เรียนรู้มุมมองชีวิตของ “เจินเจิน บุญสูงเนิน” ตัวแม่ของชีวิตที่ต้องสู้จึงจะชนะ

Club Pride Day Recap

เรียนรู้มุมมองชีวิตของ “เจินเจิน บุญสูงเนิน” ตัวแม่ของชีวิตที่ต้องสู้จึงจะชนะ

03 ก.ค. 2023

รายการ Club Pride Day ต้อนรับ Pride Month ด้วยแขกรับเชิญสุดพิเศษ เธอคือ DEVA ระดับตำนาน ที่น้ำเสียงมีเอกลักษณ์ และสามารถร้องเพลงได้ร่วม 10 ภาษา ที่สำคัญเธอคนนี้ คือนักร้องที่กล้าเปิดเผยตัวเองในเรื่องเพศต่อสาธารณชน จนกลายเป็นนักร้องข้ามเพศคนแรกของประเทศไทย

มุมมองชีวิต และเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจ ถูกส่งต่อ เมื่อสองดีเจของรายการ “ดีเจพี่อ้อย” ละ “ดีเจก็อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับ “เจินเจิน บุญสูงเนิน” นักร้องเจ้าของบทเพลงที่โด่งดังมาก ๆ ในช่วงยุค 90 คือเพลง “ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง” ซึ่งคนในยุคนี้อาจจะรู้จักเธอในนามคุณป้าของนักร้องวัยรุ่นชื่อดังอย่าง The TOYS (ธันวา บุญสูงเนิน) และมีศักดิ์เป็นพี่แท้ ๆ ของนักร้องหญิง นิตยา บุญสูงเนิน  โดยเส้นทางของเธอเริ่มจากการเป็นนักร้องตามห้องอาหาร โรงแรม และไนท์คลับต่าง ๆ จนทำให้เริ่มมีคนพูดถึงและรู้จักกันในวงกว้าง และได้มีอัลบั้มเป็นของตัวเองในที่สุด ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ เธอผ่านหลากหลายประสบการณ์ ฝ่าด่านทดสอบของชีวิตมาบ่อยครั้ง ซึ่งเธอได้นำมาแชร์ในรายการ

 

 

“เจินเจิน บุญสูงเนิน” ชื่อนี้ที่ฉันภูมิใจ

“เจินเจิน” เป็นชื่อที่เพราะติดหู จนทำให้คนที่ได้ยินชื่อนี้หลาย ๆ คนอยากรู้ที่มาของชื่อ เพราะฟังดูแล้วเหมือนเป็นชื่อภาษาจีน แต่นามสกุลกลับเป็นนามสกุลที่มาจากชื่อของอำเภอสูงเนิน ในจังหวัดนครราชสีมา โดย เจินเจิน ได้เล่าที่มาของชื่อสุดไพเราะของเธอให้ฟังว่า “สมัยก่อน พี่ จะมีฟันหน้าเป็นฟันกระต่าย 2 ซี่ เพื่อนๆ ในกลุ่มก็จะเรียกว่า “เจิ๋น” มาจากคำว่า “เหยิน” พอมาเป็นนักร้องอยู่เชียงใหม่ เวลาแขกเรียก ก็จะกวักมือเรียก “เจิ๋นเจิ๋น” แล้วมันเพี้ยนเลยกลายเป็น เจินเจิน และในช่วงนั้นดาราฮ่องกงชื่อ เจินเจิน กำลังดัง เธอเป็นนางเอกดังไข่มุกเอเซีย มาแสดงหนังไทยด้วย ซึ่งดังมาก และสวยมากด้วย

ส่วนนามสกุลฟังดูรู้เลยว่าเป็นคนโคราชแน่นอน เพราะคนโคราชทุกอำเภอ อย่างเช่นอำเภอสูงเนิน ใครเกิดตระกูลซึ่งอยู่ในอำเภอนี้ นามสกุลจะลงท้ายด้วยสูงเนิน ดีสูงเนิน บุญสูงเนิน ใจสูงเนิน เพชรสูงเนิน มาจากชื่ออำเภอ เหมือนคนจีนที่เวลามาจากตำบลเดียวกัน นามสกุลเดียวกันหมดเลย แซ่เดียวกันหมดเลยนั่นเองค่ะ”

 

 

ชีวิตวัยเด็กที่แสนลำบาก แต่กลับไม่เคยมองว่าลำบาก

เรื่องราวชีวิตที่ต้องสู้ของเจินเจิน เริ่มตั้งแต่สมัยที่เธอเป็นเด็ก เพราะเธอกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก ต้องอาศัยอยู่กับบิดาที่ประกอบอาชีพทหาร โดยในตอนนั้นฐานะของครอบครัวยากจนมาก ไม่มีกระทั่งรองเท้าสวมไปโรงเรียน ซึ่งเจินเจิน ได้เล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็กให้เราฟังว่า “วัยเด็ก ก็ปกติของเด็กบ้านนอก เราเป็นคนเรียบร้อย ตั้งใจเรียน กลับมาถึงบ้านก็ดูแลทุกอย่างที่ทำได้  สอนน้องเรียนหนังสือ

ชีวิตในตอนนั้นมันก็ลำบาก แต่เมื่อเราย้อนกลับไปมองมันเหมือนในตอนนั้นคนบริเวณบ้านเราก็เป็นอย่างนั้นหมดเลย เราก็เลยไม่เห็นถึงความแตกแยก อย่างเช่นไปโรงเรียนไม่มีรองเท้าใส่ แต่ข้างบ้านก็ไม่ใส่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งกินข้าวกลางวันได้ไข่ต้มครึ่งลูกทุกวัน หรือปลาทูครึ่งตัวทุกวัน ซึ่งข้างบ้านก็เป็นอย่างงั้นเหมือนกัน เราก็เลยไม่เห็นว่าเป็นความยากลำบาก

