คือเราก็จะยึดในเรื่องกลุ่มของ LGBTQ+ อยู่แล้ว ก็เลยมีการยิงคำถามกับน้อง ๆ ทุกคนว่า หนูอยู่ในกลุ่มนี้รึเปล่า เราก็เลยมีได้ขึ้นไลฟ์กับน้องชาล็อต ก็เลยถามว่าเคยคบผู้หญิงรึป่าว น้องเค้าบอกว่าไม่เคย เราก็เลยพูดว่างั้นลองสิ ก็กลายเป็นว่ามีการแซวเล่นกันไปมา แล้วแฟนคลับก็ชอบโมเม้นท์นั้น ก็เลยเกินแฮชแท็ก #อิงล็อต ขึ้นมา ก็คือ อิงฟ้า แล้วก็ ชาล็อต นั่นเองค่ะ
พูดตรง ๆ จริง ๆ หนูชอบเค้ามาก คือจะจีบเลยแหละ เคยปรึกษาเพื่อนว่ายังไงดีนะ เค้าน่ารักดีนะ ซึ่งช่วงนั้นยังไม่ค่อยได้มีการเจอตัวจริงกัน หรือได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ อะไรอย่างเงี้ย พอเข้ากองไปก็ได้มีช่วงเวลาที่เราได้เป็นรูมเมทกัน แล้วก็ได้อยู่ด้วยกันบ่อย จน ณ ตอนนี้ 1 ปี ที่ทำงานด้วยกันมา เราได้รู้จักและได้เห็นอะไรกันหลายอย่าง ซึ่งมันมีเหตุการณ์อะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น แล้วก็เราจะมีการพูดคุยกันเสมอ ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่ได้ไปต่างประเทศ ได้คุยกันมากขึ้น ได้เห็นถึงปัญหาอะไรหลาย ๆ อย่าง มีการเปิดใจคุยกันว่า สิ่งไหนที่จะทำให้เราได้หาจุดตรงกลางและหนูไม่ได้มีน้องสาวด้วย พอเราเห็นเค้าแล้วเราก็รู้สึกเอ็นดูเค้า แบบถ้ามันอยู่ในพาร์ทของการเป็นพี่สาวน้องสาวมันสบายใจกว่าแค่นั้นเอง ก็เลยทำให้เราเป็นคู่จิ้นที่บางทีไม่ได้ เซอร์วิสแฟนคลับ มีบางคนที่เลือกจะเดินจากไปเพราะรู้สึกว่าคู่อิงล็อตปลอมรึเปล่า
ซึ่งต้องบอกว่า หนูสองคนมันอยู่ในพาร์ทที่มันเลยจุดนั้นมาแล้ว เป็นคู่จิ้นที่มันไม่ค่อยเหมือนใคร เพราะบางทีเราก็ไม่สามารถที่จะตามใจแฟนคลับได้ทุกเรื่อง แต่เราจะบอกแฟนคลับเสมอว่า ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ ก็ให้อยู่กับความเป็นจริงดีกว่า หมายถึงว่ารักที่เราเป็นเราดีกว่า ไม่อยากให้คนมาคาดหวังว่าเราต้องเป็นแฟนกันนะ ต้องคบกันนะ ซึ่งบางทีเราไม่สามารถจะมานั่งอธิบายให้เข้าใจในโมเม้นท์ของการเกิดขึ้น เราก็จะพยายามบอกเค้าว่า ในการดูอิงล็อต ถ้ามีความสุขให้อยู่ให้ดูเลยเพราะเราจะดีใจมาก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่มีความสุข แล้วเค้าเลือกที่จะเดินจากไป หรือเลิกติดตามพวกเราก็ไม่เป็นไร แต่ก็ดีใจที่ครั้งนึงเคยได้รู้จักหรือได้มาติดตามเรา
ตอนหลัง ๆ ที่ได้คุยกับชาล็อต เหมือนน้องเค้าก็บอกว่ายพี่ฟ้าหนู หนูรู้สึกนะในบางครั้ง ซึ่งเราก็ต้องคุยกัน ว่ามันจะเป็นความรู้สึกว่าอยากลองแล้วต้องได้ลองไม่ได้แล้ว เพราะด้วยความที่มันไม่ใช่ First Impression แบบที่ได้เจอกันตอนแรก ในตอนแรกคือเราไม่ได้เรียนรู้อุปนิสัยใจคอกันว่าการอยู่ด้วยกันเป็นยังไง แต่พอมันผ่านมา 1 ปีที่อยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เราก็รู้สึกว่ามันอยากลอง เพราะอย่างที่หนูบอกว่า หนูเป็นคนรักใคร รักมาก หนูรักมากจริง ๆ หนูกลัวว่าวันนึงถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวังกันไว้ หนูกลัวว่าหนูจะทำงานกับน้องไม่ได้ หนูกลัวว่าถ้าเรารักเค้ามาก เราจะกลับมามองเค้าเป็นน้องไม่ได้ เรารู้ว่าน้องเค้าก็ยังต้องมีเส้นทางในการที่จะต้องไปในทิศทางของเค้า ซึ่งเราจะมีแต่ความหวังดีให้กันเสมอ เราก็จะมองเค้าเติบโต แล้วก็คอยเป็นกำลังใจ เป็นที่ปรึกษาอยู่ตรงนี้เสมอ มันเป็นความรักที่แบบว่า มันไม่ควรที่จะสูญเสียไป มันควรจะอยู่แบบนี้ ซึ่งมันชัวร์กว่าแน่ ๆ 100%
