เปิดสตอรี่ที่เปี่ยมแรงบันดาลใจ จาก “เบนซ์ ขมคอ” อินฟลูฯตัวแม่ ผู้อัปเดตทุกกระแสโซเชียล

Club Pride Day Recap

เปิดสตอรี่ที่เปี่ยมแรงบันดาลใจ จาก “เบนซ์ ขมคอ” อินฟลูฯตัวแม่ ผู้อัปเดตทุกกระแสโซเชียล

04 ธ.ค. 2024

“ความพยายามไม่เคยทรยศใคร เพราะกว่าจะเป็น เบนซ์ ขมคอ ได้ทุกวันนี้มันเกิดจาก ความพยายามล้วน ๆ เลย ใครที่ช่วงนี้ชีวิตท้อแท้อยู่ วันนี้เราอาจจะพยายามมาเป็นร้อยครั้ง แต่ใครจะไปรู้ มันอาจจะสำเร็จครั้งที่ 101 ก็ได้”

 

 

Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “เบนซ์ ขมคอ” จากผู้เข้าประกวดร้องเพลงในรายการดัง ด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ บวกกับการได้เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เขากลายเป็นผู้เข้าประกวดที่ได้รับความนิยม สู่ชีวิตที่พลิกผัน ให้กลายเป็นผู้อัปเดตทุกกระแสในโซเชียลผ่าน Tiktok จนกลายเป็นที่รู้จัก เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการ

 

ย้อนวัยใส ของ ด.ช. จิรายุ

“เอาจริง ๆ โลกในโรงเรียนของเบนซ์บันเทิงมากเลย ซึ่งเบนซ์เรียนที่เชียงใหม่ แล้วโรงเรียนของเบนซ์ เป็นโรงเรียนหญิงล้วน ซึ่งเพิ่งมีการรับนักเรียนชายได้ไม่กี่รุ่น ดังนั้นในห้องก็จะมีผู้ชายไม่เยอะ นักเรียนผู้หญิง 40 คน ผู้ชาย 8 คน เป็นกะเทยไปแล้ว 7 ทำให้การเล่นต่าง ๆ กับเพื่อนหรือจริตการพูดคุย มันก็เลยกลายเป็นความธรรมชาติมาก ๆ บวกกับที่เบนซ์อยากเรียนนิเทศศาสตร์ด้วย เพราะเราชอบวงการบันเทิงอยู่แล้ว แล้วก็มีโอกาสได้มองเห็นพี่ชายตัวเองที่เค้าอยู่ในวงการบันเทิงแล้วมันมีความสุข ก็เลยอยากจะอยู่วงการบันเทิงบ้าง

เบนซ์เรียนจบ คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอก Voice เพราะมีความใฝ่ฝันอยู่แล้วว่าอยากเป็นนักร้อง จนมาเจอรายการ Stage Fighter ไมค์หมู่ สู้ฟัด ที่เค้าจะให้ออกซิงเกิล ได้ขึ้นคอนเสิร์ตกรีนเวฟ ขึ้นคอนเสิร์ตแกรมมี่ แล้วก็ได้เงินรางวัล เราเลยคิดว่านี่แหละ รายการที่ฉันจะประกวด แต่ก่อนหน้านั้น เบนซ์ก็เคยประกวด AF ซึ่งตอนประกวดเรายังไม่ได้เปิดเผยตัวตนมากมายขนาดนั้น”

 

 

การประกวดร้องเพลง ที่ไม่ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่

“ตัวตนของเราในตอนที่ประกวด AF ไม่มีการเปล่งประกายอะไรออกมาเลย แทบไม่ได้เป็นตัวเองเลย เพราะเรากั๊ก ตอนนั้นแอ๊บแมนอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าการเป็นตัวเอง มันจะมีมวลความสุขออกมาให้คนอื่นเห็นขนาดนี้ ซึ่งตอนประกวดซีซั่น 8 มันจะมีให้เข้าบ้าน 1 อาทิตย์ 36 คนสุดท้าย แล้วมันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เบนซ์รู้สึกว่า หรือการแสดงออกมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าตอนนั้น เบนซ์มีโอกาสได้เข้าไปรอบ 36 คนสุดท้ายจาก Fast Track เข้ารอบสุดท้ายไปเลย ปรากฎว่าพอเราเข้ารอบ 36 คนสุดท้ายก็มีกรรมการท่านหนึ่งเดินมาพูดกับเราว่า ถ้าวันนั้นเค้าอยู่ คุณไม่ได้เข้ารอบมาถึงตอนนี้หรอก เราก็เลยคิดว่าการแสดงออกมันจะดีไหม นี่ขนาดเรายังไม่แสดงออกเต็มที่นะ ยังโดนปิดกั้นขนาดนี้ แล้วถ้าเราแสดงออกเต็มที่ ก็คงไม่มีโอกาสเลยมั้ง เราก็เลยติดอยู่กับความคิดนั้นมานานมาก ๆ”

