เปิดชีวิตที่ไม่ได้เก่งเพียงแค่ชื่อ ของ “ เก่ง ธชย” ศิลปินหัวใจทศกัณฐ์ กับเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่น

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตที่ไม่ได้เก่งเพียงแค่ชื่อ ของ “ เก่ง ธชย” ศิลปินหัวใจทศกัณฐ์ กับเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่น

26 มิ.ย. 2023

รายการ Club Pride Day ต้อนรับ Pride Month ด้วยแขกรับเชิญสุดพิเศษ เขาคือศิลปินหนุ่ม ที่มีความเป็นไทย และสามารถนำความเป็นไทยมานำเสนอผ่านผลงานในมุมมองของเขาอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่เราจะมองว่าเขาเป็นศิลปินที่มีความโดดเด่นทางด้านสไตล์คนหนึ่งของประเทศเลยก็ว่าได้

 มุมมองชีวิต และ แรงบันดาลใจดี ๆ ถูกส่งต่อเมื่อสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก๊อตจิ” เปิดไมค์ต้อนรับ “เก่ง ธชย” ศิลปินไทยหัวใจทศกัณฐ์ ที่ได้มาร่วมพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ ที่กว่าจะมีวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเหตุการณ์ ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ที่เก่งได้นำมาแชร์ให้ฟังในรายการ

 

 

“เก่ง ธชย” ชื่อนี้มีที่มู

เรียกว่าเป็นชื่อที่เพราะ และติดหูเมื่อได้ยิน สำหรับชื่อ “ เก่ง ธชย” หลายคนที่ได้ยินชื่อ คงจะคิดว่าต้องเป็นชื่อของคนเกิดวันจันทร์ ถึงไม่มีสระอยู่ในชื่อเลย หลายคนอยากรู้ว่าชื่อนี้มีการมูเตลูอะไรหรือไม่ ซึ่ง เก่ง ได้เล่าที่มาของชื่อนี้ ให้เราฟังว่า “ชื่อนี้ได้มาจากหมอดูครับ พอเปลี่ยนชื่อชีวิตเก่งเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือเลย ในตอนนั้นเปิดทีวีดู แล้วมีรายการที่เค้าเอาหมอดูมานั่งแข่งกัน ตอนนั้นในใจเราก็อยากจะเปลี่ยนชื่ออยู่แล้ว หาชื่อเปลี่ยนอยู่ เพราะจะ Rebranding ตัวเอง แล้วก็ได้เห็นหมอดูคนหนึ่งชื่อ อาจารย์สมเจตน์ แสงคำ ณ เวียงกำพู อาจารย์เค้าแข่งดูดวง แต่เรารู้สึกว่าหมอดูคนนี้เค้ามีความวิทยาศาสตร์ แล้วก็มีความทันสมัย ก็เลยติดต่อไป หมอดูก็ให้มา 5 ชื่อ เราก็มีชื่อเข้ารอบ 2 ชื่อ คือ ธชย กับ ภูมิภูริ ท้ายที่สุดก็เลยเป็น เก่ง ธชย เพราะเค้าบอกว่าชื่อนี้มันมีความเป็นศิลปินดี แล้วเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ แต่เค้าบอกว่าชื่อนี้เหมือนคนเกิดวันจันทร์ เพราะว่าคนเกิดวันจันทร์จะไม่มีสระ พอมันไม่มีสระมันดูไม่ค่อยเหมือนมีบริวาล เวลาเราทำอะไรก็ต้องทำด้วยตัวเองหน่อย ซึ่งชื่อ ธชย หมายถึงธงชัย หรือว่าผู้มีชัยชนะ”

 

 

The Voice Thailand Season 1 จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรู้จัก เก่ง ธชย

