เปิดมุมมองชีวิตของ “จ๋า อลิสา” CEO หญิงแห่ง Tiffany’s Show Pattaya มารดาผู้ยกระดับสาวประเภทสองทั่วโลก

Club Pride Day Recap

เปิดมุมมองชีวิตของ “จ๋า อลิสา” CEO หญิงแห่ง Tiffany’s Show Pattaya มารดาผู้ยกระดับสาวประเภทสองทั่วโลก

06 มิ.ย. 2023

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับ Pride Month เดือนแห่งความหลากหลายและความเท่าเทียม กับแขกสุดพิเศษ ผู้อยู่เบื้องหลัง และคอบผลักดันกลุ่มสาวประเภทสองให้ได้มีอาชีพ  และยกระดับให้ทั่วโลกยอมรับผ่านโชว์สุดตระการตา และเวทีการประกวดที่ได้รับความนิยมในระดับโลก

 

เรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มต้นขึ้น เมื่อสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “คุณจ๋า อลิสา พันธุศักดิ์ คุนผลิน” CEO หญิงเก่งแห่งโรงละครTiffany’s Show Pattaya ที่ได้มาพูดคุยเล่าเรื่องราวในการต่อสู้และผลักดัน เพื่อกลุ่มผู้มีความหลากทางเพศ ที่กว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราวที่ คุณจ๋า ได้นำมาแชร์ในรายการ

 

 

กว่าจะเป็น Tiffany’s show เพชรแห่งพัทยา กับการสร้างอาชีพให้ชาว LGBTQ+

กว่า 49 ปี ที่โรงละคร Tiffany’s Show Pattaya ได้มุ่งสร้างสรรค์สุดยอดโชว์ และการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจ จนกลายเป็นภาพจำและความประทับใจของใครหลายคน นอกจากนี้ที่นี่ยังถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองพัทยา มากกว่านั้นคือการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน รวมถึงชาว LGBTQ+ ที่เดินทางจากทั่วประเทศหลายร้อยชีวิต โดย คุณจ๋า ได้เล่าที่มา กว่าจะมีการก่อตั้งโรงละคร Tiffany’s show ให้ฟังว่า “จริงๆ แล้วบ้านจ๋าไม่ได้ทำ Tiffany คนที่เป็น Founder คือ คุณวิชัย แต่เรียกว่า คุณอาอั้งตี๋ นะ ซึ่งท่านเสียชีวิตไปแล้ว แต่ว่าตอนแรกบ้านจ๋าทำธุรกิจท่องเที่ยวในพัทยา ทำโรงแรม คุณพ่อทำร้านแลกเงินตราต่างประเทศ แล้วเค้าก็ไปเห็น Tiffany ที่อยู่ในแหลมบาลีฮาย ตอนนั้น รถทัวร์ รถบัส เข้าไม่ได้เพราะว่ามันเล็กมาก แล้วก็จะมีเรื่องของความเป็นมาเฟียด้วย คุณอาอั้งตี๋ก็เลยมาถามคุณพ่อว่า ต้องทำยังไงดี ช่วยเค้าหน่อยพ่อของจ๋าเค้าก็เลยสร้างเป็นโรงละครให้เค้าเช่า ซึ่งไม่ได้ว่าจะไปเป็นเจ้าของนะ  

เริ่มแรกนักแสดงก็เป็นสาวประเภทสอง ซึ่งโรงละครตอนนั้นมันเป็นเหมือนบ้านค่ะ แล้วก็มีสะพานข้ามสระว่ายน้ำ แล้วในบ้านเค้าก็ทำเป็นโชว์ ตอนแรกนักแสดงมีคนเดียว ก็คือคุณอ๊อด คุณอ๊อดเนี่ยเป็น Director ปัจจุบันยังอยู่นะคะ ซึ่งคุณอ๊อดกลับมาจากฝรั่งเศส แล้วคุณอาอั้งตี๋ก็ชวนบอกว่า เออฉันอยากจะเปิดบาร์ อ๊อดเธอมาโชว์ให้หน่อย เค้าก็เลยทำโชว์คนผิวดำ เล่นเป็น ไดอานา รอสส์ แล้วก็ติดประกาศบนรถแห่ในพัทยาว่ามีสาวผิวดำมาร้องในบาร์บาร์ทิฟฟานี่โชว์ คุณอ๊อดก็เลยเหมือนปลอมตัวว่าเป็นคนผิวดำ แล้วสามารถลิปซิงก์เป๊ะ พอหลังจากนั้นคนก็พูดกล่าวถึงว่าทิฟฟานี่โชว์บาร์นี้มันสนุกนะ เค้าก็เลยไปเรียกเพื่อน ๆ ที่เป็นเกย์ทั้งหลายมาทำโชว์ ตอนแรกที่เค้าเปิดเนี่ยเค้าทำเป็นเหมือนบาร์ แล้วขายเหล้า ขายดริ๊งค์ แล้วก็โชว์ฟรี ก็คือขายดริ๊งค์ 100 นึง แล้วก็ดูโชว์ไปอะไรอย่างเงี้ยค่ะ