 

ย้อนที่มากว่าจะเป็นชื่อ เบนซ์ ขมคอ

“ชื่อนี้เกิดจากการที่เบนซ์มีโอกาสไปประกวดรายการของทางจีเอ็มเอ็ม 25 ก็คือรายการ Stage Fighter ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้ตามหานักร้องที่เสียงดีอย่างเดียว แต่ต้องมีคาแรกเตอร์ มีการเอ็นเตอร์เทนต่าง ๆ ด้วย ซึ่งเบนซ์ก็ได้ไปออดิชั่น ก็รวมทีมกับเพื่อนอีก 2 คนชื่อ เมย์ กับ มุก

แล้วชื่อขมคอ มาจากที่วันนั้นพวกเราสามคนเป็นนักร้องกลางคืน ซึ่งแน่นอนพอเราร้องเพลงกลางคืน เราก็จะได้รับเครื่องดื่มเป็นรางวัล เป็นแก้วแล้วก็พันแบงค์มา ซึ่งทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้ ก็ต้องมีการดื่ม ทำให้ตอนเช้าเรามาออดิชั่นกันแบบมีอาการไม่เต็มร้อย แล้วพอมาถึงปุ๊บ รายการบอกว่าต้องตั้งชื่อทีมเลย ซึ่งตอนนั้นทีมเราก็ไม่ได้สนิทกันมาก ก็คิดกันว่าชื่อทีมอะไรดี แต่พวกเราดื่มกันมาหนักมากเลย ชื่อขมคอแล้วกัน ก็เลยตั้งชื่อทีมว่า ขมคอ ซึ่งถ้ารู้ว่าจะต้องใช้นามสกุลว่าขมคอตลอดชีวิตขนาดนี้ ก็จะตั้งชื่อที่มันดูสวยงามกว่านี้ แล้วก็เลยกลายเป็นชื่อที่เราต้องใช้ยาว ๆ จนถึงทุกวันนี้”

 

 

Stage Fighter ไม่ใช่แค่ร้องดี แต่ต้อง Show ให้เลิศ

“คือรูปแบบรายการคือ ต้องทำยังไงก็ได้ให้กรรมการกดคะแนนให้เรา ดังนั้น 1 แต้มมีความสำคัญเป็นอย่างมาก แล้วเราจะทำอะไรก็ได้ จะเต้น จะเอ็นเตอร์เทน จะใส่ความทะเล้นไปในเพลง หรือว่าดีไซน์โชว์ของเรา เบนซ์ขอเรียกว่าเป็นการประกวดโชว์ดีกว่า เพราะว่ามันเป็นการโชว์ต่าง ๆ ให้รูปแบบรายการมันสนุกสนาน ซึ่งเบนซ์ก็มาในพาร์ทของการเอ็นเตอร์เทนอย่างเต็มที่ ซึ่งคนก็จะงงว่าร้องไม่เห็นเพราะเลย ทำไมได้ที่ 1 เพลงนี้ทำไมชนะอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเสียงที่ดีมาก

ซึ่งเพลงที่เบนซ์โชว์แล้วเป็นไวรัลทำให้คนรู้จักก็คือ พ่อกลับบ้านค่ะ แล้วได้ที่ 1 ซึ่งคนดูก็ด่าฉ่ำด้วยความที่เค้าเข้าใจว่ามันคือรายการประกวดร้องเพลง พออีกฝั่งเค้าเอาเพลงที่ร้องดีที่สุดของตัวเองมาสู้อยู่แล้ว ซึ่งเรารู้ว่า ถ้าเราเอาเพลงที่เราร้องดีไปแข่งกับคนนี้ เราไม่ได้แน่นอน มันเหมือนการวางแผนเลือกเพลงมาต่อสู้กัน เราก็เลยเลือกเพลงที่เราน่าจะทำคะแนนได้มากที่สุด ก็คือเพลงที่เอ็นเตอร์เทนคนได้ แล้วก็กลายเป็นเราชนะ ซึ่งคนดูก็มีทั้งเข้าใจรูปแบบรายการ แล้วก็คนที่ไม่เข้าใจก็มี เรียกว่าในโลกโซเชียลก็เดือดอยู่ค่ะตอนนั้น”

