“ความเชื่อ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ถูกส่งต่อมาจากครอบครัว หรือคนใกล้ตัว ซึ่งความเชื่อมีทั้งแง่บวก และลบ แต่การกระทำก็ยังเป็นตัวหลักอยู่ดี ในการทำให้เราดำเนินชีวิตไปข้างหน้า หรือข้างหลัง สำหรับผมคิดว่าความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งของแนวความคิดก่อนเกิดการกระทำเท่านั้นเอง”

ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” และ “ดีเจเฟี๊ยต” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” นักอาชญาวิทยา ที่ได้พูดคุยเจาะลึกถึงรากฐานของพฤติกรรมมนุษย์และหลักการใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท้าทายความเชื่อ และสิ่งเหนือธรรมชาติที่สังคมยึดถือกันมา
อาจารย์ตฤณห์ได้นำเสนอจุดยืนที่ชัดเจนและแตกต่าง โดยมองว่าความเชื่อเรื่องหมอดู โชคลาง หรือสีมงคล เป็นเพียง "เรื่องเสพเพื่อความบันเทิง" สำหรับท่านเท่านั้น และย้ำว่าการตั้งคำถามอยู่เสมอคือสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ

"ความเชื่อคือเรื่องบันเทิง" เมื่อนักอาชญาวิทยาไม่ยอมให้ใครมาท้าทายตรรกะ
อ.ตฤณห์ โพธิ์รักษา เป็นอาจารย์และนักอาชญาวิทยาผู้ยึดมั่นในหลักเหตุผลและความยุติธรรม โดยมองว่าความเชื่อเรื่องหมอดู โชคลาง หรือสีมงคล เป็นเพียงเรื่องที่ควร "เสพเพื่อความบันเทิง" เท่านั้น ท่านไม่เคยเชื่อในตารางสีเสื้อมงคล แต่เชื่อว่าหลักการสำคัญในการใช้ชีวิตคือ กาลเทศะ โดยยกตัวอย่างว่าสีเนื้อผ้ามีผลต่อการป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น เช่น สีสะท้อนแสงในเวลากลางคืน
อ.ตฤณห์ ตั้งคำถามเชิงตรรกะต่อความเชื่อเรื่องดวง และราศีอย่างรุนแรง โดยชี้ว่า หากโลกนี้มีคน 1,000 ล้านคน แต่มีเพียง 12 ราศี แสดงว่าคนทั้งหมดจะมีดวงแค่ 12 แบบเท่านั้นหรือ? ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และย้ำว่าการมีศรัทธาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความเชื่อที่ปราศจากการตั้งคำถาม หรือตั้งอยู่บนหลักที่ไม่มีเหตุผล จะกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้
ดังนั้น การตั้งคำถามอยู่เสมอ คือเกราะป้องกันตนเอง อย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณได้ยิน อย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณได้เห็น และการที่ธุรกิจจะเติบโตได้นั้นมาจากการกระทำ และความตั้งใจของเราเอง ไม่ใช่การถวายไข่ 100 ฟอง โดยที่เราไม่นั่งทำงาน
ดวงดี ดวงร้าย และ "สภาวะจิตไม่ปกติ" เมื่อคำทำนายกลายเป็นคำสั่งให้ระแวง
อ.ตฤณห์อธิบายว่า คำว่า "ดวงดี" หรือ "ดวงไม่ดี" เป็นเพียงการปลอบใจตนเอง หรือการโทษสิ่งอื่นเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เช่น สอบตกเพราะไม่ตั้งใจเรียน แต่กลับโทษว่าเป็นเพราะดวง
ท่านชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการดูดวงหรือคำทำนายล่วงหน้าว่า เมื่อเราทราบคำทำนายแล้ว มันจะทำให้เกิด "สภาวะจิตที่ไม่ปกติ" ซึ่งจะทำให้เรา ดึงทุกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ได้ยินได้เห็น ตัวอย่างเช่น หากเราอ่านคำทำนายว่าอาทิตย์นี้จะเกิดอุบัติเหตุ เราจะโฟกัสและระวังเรื่องอุบัติเหตุเป็นพิเศษ จนกระทั่งการเตะโต๊ะเบา ๆ ที่ปกติไม่นับเป็นอุบัติเหตุ ก็จะถูกนับเป็นอุบัติเหตุด้วย ท่านเน้นว่านี่เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจมากกว่า
ดังนั้นการเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาที่ทำให้เราเชื่อในเรื่องโชคลาง จะช่วยให้เรา ปรับสภาวะจิตใจให้เป็นปกติ และการเชื่อตาม ๆ กันโดยไม่ตั้งคำถาม ทำให้เกิดเป็น ขนบธรรมเนียม ที่แพร่หลาย (เช่น การบวงสรวง หรือการแก้ชง) นั่นเอง