พอทำไปทำมาประมาณ 2 ปี คุณอาอั้งตี๋เค้าก็บอกว่าเค้าทำไม่เป็น จากนั้นคุณพ่อก็เลยเข้าไปช่วยค่ะว่าจะทำไงดี รถก็เข้าไม่ได้ คนก็ลำบากมาก เค้าก็เลยบอกว่าเออ เค้าจะสร้างโรงละคร ประมาณ 550 ที่นั่งค่ะ ก็ทำให้ทัวร์เข้ามาได้ แต่ว่าปีนั้นพ่อเค้าก็คงคิดว่าคุณอาอั้งตี๋ก็คงรู้ว่าจะทำยังไง เพราะว่าก่อนหน้าเนี้ยมันเหมือนว่าเค้าก็ขายได้อยู่ แต่ปรากฎว่าเค้าขายไม่ได้ พอย้ายที่ ย้ายบุคลิกเป็นโรงละครเก้าอี้นั่งแบบนี้ เค้าก็ไม่รู้ว่าจะไปขายใคร เพราะว่าไม่ใช่บาร์ คุณอาเค้าจะคืนโรงละคร คุณพ่อก็เลยบอกว่าเด็กเยอะนะ ตั้ง 35 คน จะให้เค้าไปทำอะไร คุณอาบอกว่าก็ปล่อยมันกลับบ้านไป คุณพ่อก็บอกว่าไม่ได้ ๆ ควรจะทำต่อ แล้วพ่อก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวผมมาทำงานด้านบริหารเอง แล้วอั้งตี๋ก็ทำโชว์ไป แล้วหลังจากนั้นคุณพ่อก็เลยไปขายทั่วโลก ไปขาย ททท. เพื่อที่จะขาย Agent ให้มาดูโชว์นี้

คือพ่อของจ๋าเวลาจะคิดอะไร เค้าก็จะคิดไกลมากเลย เค้าเคยเป็นลูกจ้างโรงแรม แล้วเค้าก็มองเห็นว่าร้านแลกเงินตราในต่างประเทศรายได้ดีมากเลย เค้าก็เลยผันตัวออกมาทำร้านแลกเงิน อันนั้นคือจุดเปลี่ยน เค้าก็เป็นคนทำมาหากิน พอเค้ามาทำร้านแลกเงิน เค้าก็อยากทำโรงแรม เคยเป็นคนโรงแรมก็อยากจะเป็นเจ้าของโรงแรม พอเป็นเจ้าของโรงแรมก็ไปเช่าที่ที่นึง ที่ทิฟฟานี่ปัจจุบัน แล้วก็บอกว่าเนี่ยจะทำโรงแรม พอมองไปมองมา เพื่อนที่อยู่ในวงการโรงแรมบอกว่าตรงนี้ที่มันไม่ติดทะเลอย่าทำเลย เค้าก็เลยไปหาเรื่องใหม่ทำ ก็คือไปสร้างโรงละครให้คนอื่นเช่า เค้าไม่ได้แค่นั้น เค้าทำสนามยิงปืน สนามธนู คือจ๋าว่าเค้ามองการณ์ไกล สิ่งที่สำคัญที่จ๋าว่าเค้ามองเพราะว่าเค้าอยู่ในธุรกิจการท่องเที่ยว เค้าก็มองอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรที่มันจะสร้างรายได้บ้าง แล้วเค้าก็มองว่าSea Sand Sun เนี่ยทุกคนก็ขาย โรงแรมสร้างคนก็ขายแล้ว มันมีอะไรบ้างที่ตอนกลางคืนคนต้องทำ โดยที่ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องของการกินเหล้าเมายาอย่างเดียว เค้าก็เลยบอกว่า เอ็นเตอร์เทนเม้นท์เป็นสิ่งที่ขาดในเมืองพัทยา เค้าก็เลยคิดว่ามันต้องดี”

 

 