 

 

Show อย่างมั่นใจ เมื่อได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่

“ในรายการ Stage Fighter เบนซ์เปิดตัวค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นมันมีความลังเลว่า การที่เรากำลังจะเปิดตัว มันคุ้มค่าพอหรือไม่ เพราะเราก็ต้องแคร์ที่บ้านด้วย ในเรื่องภาพลักษณ์ของเราด้วยว่า ถ้าสมมติเราเปิดตัวออกไปแล้ว ต่อไปนี้ก็จะต้องยอมรับกับสิ่งที่มันจะตามมา เช่น โดนคนแซวหรืออะไรก็ตาม ตอนนั้นเราก็มีความลังเล แต่ปรากฏว่าโชคดีที่ทางรายการเค้าบอกว่า อยากให้เป็นตัวเองแบบเต็มที่ แบบออกทีวีแบบเต็มที่เลยได้มั้ย ซึ่งตอนแรกเราเก้ ๆ กัง ๆ เค้าบอกว่าเบนซ์เอ็นเตอร์เทนดี แต่มันดูเหมือนยังไม่สุด มันน่าจะได้มากกว่านี้ เค้าก็บอกให้ลองทำให้สุดเลยได้มั้ย เราก็เลยมีการโทรไปบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า เดี๋ยวหลังจากนี้เบนซ์จะมีถ่ายรายการนะ เบนซ์อาจจะต้องมีการแสดงออกที่มันชัดเจนมากขึ้น ก็คือเป็นตัวเองมากขึ้น มีจริตความสาวมากขึ้น ก็เลยโทรไปบอกคุณพ่อคุณแม่ เพราะว่าเค้าเป็นคนที่เราแคร์มากที่สุด กลัวว่าเค้าจะอายคนอื่นรึเปล่า ซึ่งพ่อกับแม่บอกว่าเต็มที่ได้เลย จัดเต็มได้เลย ไม่ต้องแคร์ใครเลย เท่านั้นแหละค่ะ เราก็เดินมาบอกทีมงานว่าพร้อมแล้วค่ะเริ่มได้เลย ทีมงานก็เลยตัดสายสะดือออกรายการเลยค่ะ

พอได้เป็นตัวเองเต็มที่ ฟีดแบ็ครายการออกมาตกใจมาก คือมันดีมาก เพราะว่าเพลงแรกของเบนซ์ เป็นเพลง ประเทือง เราก็วางคาแรกเตอร์ของเราว่า เราจะออกไปแบบแมน ๆ ก่อน เป็นหนุ่มร็อคจากเชียงใหม่ พอเสร็จในท่อน ว้าย ๆ เราก็ร้อง ว๊าย ว๊าย ว๊ายไปเลย กลายเป็นว่าผลตอบรับดี ทุกคนตกใจแล้วก็เซอร์ไพรส์กับโชว์ของเรามาก มันกลายเป็นอีก 1 โชว์ที่เรารู้สึกว่าเป็นโชว์ที่เป็นตำนานของเรา

เบนซ์ว่าการประกวดร้องเพลงมันทำให้เรากล้าแสดงออกบนเวทีมากขึ้น ทุกเวทีมันมีบทเรียนของมันอยู่แล้ว และมันทำให้ความตื่นเต้นของเราลดลงเรื่อย ๆ ประสบการณ์ของเรามากขึ้น เบนซ์มองว่ามันเป็นเรื่องการสะสมประสบการณ์ และเราชอบการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และชอบซึมซับบรรยากาศแบบนั้น ซึ่งเวลาไปประกวดร้องเพลง เราไม่คาดหวังเลย เพราะว่าเราก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าเราไม่ได้เกิดมาเสียงดีมาก เพราะในชนิดที่ทุกคนฟังแล้วประทับใจ แต่เราไปเอาบรรยากาศ ไปเอาประสบการณ์ แล้วเบนซ์ได้เพื่อนสนิทจากการประกวดร้องเพลงด้วย ได้เจอคนเยอะมากที่มีความชอบและความฝันแบบเดียวกัน เบนซ์ว่าคนที่เป็น Extrovert จะเข้าใจ มันจะมีความสุขกับการไปเจอคน ไปพูดคุยกับเพื่อน เธอร้องเพลงอะไร เลือกเพลงอะไร บางทีเป็นคู่แข่งกันบนเวที แต่เรายังมานั่งซ้อมร้องให้กันฟังอยู่เลย