สภาพบ้านตอนนั้นมีแค่ 3 ฝา เป็นแบบมุงจาก หลังคาก็มุงจาก เวลาฝนตกก็ต้องย้ายที่กันไปหลบตรงที่มันไม่รั่ว และขนาดต้องไปหาของกินที่กองขยะ ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบาก จนตอนที่คุณพ่อเป็นทหาร ต้องเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร ชีวิตก็เริ่มดีขึ้น

ในเรื่องรสนิยมทางเพศ ตั้งแต่จำความได้ก็คิดว่าเราอยากเป็นผู้หญิง เพราะว่าเราเป็นคนที่ชอบอยู่ใกล้ๆ กับผู้หญิง เล่นอะไรก็เล่นกับผู้หญิง หนังจีนเป็นอะไรที่แบบชอบมาก ก็จะเอาผ้าเช็ดตัวมาพันหัว ทำเป็นผมยาว แล้วไม่ได้ผูกผมอย่างเดียว เอาไม้มาแล้วก็ฟันกับน้อง แล้วเราเป็นคนที่ชอบผู้หญิงเก่ง หนังจีนเรื่องไหนที่นางเอกเก่งก็อยากดู ก็เล่นฟันดาบกัน เฮ้ เฮ้ สุดฤทธิ์สุดเดชเลยสมัยนั้น ก็เลยร้องเพลงได้เพราะ เฮ้ ๆ นี่แหล่ะ

พอโต แล้วเราอยู่ในค่ายทหาร ตื่นเช้าขึ้นมาก็จะมีทหารออกมาวิ่ง 1 2 3 4  แล้วก็ได้ยินทุกวัน แต่เราก็ไม่อิน เราก็ยังอยากจะเป็นผู้หญิง จนกระทั่งตอนเรียนหนังสือ มศ.3 พ่อก็พยายามจะดันเราให้กลับมาอยู่ในทางตรง ให้กลับมาเป็นผู้ชาย เลยไปสมัครสอบเตรียมทหารให้เราโดยที่ไม่บอก ตอนไปสอบก็ไปเพราะไม่อยากให้พ่อเสียใจ แต่ไม่ได้กาอะไรเลย ไม่อ่านข้อสอบ เราไม่ได้เขียนอะไรเลย ตอนที่ผลออกมาพ่อก็ไม่ว่าอะไร คือเค้าก็พยายามแล้ว เค้าเห็นว่าเราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระให้กับครอบครัว แล้วก็ไม่เคยทำอะไรที่เสื่อมเสียเลย เค้าก็เลยสบายใจ”

 

 

จุดเริ่มต้นในการเป็นนักร้องของ เจินเจิน

ชีวิตช่วงมหาวิทยาลัย กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับ เจินเจิน เพราะทำให้ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเอง โดยเธอได้ทำสิ่งที่รักและต้องการได้อย่างเต็มที่ ซึ่ง เจินเจิน ได้เล่าให้ฟังว่า “ตอนนั้นเราต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วทางบ้านบอกว่า ถ้าอยากจะเรียนเธอต้องหาเงินเรียนเอง เพราะว่าพ่อยศแค่สิบเอก ไม่มีเงินพอที่จะส่งให้เรียน ด้วยความอยากเรียนมาก ๆ และตอนนั้นไม่รู้จะทำอะไร เพราะทำได้แค่รีดผ้า กับพับถุงกระดาษขาย มีแค่ 2 อย่างที่เคยทำ ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี ตอนนั้นแต่งชาย เพิ่งมาจากบ้านนอกไม่รู้เรื่องการแต่งหญิงเลย ผมก็สั้น แล้วผิวคือดำมาก แล้วรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่มาก

พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงที่ เพลงหลงเสียงนาง ของ พี่แค โชคชัย โชคอนันต์ กำลังดัง แล้วพี่แคได้ไปโชว์ตัวที่สวนอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ ชื่อสวนอาหารขนุน เราก็ไปเจอกับพี่เค้า ด้วยความที่รู้จักกันมาก่อน ก็ถามสารทุกข์สุขดิบว่าทำไมถึงมาอยู่ที่เชียงใหม่ เราก็บอกว่ามาเรียนหนังสือค่ะ แต่ไม่มีเงินเรียนหนังสือ เราอยากหางานทำ

พี่โชคชัยก็เลยบอกว่า เธอร้องเพลงเป็นนี่นา เดี๋ยวพี่ฝากงานให้ แล้วก็ขอคุยกับเจ้าของร้าน ขอฝากน้องคนนึงนะ ตอนนั้นเจ้าของร้านชี้หน้า แล้วถามเราว่า อย่างเธอเหรอจะเป็นนักร้อง เราก็เลยบอกเฮียว่า หนูขอโอกาสนะคะ เพราะหนูอยากจะหาเงินเรียนหนังสือ ถ้าเฮียไม่ชอบ ให้หนูเป็นเด็กเสิร์ฟก็ได้ แล้วเฮียก็บอกว่า ขึ้นไปเลย ให้ร้อง 3 เพลงพอ ห้ามเกินนะเว้ย พอขึ้นบนเวทีปุ๊บ นักดนตรีงงทั้งเวที นังนี่มาจากไหน ขี้เหร่ก็ขี้เหร่ แล้วขึ้นมาทำไม