Tiffany’s show กับการต่อสู้กับอคติของผู้คน

ในยุคแรกของ Tiffany’s Show มีหลายครั้งที่พวกเขาต้องพบกับอุปสรรคจนเกือบจะล้มเลิก ทั้งไม่สามารถจูงใจคนให้มาซื้อตั๋วดูได้ เพราะโชว์ของหญิงข้ามเพศยังเป็นเรื่องใหม่ หรือการที่คุณพ่อของคุณจ๋าโดนเหยียดหยามจากคนในวงการท่องเที่ยวเมื่อไปเสนอขายแพ็กเกจ ซึ่งคุณจ๋า ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “สมัยก่อนพี่อ๊อดก็จะเล่าให้ฟังเสมอว่า พี่อ๊อดก็หนีจากที่บ้านมา แล้วก็มาทำโชว์ทิฟฟานี่โดยที่คุณพ่อเค้าก็เป็นทหาร แล้วในที่สุดคุณพ่อก็จับได้ แล้วก็เอาตำรวจมาจับ เพราะคิดว่ามีใครมาอ้างชื่อลูกเค้าว่าเป็นดาราใหญ่ที่นี่ ซึ่งเค้าไม่เคยรู้เลยว่าลูกเค้าเป็นดาราใหญ่ ซึ่งเค้าก็มาจับ

แล้วสมัยก่อน พี่อ๊อดบอกว่าการที่เราลงมาทำโชว์เนี่ยไม่ได้เงินเดือนนะ ทำด้วยใจรัก ตอนที่อยู่ที่ทิฟฟานี่บาร์ ทำแล้วทิปคือเงิน แล้วก็พอดีมีบ้านให้อยู่ มีสระว่ายน้ำ มีอะไรที่ทำให้เค้าอยู่ได้ ทำให้เค้าอยู่ด้วยความสุข พอมันดังขึ้นเรื่อย ๆ คนทุกคนก็มาสมัคร ซึ่งการมาสมัครต้องนั่งรอตากแดดกันเป็นวันๆ  เพราะว่าโควต้าการที่จะรับมันน้อยมาก แล้วทุกคนต้องมาโชว์ศักยภาพแล้วก็ไม่ได้เงินนะ เค้ารอทิปอย่างเดียว เค้าก็มาแล้วก็เหมือนบอกว่ามาตายเอาดาบหน้า

จ๋าเป็นคนโชคดีค่ะพี่ เราเกิดมาพร้อมกับสาวประเภทสอง หรือ LGBTQ+ คือจ๋าเห็นมาตั้งแต่ 5 ขวบ จ๋าเต้นตาม จ๋าดูแล้วจ๋าก็มีความสุข สิ่งที่เราได้ทุกวันที่เราเดินตามพ่อไปดูก็คือ คนนี้เนี่ยเค้าเก่งจังเลย คนนี้เค้าร้องเพลงนี้ เพลงนี้เราร้องได้นะ คือเค้าเป็นซุปเปอร์สตาร์มากในใจเรา แล้วเราเป็นเด็ก เราก็ชอบเต้น ชอบร้อง เราก็เห็นแล้วเราก็รู้สึกเฉย ๆ พอเราเรียนหนังสืออยู่เตรียมอุดมฯ อยู่จุฬาฯ ทุกอาทิตย์เราก็ชวนเพื่อนว่าไปดูมั้ยทิฟฟานี่ เพื่อนก็ไปดูกันเป็นกลุ่มๆ เราก็รู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ แล้วเพื่อนเราก็ไม่เห็นอะไรกับเราหรือจะต้องรู้สึกแปลก พวกเขารู้สึกดีด้วย มากรี๊ดด้วยกัน มาสนุกด้วยกัน

พอจ๋าเรียนหนังสือจบ จ๋าก็มาทำงานกับพ่อ ในตอนนั้นจ๋าโดนคนพูดถึงในลักษณะแบบขนาดที่ว่าเราทำงานกลางคืน ทำงานกับกะเทย เหมือนเราเป็นคนอีกชนชั้นวรรณะอ่ะพี่ ซึ่งเราก็แบบ เอ๊ะเราไปขายโชว์ เราก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเราจะด้อยค่า ก่อนหน้านี้ลูกน้องก็เคยมาพูดให้ฟังตลอดว่าการมีบัตรทิฟฟานี่เนี่ย เป็นใบเบิกทางทุกอย่างในชีวิตเค้า เนื่องจากว่าการที่เค้าออกไปข้างนอกเนี่ยเค้าจะไม่โดนตำรวจจับ เค้าไปไหนเค้าก็จะบอกว่าเนี่ยเค้ามีอาชีพรับเป็นหลักเป็นแหล่งนะ แต่พอถูกด้อยค่า จ๋าก็รู้สึกว่ามันแปลก แปลกในความที่ว่าขนาดเราจบปริญญาโท ก็ไม่ได้ด้อยค่าตัวเองขนาดนั้น แต่พอกลับมา จ๋าก็รู้สึกว่าเพื่อนแต่ละคนก็เข้าไปอยู่ในองค์กรเค้าก็ดูดีมากเลย แล้วเค้าก็มาด้อยค่าเราเหมือนประมาณว่าแกไปยุ่งอะไรกันนักหนากับกะเทย