แล้วการประกวดร้องเพลง ทำห้เบนซ์มีโอกาสทำอาชีพนักร้องคอรัส ด้วยความที่หลังจากประกวด AF ตอนไปประกวดเราไม่เข้ารอบ 12 คนสุดท้าย แต่ผู้ใหญ่เห็นแวว เพราะเราเรียนจบการร้องเพลงมา น่าจะทำงานเบื้องหลังได้ ก็เลยมาชวนให้เราเป็นคอรัส เราเลยตกลง และได้เห็นการทำงานทั้งหมดของ AF ตั้งแต่วันเลือกเพลง วันออดิชั่น กลายเป็นว่าเราอยู่ในทุกกระบวนการของการคัดเลือก 12 คนสุดท้าย เรามีความสุขมาก แล้วทำยาวเลยตั้งแต่ซีซั่น 9 ถึง 12”

 

 

คนที่กลัวที่สุด กลายเป็นคนที่พร้อมเข้าใจที่สุด

“เบนซ์ไม่ได้ตีความว่าคุณพ่อรับเราไม่ได้ แต่ด้วยความที่เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสคุยเปิดอกกัน เค้าไม่ได้อาย และเค้าเป็นคนมาคุยกับเราเองด้วยซ้ำ มันเคยมีเหตุการณ์หนึ่งที่เรารู้สึกว่าประทับใจแล้วก็ตกใจในเวลาเดียวกัน เพราะว่าคนที่เรากลัวที่สุดว่าจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ หรือว่าเราเกรงใจที่สุดก็คือคุณพ่อ แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เปิดอกคุยเรื่องนี้เป็นคนแรกในบ้านคือคุณพ่อ วันนั้นคุณพ่อเป็นคนเดินมาคุย แล้วช่วงนั้นคุณพ่อเหมือนจะไม่สบาย ท่านก็เหมือนไม่อยากจะมีอะไรติดค้างกับลูกตัวเอง ก็เลยมีการแหมือนเปิดประเด็นขึ้นมาว่า พ่อขอถามหน่อยว่าที่เบนซ์เป็นอยู่ตอนนี้มีความสุขไหม เบนซ์ก็บอกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มีความสุขมาก พ่อก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเบนซ์ก็จงเป็นเบนซ์ในเวอร์ชั่นที่มีความสุขที่สุดได้เลย อยากทำอะไรทำเลย หลังจากนี้เบนซ์จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร แสดงออกแบบไหน มีชีวิตคู่ยังไง เลือกเองได้เลย เพราะเบนซ์ยืนยันว่าสิ่งที่เบนซ์ทำอยู่มีความสุข

แล้วเบนซ์อยากจะบอกว่าเป็นวิธีสื่อสารกับลูกที่ดีมาก ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีลูกเป็น LGBTQ เบนซ์ว่าการสื่อสารแบบนี้มันน่ารัก และมันไม่รู้สึกอึดอัดเลย พ่อบอกว่าห่วงเรื่องการทำงานว่าเราจะทำงานได้ไหม แต่ ณ วันที่เราคุย วันนั้นเราทำงานได้แล้วทุกอย่าง ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เค้าก็เลยบอกว่าเต็มที่ได้เลย คือปกติที่บ้านก็คือเป็นเซฟโซนอยู่แล้ว แต่หลังจากได้คุยกัน มันกลายเป็นบ้านที่แข็งแรงมาก ๆ คุยได้ทุกเรื่อง แล้วก็รู้สึกว่าการเป็นตัวของตัวเองนั้น พอเรามีความสุข มันจะแผ่กระจายออกไปรอบข้างเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย คนใกล้ชิดเรา เพื่อนร่วมงาน คนที่เจอเราทุกวันก็จะรู้ว่ามวลความสุขของเรามันออกมาข้างนอก แต่ถ้าเป็นคนที่ครอบครัวไม่ยอมรับ หรือที่บ้านอาจจะยังไม่เป็นเซฟโซน เบนซ์มองว่ามันอาจจะทำให้เค้าไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต ซึ่งมันก็อาจจะแผ่ออกไปหาคนรอบข้างได้เช่นเดียวกัน”

 

 