พอขึ้นไปบนเวที เราก็สวัสดีพี่ ๆ ทุกคน แล้วก็บอกว่า วันนี้จะมาสมัครงานค่ะ หนูขอร้องเพลง พี่ในวงถามว่าจะร้องเพลงอะไร เราบอกว่า เพลงทำไมถึงทำกับฉันได้ ตอนนั้นเพลงนี้กำลังดัง แล้วนักดนตรีก็ถามย้ำว่า นี่เพลงผู้หญิงนะแล้วจะร้องได้เหรอ เราก็เลยบอกว่า หนูร้องได้ค่ะ ขอคีย์เดียวกับพี่หมูดาวใจเลยค่ะ พี่นักดนตรีก็ถามอีกว่าร้องได้แน่นะ เราก็บอกว่าได้ค่ะ พอดนตรีขึ้นเราร้อง ปรากฎว่าไม่มีใครมองเราเลยแม้แต่คนเดียว พอร้องจบก็เงียบ ลูกค้าไม่ปรบมือ เงียบกันทั้งร้าน จากนั้นเฮียก็กวักมือเรียก เราตกใจน้ำตาจะไหลเพราะคิดว่าเฮียไม่เอาเราแล้ว เพราะว่าให้ร้อง 3 เพลง แต่เราเพิ่งร้องแค่เพลงเดียวเรียกลงแล้ว เราก็เลยเดินลงมาด้วยหัวใจที่บอบช้ำ แล้วพอเดินลงมาถึง เฮียก็บอกว่า พรุ่งนี้มาทำงานเลย เงินเดือนวันละ 60 บาท เด็กเสิร์ฟได้ 80 บาท เราดีใจมาก ขอบคุณเฮียแล้วก็คิดต่อจะทำยังไงดี จะต้องร้องเสียงผู้หญิง แต่งตัวแบบนี้ก็ไม่ได้ ตอนนั้นเราไม่มีอะไรเลย แต่โชคดีที่เพื่อน ๆ ที่มหาลัยช่วยกันออกเงินให้เราซื้อผ้ามา 3 เมตร ตัดเป็นชุดค้างคาว เย็บข้าง ๆ แล้วก็เจาะหัว ก็ได้ชุดมาตัวเดียว ส่วนแต่งหน้า เพื่อนก็ให้ดินสอเขียนคิ้วมาแท่งนึง แล้วก็ลิปมันมาแท่งนึง ผมก็สั้นไม่ได้ใส่วิก เขียนคิ้ว เขียนขอบตา ใช้แป้งกระป๋อง แค่นั้นเลย

ตอนนั้นก็คิดกับตัวเองว่า เราจะอยู่ตรงนี้ได้นานแค่ไหน ยุคนั้นนักร้องส่วนใหญ่ก็จะมีทิปกัน แต่เดือนแรกเราไม่ได้เลยซักบาท แล้วนักร้องเค้าก็จะได้พิเศษจากการที่ลูกค้าเรียกไปนั่ง ให้ดื่มน้ำส้ม ดื่มน้ำส้ม 1 แก้วได้ 15 บาท แต่เราไม่เคยมีใครเรียกไปเลย พอเข้าเดือนที่สองก็เริ่มดีขึ้น คนก็เริ่มมามองว่าเราก็ร้องดีนะ เราเองก็เริ่มปรับตัวเอง ไม่ร้องเพลงไทย หันไปร้องเพลงชาติอื่น ๆ มากขึ้น พอเราเป็นคนเดียวที่เริ่มร้องเพลงต่างชาติ คนที่มาเที่ยวในร้านก็เริ่มสนใจฟัง หลังจากนั้น 4-5 เดือนเราก็ได้กลายเป็นดาวเด่นของร้าน”

 

 

จากนักร้องในห้องอาหาร สู่เวทีการประกวดร้องเพลงระดับประเทศ

หลังจากที่ได้เป็นดาวเด่นของร้าน ด้วยความสามารถของเจินเจิน ทำให้คนเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในฐานะนักร้องสาวประเภทสอง ที่สามารถร้องเพลงได้ร่วม 10 ภาษา และต่อมาเพื่อนของเธอก็ชวนให้ลงแข่งขันงานประกวดบนเวที “สยามกลการ” ซึ่งเป็นปีเดียวกับ ‘เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์’ แล้วเธอก็เข้ารอบและได้รางวัลนักร้องดีเด่นมาครองในที่สุด โดยเจินเจิน ได้เล่าเรื่องราวของการเข้าประกวดครั้งนี้ว่า “เราร้องเพลงอยู่ที่ร้านจนมีชื่อเสียงในเชียงใหม่ จากนั้นเพื่อนก็โทรมาชวนไปประกวดสยามกลการ ตอนนั้นเราไม่เคยประกวดที่ไหนเลย แล้วก็เป็นนักร้องบ้านนอก ก็เลยบอกเพื่อนไปว่า เธอคนที่ไหนจะฟังฉัน ใครเค้าจะเอาฉัน เพื่อนก็บอกเราว่าไม่ต้องกลัว รอบแรกจะเป็นการส่งเทป ไม่เห็นตัว โดยเค้ามีเพลงบังคับ 10 เพลง แล้วให้เราเลือกมา 1 เพลงแล้วก็อัดส่งไป เราก็คิดตั้งนานจนวันสุดท้ายก็เลยส่ง เพลงไฟ ของ พี่ทิพย์วรรณ ปิ่นภิบาล เราประกวดปีเดียวกัน และได้รางวัลนักร้องดีเด่นเหมือนคุณเบิร์ดค่ะ รางวัลเดียวกันเลย คือมีนักร้องยอดเยี่ยมรางวัลนึง แล้วก็มีนักร้องดีเด่นอีก 4 คน”

 

อัลบั้ม “ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง” 12 เพลงที่เขียนจากชีวิตของเจินเจินทั้งหมด