คือจ๋ามองว่าพ่อประสบความสำเร็จในอาชีพนี้อยู่แล้ว พอเรากลับมา เราก็คิดว่าเมื่อมันสร้างรายได้อยู่แล้ว เราจะมาทำอะไรให้กับองค์กรนี้ คือเราก็รู้สึกว่าเราเป็นหนี้กับองค์กรนี้นะ พ่อก็ชอบพูดบอกว่ากะเทยเนี่ยเต้นจนจ๋าได้เรียนหนังสือจบทุกวันนี้ ซึ่งพ่อพูดอีกก็ถูกอีก ทำให้วันแรกที่จ๋าเข้ามา จ๋าก็เลยมาทำมิสทิฟฟานี่”

 

 

Miss Tiffany’s Universe เวทีประกวดเพื่อสร้างมาตรฐานให้สังคมได้เห็นคุณค่าและยอมรับสาวประเภทสอง

เรียกว่าเป็นเวทีประกวดที่สาวประเภทสองหลายคนใฝ่ฝัน และตั้งตารอชมการประกวดในทุกๆปี แถมยังเป็นเวทีที่ช่วยสร้างมาตรฐานให้สังคมได้เห็นคุณค่า ความงดงาม จนเกิดการยอมรับสาวประเภทสอง โดยคุณจ๋า ได้เล่าที่มาจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งเวทีนี้ให้ฟังว่า “คือจริงๆ อาจารย์เสรีมาเปิดปี 1998 ด้วยความที่ว่าทำอยู่ในโรงละครเลยเป็นผลงานที่แบบดูกันเอง แต่ปีที่จ่ามาพอดีช่วงนั้นพ่ออยากไปเรียนหนังสือต่อ พ่ออยากไปทำงานสังคม พ่อก็บอกว่าเออมาทำ จ๋าก็มานั่งนึกว่าจ๋าจะทำวิธีไหน แล้วอาจารย์เสรีก็เปิดทางมาให้ คือจ๋าก็ไม่ได้เรียนมาร์เก็ตติ้งมา แต่ว่าท่านก็สอนเรามาโดยตลอดว่าการประกวดต้องมีทุก ๆ ปีแบบนี้ค่ะ ปรากฏว่าพอเข้ามาทำเราก็บอกว่าถ้าเราจะทำดูกันเองไม่ได้ เพราะอยากให้ทุกคนได้เห็น แล้วก็เข้าใจความเป็นธรรมชาติของกะเทย เพราะฉะนั้นเราจะต้องออกทีวี จ๋าก็เลยวิ่งเข้าหาทีวี ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครอยากให้กะเทยออกทีวี แต่ก็สู้จนได้ออก ITV ตอนนั้นต้องให้คุณพ่อช่วยพูดช่วยประสานงานเยอะมาก และ ITV เป็นทีวีเสรีและมีนโยบายชัดเจนว่าต้องให้คนทุกเพศสามารถออกมาพูดได้ จากนั้นจ๋าพยายามจะไปหลายช่องมาก ยากมากเลย

ผลตอบรับหลังจากได้ถ่ายทอดสดดีมาก ตอนนั้นจ๋ายังไม่ได้ทำโปรดักชั่นเลย จ๋าทำเรื่องทีวีอย่างเดียว จ๋าจับเรื่องทีวีโฆษณาอะไรพวกเนี้ย แล้วพ่อเค้าบอกว่าลองดูซิจะมีใครมาสนับสนุนมั้ย ซึ่งตั้งแต่วันแรกประตูน้ำสนับสนุนจ๋าตั้งแต่ปีแรกจนปัจจุบัน เพราะทุกคนที่อยู่ด้วย ส่วนใหญ่เค้าไม่ได้มองเรื่องแบบว่าอยากจะได้โฆษณาอะไรมากมายหรอก เค้าเห็นเรื่องความถูกต้อง เค้าก็อยู่กันมาจนปีนี้จะ 25-26 แล้ว