คอมเมนต์เชิงลบ ที่เริ่มกระทบจิตใจ

“หลังจากที่เราประกวดร้องเพลงเสร็จ ด้วยความที่รายการมันกระแสตอบรับดี คอมเมนต์ก็เยอะมาก ๆ จนทีมงานเดินมาถามว่า เบนซ์ได้อ่านคอมเมนต์บ้างรึเปล่า ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหวอย่าอ่านนะ เพราะเค้าเข้าไปอ่านมาแล้ว เราก็คิดว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ เราก็เลยไปอ่านบ้าง พอเราไปอ่านก็ตกใจว่าทำไมคนที่เค้าไม่รู้จักเรา เค้าถึงเขียนต่อว่าเราได้ถึงขนาดนี้ ก็เลยรู้สึกว่าเราต้องจัดการตัวเราเอง เพราะเราไม่สามารถห้ามให้เค้าเขียนได้ เบนซ์ก็เลยเลือกที่จะไม่อ่าน เพราะเบนซ์รู้สึกว่า ถ้าอ่านแล้วคิดมากไม่ต้องอ่าน ถ้าพร้อมที่จะอ่านเมื่อไหร่ค่อยมาอ่าน เพราะตอนนั้นมันก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่เราแสดงออก เพลงที่เราเลือก วิธีการเดินเกมในรายการมันออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม พอเรามีภูมิต้านทานแล้ว เชื่อมั้ยคะว่าความรู้สึกเรามันเปลี่ยนไป จากการที่อ่านแล้วรู้สึก กลายเป็นว่าอ่านแล้วก็ปล่อยวาง อันไหนที่เค้าติเพื่อก่อ เช่น เพลงนี้น่าจะใส่อันนั้นอันนี้เพิ่มเติมเพลงมันจะได้สมบูรณ์แบบ เราก็มาเตรียมมาปรับปรุง จนตอนนี้ก็สตรองแล้ว อ่านได้หมด แต่ก็ไม่อ่าน เลือกที่จะไม่อ่านไปเลย”

 

โควิด พลิกชีวิตให้เจอเส้นทางที่ใช่

“ตอนนั้นเบนซ์ไปร้องเพลงที่ทองหล่อ ก็กลายเป็นคลัสเตอร์ทองหล่อเลย เพราะเป็นนักร้องในผับ แล้วปรากฏว่าวันนั้น มันก็เกิดการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่าในสถานที่นั้น แล้วเราก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็เป็นคนที่ติดโควิด-19 ในช่วงแรก ๆ ข่าวก็ออกเลยเพราะว่าเราตรวจหลายรอบแล้วไม่เจอ เรามาเจอรอบที่ 4 ซึ่งจริง ๆ มันก็ต้องเป็นอยู่แล้ว เพราะว่าเราใช้ไมค์ตัวเดียวกันกับนักร้องหลายคน ซึ่งคนที่ใช้ไมค์ตัวนั้น ทุกคนเป็นหมด ก็ตรวจเจอใน 4 รอบ กลายเป็นข่าวออกใหญ่เลยว่าโควิดเดี๋ยวนี้มันหลบเก่งนะ ตรวจ 4 รอบถึงจะเจอ

ตอนนั้นเบนซ์โดนด่าเละเลยค่ะ งานร้องเพลงก็หมดไม่มีเลย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็โหลดแอพ Tiktok มาเล่น ตอนแรก ๆ ก็เต้นแร้งเต้นกา ลิปซิ้งค์บ้าง เราก็ทำกับเค้าหมดนะ ลองทำแต่เราไม่ได้โพสต์ แต่เราเป็นคนชอบฟังข่าว ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีคนมาสรุปข่าวให้ฟังว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงในแบบฉบับที่คุยเป็นภาษาพูด แล้วเราก็รู้สึกว่าเราใช้การเล่าข่าวแบบนี้กับเพื่อนในกลุ่มอยู่แล้ว เพื่อนในกลุ่มไลน์ของเราก็จะบอกว่าวันนี้มีข่าวนี้มา ข่าวยาวจังเลยฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วเรามีหน้าที่อ่าน แล้วก็กดส่งเสียงให้เพื่อน เหมือนสรุปข่าว แล้วก็กดส่งไปในกรุ๊ป ซึ่งเพื่อนก็เข้าใจภายในไม่กี่ แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่จุดประกายบอกว่าแล้วทำไมแกไม่สรุปข่าวลง Tiktok  ทำแบบนี้คนเข้าใจง่ายนะ เราก็เลยลองดู หลังจากนั้นก็ทำยาวมาจนถึงทุกวันนี้