ต้นกำเนิดของการโกหก เราถูกฝึกให้ซ่อนความรู้สึกมาตั้งแต่เด็ก
อ.ตฤณห์ อธิบายถึงการกำเนิดของพฤติกรรมการโกหกว่า เราเป็นคนสอนให้ลูกชอบโกหกเอง ในทางธรรมชาติ เด็กจะมีอารมณ์ไม่กี่อย่าง เช่น ร้องไห้ หัวเราะ โกรธ แต่เมื่อเด็กร้องไห้ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะไม่ปล่อยให้เด็กร้องจนสุดอารมณ์ แต่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เด็กเงียบ เช่น การเปิดการ์ตูน, เอาขนมให้, หรือขู่ด้วยเรื่องต่าง ๆ
เมื่อเด็กเรียนรู้ว่าเวลาที่เขาแสดงอารมณ์จริง ผู้ปกครองจะแสดงความไม่พอใจ เด็กจึงเรียนรู้ที่จะ เก็บอารมณ์และแสดงอย่างอื่นแทน นี่คือขั้นตอนแรกของการฝึกโกหก เช่นเดียวกับการกลัวผีหรือวิญญาณ ซึ่งท่านเชื่อว่าความกลัวเหล่านี้ถูก "สร้างขึ้นโดยผู้ใหญ่" เพื่อเป็นกุศโลบายให้เด็กกลัวความมืดและรีบกลับบ้าน
ดังนั้นการเข้าใจที่มาของพฤติกรรมตนเอง (เช่น การโกหกหรือการเก็บอารมณ์) เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มนุษย์ตามธรรมชาติกลัวสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้

เมื่อความอยุติธรรมนำไปสู่กฎหมาย พร้อมบทเรียนจากยุคล่าแม่มด
อ.ตฤณห์ เชื่อมโยงความกลัวเข้ากับรากฐานของสังคม โดยชี้ว่าเมื่อมนุษย์หาคำตอบไม่ได้เกี่ยวกับภัยพิบัติหรือความตาย ศาสนจักร จึงเข้ามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวและโยนความผิดให้กับเรื่องลี้ลับ เช่น แม่มดหรือซาตาน
ท่านใช้ประวัติศาสตร์ของการล่าแม่มดมาอธิบายถึงความอยุติธรรมที่เป็น ต้นกำเนิดของการกำเนิดขึ้นมาของกฎหมายและอาชญาวิทยา ในกระบวนการพิสูจน์ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดนั้น เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรมอย่างถึงที่สุด เช่น
1.การชั่งน้ำหนัก หากผู้ต้องสงสัยบริสุทธิ์ จะต้องเบากว่าขน นก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเป้าหมายคือการหาแพะมารับโทษ
2.การถ่วงน้ำ จับผู้ต้องสงสัยมัดถ่วงน้ำ หากใครสามารถรอดขึ้นมาได้ ถือว่าคนนั้นไม่ใช่คน (เป็นแม่มด) และจะถูกจับขึ้นมาเผาทั้งเป็น ส่วนคนที่จมก็จะจมไปเลย สรุปคือ ไม่มีใครรอดอยู่ดี
ซึ่งความอยุติธรรมในอดีตสอนให้เราตระหนักถึงความจำเป็นของการมีหลักเหตุผลและความยุติธรรม ในการดำรงชีวิต การเข้าใจรากฐานของสังคมช่วยให้เราตระหนักว่า มนุษย์มีความซับซ้อนและมีชั้นเชิงระดับที่แตกต่างหลากหลายมาก ซึ่งไม่ใช่แค่รหัส 01100 เหมือนระบบ AI