พอทำนางงาม ทุกคนจะมองว่าสวย ๆ แต่จ๋าไม่รู้ว่าใครสวยกว่าใคร แล้วสมมติเวลา 10 คนสุดท้ายแล้วต้องคัดเหลือ 3 คนสุดท้าย จะให้ใครได้ที่ 1 เป็นเรื่องยากมากสำหรับจ๋า เพราะเรามองไม่เหมือนคนอื่น เราจะมองว่าคนนี้เค้าดียังไง เค้าเก่งยังไง แล้วเวลาเราทำงานทิฟฟานี่โชว์ทุกคนก็สวย ซึ่งเราก็จะเอามาให้เหมาะกับคาแรกเตอร์ คนนี้ก็เหมาะกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นงานของจ๋ามันเป็นงาน HR ประมาณว่า เราจับคนให้ถูกเรื่อง แล้วเค้าก็จะทำงานได้ดี แล้วเราไม่ได้บอกว่าคนนี้ต้องสวยกว่าคนนี้ คนนี้ก็ต้องได้อันนี้ แต่มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของว่างานนี้มันเหมาะกับคนนี้ พอเราทำไปทำมาจ๋าก็คุยกับทีมว่า ทุกคนเราจะต้องมี content เราจะต้องมีเรื่องที่ทำให้เค้าต้องเข้าใจเรา เข้าใจว่าเราทำงานอะไร มันมีค่ายิ่งกว่าการทำให้สวย

แต่นางงามก็ต้องสวย แฟชั่นก็ต้องมา เราก็ต้องเก็บรายละเอียด เพราะฉะนั้นมันก็จะมาด้วยกันในเรื่องของความสวย กับเรื่องของความเข้าใจในคุณค่าของคน จ๋าเลยทำเรียลลิตี้ และพยายามที่จะทำทุกทางค่ะ เพื่อให้คนดูไม่เบื่อแล้วคนดูก็จะได้เพิ่มมากขึ้นไม่ใช่ว่ากะเทยดูกันเอง

จ๋าเป็นคนไม่ได้เลือก 30 คนสุดท้ายที่เราจะได้มา เราอยากจะทำให้ทั้ง 30 คนเป็นตัวแทนออกไปข้างนอก ก็คือ 30 คนเนี้ยจะอยู่จังหวัดไหนก็ตามก็ต้องเป็นตัวแทนที่ดี อยากให้เป็นตัวของตัวเอง อยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดี อยู่ในวัฒนธรรมที่ถูกต้อง อยู่ในจริตที่คนทุกคนในสังคมยอมรับ มันกลายเป็นเหมือนคลาสในแต่ละปี แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าเราสามารถไปบอกคนอื่นได้ ว่าฉันเคยเป็น 30 คนสุดท้าย เพราะฉะนั้นมันจะมีกรอบอยู่นิด ๆ ว่าเธอต้องทำให้ดีนะในการใช้ชีวิต ในการที่จะทำอะไรซักอย่างนึง ทำให้ดีนะ เธอคือมิสทิฟฟานี่ปี 2023 แล้วนะ อะไรแบบนี้ค่ะ”

 

 

Miss International Queen เวทีสร้างความเท่าเทียมที่ทั่วโลกจับตามอง

เมื่อได้เริ่มทำ Miss Tiffany’s Universe จนได้รับความนิยมจากคนในประเทศ คุณจ๋า ก็ไม่หยุดที่จะคิดต่อยอด และยกระดับเวทีการประกวดสาวประเภทสอง จึงได้จัดตั้งการประกวด Miss International Queen เพื่อเป็นการประกวดแบบนานาชาติขึ้น โดย คุณจ๋าได้เล่าที่มาของการจัดตั้งเวทีดังกล่าวให้ฟังว่า “คือจ๋าก็เห็นนางงามผู้หญิงก็ต้องไปมิสยูนิเวิร์ส แล้วทุกคนก็มีความฝัน ตอนนั้นว่าจะทำไงดี เราก็มองในเรื่องของธุรกิจว่าทำยังไงให้มันเป็นมาร์เก็ตติ้ง จ๋าก็เลยพาผู้ได้ตำแหน่งไปประกวดมิสควีนที่อเมริกาไป 3 ปีก็ได้ 3 ปี ชนะหมด ซึ่งสูตรสำเร็จไม่มีอะไร คือเตรียมพร้อมดีมากทุกชุด ทุกวิธีการเดิน คือแค่เราเตรียมตัวมันก็ชนะแล้ว ซึ่งเวทีเค้าก็เล็ก จ๋าก็เลยมานั่งนึกว่า แล้วทำไมเราต้องลงทุนไปต่างประเทศ ประเทศเรามีทุกอย่าง โรงละครเราก็มี

จ๋าก็เลยพูดกับพ่อว่า มิสทิฟฟานี่ 30 ปี จ๋าอยากทำอะไรใหม่ ๆ จ๋าอยากทำ Miss International Queen ที่เราเป็นลิขสิทธิ์ พ่อก็เลยบอกว่าหาเรื่อง เพราะว่าจะไปหากะเทยมาจากไหน แต่จ๋าก็แบบก็ต้องทำได้ เหมือนอยากจะเอาชนะ ปรากฎว่าคางเกือบเหลือง คือไม่ได้นอนเลย ต้องอีเมล์หาเกย์คอมมูนิตี้ทั่วโลกเลยเพื่อที่จะให้เข้ามาประกวด ปรากฎว่าวันที่ทำได้พ่อก็เลยบอกว่าเออเหนื่อยเน้อะ รู้ว่าเหนื่อย เงินก็ไม่ค่อยได้นะคะ ทำไปก่อน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกว่าถ้ามันมีความเชื่อมันต้องทำได้

ทำไปทำมาปีแรก ปอย ตรีชฎา ได้ ฉันก็อยากปิดโรงละครอยู่แล้ว คิดว่าปีหน้าคงไม่มีใครมาสมัครแล้ว เพราะเหมือนกับว่าประเทศเราให้กันเอง ล็อคมองอะไรอย่างเงี้ย แต่พอมาปีที่สองก็ผ่านมาได้ด้วยดี คิดว่าคนก็คงมองเห็นเหมือนกันว่าคนไหนสวย คนไหนถูกต้อง และจ๋าก็เลยไม่เคยตัดสินเอง จ๋าให้คณะกรรมการตัดสิน ปีแรกอาจารย์เสรี ให้คะแนนออกมาคนได้คือปอยนะ ใจก็พูดบอกว่า แล้วปีหน้าจะมีคนมาสมัครมั้ย อาจารย์เสรีเค้าบอกว่า ถ้าเราไม่ให้ตามคะแนนก็เหมือนเราแกล้งเด็ก เหมือนลบคำพูดตัวเองเลยนะว่าความเท่าเทียมอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นจ๋าก็เลยคิดว่างานนี้จะต้องเป็นของกรรมการ ดวงใครได้คนนั้นก็ต้องได้ เพราะถ้าให้จ๋าเลือก จ๋าก็เลือกไม่เหมือนที่ได้ที่หนึ่ง”

 

 

“อั๋น ภูวนาท - จ๋า อลิสา” รักเกิดจากงานทิฟฟานี่

คุณจ๋า ผูกพันกับ Tiffany’s Show มาก แม้กระทั่งความรักก็เจอจากเวทีการประกวด Miss Tiffany’s Universe โดยคุณจ๋า และ คุณอั๋น ได้เล่าเรื่องราวความรักครั้งนี้ว่า “เพื่อนจ๋าเค้าสนิทกับภูวนาท จ๋าก็บอกว่าเธอแนะนำให้หน่อยสิหาพิธีกรอยู่ ตอนนั้นจ๋าก็เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังดูละครหรืออะไร เค้าก็เลยแนะนำว่าเพื่อนเราอยู่เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เค้าเป็นพิธีกร เป็นนักร้องด้วย ตอนแรกก็จ้างไปเป็นนักร้องที่โรงแรม แล้วก็รู้ทีหลังว่าเค้าก็เป็นพิธีกรด้วย เราก็เลยชวนมาเป็นพิธีกร

สมัยก่อนหายากมากเลยนะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่คือไม่อยากจะมาเวทีสาวประเภทสอง ผู้หญิงก็ด้วยนะ ผู้หญิงก็จะรู้สึกแบบไม่ถูกที่ถูกทาง บางทีเราก็เสียใจนะ แต่เราก็เสียใจไม่ได้ คือแบบเราโกรธใครไม่ได้เพราะเราอยากจะให้ทุกคนเข้าใจเรา เราก็จะต้องเข้าใจเค้าก่อน เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องพยายามปรับ Mindset แล้วก็หาคนใหม่แค่นั้นเอง เราทำงานด้านนี้มาต้องเข้าใจก่อน ให้โอกาสคนอื่นก่อน ก็คือการที่เค้าจะกลับมาหันมามองเรา และตอนนั้นเค้าก็บอกว่าเนี่ยผมมองงานคุณอยู่นะ ผมโอเค

แรกๆ จ๋าไม่เคยสนใจเค้า จ๋าทำแต่งาน จ๋าก็มีความรู้สึกว่าเค้าคุยเก่ง เค้าก็เขียนไลน์มาโน่นนี่ แล้วเค้าก็ไปเจองานโน้นงานนี้ งานลูกเสือโลกของพ่อเค้าก็ไปเป็นพิธีกร เค้าก็มาเจอ อยู่ดีๆ ก็แบบเมคแบบสนิท ก็เขียนบีบีมาโน่นนี่ เราก็คุยด้วย สมัยก่อนคนรอบกายจ๋า เค้าก็มองว่าอั๋นไม่ใช่ชายแท้ ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดว่าเค้าจะมาจีบเราหรอก และเราก็ไม่เคยพูดกับคนอื่นว่าเค้าไม่ใช่ชายแท้ เพราะว่าเค้าไม่เคยแสดงออกให้เราเห็นว่าเค้าเป็น เราก็จะเฉย ๆ ซึ่งพอเค้าเขียนคุย เราก็คิดว่า เอ๊ะ คนเป็นเกย์มันจะเป็นอย่างงี้เหรอ อันนี้คือมันมีความที่เราอยากคุยด้วย ถ้าเป็นเกย์จริงก็มาเม้าท์กันดีกว่า”