ด้วยความที่เราใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป ดังนั้นมันก็จะมีเรื่องของอรรถรสในเนื้อข่าว หรือว่าความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งในคลิปทีวีมันทำไม่ได้อยู่แล้วสำหรับคนที่เป็นนักข่าว พอคนที่เค้าฟังข่าวแบบเรา เค้าก็จะชอบเพราะว่ามันได้อรรถรส ได้ดูแอคติ้ง คนก็เลยชื่นชอบแล้วก็มีฟีดแบ็คที่ดี”

 

 

จากเรื่องขมคอ สู่สตอรี่สร้างแรงบันดาลใจ

“เบนซ์เป็นคนที่ชอบฟังรายการพอดแคสต์อยู่แล้วไม่ว่าจะของใครก็ตาม เบนซ์ฟังและเป็นแฟนรายการเค้าหมดทุกคน แล้วก็มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะมีรายการพอดแคสต์เป็นของตัวเองบ้าง แล้วก็ ณ วันหนึ่งที่มันโอเค เราสามารถทำรายการเองได้ มีทุนทรัพย์พอ มีทีมงานที่พร้อม ก็เลยเกิด รายการขมคอสตอรี่ ออกมา

จริง ๆ แล้ว ขมคอสตอรี่ ไม่ได้มีแค่เรื่องเศร้านะคะ ด้วยชื่อรายการมันอาจจะขมคอสตอรี่ มันดูเป็นรายการดราม่าหนัก ๆ แต่ไม่เลย มันเป็นพอดแคสต์ที่ฟังสบาย ๆ แล้วก็มีเรื่องให้หัวเราะเยอะกว่าเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ แต่มันมีหลายเรื่องมาก ๆ ที่แขกรับเชิญมาออกแล้วเบนซ์รู้สึกว่า เรื่องราวแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นจริงกับคน ๆ นี้เหรอ บางทีรายการออนแอร์ออกไป ก็มีคนจำนวนมากที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกับเค้ามาขอบคุณรายการที่พอเค้าฟังก็คิดได้ และได้เอาไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป

เบนซ์รู้สึกมีความสุขมากหลังจากที่รายการออนแอร์ออกไป ถ้าพูดถึงความสุขในชีวิต เบนซ์มอบให้การร้องเพลง ต่ถ้าความสุขที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เบนซ์เลือกพอดแคสต์ เลือกTiktoker จริง ๆ เบนซ์ยังอยากร้องเพลง ณ วันนี้ทุกครั้งที่เบนซ์ร้องเพลง คนก็ยังเซอร์ไพรส์บอกว่า พี่ร้องเพลงได้ด้วยเหรอ เราก็บอกว่าเราเป็นนักร้องค่ะ มาทำนักข่าวทีหลัง เบนซ์ก็เลยยังอยากทำคอนเทนต์ร้องเพลง ก็ยังหาโอกาสอยู่ ยังรับงานร้องเพลงอยู่ จ้างได้เลยค่ะ

เบนนซ์เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ ม.6 เรียนจบก็ร้องเพลงกลางคืนเลย เพราะว่าตอนนั้นเบนซ์ไม่มีเงินเรียนหนังสือ ที่เลือกเรียนเอกร้องเพลง ก็เพราะว่าต้องการหาเงิน เลยไปร้องเพลงกลางคืน ก็ไปเจอรุ่นพี่นักดนตรีกลางคืนด้วยกันและพากันไปร้องเพลง

เบนซ์มองว่าเป็นข้อดีคือปัจจุบันคนเป็นนักร้องง่ายขึ้นมากจากเมื่อก่อน เมื่อก่อนอยากเป็นนักร้องต้องประกวดเท่านั้นถึงจะมีโอกาสเป็นนักร้อง เดี๋ยวนี้ใครอยากเป็นนักร้องแค่ตั้งกล้องเลย ร้องแล้วอัพโหลดลงโซเชียล คนดังในชั่วข้ามคืนเยอะแยะมากมาย เบนซ์มองว่าปัจจุบันนี้การเป็นนักร้องมันง่ายมากขึ้น แต่การเป็นนักร้องที่ทุกคนยอมรับ มันก็จะยากมากขึ้น เพราะว่าคนฟังเค้ามีตัวเลือกเยอะมากขึ้นกว่าเดิม อย่างเมื่อก่อนนักร้องมีไม่กี่คน แต่ยุคนี้การหาจุดที่ทำให้แฟนคลับชื่นชอบมันก็จะยากขึ้น”

 

 