รายการ The Voice Thailand Season 1 คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนได้รู้จักผู้เข้าประกวดคนหนึ่ง ที่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจกับความสามารถของเขา ทั้งการร้อง  และการเล่นดนตรี ที่โดดเด่นในทุกรอบที่เข้าแข่งขัน จนทำให้ชื่อของ เก่ง ธชย กลายเป็นที่รู้จัก โดย เก่ง ได้เผยเรื่องราวจุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปินให้ฟังว่า “ก่อนที่จะประกวด The Voice เก่งได้ไปประกวดอีกรายการหนึ่งครับ ก็มีโอกาสได้ทำเพลงบ้าง แต่ก็เป๋ไปเป๋มา แล้วตอนนั้นเป็นช่วงน้ำท่วมกรุงเทพเราก็เลยกลับบ้าน กลับมานั่งดูจิตใจตัวเอง เพราะตอนนั้นเราได้ทำงานกับค่ายเพลงบ้างครับ แล้วรู้สึกว่า ค่ายเพลงชอบมองเราเป็นเหมือน Product เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง ตอนแรกเราไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายเราก็เริ่มเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง แล้วพอมีเวลาอยู่กับตัวเอง ก็เลยไปร้านหนังสือ หยิบพวกหนังสือ Business มาอ่าน แล้วเราก็เอาความรู้ที่ได้ มาปรับใช้กับตัวเองว่าถ้าสินค้าเป็น เก่ง ธชย เราจะทำยังไงให้ตัวเองเป็น Product ที่ค่ายจะต้องเสียดาย ซึ่งหนังสือเล่มนั้นชื่อว่า ทนกระแสธุรกิจ คิดต่าง ไม่มีทางตัน เล่มนี้เป็นหนังสือครูของผมเลยนะครับ พอเราอ่านแล้ว เราก็ตกตะกอนตัวเอง ในหนังสือบอกว่า สินค้าที่มันอยู่ในท้องตลาดอยู่แล้วให้ลอง Re Branding ผมก็เลยเริ่ม Re Branding โดยการเปลี่ยนชื่อ ตอนนั้นไม่ได้ชื่อ เก่ง ธชย แต่ชื่อ เก่ง สิทธิกร และในการประกวดตอนนั้นก็ได้แชมป์มาครับ แล้วก็ได้ทำซิงเกิลแต่ก็ไม่ดัง

สำหรับแนวเพลงของเก่งเรียกว่าเป็นป๊อบ เป็นฟิวชั่นครับ เก่งเรียนจบดนตรีที่มหิดล เอกไทยเดิม แล้วเรียนโทเป็น Voice Jazz Voice Entertain แต่เราไม่เคยเอาสองอย่างนี้มารวมกัน เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่ารวมกันแล้วยังไม่มีใครที่ทำมาเป็นภาพแล้วมันดูเฟี้ยว เราก็เลยกังวล และไม่ได้เอามารวมกัน แต่ The Voice ทำให้เราได้มีโอกาสเอาสองอย่างนี้มารวมกัน ต้องให้เครดิตพี่โจ้ โจอี้บอย ที่กดปุ่มแล้วบอกว่าต้องทำสิ่งนี้

ตอนแข่ง The Voice ผมก็ดูดวงนะครับ ตอนนั้นรายการยังไม่เคยเข้ามาเมืองไทย ผมก็ไปดูดวงก่อนเลย เราก็อธิบายว่ารายการเป็นแบบไหน เพราะตอนนั้นเค้ามีโปสเตอร์ออกมาแล้ว เราก็อธิบายหมอดูว่าโค้ชมีใครบ้าง  แล้วหมอดูบอกว่า ถ้าคุณอยากจะเป็นแชมป์ให้อยู่ทีมพี่ก้อง แต่ถ้าอยากดังต้องอยู่กับโจอี้ บอย เราเองเป็นสายประกวดไง คิดว่าเราต้องมงเท่านั้น ในวันไปแข่งก็คิดในใจว่าเดี๋ยวจะต้องเลือกพี่ก้อง แต่พอท้ายที่ผมก็ตัดสินใจเลือกพี่โจ้ คือผมเชื่อเรื่องดวงส่วนหนึ่ง ซึ่งต่อให้เรารู้ว่าเราจะทำแบบนี้ แต่สถานการณ์บางอย่างเหมือนข้างบนมีลิขิต เค้าเลยจัดสรรให้เราอยู่กับพี่โจ้ แล้วเราก็รู้สึกว่าเราเลือกถูก เราเลือกถูกมาก ๆ

