เรียนรู้ชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “จ๋า ยศสินี” 'ปลาโลมาผู้มีบาดแผล' สู่ผู้จัดที่ใช้ความฟีลกู้ดสร้างสรรค์การเล่าเรื่อง

Club Inspired Day Recap

เรียนรู้ชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “จ๋า ยศสินี” 'ปลาโลมาผู้มีบาดแผล' สู่ผู้จัดที่ใช้ความฟีลกู้ดสร้างสรรค์การเล่าเรื่อง

19 พ.ย. 2025

“เนื่องจากบริบทสังคมมันเปลี่ยน วัฒนธรรม หรือแม้แต่วิธีคิดคนก็เปลี่ยนตาม ละครหลายเรื่องถ้าเอามาเล่าวันนี้อาจจะยาก ดังนั้นในฐานะผู้จัดละครก็ต้องเติบโตไปกับมัน เราเป็นนักสื่อสาร ณ วันนี้เราต้องฟังให้มาก ฟังว่าคนดูต้องการอะไร คนดูมีปัญหาอะไร คนดูให้ความสำคัญกับอะไร และเราต้องรู้เท่าทันสังคม”

 

 

ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “คุณจ๋า-ยศสินี ณ นคร” ผู้จัดละครและรายการโทรทัศน์ชื่อดังของไทย โดยได้แชร์ประสบการณ์ของการทำงานในวงการอันยาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งรวมถึงการเป็นผู้จัดละครที่สร้างสรรค์ผลงานแนว Feel Good และการเป็นผู้ผลิตรายการยอดนิยมอย่าง "ตีท้ายครัว" นอกจากนี้ บทสนทนายังครอบคลุมถึงเบื้องหลังการทำงานที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสื่อ และวิธีการที่คุณจ๋าใช้ในการรับมือกับความเครียด และความเหงาส่วนตัวในฐานะคนทำงานที่ต้องจัดการกับผู้คนจำนวนมาก เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ

 

 

ทายาท 'ปักธง' เติบโตท่ามกลางกองถ่าย และความกดดันที่เป็น 'ปัญหาของคนอื่น'

คุณจ๋าเติบโตในครอบครัวที่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง โดยมีคุณแม่คือ อาจิ๋ม มยุรฉัตร ซึ่งโด่งดังมาก ส่วนคุณพ่อคือ คุณโยธิน ณ นคร และคุณแม่ได้แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก และคุณพ่อที่เลี้ยงดูเธอมาคือ คุณนริศ อหะหมัดจุฬา (คุณพ่อแป๊ะ)

เธอยอมรับว่าในวัยเด็ก เมื่อคุณแม่มาถ่ายละครที่โรงเรียน เธอจะรู้สึกยืดอก และสามารถเดินเข้าไปในกองถ่ายได้คนเดียว แม้จะโดนปักธง หรือหล่อหลอมให้เป็นผู้จัดละครมาตั้งแต่แรก แต่เมื่อต้องเผชิญกับความรับผิดชอบจริง ๆ เธอพบว่า ความกดดันนั้นเป็น "ปัญหาของคนอื่น" เพราะความรับผิดชอบในฐานะผู้จัดละครนั้นเยอะมาก จนเธอไม่มีเวลามานั่งคิดว่าตนเองจะทำได้ดีเท่าคุณแม่หรือไม่ หน้าที่หลักของเธอคือการ แก้ปัญหาตรงหน้า และ เอาให้รอดไปให้ได้ใน 1 วันก่อน

 

 

ความฝันที่ถูกทิ้งไว้ในครัว บทเรียน 'ทำเสร็จ 2 ครั้ง' ที่เปลี่ยนชีวิตผู้จัด

แม้จะถูกกำหนดให้เป็นผู้จัดละคร แต่ความฝันเดิมของคุณจ๋าคือการทำอาหาร เธอได้ไปเรียนทำอาหารที่อเมริกา และมีความชื่นชอบในสิ่งนี้ แต่เธอไม่ได้อยากเปิดร้านอาหาร เพราะเธอรู้สึก ขี้เกียจยืน เนื่องจากงานครัวต้องยืนเป็นเวลานานมาก (บางวันยืนตั้งแต่ตี 5 ถึง 4 ทุ่ม)

อย่างไรก็ตาม การทำอาหารได้ให้บทเรียนที่มีค่ามากที่สุดสำหรับการทำงานเป็นผู้จัดละคร การทำอาหารสอนให้เธอมี ระเบียบวินัยและการวางแผน หลักการที่สำคัญคือ เธอจะทำทุกอย่าง "เสร็จ 2 ครั้งเสมอ" ครั้งแรกคือ "เสร็จในหัว" (การมองลำดับขั้นตอนเหมือนการแข่งขันทำอาหาร เห็นวัตถุดิบและรู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง) และครั้งที่สองคือ "ทำจริง" คุณจ๋ากล่าวว่า ถ้าเธอไม่ได้เรียนทำอาหาร เธออาจจะเป็นผู้จัดไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะวิธีคิดแบบเชฟช่วยให้เธอมองเห็นภาพรวมของการทำหนังและละคร

 

 

การเริ่มต้นที่โกลาหล วิกฤต 'รถชน' และ 20 ปีแห่งการปลอบใจคน

คุณจ๋าเริ่มเป็นผู้จัดละครตอนอายุ 26 ปี ในฐานะผู้จัดละคร เธอต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่การอ่านนิยาย เสนอช่อง ติดต่อผู้กำกับ/นักแสดง วางคิว ไปจนถึงการแก้ปัญหาหน้ากองถ่าย เช่น การสร้างห้องน้ำ หรือการฉีดยุง งานทั้งหมดคือการทำตั้งแต่ ก.ไก่ จนถึง ฮ.นกฮูก

ในวันแรกของการเปิดกล้องละครเรื่องแรก เธอต้องเผชิญกับวิกฤตเมื่อ รถเข้าฉากเกิดอุบัติเหตุชน เธอทำอะไรไม่ถูกเลย จนคุณแม่ต้องวิ่งข้ามถนนไปดิวตำรวจ ทำให้เธอเรียนรู้ว่าผู้จัดเขาเป็นอย่างนี้เอง ปัญหาเฉพาะหน้าตลอด 20 ปีในการทำงานมักเกี่ยวข้องกับ "คน" ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพท้องเสีย หรือนักแสดงอกหัก งานหลักของผู้จัดจึงกลายเป็นการ ปลอบใจให้ทุกคนไปต่อได้

 

 

รายการเรือธง 'ตีท้ายครัว' ยืนหยัด 20 ปีด้วย 'ความเผือก' และการประชุมทุกสัปดาห์

บริษัทของเธอ (เงาะถอดรูป) ซึ่งเริ่มต้นจากการทำรายการ เงาะถอดรูป ซึ่งขาดทุนและทำเพียงปีเดียว ก่อนจะเปลี่ยนมาทำรายการ ตีท้ายครัว ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง และดำเนินมาได้ยาวนานถึง 20 ปี

คอนเซปต์หลักของรายการ ตีท้ายครัว คือ ความเผือกล้วน ๆ แต่ทำด้วย จิตผู้จัดที่มีเมตตา เนื่องจากในยุคก่อนไม่มีโซเชียลมีเดีย นักแสดงไม่มีพื้นที่พูด รายการจึงเป็นช่องทางให้พวกเขาได้อธิบายข่าวที่เกิดขึ้น และการเป็นผู้จัดละครทำให้ได้รับ ความไว้ใจ จากนักแสดงให้ยอมเปิดบ้านได้ง่ายกว่ารายการอื่น ๆ

ความยั่งยืนของรายการมาจากความทุ่มเทอย่างหนัก ผู้จัดประชุมกันทุกอาทิตย์ ตลอด 20 ปี และพร้อมปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เช่น ในช่วงโควิด-19 ซึ่งไม่สามารถเข้าบ้านใครได้ ทีมงานได้ปรับรูปแบบไปใช้โมเดลรายการเกาหลี โดยให้แขกรับเชิญถ่ายคลิปชีวิตตนเอง แล้วพิธีกรใช้การวิดีโอคอลเพื่อดูคลิปและแสดงความเห็น

 

 

คน Introvert ผู้ใช้ 'ความเหงา' สร้างสรรค์

คุณจ๋าเปิดเผยว่าเธอเป็น Introvert แบบสุด ๆ ทันทีที่เลิกงาน เธอจะต้องอยู่คนเดียวเพื่อชาร์จพลัง เธอถึงขนาดเคยหายไปเกาหลี 2 อาทิตย์คนเดียว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดคุยกับใครเลย

เธอเล่าว่าเคยเหงาสุดขีดตอนอยู่ที่อเมริกา จนถึงขั้นโทรศัพท์มาหาคุณพ่อในขณะที่ท่านกำลังใส่บาตร และร้องไห้ออกมา แต่เมื่อเธอ ดีลกับความเหงาได้ เธอก็ไม่เคยเหงาอีกเลย เธอสามารถนั่งเฉย ๆ ได้ทั้งวัน เธอค้นพบว่าการไม่เหงาทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก และการอยู่กับความเหงาได้นั้น สร้างงานได้เยอะ เช่น การเขียนบทละคร หรือการเขียนเพลง เป็นต้น

 

 