เปิดความรัก ส่องหัวใจ ของ เบนซ์ ขมคอ

“ความรักครั้งนี้ดีมาก แต่ก็เคยบอบช้ำจากความรักนะคะ คือเลิกรากันไป แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเสียอกเสียใจร้องไห้ฟูมฟาย แต่มีความรักครั้งหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันเสียดายมากกว่า เพราะเค้าจากไปโดยที่เราไม่ได้บอกลากันด้วยอุบัติเหตุ คนนี้ คบกัน 4 ปี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้บอกลากัน
ใช้เวลาทำใจก็เกือบปีเหมือนกันนะคะ เพราะด้วยความที่เรายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ยังอยู่ห้องเค้าอยู่เหมือนเดิม ยังมีเสื้อผ้าเค้า ยังมีกลิ่นเค้าทุกอย่าง มันก็เลยทำให้เราไม่ลืม จนเราบอกตัวเองว่า เราต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ก็เลยออกมาอยู่ข้างนอกเอง แล้วก็รู้สึกว่าดีขึ้น

หลังจากรักครั้งนั้น เบนซ์คิดว่าไม่มีอีกแล้ว คิดว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไขมันไม่น่าจะมีอีกแล้ว จนมาเจอคนนี้ เราเจอกันผ่านแอพหาคู่ ซึ่งเราเขียนในโปรไฟล์ว่าหาแฟน แล้วปรากฎว่าเค้าก็ตั้งสถานะหาแฟนเหมือนกัน เราก็เลยคุยกับเค้า ปรากฏว่าทุกครั้งที่คุยเสร็จ เค้าจะเปลี่ยนแอ็คเคาท์ใหม่ เราเลยรู้สึกว่าคนนี้แปลก ๆ แต่ก็คุยกันได้ประมาณ 4 ปี เราสงสัยก็เลยถามเค้าว่าทำไมต้องเปลี่ยนแอคเคาท์บ่อย ซึ่งคำตอบของเค้าน่ารักมาก คือทุกครั้งที่เค้าหายไป เพราะเค้าคุยเดทกับคน ๆ หนึ่งอยู่ แล้วเค้าก็เลยลบไม่เล่น แล้วกับการที่เค้ามาสมัครใหม่นั่นแปลว่าเค้าเลิกกับคนนั้นแล้ว เค้าไม่ได้เดทกับคนนั้นแล้ว เค้าก็เลยสมัครใหม่ เค้ามีความจริงจังกับความสัมพันธ์ทุกครั้ง แล้วก็มีโอกาสได้นัดเจอกัน พอเจอกันก็เลยรู้สึกว่าคลิกมาก เรารู้สึกว่าคนนี้เค้าจิตใจดีจังเลย แล้วคนที่มีจิตใจดีมันจะเผยแพร่ออกมาเองโดยปริยาย ซึ่ง ณ วันที่เราเดทกับเค้า แล้วเราตกลงเป็นแฟนกันแล้ว เราก็ไม่ได้คุยกับใครอีกเลย

เบนซ์ไม่เคยเข้าใจคำว่า ความรักที่มันไม่ต้องพยายาม แต่เพิ่งมารู้ว่ามันเป็นอย่างงี้ มันไม่ต้องพยายามอะไรเลย เราเป็นตัวเองได้ เราไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียเค้าจากการที่เราเป็นตัวของเราเอง ไม่ต้องแอ๊บแมนเวลาไปข้างนอก ทุกอย่างมันสบายมาก มันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงแต่ง แล้วความสัมพันธ์มันปลอดภัยมาก เค้าไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่เคยหายไป ไม่เคยติดต่อไม่ได้ ไม่เคยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่เคยมีสัญญาณแปลก ๆ ไม่มีเลย ณ ตอนนี้ทุกช่วงเวลาในชีวิต หรือการวางแผนอนาคต มันมีเค้าอยู่ในอนาคตของเราตลอด แล้วเค้าก็มีเราอยู่ในอนาคของเค้าตลอด ดังนั้นการวางแผนอนาคตของเบนซ์ก็คือใช้ชีวิตแบบนี้ไปนั่นแหละ ยังไงก็มีเค้าอยู่ในความสัมพันธ์ของเรา ไม่ได้มองเป็นของตายนะ แต่เราคิดเผื่อเค้าในทุกอย่างที่เรามองในอนาคตด้วยแล้ว”

 

 