ในการทำงานกับพี่โจ้ มีเรื่องที่ผมกังวล คือการเอาความเป็นไทยมาประยุกต์ ในวันที่พี่โจ้บอกให้ขับเสภาเพลงชู้ ตอนรอบไลฟ์ เราอยากจะร้องไห้เลยครับ คือเรารู้ว่าเรามีความสามารถ แล้วเคยเอาความเป็นไทยกับสากลมาผสมแล้วนะ แต่ว่ามันไม่รอด ตอนนั้นเหมือนเราผ่านอะไรมาเยอะ แล้วเหมือนที่ทุกคนบอกว่าเราเป็นคนหัวดื้อมาซักพัก แต่พอมาเจอพี่โจ้ แล้วมันอยู่ในช่วงหัวอ่อนพอดี เลยตัดสินใจลองทำตามเค้า คิดว่าตกรอบก็ไม่เป็นไร ซึ่งไม่ได้คิดว่ามันจะออกมาดีขนาดที่ได้ มันเหมือนเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ของ เก่ง ธชย ขึ้นมา

การประกวดใน The Voice มันเหมือนได้แข่งกับตัวเอง เพราะว่าโชว์ที่เราทำ มันกลายเป็นโชว์ใหม่ แล้วมันเหมือนสร้างซีนใหม่ให้กับวงการ ซึ่งมันเครียดว่าจะทำอะไรให้ดีกว่าวีคที่แล้ว ทำให้แทนที่จะต้องไปพะวงคู่แข่ง กลายเป็นเราพะวงกับตัวเองมากกว่า ก็เลยอยากจะทำให้มันดีที่สุด แล้วพอมารอบชิง มันเป็นการโหวตครับ ด้วยประสบการณ์ที่เราเคยผ่านมา เราค่อนข้างจะคาดหวัง เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยให้แม่โหวตตัวเองแล้วไม่เข้ารอบ จนเรารู้สึกว่าเราเหนื่อยกับตรงนั้นมามากแล้ว เรารู้สึกว่าความสำเร็จหรือชื่อเสียงที่ใช้เงินซื้อมันไม่จริง ตอนประกวด The Voice ผมก็เลยไม่ได้โหวตตัวเองเลย แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

ในตอนที่ไม่ได้แชมป์ ผมเสียใจครับ แต่ฮีลใจแป๊บนึงก็โอเค แล้วก็พอมาวันนี้ เรารู้สึกว่าดีใจที่เราไม่ได้นะ เพราะว่าเรารู้สึกว่าถ้าเราได้ที่หนึ่ง เราคงจะหยุดพัฒนาตัวเอง แม้กระทั่งตอนนี้กลับมา 10 ปี ทำ All Star ผมก็ยังได้ที่สองเหมือนเดิม ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราเอาใหม่ มันก็มีทางให้เราไปต่อ ให้เราพัฒนาตัวเอง และกลับกันนะครับ ในวันนั้น น้องนนท์ก็ทำได้สมมงจริง ๆ เพราะว่าตัวเค้า ในวัยของเค้า มันก็เหมาะสมมาก ๆ”

 

 