เมื่อผ่านการประกวดร้องเพลงเวทีสยามกลการ ความฝันของการเป็นนักร้องของ เจินเจิน ก็เริ่มชัดเจนขึ้น โดย พ.ศ. 2533 เจินเจินได้มีโอกาสพบกับ คุณวิศาล เลาแก้วหนู เจ้าของบริษัทเลปโส้สตูดิโอ ที่ต้องการนักร้องคนแรกของบริษัทพอดี จึงพาเธอไปพบกับ คุณพรพจน์ อันทนัย นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุคนั้น และพูดคุยกันถึงเรื่องราวชีวิตในอดีตกันถึง 3 วัน จนกลายมาเป็น อัลบั้มแรกในชีวิต “ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง” ซึ่งเพลงทั้งหมดในอัลบั้มเขียนมาจากชีวิตจริงของ เจิน เจิน ทั้งหมด โดยเธอได้เล่าเรื่องราวที่มาของอัลบั้มแรกในชีวิต ที่เป็นอัลบั้มแห่งความภาคภูมิใจนี้ว่า “หลังจากประกวดสยามกลการและได้รางวัล เราก็ต้องเซ็นสัญญากับสยามกลการ 2 ปี แบบอัตโนมัติ แล้วสยามกลการก็มอบงานให้เกือบทุกวัน ตอนนั้นเราอยู่เชียงใหม่ต้องเดินทางนั่งรถมา มันเสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก เลยตัดสินใจย้ายมาอยู่กรุงเทพเลย มันเป็นเหมือนชีวิตอีกแบบที่เราไม่คุ้นเคย เพราะตอนอยู่เชียงใหม่ เราก็จะร้องแบบสบาย ๆ อยู่ที่กรุงเทพจะต้องวิ่งงาน 1 พีเรียด 45 นาทีสำหรับหนึ่งที่ คืนนึงเรารับเยอะสุดเลย 7 ที่ ถึงห้องพักตี 4 ถอดชุดแล้วหลับเลย หน้าก็ไม่เคยล้าง

และในตอนนั้นทางบริษัทเลปโส้ แล้วก็ อาจารย์พรพจน์ ที่เป็นนักแต่งเพลง ท่านกำลังหานักร้องทั่วประเทศ เพื่อจะเอามาทำอัลบั้มชุดแรกของบริษัท ก็ไม่ถูกใจใคร จนกระทั่งมาเจอเรา ตอนนั้นร้องเพลงอยู่ที่โรงแรม Middle สะพานควาย เพลงที่เราร้องแล้วเค้าติดใจ คือ เพลงเหมยฮัว เป็นเพลงจีน พอเค้าฟังเฮียก็เลยบอกว่าเลือกคนนี้ แล้วก็เรียกเรามาคุย ถามว่าจะทำอัลบั้มให้เอามั้ย เราก็บอกว่าเอา แต่ด้วยความที่เราเคยถูกปฏิเสธมาหลายครั้งแล้วที่จะทำอัลบั้ม เราก็เลยเออออรับปากไป ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นเค้าก็โทรมานัดเจอ คุยกันอยู่ 3 วัน ก็ได้คอนเซ็ปต์ของอัลบั้มชุดแรก ซึ่งเขียนจากชีวิตของเราทั้งหมดเลย 10 เพลง ไม่ว่าจะเป็น ต้องสู้ , ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง , ให้เธอไม่ได้ , เธอต้องอดทน ทุกเพลงคือชีวิตของเราทั้งหมดเลย

ในตอนที่เข้าห้องอัดครั้งแรก ก็ได้คุยกับเฮียพิศาล เราถามเฮียว่า แน่ใจนะว่าจะเอาหนูมาทำเพลง หนูเป็นกะเทยนะ แล้วมันจะขายได้มั้ย ถ้าขายไม่ได้เฮียจะทำยังไง เฮียก็บอกว่า ไม่เป็นไร ฉันจะลงทุนน้อย ๆ ถ้าขายไม่ได้ก็ไม่เจ็บตัว เค้าบอกว่า ฉันชอบที่เธอร้องเพลงเหมยฮัว บอกแค่นั้น ตอนนั้นตัวเราเองก็คิดเหมือนกันว่า เราเป็นกะเทยยังไงก็ไปได้ไม่สูงกว่านี้หรอก ก็แค่ได้ร้องตามโรงแรม วิ่งไปวิ่งมาอยู่แค่นี้แหล่ะ ไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชื่อเสียงแน่นอน แล้ววันที่เข้าห้องอัดวันแรก เพื่อนของเฮียซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเทปอีกค่ายนึงก็มาฟังด้วย เค้าก็บอกว่าเป็นผมนะ ผมไม่ทำหรอก นักร้องกะเทยยังไงก็ไม่ดัง ผมไม่ยอมเสียเงินหรอก เอาปืนมาจี้ผมก็ไม่ทำ ซึ่งเราได้ยินเราก็เฉย แต่ก็เจ็บนะ เจ็บแต่ก็เฉย ไม่ๆ คิดเลย เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะดัง จนมีอัลบั้ม มีเพลงของตัวเองได้สำเร็จ ดีใจมาก ๆ ค่ะ”

 

 

หญิงผู้มีกรรมกับการทำศัลยกรรม

ในการจะข้ามเพศ ต้องมีการผ่าตัดเพื่อแปลงเพศ โดยเทคโนโลยีการแปลงเพศในยุคก่อน ก็ไม่ได้ทันสมัยเหมือนกับยุคปัจจุบัน โดย เจินเจิน ได้แชร์ประสบการณ์การทำศัลยกรรมของตัวเอง ที่เธอบอกว่า ตัวเองเป็นผู้มีกรรมกับการทำศัลยกรรม โดยเธอเล่าว่า “คือถ้าพูดถึงผ่าตัดแปลงเพศแล้ว เราน่าจะเป็นนักร้องข้ามเพศคนแรกของไทยค่ะ ตอนนั้นด้วยความที่เราอยากมีอยากเป็น เราก็เลยไม่กลัว ส่วนตัวเป็นคนที่ถ้ามั่นใจแล้วจะต้องทำ โดยทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ค่ะ

เรายอมรับในความเป็นจริงที่มันจะเกิดขึ้น เราถึงมั่นใจว่ายังไงก็ต้องทำ ตอนนั้นปรึกษาเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ เค้าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว แล้วเค้ามาเยี่ยมเราที่มหาวิทยาลัย เพื่อนทุกคนแตกตื่นกันมากเพราะเธอสวยมาก ตอนนั้นเราเห็นก็เกิดแรงบันดาลใจว่าฉันอยากทำ ก็เลยตัดสินใจทำ

ก่อนจะผ่าตัด คุณหมอจะให้เราไปพบกับหมดจิตแพทย์ก่อน มีข้อสอบมาให้เราทำ พอผ่านปุ๊บ หมอก็นัดวันผ่าตัดเลย ตอนผ่าตัดก็ไม่มีอะไร เข้าห้องผ่าตัดแล้วก็สลบไม่รู้เรื่องเลย พอตื่นขึ้นมารู้สึกเจ็บ เพราะว่าสมัยก่อนยาแก้ปวดคงไม่ดีเท่าสมัยนี้ แล้วเราจะต้องไดเลทด้วยตัวเอง การ ไดเลท คือการนำอุปกรณ์ที่เป็นอวัยวะเทียมสอดเข้าเพื่อทำให้อวัยวะเพศของเรามันไม่ตีบ ตอนผ่าตัดเสร็จใหม่ ๆ เค้าก็ใส่ผ้าก๊อตยัดเข้าไปจนเต็ม แล้วพอถึงเวลาก็จะดึงผ้าก๊อตออก แล้วก็ใช้หลอดเนี่ยไดเลททุกวัน แต่ของเราทำไม่ได้ เพราะเป็นคนที่ผ่าตัดอะไรก็แล้วแต่ผิดพลาดหมดเลย เราทำไม่ได้เพราะอักเสบ พอดึงผ้าก๊อตออกมาเลือดไหล มันอักเสบข้างใน ไม่สามารถจะไดเลทได้ รักษาการอักเสบตรงเนี้ย 2 ปี แล้วต้องใส่ถุงฉี่สอดเข้าไป 1 ปีเต็ม เราคิดว่าเป็นกรรมของตัวเอง แต่ไม่เสียใจเลยค่ะ ดีใจที่เราได้ทำ

เป็นคนที่ภูมิใจที่ชีวิตตัวเองเกิดมาแบบนี้ เวลาไปไหว้พระที่ไหนก็อธิษฐานจิตว่า เกิดชาติหน้าฉันใดขอให้เกิดเป็นกะเทยอีก เพราะเราไม่ต้องมีลูก ไม่ต้องมีภาระใดๆ  ทั้งสิ้น แล้วก็เวลาเดินไปไหนมาไหนอาจจะมีคนชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันก็ภูมิใจที่ฉันเป็นแบบนี้ แล้วก็ไม่ต้องมีภาระให้กับครอบครัว ครอบครัวไม่ต้องห่วงเลย”

 

 

มุมมองการยอมรับ LGBTQ+ ของสังคมในอดีต

ย้อนกลับไปในตอนนั้น เรียกว่าเป็นเรื่องราวที่ใหม่มากๆ เมื่อ เจินเจิน บุญสูงเนิน กลายเป็นนักร้องข้ามเพศคนแรกของไทย โดย เจินเจิน ได้แชร์เรื่องราวของการยอมรับ LGBTQ+ ในยุคของเธอ ที่ค่อนข้างแตกต่างจากสังคมปัจจุบัน โดยเธอเล่าว่า “ตอนที่เราประกวดสยามกลการเสร็จแล้ว แล้วข่าวมันก็ออกไปทั่วประเทศ แล้วคนข้างบ้านก็เริ่มพูด เริ่มนินทา มาถามพ่อเราว่าลูกคุณเป็นกะเทยเหรอ อะไรแบบนั้น แล้วมีอยู่วันหนึ่งเรากลับบ้าน จะเอาเงินไปให้พ่อ พ่อเค้าก็คุยกับเราบอกว่า จะเป็นอะไรก็ไม่ว่านะ แต่ขอให้เป็นคนดีก็แล้วกัน พูดแค่นี้เลย ตอนนั้นเราร้องไห้หนักมาก ขับรถออกจากบ้านของพ่อเราร้องไห้ตั้งแต่หน้าประตู จนมาถึงที่พักของตัวเอง ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนดีใจที่เค้ารับเราได้ แล้วก็เสียใจที่ทำให้เค้าผิดหวัง แล้วก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง เราเก็บกดมานาน แต่เป็นคนที่ไม่แสดงออก จะเก็บไว้ในใจคนเดียว พอพ่อพูดแบบนั้น มันเหมือนเป็นการปลดล็อก แล้วก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจ เปรี้ยง! ร้องเลย ทั้งที่เป็นคนที่ร้องไห้ยาก แต่ครั้งนั้นขับรถออกมาชั่วโมงนึงร้องตลอดไม่หยุดเลย

การยอมรับ LGBTQ+ ในยุคนั้นถือว่าน้อยมาก อย่างสมมติว่าเราจะไปกินข้าวกับเพื่อนในกลุ่มเดียวกันที่มหาวิทยาลัย พอไปถึงหน้าร้าน เจ้าของร้านบอกว่า ร้านนี้ไม่ต้อนรับกะเทย ร้านนี้ไม่ขายให้กะเทย และบางทีเดินผ่านร้าน เค้าเอาหินขว้าง แล้วว่าเรา อีตุ๊ด อีกะเทย แบบนั้นเลย เราก็นิ่งค่ะ เจ็บค่ะ แต่นิ่งแล้วก็ไม่ตอบโต้ ไม่สู้ ไม่ถอย ทำดีอย่างเดียว ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นคนอื่น ๆ เป็นคนแรง ๆ เค้าก็จะตอบโต้จนทะเลาะกันได้

อีกเรื่องคือ สมัยก่อนตอนเรียนจบใหม่ ๆ เราอยากเป็นแอร์โฮสเตส ซึ่งสมัยนั้นคือฝันไป เราเคยมีเพื่อนเป็นสาวประเภทสองเรียนเก่งมาก เรียนอยู่คณะแพทย์ ปี 1 เค้าโดนบูลลี่มาตั้งแต่ปี 1 พอปีที่ 2 บูลลี่หนักถึงขนาดที่ว่าอยู่ไม่ได้แล้วต้องลาออกจากแพทย์ สอบใหม่ไปอยู่ Mass Comm เรียนปริญญาโท เธอก็ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ปริญญาตรีก็เกียรตินิยมอันดับ 1 ไปสมัครงานสอบได้ที่ 1 แต่ตกสัมภาษณ์ ซึ่ง 4 ครั้งที่ไปสมัครงานสอบได้ที่ 1 หมดเลย แต่ตกสัมภาษณ์ทั้ง 4 ครั้ง เค้าเลยตัดสินใจไปอยู่ต่างประเทศ เราเสียดายเพราะเค้าเป็นคนที่เก่งมาก เสียดายทรัพยากรที่ดี ๆ”

 

 

เจินเจิน กับความรักทั้ง 7

นอกจากเรื่องราวเส้นทางการเดินตามฝันในการเป็นนักร้อง เจินเจิน ยังได้แชร์เรื่องราวความรัก ที่ผ่านความรักมาหลากหลายรูปแบบ โดยเธอเล่าให้ฟังว่า “เคยดูการ์ตูน สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้ง 7 ใช่ไหมคะ อันนี้ เจินเจินกับสามีทั้ง 7 แต่คบทีละคนนะคะ

ส่วนใหญ่ความรัก ในตอนคบกันแรก ๆ เนี่ยเราก็มั่นใจ เพราะว่าคนที่เข้ามา เค้าก็รู้ว่าเราเป็นอะไร แล้วเค้าก็เป็นคนเข้ามาหาเราเอง แต่พออยู่ ๆ ไป ก็จะมีข้ออ้างว่าพ่อแม่อยากได้ลูก อยากได้หลานเป็นผู้สืบสกุล เลยกลายเป็นเพลง ฉันให้เธอไม่ได้ นั่นแหละค่ะ เนี่ยเป็นข้ออ้างหลัก ๆ ที่เค้าจะขอเลิกกับเรา ซึ่งในความเป็นจริงคือ ไม่ใช่ความผิดของเรา ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก แล้วคุณเข้ามาหาเราทำไม คุณมาอยู่กับเราทำไม ที่พูดมามันคงเป็นข้ออ้างเฉย ๆ เหมือในวันที่จะไปแล้วไม่รู้จะอ้างอะไร ส่วนใหญ่คนที่มาคบกับเราก็จะเป็นลูกคนเดียว เป็นลูกมหาเศรษฐี แล้วก็พอถึงช่วงนึง พ่อแม่ก็ต้องพาไปดูตัวเจ้าสาวเพื่อจะแต่งงาน ก็จะเป็นข้ออ้างที่จะเลิกกับเรา แล้วก็บางคนก็รวยมาก แต่ว่าความคิดแตกต่างกัน อยู่ด้วยกันไปซักพักนึงเราก็ไม่ไหว ก็ต้องขอปลีกตัวออกมา

ตอนแรกไม่เข็ด จนมาเจอคนสุดท้ายคือ พี่ปุ๊ คนรักคนสุดท้าย และจะเป็นความรักครั้งสุดท้าย เราจะไม่มีใครอีกแล้ว พี่ปุ๊เป็นผู้ชายที่ดีมาก ๆ เค้าเป็นผู้ชายคนเดียวที่อยู่กับเรา 24 ชั่วโมง ไม่เคยแยกกันเลย ในวันที่เค้าจะต้องกลับไปอยู่อเมริกา เพราะเค้าเป็น Citizen อยู่ที่โน่นพี่เค้าไม่ยอมกลับ เค้าเป็นผู้ชายที่เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ทันทีที่เราขอ เลยคิดว่าผู้ชายคนนี้แหล่ะ ที่เราจะฝากชีวิตไว้

3 เดือนสุดท้ายก่อนที่จะรู้ว่าป่วย พี่ปุ๊เค้าเป็นโรคกรดไหลย้อนค่ะ ก็รักษาที่โรงพยาบาลอย่างดีเลยแต่ไม่หาย หมอสงสัยก็เลยขอส่องกล้อง สอดไปแค่นิดเดียวก็เจอก้อนเนื้อ 2 ก้อน ก้อนใหญ่มาก เลยขอตัดเนื้อแล้วก็ไปตรวจ ตอนนั้นเค้าก็จิตตก เราก็ให้กำลังใจว่าไม่เป็นไรนะพี่ หนูจะอยู่เคียงข้างพี่ตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ในวันที่ไปฟังผลก็จับมือกันแน่นเลย หมอบอกว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้วนะคะ คือทุกคนที่อยู่ในห้องตกใจ แต่พี่เค้าจะพยายามที่จะแสดงออกว่าเค้าไม่เป็นอะไร เค้าก็หันมายิ้มกับเรา แต่จริง ๆ แล้วเค้าจิตตกมาก ตั้งแต่วันนั้นก็ต้องเข้าผ่าตัด ให้คีโม หลังจากนั้น 2 ปี ก็เสียชีวิตค่ะ

เราเริ่มทำใจตั้งแต่วันที่รู้ว่าพี่เค้าเป็นมะเร็ง ตลอด 2 ปีเต็มทำใจมาตลอด เนื่องจากเราเข้าวัดปฏิบัติธรรมมันก็ช่วยได้เยอะเลย ก็ตั้งรับและทำใจไว้ เพราะรู้ว่าพี่เค้าไปแน่นอน เพราะมันระยะที่ 4 แล้ว หมอก็มาแอบพูดกับเรานอกห้องตลอดเลยว่าอาจจะไม่เกินเดือนนี้นะครับ เราก็โอเคเก็บไว้ในใจ เอาธรรมะไปเปิดให้พี่เค้าฟังทุกคืนในโรงพยาบาล แล้วก็เปิดบทสวดให้เค้าฟัง พูดแต่เรื่องบุญ ไม่พูดเรื่องอื่นเลย พูดให้เค้าฟังจนวินาทีสุดท้าย”

 

เสียงหาย ฝันร้ายของนักร้องชื่อเจินเจิน

มีหนึ่งประสบการณ์ที่เป็นบทพิสูจน์ชีวิตที่ต้องสู้ของเจินเจิน เรียกว่าเป็นฝันร้ายที่อยากรีบตื่นเลยก็ได้ เมื่อเสียงที่เคยใช้ร้องเพลงหายไปจนไม่สามารถร้องเพลงได้ ซึ่งเป็นผลจากอาการภูมิแพ้ของตัวเอง โดย เจินเจิน ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “ตอนนั้นอยู่อเมริกา ก็ไปโชว์ตัวที่ชิคาโก้ แล้วเพื่อนเราเป็นนักร้อง เค้ารับงานในคาสิโนที่ชิคาโก้ไว้ให้ ด้วยความรักเพื่อนเราก็ไป ซึ่งคาสิโนในชิคาโก้สมัยนั้นควันบุหรี่เยอะมาก เพราะเป็นสถานที่ที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ แล้วตอนร้อง เราก็ร้องแต่เพลงยาก ๆ เพลงที่ใช้เสียงเยอะ ๆ ยิ่งพอเราใช้พลังเยอะ เราก็จะดูดควันเข้าไปเยอะ พอวันรุ่งขึ้นเราไอ ไอแบบ Non Stop เลย ไปหาหมอ หมอบอกว่าคุณแพ้อากาศ ก็ให้ยามากิน เดือนแรกไม่หาย แล้วเริ่มพูดไม่ได้ จนเดือนที่สองคือพูดไม่ได้เลย ไม่มีเสียงพูดเลย จะกินอะไรก็ต้องเขียนเอา พูดไม่ได้ประมาณ 6 เดือน ตอนนั้นคิดในใจว่า อาชีพนี้เราหมดละ ไม่ต้องเป็นนักร้องละ ตัดสินใจว่าสิ้นปีเราจะกลับเมืองไทยแล้ว

แต่ปรากฏว่ามันมีงาน ๆ หนึ่งที่จองไว้ข้ามปี เรา Cancel ไม่ได้ เราเลยโทรไปบอกเจ้าภาพบอกว่า เจินเจินป่วย เสียงไม่มี เจ้าภาพบอกว่าพี่รู้ แต่ว่ามันอีกตั้ง 4 เดือน พี่ว่าหนูหายนะ เพราะงั้นพี่ไม่ Cancel เราก็คิดว่าจะหายแต่ปรากฎว่าไม่หาย  ไปถึงงานคืองานใหญ่มาก เป็นงานประชุมของนักธุรกิจจีนที่อเมริกา ซึ่งปกติพี่ไปงานใหญ่ ๆ ของต่างชาติ มักจะมีนักร้องประจำชาติเค้าประมาณ 7-8 คนอยู่แล้ว แต่คืนนั้นนักร้องมีเราคนเดียว ตอนนั้นเครียดมาก จะทำยังไงดี ก็เลยเดินออกไปนอกโถง เดินใส่ชุดราตรีไม่ใส่เสื้อกันหนาวด้วย ไม่ใส่เสื้อโค้ช ไปยืนกลางหิมะ แล้วก็พนมมืออธิษฐานจิต บอกว่าขอบุญทั้งหมดที่ลูกทำมาตั้งแต่ปฐมชาติ จนปัจจุบันวันนี้วินาทีนี้ ขอจงมารวมตัวกันแล้วส่งผลดลบันดาลให้ลูกทำงานวันนี้ ร้องเพลงวันนี้ขอให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขออย่าให้มีอะไรผิดพลาด แล้วก็เดินกลับเข้ามา จังหวะเดินขึ้นไปบนเวที เรากระซิบบอกนักดนตรีว่าขอเปลี่ยนเพลงได้มั้ยคะ ขอเป็นเหมยฮัว ตั้งแต่วันนั้นถึงได้รู้ว่าเวลาเสียงไม่มี ให้ร้องเพลงเสียงสูงมาก ๆ เพื่อเปิดกระบัง แล้วก็ประกาศพูดออกไมค์ว่าฉันดีใจที่ได้มาร้องเพลงในงานวันนี้ แต่ฉันอยากจะบอกว่าฉันไม่สบาย ไม่รู้ว่าจะร้องได้ดีขนาดไหน ให้อภัยฉันด้วยนะ จากนั้นก็ร้องเพลงจนจบแล้วก็รู้ตัวเองว่าร้องไม่ดีเลย เสียงคือไม่ได้เลย แต่ลงมาจากเวที คนจีนมาจับมือ บอกว่าคุณร้องดีมาก แล้วเจ้าภาพบอกว่าลูกค้าขอให้ร้องต่ออีก 5 เพลง เราเลยบอกเจ้าภาพว่าหนูพูดยังไม่ได้เลย ยังไงก็ร้องเพลงไม่ได้แล้ว ขอโทษจริง ๆ

หลังจากนั้นเสียงก็ไม่มาเลย จนกระทั่งครบปีก็เลยตัดสินใจกลับเมืองไทย ในจังหวะขึ้นเครื่องบิน มีสจ๊วตมาทัก ว่าคุณแม่เป็นไอดอลหนู หนูชอบเพลงต้องสู้มากเลย เราก็ใจฟูขึ้นมานิดนึงที่ยังมีคนจำเราได้ พอลงเครื่องมีแอร์โฮสเตสกับสจ๊วตยืนอยู่สองประตู คอยสวัสดี แล้วสองคนนั้นร้องเพลง ต้องสู้จึงจะชนะ พอลงมาจากสนามบินใจมันฟู อยู่ ๆ ก็ลองร้อง ต้องสู้ ต้องสู้ แล้วร้องได้ เลยเข้าไปในห้องน้ำ แอบร้องในห้องน้ำคนเดียว แล้วร้องได้เสียงกลับมาแล้ว คือกรรมที่ต้องชดใช้เรื่องเสียงหมดตรงนั้นพอดี มาถึงประเทศไทยเสียงมาเลย มันถูกกำหนดไว้แล้ว”

 

 

“เจินเจิน” เรียกร้องคำนำหน้าให้สาวข้ามเพศ

เจินเจิน ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกมาเคลื่อนไหว และผลักดันให้ออกกฎหมายคุ้มครองกลุ่มคนข้ามเพศ กับการเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ สำหรับกลุ่มคนข้ามเพศที่แปลงเพศแล้ว เนื่องจากกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ยังคงต้องเผชิญหลาย ๆ ข้อจำกัดในการใช้ชีวิต เช่น การทำนิติกรรมต่าง ๆ การแต่งกาย การประกอบอาชีพ การเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ การใช้ชีวิตคู่ โดยเธอได้แชร์มุมมองของเรื่องนี้ว่า “มีเพื่อนหลายคนไม่ว่าจะเป็นเกย์ สาวข้ามเพศ หรือว่าเป็นเลสเบี้ยน พอมีคู่ปุ๊บ เมื่อคู่เข้าโรงพยาบาล ตัวเองไม่มีสิทธิ์เลยที่จะเซ็นรับรองให้หมอทำโน่นทำนี่ เพราะว่าไม่มีใบรับรองว่าเป็นสามีกัน แล้วยิ่งอันดับสุดท้ายเลย สำคัญสุดเลยคือมรดก ร่วมทำกันมา หากินกันมาช่วยกันมาจนชีวิตมีความสุขมีเงินมีทองเยอะแยะ แต่พออีกคนตายปุ๊บหมดสิทธิ์เลยนะคะ ตกไปเป็นของญาติของคนตายเลย ถึงบอกว่าควรนะคะเปลี่ยนทั้งทีขอให้เปลี่ยนให้สมบูรณ์ เปลี่ยนเป็นนางสาวเลย แล้วก็เปลี่ยนให้แต่งงานกันได้ ไม่ว่าจะเป็นชาย-ชาย หญิง-หญิง ต้องแต่งงานกันได้ทุกเพศค่ะ

สำหรับ LGBTQ+ เราต้องกล้าหาญค่ะ ต้องลุกขึ้นมายอมรับตัวเองให้ได้ว่าเราเป็นอะไร แล้วเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนะคะ เราเป็นคน ๆ หนึ่ง ไม่มีใครสามารถจะมาเปลี่ยนแปลง บิดเบือนความเป็นตัวของเราได้ เราต้องเป็นตัวของเราเอง และสมัยนี้ สังคมต้องยอมรับได้แล้วว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแค่เพศหญิงเพศชาย มีสารพัดเพศ เพราะฉะนั้นคุณต้องยอมรับว่ามีอีกหลายเพศที่อยู่กับคุณ และเค้าก็เป็นคนดีของสังคมได้ ทำงานเพื่อสังคม ทำงานเพื่อครอบครัวได้ ต้องยอมรับตรงนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกนี้มัน Peaceful มากเลย คือมันแบบว่าเสรีภาพ มหัศจรรย์ ความสงบสุขในโลกนี้จะเกิดขึ้น สงครามก็จะไม่มีค่ะ”

 

“เรื่องยาก มันก็เป็นปัญหาที่เกิดกับทุกคนค่ะ คนรวยก็ทุกข์แบบคนรวย คนจนก็ทุกข์และมีปัญหาแบบคนจน นักร้องก็มีปัญหาและทุกข์แบบนักร้อง ดีเจก็มีปัญหาแบบดีเจ ทุกคนมีปัญหาเข้ามาหาเราได้ทุกเวลา ทุกข์จะอยู่กับเราแป๊บนึงแล้วก็จากไป สุขก็จะอยู่กับเราแป๊บนึงแล้วจากไป วนเวียนอยู่แบบนี้ จนกว่าเราจะลาจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้โดยใช้ธรรมะ” – เจินเจิน บุญสูงเนิน

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

 

 

 

album

0
0.8
1