ความพยายาม ไม่เคยทรยศใคร

“ความทุกข์หนักที่สุดในชีวิต เบนซ์ว่าก็น่าจะเป็นช่วงก่อนจะเป็น Tiktoker เพราะว่าเราไม่มีงานแล้วเป็นโควิดด้วย การใช้จ่ายของเราคือการหยิบเอาเงินสำรองทุกอย่างมาใช้ เบนซ์มองว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นความทุกข์สำหรับเบนซ์นะครับ เพราะเราไม่รู้อนาคตเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อ วันพรุ่งนี้จะได้เริ่มทำงานไหม เดือนหน้าจะได้เริ่มทำงานไหม มันไม่มีอะไรสามารถคอนเฟิร์มเราได้เลย มันอยู่บนความไม่แน่นอน การเกิดของโควิดทำให้การมองชีวิตของเบนซ์เปลี่ยนไปมาก ๆ เมื่อก่อนเรามองอนาคตอันไกลไว้ตลอด ปรากฎว่าเจอโควิดแล้วทุกอย่างมลายหายไปเลย เบนซ์ก็เลยดึงสติเบนซ์ไว้ตลอดเวลาว่าอะไรก็ไม่แน่นอน ดังนั้นทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ที่สุด อนาคตค่อยว่ากัน เพราะยังไงก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะทางบวกหรือทางลบ มันเปลี่ยนแปลงแน่นอนแต่เมื่อไหร่แค่นั้นเอง

วิธีคิดเพื่อก้าวข้ามความทุกข์ เบนซ์ได้จากคุณพ่อ ด้วยความที่บ้านเคยล้มละลายมาก่อนช่วงวิกฤตปี 2540 ตอนนั้นคุณพ่อเครียดมาก ที่บ้านก็เครียดมาก ซึ่งฐานะที่บ้านก็คือแย่ลงทันที ตัวเบนซ์เอง จากเด็กที่มีเงินใช้จ่ายอย่างดี จนที่บ้านไม่เหลืออะไรเลย จะต้องต่อสู้ ซึ่งเบนซ์มองว่าจุดนี้เป็นความทุกข์ แต่กลับเป็นความทุกข์ที่สนุกของเบนซ์ เพราะเบนซ์ได้ไปขายของครั้งแรกในชีวิต ไปขายของตามสะพานลอย ตามป้ายรถเมล์ เพื่อเอาเงินมาเรียนหนังสือ แต่มันสนุกมาก  แล้วมันทำให้เรารักการขายของ แล้วคุณพ่อจะสอนวิธีคิดว่า วิธีฮีลใจคือให้หลับไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว ค่อยว่ากันใหม่ว่าเราจะแก้ปัญหายังไง หลับไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มันจะมีทางออกของมันเอง

ที่เป็น เบนซ์ ขมคอ ขึ้นมาได้ มันเกิดจากความพยายามทั้งนั้นเลย แล้วเบนซ์มองว่าความพยายามมันไม่เคยทรยศใคร ดังนั้นใครที่อยากประสบความสำเร็จ หรือช่วงที่ชีวิตท้อแท้อยู่ วันนี้เราอาจจะทำครั้งที่ร้อยแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าอาจจะสำเร็จครั้งที่ 101 ก็ได้ ทำอีกสักครั้งนึง อาจจะสำเร็จรอบที่ 101 ก็ได้ อย่าเพิ่งท้อ ให้มองว่าทำอีกสักรอบแล้วกัน เผื่อมันจะสำเร็จรอบต่อไป แล้วเบนซ์มองว่า ถ้ามันถึงวันและเวลาที่พอดีกับโอกาส มันจะสำเร็จ แล้วความพยายามมันไม่ทรยศใครแน่นอน”

 

สีสันแรงบันดาลใจ จาก เบนซ์ ขมคอ

“เบนซ์ว่า เราควรใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท มันต้องคิดไว้ด้วยว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก อย่างตอนที่มีโควิด-19 เราจะใช้ชีวิตยังไง หาลู่ทาง หาอาชีพสำรองไว้ บางทีความชื่นชอบของเราหรือว่าความสามารถของเราอาจจะทำเงินได้

และถ้าอยากทำอะไรทำเลย ลงมือทำก่อน เพราะถ้าไม่ทำ เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เรามีความสามารถมันถูกจริตคนดูไหม จงทำเลยและสม่ำเสมอ จงตั้งใจกับมัน ให้เวลากับมัน ทุ่มเทกับมัน อย่างที่บอกว่า ความพยายามไม่เคยทรยศใครค่ะ” – เบนซ์ ขมคอ

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1