คุณอั๋น เล่าต่อว่า “แต่ว่าเราคุยเรื่องมีสาระกันมาก ไม่มีการแพลน เพราะรู้สึกว่าการจะจีบใครซักคนนึงใช้พลังเยอะมาก เพราะเราไม่ได้จีบแค่เค้านะ เราต้องจีบเพื่อนเค้าทุกคน แล้วเราไม่รู้จักพ่อแม่เค้า ไม่รู้จักเพื่อนสนิทเค้า โอ้โหเหนื่อย ทั้งหมดมันก็เริ่มแค่นั้นอ่ะครับ พอมองแล้วรู้สึกว่าชอบเลยลองคุยดู พอคุยปุ๊บมันง่ายมาก ไม่ได้หมายความว่าเค้าง่ายนะ แต่ไม่เคยต้องคิดว่าจะคุยอะไร มันไหลไปเลยอ่ะ แค่นั้น”

 

จากคนไม่เคยอยากแต่งงาน สู่จุดที่ตัดสินใจแต่งงาน

เพราะเป็นคนที่ชอบทำงาน จนทำให้คุณจ๋าไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน แต่ก็มาถึงจุดที่ต้องคิดใหม่ และตัดสินใจแต่งงาน โดยคุณจ๋าเล่าให้ฟังว่า “จ๋าไม่เคยเป็นแฟนออกหน้าออกตาให้พ่อแม่เห็นเลย เพราะเราก็เกรงใจคุณพ่อ แต่แม่ก็เหมือนแอบรู้ตลอดเวลา ซึ่งแม่ได้ได้อะไร แม่ชอบแซว แต่ในความที่เรามีพ่อเป็นไอดอลของการทำงาน เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้ เราจะให้พ่อเห็นเราแต่มุมทำงาน อันที่สองก็ฉันจะออกไปจากครอบครัวทิฟฟานี่ได้เหรอ มันเหมือนเรารู้สึกผูกพันมาก เพราะฉะนั้นมันจะเหมือนว่าเราทิ้งพวกเค้าไม่ได้ มันคิดเยอะ แล้วก็อีกอันจะออกจากบ้านไม่ได้ เพราะเป็นคนติดบ้าน แล้วก็รู้สึกว่าฉันจะไปอยู่กรุงเทพยังไง อยู่พัทยาเช้ามาไปทำงานเย็นกลับบ้านมากินข้าวมันมีความสุขอยู่แล้วจนชิน จนไม่อยากจะแต่งงาน แล้วทุกคนก็มองจ๋าว่าเป็นคนที่กลัวการแต่งงานอยู่แล้ว

อีกอันหนึ่งคือคนรอบกายที่รักเรา แล้วก็มองว่าภูวนาทเป็นเกย์ก็มาเตือน บอกว่ามันไม่ได้ ต้องไม่ใช่คนนี้ เราก็ฟังนะ แต่เราก็บอกว่าเดี๋ยวเราต้องคิดเอง คนข้างนอกพูดมันไม่เท่ากับเรารู้ เค้าก็เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายตั้ง 7-8 ปี เอาจริง ๆ คนใกล้ชิดทุกคนก็กลัว ห่วงเรากลัวว่าเราจะเสียใจ แล้วจ๋าก็บอกว่าเราดูมา 7-8 ปีอ่ะ ไม่มีใครเชื่อเราเลย

จุดเปลี่ยนคืออั๋นมาเลิก เลิกไปประมาณจะปีนึง และในการที่เราเล่นโยคะทุกวัน ตอนนั้นคือเล่นไม่ได้จริง ๆ คือเรามีความรู้สึกว่าเราคิดถึงเค้า เลยคิดว่าทำไมเราต้องฟังเสียงคนอื่นแล้วเราไม่มีความสุข ทั้งหมดทั้งมวลเราไม่มีความสุขมาเป็นปี แล้วเราก็เลิกกับเค้ามาเป็นปี ทุกครั้งที่ทะเลาะกันคือเรานิสัยไม่ดี เค้าก็ไม่เคยทำนิสัยไม่ดีใส่เรา เราก็บอกว่าเออมันถึงเวลาแล้วหล่ะที่ฉันจะแต่งงาน