เหยื่อวิทยาและภัยจากลัทธิ ทำไมคนเปราะบางถึงตกเป็นเป้าหมาย
อ.ตฤณห์ อธิบายว่า กลุ่มคนที่ถูกชักจูงเข้าสู่ลัทธิได้ง่ายมักมี สภาวะจิตใจเปราะบาง อ่อนแอ และต้องการที่พึ่ง ซึ่งไม่จำกัดว่าจะเป็นคนรวยหรือจน วิชาเหยื่อวิทยา (Victimology) ได้จำแนกประเภทของเหยื่อเหล่านี้ไว้ เช่น คนอกหัก, คนสติไม่สมประกอบ, คนล้มละลาย, ผู้หญิง, เด็ก, หรือคนชรา
อ.ตฤณห์เตือนว่า สถานที่ปฏิบัติธรรมมักเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยง เพราะผู้ที่มาแสวงหาความสงบส่วนใหญ่เป็นคนที่มีทุกข์ (เช่น สูญเสียคนรักหรือล้มละลาย) และมิจฉาชีพมักจะไปล่อลวงคนจากสถานที่เหล่านี้ สำหรับคนที่หลงเชื่อลัทธิอย่างหน้ามืดตามัวจนถึงขั้นขโมยของไปถวายวัด การช่วยทำได้ยาก และต้องได้รับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญ การบำบัดต้องเริ่มจากการไม่ให้เข้าถึงเครื่องมือสื่อสารที่พาไปสู่วงจรนั้นได้
ดังนั้นหากเรามีอาการที่น่าสงสัย เช่น รู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ, นอนหลับมากไป/น้อยไป, หรือน้ำหนักขึ้นลงเกิน 5 กิโลกรัม ควรหาผู้เชี่ยวชาญปรึกษา อย่าพยายามวินิจฉัยโรคเองทางอินเทอร์เน็ต โดยการเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ควรผ่านการตั้งคำถาม เช่น เรื่องมนุษย์ต่างดาวที่อ้างว่าโทรคุยได้หรือใช้ Line ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเลย

รักตัวเองคือเกราะป้องกัน กฎเหล็กสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นพิษ
ในเรื่องความสัมพันธ์ อ.ตฤณห์ แนะนำว่า ไม่ควรใช้ทักษะการจับโกหกเพื่อ "ทนอยู่" กับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่ควร รักตัวเอง และให้เกียรติตัวเองมากๆ หากเรามีศักดิ์ศรีและให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่อถูกไม่ให้เกียรติแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถเดินหน้าได้ไว
อ.ตฤณห์ เน้นว่า ทุกความสัมพันธ์ต้องมีกฎการอยู่ร่วมกัน เพราะคนสองคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทำตามกฎที่ตกลงกันได้ แสดงว่าพวกเขาไม่ได้ให้คุณค่ากับชีวิตคู่เท่ากัน
เรื่องความขี้หึง คนที่ขี้หึงมักเป็นคนที่มี self-esteem ต่ำ (ไม่มั่นใจในตัวเอง) การหึงหวงถึงขั้นรุนแรงที่ทำลายร่างกายหรือจิตใจไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ หากมีปัญหานี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว หรือจิตแพทย์ และการบำบัดต้องทำทั้งคู่
ดังนั้นพ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นพิษ (Toxic) ในบ้าน เช่น ความรุนแรงทางคำพูด, การด่ากัน, หรือแม้แต่ "การเงียบ" ไม่เคลียร์ปัญหา ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่เป็นพิษ และความรักที่เราเคยรับรู้จากครอบครัว (เช่น พ่อเมาเหล้าซ้อมแม่) อาจฝังอยู่ในหัว ทำให้เรามองว่าความรุนแรงบางรูปแบบเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในความสัมพันธ์

สติและวุฒิภาวะทางอารมณ์ การอยู่รอดในสังคมที่มีคนป่วยทางจิต 20%
อ.ตฤณห์วิเคราะห์ว่า ในสังคมไทยมีผู้ที่มีปัญหาทางจิตถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้น การจัดการอารมณ์และวุฒิภาวะของตนเองจึงเป็นทักษะสำคัญ
ท่านกล่าวว่าเราสามารถ อนุญาตให้ตัวเองมีความอ่อนแอได้ เพราะไม่มีใครเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญคือวิธีที่เราจะดูแลความอ่อนแอนั้น และวิธีรับมือกับสถานการณ์ ท่านแนะนำว่า "สติ" เป็นยาที่ดีที่สุด การจัดการกับความโกรธนั้นขึ้นอยู่กับ "วุฒิภาวะทางอารมณ์" เช่น การขับรถที่โดนปาดหน้า หากเราด่าในรถแล้วจบ ก็ถือเป็นการระบายอารมณ์ แต่ถ้าเริ่มเปิดกระจกด่า หรือขับรถปาดคืนเพื่อสู้กัน ถือเป็นการขาดวุฒิภาวะ
การจัดการเหยื่อที่ถูกสต๊อกเกอร์ หากสงสัยว่าถูกสะกดรอยตาม ให้ทดสอบโดยการเดินเลี้ยวขวาหรือซ้าย 3 ครั้ง เพื่อให้กลับมาที่เดิม หากเขายังตามอยู่ให้เก็บหลักฐานและแจ้งความทันที

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง
