เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “เซ้นต์ ศุภพงษ์” คนรุ่นใหม่ผู้มองการล้มเป็น ‘รสชาติ’ ของการเรียนรู้

Club Inspired Day Recap

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “เซ้นต์ ศุภพงษ์” คนรุ่นใหม่ผู้มองการล้มเป็น ‘รสชาติ’ ของการเรียนรู้

01 ธ.ค. 2025

“ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่มันคือการเรียนรู้ แม้แต่เมื่อคุณล้ม คุณจะเกิดการเรียนรู้ และเมื่อเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ คุณจะเป็นคนที่เก่ง และแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งคุณจะไม่ใช่หมากของคนอื่น ผมเองเคยเป็นหมากของคนหลายคนมาก่อน และผมยอมเป็นหมากด้วย เพื่อให้ผมได้มีองค์ความรู้ และประสบการณ์”

 

 

ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “เซ้นต์ ศุภพงษ์” ซึ่งมาแบ่งปันเรื่องราวรากฐานทางธุรกิจที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก เขาเผยว่าแรงจูงใจในการค้าขายตั้งแต่ประถมคือการหาเงินไป ทำบุญและงานอาสา โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อตัดสินใจ เปลี่ยนสังคมเพื่อความสำเร็จ ด้วยการย้ายมาเรียนที่กรุงเทพ เพื่อเข้าใกล้กลุ่มนักธุรกิจ ในการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง เซ้นต์ยอมรับว่ามีเป้าหมายเพื่อสร้าง ความน่าเชื่อถือ ในการระดมทุนเพื่อกิจกรรมทางสังคม ซึ่งนำไปสู่บทบาทการแสดงที่โด่งดังทั้งในซีรีส์วายยุคแรก และละครดราม่าเข้มข้น

นอกจากนี้ เขายังได้แบ่งปันปรัชญาทางธุรกิจที่ยอมรับว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ และแนะนำให้ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจให้ เลือกทำในสิ่งที่ถนัด มากกว่าสิ่งที่ชอบ และมองว่าความสำเร็จคือการสร้างสิ่งดีๆ ให้สังคมเป็นสำคัญ เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ

 

 

ฝันวัยเยาว์ที่ไม่ธรรมดา จาก "เด็กอยากบวช" สู่รากฐานแห่งการทำบุญ

เซ้นต์ ศุภพงษ์ เติบโตขึ้นที่จังหวัดตราด โดยคุณแม่เป็นคนตราด และคุณพ่อเป็นคนกรุงเทพ ในวัยเด็ก เซ้นต์มีความฝันที่ไม่เหมือนเด็กทั่วไป คือ เขาอยากเป็นพระ และเคยตั้งใจจะบวชไม่สึกด้วยซ้ำ จุดนี้มีที่มาเมื่อคุณพ่อเสียชีวิตในขณะที่เซ้นต์บวชเป็นสามเณรอยู่ ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เซ้นต์ได้อ่านหนังสือ และทำวัตรจนรู้สึกอยากละทางโลกและเข้าสู่ทางธรรม แม้จะไม่ได้บวชต่อ แต่ความปรารถนาในการทำความดี และการทำบุญนี้เองที่กลายมาเป็นแรงผลักดันสำคัญในการทำธุรกิจของเขา

 

 

ป. 2 ก็ทำเงินได้! บทเรียนแรกจากสติกเกอร์ และการประเมิน 'คุณค่าของเงิน'

เซ้นต์ถูกปลูกฝังให้เป็นคนหัวการค้าตั้งแต่เด็ก โดยคุณแม่สอนให้เขาไปเปิดท้ายขายของ และเมื่อเห็นที่บ้านค้าขายจักรยานและประดับยนต์ เขาจึงเริ่มทำเงินได้ตั้งแต่อยู่ชั้น ป. 2 ด้วยการนำสติกเกอร์รูปหัวใจ (ที่ซื้อมายกปึกในราคา 20 บาท และมีประมาณ 100 แผ่น) ไปขายที่โรงเรียน โดยขายดวงละ 1 บาท หรือขายเป็นแผ่นในราคา 20 บาท ทำให้เขามีรายได้มากกว่าค่าขนมประจำวันหลายเท่าตัว นอกจากนี้ เขายังได้เรียนรู้คุณค่าของเงินและสิ่งของ ผ่านการแบกขยะรีไซเคิลไปขายได้เพียงหลักพันบาท เทียบกับราคาของเล่นพลาสติกชิ้นเล็ก ๆ ที่ราคาสูงถึง 3,000 บาท โดยการเริ่มต้นทำเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เกิดทักษะและ ความเข้าใจในมูลค่าของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นนักธุรกิจ

 

 

ม. 4 ตัดสินใจย้ายโรงเรียน! ด้วยกลยุทธ์ "เปลี่ยนสังคม" ตามตำราธุรกิจ

เมื่ออยู่ช่วง ม. 3 ขึ้น ม. 4 เซ้นต์ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง (พ่อรวยสอนลูก) ที่กล่าวว่า หากต้องการพัฒนาและเก่งขึ้น ต้องเปลี่ยนสังคม เขาจึงตัดสินใจครั้งสำคัญโดยย้ายจากตราดมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเข้าเรียนที่ โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เขาค้นคว้ามาแล้วว่าเป็นแหล่งรวมลูกหลานนักธุรกิจ แม้ว่าครอบครัวจะกังวลว่าเขาอาจจะเกเรหรือเสียคนในกรุงเทพ แต่คุณแม่ก็เชื่อมั่นและสนับสนุนเขา การตัดสินใจนี้ทำให้เขาได้เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ธุรกิจตามที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นหากต้องการประสบความสำเร็จในด้านใด ต้องกล้าที่จะนำตัวเองไปอยู่ในสังคม หรือสภาพแวดล้อมที่ผู้คนในแวดวงนั้นประสบความสำเร็จ

 

 

สวมบท "นายหน้าวัยเรียน" สู่บทเรียนราคาแพงของการทำ OEM

เมื่อเข้ามาอยู่ในสังคมใหม่ เซ้นต์ก็เริ่มสานต่อความฝันทางธุรกิจทันที เขาขอให้รุ่นพี่พาไปเรียนรู้งาน โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาชอบคือการขายรถ เขาทำหน้าที่เป็นนายหน้าในการซื้อขายรถเก่า  และต่อมาก็ขยับไปเป็นนายหน้าซื้อขายคอนโด นอกจากนี้ เขายังคงซื้อมาขายไปอย่างต่อเนื่อง เช่น ลูกรูบิกที่ซื้อจากคลองถมมาราคาถูกและนำไปขายต่อ อย่างไรก็ตาม เขาพบกับ การขาดทุนจริงจัง เมื่อเริ่มทำธุรกิจ OEM (ผลิตสินค้าเอง) กับเพื่อนที่เป็นเจ้าของโรงงาน เขาเรียนรู้ว่าการทำธุรกิจคนเดียวสู้การทำเป็นทีมไม่ได้ และการไม่รู้เรื่องการจดทะเบียนบริษัทหรือการดำเนินการทางกฎหมายทำให้ธุรกิจไปต่อไม่ไหว

เซ้นต์มองว่า การล้มคือ รสชาติของการเรียนรู้ แม้การเรียนรู้จะมีราคาที่สูง แต่เมื่อเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เราจะเก่งขึ้นและแข็งแรงขึ้น และการเป็นหมากให้คนอื่นเดินบ้างก็ถือเป็นการสะสมองค์ความรู้และประสบการณ์

 

 

โอกาสในวงการบันเทิง สร้างชื่อเสียงเพื่อ "ความน่าเชื่อถือ" ในงานอาสา

แม้จะถูกชักชวนเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่สมัยประถม แต่เซ้นต์มักตอบปฏิเสธโดยยืนยันว่าเขาอยากเป็นนักธุรกิจ จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาสนใจวงการบันเทิงจริงจังเกิดขึ้นจากงานอาสา เมื่อเขาเดินเปิดกล่องรับบริจาค เขาถูกผู้คนมองว่าเป็นมิจฉาชีพ เซ้นต์จึงคิดว่าเขาต้องมี ความน่าเชื่อถือ เพื่อระดมเงินบริจาคได้มากขึ้น เขาจึงตัดสินใจว่า วงการบันเทิงจะดี และตั้งเป้าหมายว่าการอยู่ในวงการนี้คือการพาคนไปทำความดีได้มากที่สุด เขาเริ่มจากการแคสงานโฆษณา และถูกชวนไปแคสซีรีส์วายเรื่อง บังเอิญรัก ซึ่งเป็นโอกาสที่เขาคว้าไว้ แม้จะเคยบอกทุกคนว่าผมไม่หล่อ และสู้คนอื่นไม่ได้ แต่เขาก็ทุ่มเททำการบ้านอย่างหนัก จนประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักในทุกวันนี้

 

 

ทุ่มหมดหน้าตัก การลงทุน 25 ล้านบาทในซีรีส์แรก...ยอมขาดทุนเพื่อเรียนรู้

เมื่อเริ่มทำธุรกิจบันเทิงอย่างจริงจัง เซ้นต์แสดงให้เห็นถึงความกล้าเสี่ยงอย่างมาก เขาลงทุนเงินเก็บสะสมมาทั้งชีวิตตั้งแต่เป็นนักธุรกิจ ซึ่งเป็นเงินสดเกือบทั้งหมด เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 25 ล้านบาท สำหรับซีรีส์เรื่องแรก ซึ่งเทียบได้กับมูลค่าของรถ Ferrari 1 คัน ในเชิงตัวเลขของตัวซีรีส์เองนั้นอาจจะขาดทุน แต่เซ้นต์มองว่าการลงทุนนี้เป็นกระบวนการ ที่ต่อยอดไปสู่รายได้อื่น ๆ เช่น คอนเสิร์ต และกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เขามีความคิดว่าในวัย 20 ต้น ๆ เขายังมีเวลาที่จะเก็บเงิน สร้างใหม่ และสู้ใหม่ได้อีกยาวนาน

 

 

ข้อคิดสำหรับผู้กล้า ทำงานด้วยความสุข ไม่เป็นแค่ 'หมาก' และเป้าหมายเพื่อสังคม

เซ้นต์เน้นย้ำถึงปรัชญาการทำงานที่สำคัญ คือ ต้องหาให้เจอว่า "ถนัดที่สุด" คืออะไร? ไม่ใช่แค่สิ่งที่ "ชอบที่สุด" เพราะสิ่งที่ถนัดอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่า และหากสามารถปรับสิ่งที่ชอบรวมกับสิ่งที่ถนัดได้ จะนำมาซึ่งความสุขในการทำงาน เมื่อทำด้วยความสุข จะไม่รู้สึกเหนื่อยความพยายามต้อง "ขยันให้ถูกที่" เพราะหาก "ขยันผิดที่ 10 ปี ก็ไม่รวย" การทำงานที่มีเพดานรายได้จำกัดอาจไม่นำไปสู่ความสำเร็จตามความฝันพันล้านได้ การเป็นคนของสังคม  เมื่อก้าวมาเป็นคนของสังคมหรือมีชื่อเสียงแล้ว ต้องทำทุกอย่างเพื่อผู้อื่นมากกว่าเพื่อตัวเอง และไม่ควรลืมความเป็นตัวตนและอุดมการณ์ในวันแรกที่เริ่มต้น ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น เมื่อทำธุรกิจ เขาต้องคิดถึงพนักงานบริษัททุกคน ว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ เพราะการที่เราอยู่ได้หมายถึงการที่เราได้แบกรับชีวิตของครอบครัวพวกเขาไว้ด้วย เป้าหมายเพื่อสังคม การสร้างสรรค์ผลงานบันเทิงทุกชิ้นคือการสร้างสรรค์สังคม ที่จะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง เป้าหมายในอีก 10 ปีข้างหน้าของเขาคือการเป็นนักธุรกิจที่มีทุนทรัพย์ในการทำเพื่อสังคม และเป็นผู้ให้ได้มากขึ้น และความสำเร็จที่ยั่งยืนคือการ ทำในสิ่งที่รักและถนัด พร้อม ๆ กับการมองภาพใหญ่ที่ครอบคลุมไปถึง การสร้างสรรค์สังคมและการช่วยเหลือผู้อื่น

 

ชีวิตของเซ้นต์ ศุภพงษ์ เปรียบเสมือน วิศวกรผู้สร้างสะพาน เขาไม่ได้เพียงแค่สร้างโครงสร้าง (ธุรกิจ) ให้แข็งแรงเท่านั้น แต่เขายังคำนวณอย่างรอบคอบว่าจะใช้โครงสร้างนั้นในการ เชื่อมโยงผู้คน (ผ่านวงการบันเทิง) เพื่อให้ทุกคนสามารถข้ามผ่านอุปสรรคและไปถึงจุดมุ่งหมายของการทำความดีและการพัฒนาสังคมได้

 

 

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1