การเยียวยา 'บาดแผล' หลักคิดจัดการความกลัวและมีหลายบทบาท

คุณจ๋ายอมรับว่าคำพูดของ พี่อ้อม สุนิสา ที่ว่าเธอเหมือน "ปลาโลมา" ที่ดูสนุกสนาน แต่ถ้าเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นว่า "แผลเต็มตัวไปหมดเลย" นั้นเปลี่ยนชีวิตเธอ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่มีคนมองเห็นว่ากว่าจะมายืนอย่างมั่นคง เธอต้องผ่าน "สงคราม" และการล้มเหลวมา

เมื่อเผชิญกับความวุ่นวาย เธอไม่ได้เข้มแข็งตลอดเวลา และมีวันที่ "ฟุบอยู่กับพื้น" และไม่ไหว สิ่งที่ช่วยเธอคือการมีครอบครัว สามี และกัลยาณมิตรที่ดี แต่ที่สำคัญที่สุดคือเธอต้อง "อยู่กับตัวเองให้เยอะ ๆ" และรู้ว่ากำลังรู้สึกอะไร

  • เปลี่ยนความโกรธเป็นความกลัว เธอพบว่าความหงุดหงิดหรือโมโหนั้น ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการ "กลัว" หากรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงคือความกลัว ก็สามารถแก้ไขได้ง่ายขึ้น หลักคิดนี้ถูกนำไปใส่ในบทละคร มาตาลดา โดยให้พ่อพระเอกที่ดูดุและเข้มงวดกับลูก ใช้ความดุนั้นกลบซ่อนความกลัวของตัวเองไว้
  • การมีหลายบทบาท เธอแนะนำให้ ให้โอกาสตนเองได้เป็นหลายบทบาท (เช่น ภรรยา, นักกีฬา, ไม่ใช่แค่ผู้จัด 100%) เพื่อให้มีที่สำหรับหลบหลีกจากความเครียดในงานและพักผ่อนร่างกาย

 

 

ผู้สื่อสารสังคม การปรับตัวของละครไทย และการก้าวสู่ซีรีส์วาย

คุณจ๋ามองว่าตนเองเป็น "นักสื่อสาร" ที่ต้อง "ฟัง" สังคมอยู่เสมอ เธอเชื่อว่า บริบทสังคมเปลี่ยนไปแล้ว ละครคลาสสิกบางเรื่อง (เช่น จำเลยรัก) จึงไม่สามารถเล่าในยุคปัจจุบันได้ หากไม่ปรับบท เช่น ซีนที่พระเอกดึงนางเอกเข้าไปในห้องนั้นทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว นี่ทำให้เธอพัฒนารูปแบบงานใหม่ ๆ เช่น การทำ เพลิงบุญ โดยเปลี่ยนให้เป็นเรื่องของผู้หญิงเพื่อนผู้หญิงที่แข่งกันเอง ไม่ใช่แข่งกันเพราะผู้ชาย

  • มาตาลดา กับความระมัดระวัง ในการทำละครที่ละเอียดอ่อนอย่าง มาตาลดา เธอต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ทั้งหมอหัวใจ จิตแพทย์ และต้องให้ความเคารพต่อประเด็น LGBTQ+ โดยการใช้คนที่มีเพศสภาพจริง ๆ มาแสดงส่วนใหญ่ ที่สำคัญคือ ต้อง รีเฟล็กซ์บท ในทุกขั้นตอน และไม่ให้คำพูดของคนแบบเธอไปใส่ในปากตัวละครเพื่อ "ป้องกันไม่ให้มีการแอทแทคใคร"
  • คำแนะนำสำหรับนักแสดงรุ่นใหม่ เธอมองว่ายุคนี้เป็นยุคของ "คนจริง" นักแสดงรุ่นใหม่ต้องไม่ปลอม และต้องเป็นตัวจริงให้ได้ เธอชื่นชมนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง "จิมมี่-ซี" ที่ทำการบ้านมาอย่างดีจนไม่เคยต้องถือบทเลย
  • การสำรวจโลกใหม่ เพื่อพัฒนาตัวเอง เธอได้กระโดดเข้ามาทำ ซีรีส์วาย (Series Y) เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรง และเป็นอีกทางที่ผู้จัดละครควรต้องเรียนรู้

 

 

แรงบันดาลใจจาก 'จ๋า ยศสินี'

คุณจ๋า สอนให้เห็นว่า ความสามารถในการสร้างสรรค์งาน "Feel Good" มาจากรากฐานของการจัดการปัญหาที่เข้มงวด การเอาชนะความกลัวและความเหงาภายใน การเป็นนักเล่าเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่การสร้างเรื่องให้สนุก แต่คือการเป็น "นักฟัง" ที่ดีของสังคม เพื่อให้งานที่ออกมาสามารถเยียวยาและสะท้อนบริบทที่แท้จริงของโลกปัจจุบันได้

 

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1