ยักษ์ ตัวละครที่ชอบถูกตัดสินว่าเป็นตัวร้ายเสมอ

หลังจากที่ได้ประกวด The Voice เก่ง ธชย ก็กลายเป็นศิลปินที่โดดเด่นเรื่องความเป็นไทย และสไตล์ของทศกัณฐ์ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาทาง สไตล์การแต่งตัว ทรงผม และ เขี้ยว จนกลายเป็นภาพจำของหลาย ๆ คน โดย เก่ง ได้เผยเรื่องราวของคาแรกเตอร์ที่ตัวเองชื่นชอบให้ฟังว่า “เขี้ยวมาจากที่เราชอบเรื่องของยักษ์ครับ ในรอบไฟนอลเราใช้เพลงทศกัณฐ์ด้วย ทำให้เราชอบคาแรกเตอร์ของยักษ์หรือตัวทศกัณฐ์ เพราะเก่งอยากจะหาคาแรกเตอร์บางอย่างที่เป็นวรรณคดี เพื่อที่จะให้เด็ก ๆ ชอบ และเราชอบตัวทศกัณฐ์เพราะเรารู้สึกว่ามันแฟนตาซีดี แล้วตัวเก่งเวลายืนปะปนกับคนอื่นมันโดนเด่นขึ้นมา ก็เหมือนกับยักษ์ เชื่อว่าถ้ายักษ์เดินปะปนกับคนก็น่าจะโดนเด่นขึ้นมาเลย แล้วยักษ์จะชอบถูกตัดสินว่าเป็นตัวร้ายเสมอ เหมือนกับเก่งตอนที่เข้าวงการมาใหม่ ๆ คนยังไม่ได้รู้ว่าเก่งรักความเป็นไทย คนเลยตัดสินเราจากทรงผม หรือแทททู เก่งเห็นสายตาหลาย ๆ สายตา เค้าชอบตัดสินเราตั้งแต่ภาพแรกที่เค้าเห็น โดยที่ยังไม่ได้รู้จักเราเลย และผมเชื่อว่า ยักษ์อยู่ในตัวพวกเราทุกคน ยักษ์จะชอบออกมาเวลาเราหิว เวลาเราโมโห แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเราเลือกที่จะปลุกยักษ์ขึ้นมาในวันที่เราท้อแท้ ในวันที่เราเสียใจ หรือในวันที่เราต้องการกำลังใจ นั่นแหล่ะผมก็เลยชอบยักษ์ครับ

พอเราเริ่มมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนขึ้น ก็มีคอมเมนท์ว่าเยอะ ทั้งการแต่งตัว วิธีการร้อง แล้วพอยิ่งไปทำเขี้ยวก็ถูกเพ่งเล็งอีก ช่วงแรก ๆ ตกใจ และรู้สึกเสียใจ แต่หลัง ๆ รู้สึกว่าเราควรจะปล่อยผ่าน เพราะเรารู้ว่ามันเป็นเหมือนขยะสำหรับเรา ถ้าถือไว้มันก็สกปรก เราควรจะทิ้งลงถัง แล้วปล่อยทุกอย่างไป แต่ถ้าเป็นข้อมูลที่ดีเราก็จะกลับมาดูอีกทีหนึ่ง แต่ถ้าอันไหนที่เรารู้สึกว่าเค้าใช้อารมณ์ หรือเค้าแค่สนุกปาก เราก็จะบริหารเป็นอีกแบบ เลือกรับมากกว่า เลือกในสิ่งที่เรามีความสุข แต่เราต้องซื่อสัตย์นะครับ ว่าสิ่งที่เราจะมีความสุขมันเดือนร้อนใครมั้ย ถ้ามันไม่ได้เดือนร้อนใครก็ทำไปเลย

การทำงานทุกวันนี้มันหลากหลายมากเลยครับ มีทั้งถูกจ้างไปดีดจะเข้ เป่าขลุ่ย จ้างไปขับเสภาเปิดงาน อย่าว่าแต่งานมงคลนะครับ งานศพก็มี แล้วหลัง ๆ พอมีท้าวเวสสุวรรณฟีเวอร์ คนก็จะนึกถึงยักษ์ แล้วก็จะนึกถึงเรา เลยให้เราไปขับเสภาบวงสรวง แล้วตัวเก่งเวลาไปงาน ชุดมันจะน้อยไม่ได้ ทีมงานนี่คือจะรู้กันต้องมีรถขน เพราะเก่งรู้สึกว่าการเพอร์ฟอร์ม มันทำให้เห็นศักยภาพของนักร้องด้วย”

 

 

เมื่อเอกลักษณ์ไทย ดังไกลสู่สายตาคนทั่วโลก

เมื่อเอกลักษณ์ไทย ไม่ได้โดดเด่นอยู่แค่ในประเทศไทย เพราะ เก่ง ธชยะ เป็นศิลปินคนหนึ่งที่พยายามผลักดันความเป็นไทย ให้ดังไกลสู่สายตาคนทั่วโลก ซึ่ง เก่ง ได้เล่าเรื่องราวความประทับใจนี้ให้ฟังว่า “การไปต่างประเทศจะมีประมาณ 2 ฟังก์ชั่นครับ คือต่างชาติเค้าจ้างไปเลย ไปดูมิวสิคเฟสติวัลหรืออะไรแบบนี้ ซึ่งเค้าก็ดูจากโปรไฟล์ ไม่ว่าจะเป็น Youtube หรือ ไปในนาม The Voice เพราะราการมันระดับ Global แล้วก็มีฟังก์ชั่นที่คนไทยจ้าง เพื่อไปงานไทยเฟสติวัลอะไรแบบนี้ เราก็ไปมาหลากหลายประเทศครับ

ล่าสุดผมไปงานไทยเฟสติวัล ซึ่งปกติเราไปงานไทยเฟสคนไทยจะเยอะกว่าต่างชาติ แต่ปีนี้ที่เราไปต่างชาติเยอะกว่าคนไทย แล้วมันทำให้เรามองงานไทยเฟสต่างออกไป เรารู้สึกว่าเราภาคภูมิใจ แล้วเรารู้สึกภาคภูมิใจคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศด้วย ได้ฟังเรื่องราวของเค้า เหมือนที่ได้เข้าทำเนียบครับ ที่เราได้เข้าไปก็เพราะ ป้าตู่ เธอเป็นผู้หญิงไทยที่อยู่ในดาวินซ์ ประเทศออสเตรเลีย มีสวนมะม่วงพระมหาชนกที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย เราไปเห็นมาแล้ว มันขนลุกและภูมิใจ และเค้าก็ได้มีโอกาสจัดไทยเฟสเพราะทางรัฐเค้าให้งบมาเพื่อให้เกียรติประเทศไทยกับคนไทยคนนี้ แล้วได้โอกาสเราไปขับเสภาในงาน เราก็ดีใจที่ได้เป็นคนแรกเลยที่ขับเสภา ผมขับเสภาบทที่เป็นตัวร้ายของทศกัณฐ์ครับ แล้วงานนี้เค้าต้องบวงสรวงด้วย แล้วเค้าไม่มีคนไทยบวงสรวง ซึ่งเค้าก็ติดตามงานต่าง ๆ ของเรา ก็เห็นว่าเราสายมู เลยต้องรับบทพราหมณ์จำเป็น ยังดีที่เราเคยมีโอกาสได้ติดตามอาจารย์ไปบวงสรวง ก็เลยเอาเคล็ดลับจากอาจารย์มา ทำให้พอมีความสามารถด้านการบวงสรวงอยู่บ้างครับ

การไปงานครั้งนี้ เป็นครั้งที่เรารู้สึกว่าเราได้ลองฟีดแบ็คมา ซึ่งส่วนใหญ่คนไทยจะชอบบอกว่าฝรั่งเยอะ เลยมักจะขอเพลงสากล แต่ครั้งนี้เหมือนเค้าให้โอกาสเราได้จัดลิสต์เพลงเอง เราก็เลยจัดเพลงสากลบ้าง แต่เราขอปรับเป็นเพลงไทยเยอะหน่อย ซึ่งมันโอเคมาก คนไทยก็โอเค ต่างชาติก็ชอบ เค้าชอบความคันทรี่ เค้าชอบบีทของไทย เรารู้สึกภูมิใจครับ”

 

 

เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ เก่ง ธชย

หลังจากที่ เก่ง ธชย ได้ออกมาประกาศว่าหลงความน่ารักของพระเอกหมอลำคนหนึ่ง ทำให้มีทั้งกระแสที่เชียร์ให้ทั้งคู่คบกัน และดราม่าจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ โดยในรายการ เก่ง ก็ได้เผยเรื่องราวความรักของตัวเองให้ฟังว่า  “มันเริ่มจากการส่งดอกไม้ไปให้น้อง เพื่อยินดีช่วงเปิดวง แล้วเราก็รู้จักกับผู้จัดการใหม่ของน้อง แล้วก็รู้สึกว่าน้องเค้าเป็นสายหมอลำ เราอยากจะคอลแลปตัวชิ้นงาน เค้าก็โอเคครับ ซึ่งตัวน้องก็น่ารักดีเวลาเราคุยกัน ก็เลยพูดทีเล่นทีจริง หลังจากนั้นก็ไปเจอพี่นักข่าวที่เราสนิทกัน ซึ่งเวลาข่าวที่เราตั้งใจจะให้เป็นข่าวมันไม่ค่อยเป็นหรอกครับ  แต่อันไหนที่เราแบบไม่ได้ตั้งใจ คือไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นข่าว มันก็ดันเป็นข่าวครับ

ถามว่าตกใจมั้ย จริง ๆ ตอนนั้นเป็นระลอก 2 ครับ เพราะมันมีระลอกแรกมาแล้ว แต่ระลอกแรกมันเป็นแค่ถ่ายคลิปใน Tiktok แล้วก็เป็นข่าว แต่ระลอก 2 ตอนแรกคิดว่ารับมือได้ แต่สรุปคือรับมือไม่ได้ ด้วยความที่เค้าเป็นอีกสายที่ต้องมีเอฟซี หรือว่าแม่ยก เค้าจะเป็นสายหมอลำ แล้วเราก็ไม่เลยไม่ทันได้สแตนบายกับผลที่ตามมา ฝั่งเอฟซีของเราเค้าโอเคเลย เอฟซีเราเค้ามองงานเป็นหลักอยู่แล้ว แต่เอฟซีน้องก็จะมีบางคนที่สนับสนุน ส่วนคนที่ไม่สนับสนุนเค้าจะแรงเลย พอเป็นข่าว ตอนแรกเราคิดว่าเราไหว จนน้องชายที่เค้าทำโซเชียลของออฟฟิศ เค้าบอกว่าพี่มันไม่น่าจะไหวแล้วนะ เพราะว่ามันไปกระทบงานอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับข่าวแล้ว เราก็เลยคิดว่าหยุดดีกว่า มันกระทบไปหลายอย่างเลย

ผมคิดว่าเค้าไม่ได้ตัดสินว่าผมเป็นอะไร แต่เค้าตัดสินแค่ว่าเราเหมาะสมกับคนของเค้ามั้ย แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ส่งกลับมา บางทีคนคอมเมนท์ก็ใช้สิ่งที่เหมือนเป็นเอกลักษณ์เรา มาบูลลี่เรา อย่างคำว่ายักษ์เหลือง มันน่าเสียใจนะครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่คนภาคภูมิใจ แต่พอเอามาพูดล้อเลียนอ่ะ เรารู้สึกว่าเราเฟล แล้วเรารู้สึกว่าเรากำลังเอาของที่เราว่ามีค่าไปปู้ยี่ปู้ยำ เราโทษตัวเองนะ ไม่ได้โทษคนอื่น

หลังจากนั้นพอมันเริ่มมีผลกระทบตามมาทุกช่องทาง เราก็เลยมองว่ามันหนักกว่าทุก ๆ ครั้ง แล้วเราก็รู้สึกแล้วว่าเออเราควรจะห่างกัน เพราะว่าไม่ใช่มองแค่ตัวเรา เรามองตัวน้องด้วย เพราะรู้สึกว่าน้องต้องใช้กำลังของเอฟซีในการซัพพอร์ท เรารู้สึกว่าเดี๋ยวมันจะบาดเจ็บทั้งคู่ แล้วตัวเราเป็นรุ่นพี่ มีอายุมากกว่า เลยตัดสินใจเป็นแบบนี้ดีกว่า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเราทั้งคู่ครับ

ถามว่าเข็ดกับความรักมั้ย จริง ๆ แล้ว ผมชอบเจ็บนะ เพราะผมเป็นคนที่ชอบเขียนเพลงจากความรู้สึก ผมไม่ค่อยเขียนเพลงรักที่อินเลิฟ มันไม่ค่อยมีแพชชันในการเขียน แต่ถ้าเกิดอกหักเมื่อไหร่ เราจะได้เพลงดี ๆ ตลอด

ในการคอมเมนท์ ผมอยากให้นึกถึงใจเขาใจเรา เก่งว่าสังคมมันไปอีกสเต็ปหนึ่งแล้ว เราควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่เราก็เข้าใจ เราเป็นบุคคลสาธารณะ คอมเมนท์ได้นะครับ แต่ยังไงเดี๋ยวผมจัดการเองก็ได้ โชคดีที่เราเข้าวัด เราทำบุญ เรารู้สึกว่าบางอย่างมันก็ปล่อยวาง แล้วเราก็ไม่รู้ว่าอนาคตมันเป็นยังไง อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด มีคนสอนผมว่าดูที่คนซัพพอร์ทสิ อย่าไปเสียใจ แต่ว่าในความเป็นจริง 1 คอมเมนท์ที่ด่า มันทรงพลังกว่าคอมเมนท์ที่ชม แล้วเราก็ฝังใจกับมัน อีกอย่างคือคนที่คอมเมนท์มา เราจะทำยังไงให้เค้ารู้สึกเข้าใจ คือมันเหมือนว่าเค้าตัดสินใจเราไปแล้ว”

 

 

การทำงานแบบจับฉ่าย บางครั้งก็มีข้อดี

แม้จะเป็นศิลปินที่มีเพลงเป็นของตัวเองแล้ว แต่ เก่ง ก็ยังมีอีกหลากหลายอย่างที่เป็นความชอบ และความฝันที่อยากทำอีกมากมาย โดยเขาได้เล่าเรื่องราวของแพชชั่นของสิ่งที่อยากทำให้ฟังว่า “ตอนนี้ก็มีค่ายเพลงเป็นของตัวเองครับ เราผลิตกันเป็นงานเล็ก ๆ ย่อม ๆ แล้วก็มีศิลปินในสังกัดที่มีศิลปะความเป็นไทยครับ เราทำเพลงละคร ทำโฆษณา ทำโปรดักชัน แล้วเราก็มีคลินิกเสริมความงามครับ ชื่อว่า ธัชญา แล้วพอชอบสายมูก็เลยอยากจะทำแบรนด์สายมู ก็เลยทำ 
ธชยยันต์ครับ ก็คือเอาพวกยันต์ต่าง ๆ มาทำเป็น Product สินค้าที่ขายดีที่เป็น Best Seller เลยก็คือ ยันต์หนุนโรง 66 เป็นลายพระพิฆเนศเพนาคราชท้าวเวชสุวรรณ บางทีเพื่อนศิลปินด้วยกันบอกว่าทำไมไม่ตั้งใจทำเพลง เพื่อนชอบบอกว่าผมเป็นคนจับฉ่ายทำหลายอย่าง แต่เก่งคิดว่าความจับฉ่ายของผม บางทีมันก็ถูกกาลเทศะ เหมือนปัจจุบัน ที่งานอีเว้นท์ไม่มีช่วงหน้าฝน เราก็ยังมีงานอื่น ๆ งานละคร งานพิธีกรบ้างอะไรแบบนี้ ซึ่งงานจับฉ่ายของเราบางทีมันก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างนะ”

 

ความเป็นไทย เอกลักษณ์ที่อยากให้คนไทยทุกคนช่วยกันอนุรักษ์

มีอีกหนึ่งความฝัน ที่ เก่ง อยากทำให้สำเร็จ เพื่อสืบทอด และอนุรักษ์ความเป็นไทยให้คงอยู่ โดยเก่ง ได้เผยเรื่องราวความฝันนี้ให้ฟังว่า “ผมอยากมีคอนเสิร์ต เพราะยังไม่เคยมีคอนเสิร์ตของ เก่ง ธชย อยากทำคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองที่มีศิลปะวัฒนธรรมไทย มีเด็ก แล้วก็มีเทคโนโลยีอยู่ในโชว์ เราอยากให้เด็กได้ดู แล้วก็ยังอยากจะประกวดอยู่ เพราะว่าชอบประกวด ถ้ามีเวทีนานาชาติ ผมพร้อมที่จะไปแข่งเพื่อประเทศชาติ เพราะผมรู้สึกว่าศิลปะวัฒนธรรมไทยสู้ประเทศอื่นได้อย่างภาคภูมิใจครับ

ผมเป็นคนที่ชอบคิดอะไรแปลกๆ ชอบถามอะไรแปลก ๆ ผมกลับไปที่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ผมก็จะชอบถามครูเสมอ ซึ่งเป็นคำถามติดปากเลยว่า ปีนี้เด็กเรียนเยอะมั้ย สกิลเด็กเป็นยังไงบ้าง เพราะเราพยายามดูตลาดว่ากระแสที่เรากำลังทำมันไปถึงเด็กมั้ย ซึ่งตอนนี้มันเป็นกราฟที่ตกนะครับ เพราะบางทีก็ไม่มีเด็กที่จะสนใจเรื่องนี้เลย เราก็รู้สึกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ร่ำรวยวัฒนธรรม แล้วรากเรามันแข็งแรงมาก เรามีรากที่ดีครับ แต่ในส่วนของลำต้น เราว่าลมหายใจมันค่อนข้างจะรวยริน อาจจะต้องอาศัยการช่วยกันหลายมือ

แล้วปัจจุบัน วัฒนธรรมไทยมันเป็นศิลปะ คือคนจะต้องมีชีวิตสมบูรณ์ก่อน ถึงจะมาเสพงานศิลปะ ก็อยากจะรณรงค์ครับ เพราะเราคุยกันตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กแล้ว เก่งเป็นเด็กคนหนึ่งที่ฟังผู้ใหญ่บอกว่า รักษาศิลปะวัฒนธรรมไทยนะลูก จนตอนนี้ 10 ปีแล้วเราเข้าวัยกลางคน เรากลายเป็นลุงเก่งที่บอกเด็กแล้ว เก่งคิดว่าเราทุกคนทำได้ วัฒนธรรมเป็นของสาธารณะ ตราบใดที่คุณเป็นคนไทย ศิลปะวัฒนธรรมคือของของคุณ ดังนั้นอยากให้ทุกคนทำให้สิ่งนี้กลายเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราทุกคนครับ

แล้วตอนนี้มีเปิดโรงเรียนของตัวเองอยู่ครับ แต่เป็นแบบรวมดนตรีครับ แต่ก็เคยคิดที่จะเปิดโรงเรียนดนตรีไทยเหมือนกัน เป็นฟีลสำนักครับ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเปิดเป็นสำนักตัวเอง แต่เก่งว่าปัจจุบัน เครื่องดนตรีไทยต่าง ๆ มันก็มีมูลค่าแพงขึ้น ก็คงจะกลับมาคิดเรื่องเดิม คงต้องอาศัยผู้ใหญ่ช่วยกัน ปัจจัยหลายอย่างครับ มีโอกาสก็อยากทำครับ เปิดเป็นสำนักครูเก่ง สำนักธชย”

 

 

น้อง ๆ ที่มอง เก่ง เป็นไอดอล จงภาคภูมิใจในตัวเอง แล้วจงศรัทธาในความฝันของคุณครับ แล้วพี่ก็รอชื่นชมความสำเร็จของน้อง ๆ เสมอ ไม่ว่าใครจะดูถูกเรา แต่เราห้ามดูถูกตัวเอง ศรัทธาในตนเอง และทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จครับ - เก่ง ธชย

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

 

album

0
0.8
1