ชีวิตหลังแต่งงานคือมันมีความสุข แต่คือรู้เลยว่าการที่เราโตแล้วเราจะต้องคอมมิทกับเรื่องอะไร เราต้องคอมมิทก่อนแล้วเราก็ค่อยกระโดดเข้าไปอยู่ พอเรากระโดดเข้าไปอยู่แล้วเราก็จะทำให้ดีที่สุด ตอนนี้แม้จะมีลูกสองคน จะไม่ได้นอน จะอะไรทุกอย่างก็มีความสุข ขนาดเมื่อก่อนเรานอนกันเตียงใหญ่ ๆ วันนี้เรานอนกันเบียด 4 คนยังมีความสุขเลย

อั๋น เค้าเป็นยังไง เค้าเป็นอย่างงั้น เค้าไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย เค้าเปิดหมดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เป็นคนเปิดเผย อยู่เฉยๆ ก็ไลฟ์เล่าเรื่องตัวเองให้คนทั้งโลกรู้ ไม่มีอะไรที่โลกนี้ไม่รู้

ด้านคุณอั๋น ก็ได้พูดถึงภรรยาไว้ด้วยว่า “ในมุมอั๋น ผมมองว่าเค้าเป็นธรรมชาติในความสมบูรณ์แบบ และความไม่สมบูรณ์แบบอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเราก็มองว่าเค้าคือคนหนึ่งคน แล้วก็มองสิ่งที่เค้าตั้งใจทำ แล้วก็ภูมิใจในตัวเค้า บางครั้งเราก็กลับบ้านไปแล้วเห้ยทำไมบ้านรก ก็นึกในใจว่าอ๋อเค้าดูแลคนอีกเป็นพันคนนะ บ้านรกแค่นี้เก็บให้เค้าก็ได้ มองทุกอย่างเป็นธรรมชาติ มันเลยเข้าใจว่าเราต่างกันก็ได้ โดยที่ไม่ต้องทะเลาะกัน”

 

 

มุมมองคุณจ๋าต่อ LGBTQ+ ต้อนรับ Pride Month

“เรื่องที่จ๋าทำอยู่ตลอดคือเรื่องของความเท่าเทียม เรื่องของสิทธิมนุษยชน เรื่องของการไม่อยากให้คนใดคนหนึ่งไปละเมิดสิทธิ์ใคร แม้กระทั่งเราจะสอนลูกเราก็จะพูดแบบนี้ เพราะฉะนั้นจ๋าคิดว่าทุกคนที่เป็น LGBTQ+ ต้องรู้ก่อนว่าสิทธิ์เราคืออะไร แล้วเราควรจะทำแค่ไหน เรามีอะไรบ้างที่เราควรจะเป็น ไม่ใช่เราไปละเมิดสิทธิ์คนอื่นนะ เอาแค่รู้สิทธิ์ตัวเองก่อน เหมือนวันนี้เราพูดเรื่องสมรสเท่าเทียมกันหลายคนก็ยังไม่มีความเข้าใจตรงนี้เลย

เพราะฉะนั้นจ๋าคิดว่าเวลาเรารวมตัวกัน เรารวมตัวเรื่องความสนุกอ่ะง่าย เรื่องความรู้ที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้เราต้องไม่ลืม อย่าให้องค์กร อย่าให้นักการเมือง มาเห็นเรื่องนี้แล้วมาบอกว่าเดี๋ยวเรียกร้องให้ แต่จริง ๆ แล้วเค้าใช้ประโยชน์เรามากกว่า

เราต้องรู้ตัวเรามากกว่าว่าเราต้องการอะไร แล้วเราก็ต้องช่วยกันให้สังคมนี้มันเป็นสังคมไร้เพศ คือจ๋าไม่ได้มองแค่ในเรื่องของ LGBTQ+ นะ แต่มองว่ายิ่งเราแบ่งกลุ่มมันยิ่งเยอะเหลือเกิน LGBTQ+ อะไรทุกอย่าง แต่ว่าจริง ๆ จ๋ามองแล้วทุกคนเหมือนกัน แล้วเราจะทำให้สังคมนี้มันไร้เพศ โดยที่เข้าใจซึ่งกันและกันว่ามนุษย์เป็นยังไง”

 

 

“ต้องบอกว่าจ๋าโชคดี เพราะจ๋าเกิดมาจากมิสทิฟฟานี่ โชคดีที่ได้ทำงานทิฟฟานี่ มันไม่เครียดเลย มันมีแต่ความเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มันมีแต่ความสุข เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่เรารัก มันก็เหมือนกันกับที่ จ๋าก็ได้พลังงานดีๆ จากลูกน้องจ๋า ที่เค้ามาทำงาน เค้ารัก เค้าไม่ได้มาทำงานแบบรู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ เหมือนเป็นพลังที่เสริมกัน” - จ๋า อลิสา

 

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1