สำหรับแฟนคลับอิงล็อต อยากบอกว่า หนู และ ชาล็อต รักแฟนคลับอยู่แล้ว เพราะเราเริ่มจากการเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่เคยมีชื่อเสียงมาก่อน พอวันนึงมาอยู่ตรงนี้ เราพยายามที่จะหาจุดตรงกลางที่เราก็ให้ใจเค้าเหมือนกัน บางครั้งเราอยากให้เค้าให้ใจเรากลับมา เราไม่เคยคาดหวังให้ใครจะต้องอยู่กับเรานะ เพราะเราจะไม่บังคับ อยากให้รักที่พวกเราเป็นพวกเรา แล้วก็มันยังเป็นเส้นทางที่มันยังเด็กกันมาก ๆ ทุกคนยังจะต้องเติบโตไปในเส้นทางที่มีอนาคตที่ได้แพลนกันไว้ หนูจะพูดบ่อยมากก็คืออิงล็อตไม่มีสถานะ เลยเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กันและกันเสมอ แล้วมันก็จะไม่มีวันหายไปด้วย มันก็จะเป็นแบบเนี้ยตลอดไป ต่อให้วันนึงหนูอายุ 30-40-50 หนูก็ยังอยู่ตรงนี้เสมอ แล้วก็อยากจะบอกว่ารักแฟนคลับทุก ๆ คน ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่เรารู้สึกว่าเราไม่รัก ก็จะบอกทุกคนว่าแบบนี่มันคือชีวิตจริง ถ้าคุณมีความสุขกับการได้ติดตาม หรือได้รักใครสักคนหนึ่งคุณจะไม่คาดหวังอะไรเลย”
พลังของใจ แบบอิงฟ้า
“วันเวลาผ่านไปเร็วเสมอ เหมือนกับอย่างที่เวลาหนูมองตัวเองย้อนกลับไปในเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ถ้ามีช่วงนึงที่เราตัดสินใจแบบคิดสั้น ถ้าวันนั้นหนูตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองลงก็คงไม่มี อิงฟ้ามหาชน ที่ทุกคนติดตามอยู่ตอนนี้ ดังนั้นไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรก็ตามในชีวิต มันอาจจะเป็นไปตามความคาดหวังที่เราอยากให้เป็น หรือไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังที่คนอื่นอยากให้เป็น อยากให้โฟกัสที่ตัวเองก่อน ลองอยู่กับตัวเอง บอกรักตัวเองเยอะ ๆ อย่างหนูเอง ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ โดยการที่อาบน้ำเสร็จก็คือมองกระจก แล้วก็บอกกับตัวเองเสมอว่า เก่งมาก ๆ แล้วกับการใช้ชีวิตมาตลอด กี่ปี ๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่าเราเจอเรื่องอะไรก็ตาม ไม่เหลือใครไม่เป็นไร แต่ว่ายังเหลือตัวเรา ฉันรักเธอมากนะ มันเป็นวิธีที่อย่างน้อยมันจะช่วยฮีลเราได้จริง ๆ ไม่ต้องไปอยู่บนความคาดหวังของใคร อยู่บนความสุขของตัวเองดีกว่า เพราะเราเกิดมาเราก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ท้ายที่สุดก็จากไปตัวคนเดียว เพราะฉะนั้นโฟกัสความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของตัวเองเยอะ ๆ ค่ะ” - อิงฟ้า วราหะ

ติดตามรายการย้อนหลัง
