รับแรงบันดาลใจจากอินฟลูฯสายฮา “นนท์ อินทนนท์” กับภารกิจพิสูจน์ตัวเองด้วยเงิน 1 ล้านบาทแรก และการยอมรับตัวตน 100%

Club Inspired Day Recap

รับแรงบันดาลใจจากอินฟลูฯสายฮา “นนท์ อินทนนท์” กับภารกิจพิสูจน์ตัวเองด้วยเงิน 1 ล้านบาทแรก และการยอมรับตัวตน 100%

30 ก.ย. 2025

“10 ปีนะ กว่าหนูจะมีวันนี้ และวันนี้หนูให้คำตอบกับตัวเองได้เลยว่า อยากประสบความสำเร็จเรื่องไหน มันต้องไปให้สุด และสิ่งที่เราตั้งใจทำมันไม่สูญเปล่าหรอก ถ้าวันหนึ่งเราจะไปถึงจุดหมายของเราได้ จงอย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น อย่ากดดันตัวเอง หาความสุขของตัวเองให้เจอแล้วทำมัน หนูเชื่อว่าเราจะมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ”

 

 

ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “นนท์ อินทนนท์” ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจาก TikTok และสื่อบันเทิงอื่น ๆ การสนทนาครอบคลุมเรื่องราวชีวิตของนนท์ ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กที่เริ่มต้นเรียนการแสดงและมีกิจกรรมมากมาย ไปจนถึงเส้นทางการทำงานในวงการบันเทิงที่ต้องผ่านความพยายามและอุปสรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวการเปิดเผยตัวตนว่าเป็น LGBTQ+ ให้กับครอบครัวได้รับทราบ นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงความสุข ความสำเร็จในชีวิต มุมมองการทำงาน และการแสดงโชว์เดี่ยว "อินทนนท์ Talk Show" ที่เขาจัดขึ้นด้วยตนเอง ซึ่งเผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และความคิดเชิงบวกของเขาอย่างชัดเจน เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ

 

จุดเริ่มต้นของคนพูดเร็ว "นนท์ อินทนนท์"

นนท์ อินทนนท์ เล่าในรายการว่าตัวเองเป็นคนที่พูดเร็ว และชอบพูดไปเรื่อยตามที่คนทั่วไปเคยเห็น ซึ่งเป็นสไตล์และเป็นตัวตนของเขา 100% ทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง โดยชื่อจริงของเขาคือ วรวรรธน์  บุญชื่น (เดิมชื่อ นนท์ บุญชื่น) ส่วนชื่อ "อินทนนท์" นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดที่ดอยอินทนนท์ (ซึ่งตั้งอยู่ในเชียงใหม่ ในขณะที่นนท์เกิดที่เชียงราย) แต่ชื่อนี้มาจากชื่อสร้อยที่มหาวิทยาลัยให้เลือก เนื่องจากมีคนชื่อนนท์ซ้ำกันหลายคน

ทั้งนี้นนท์ยังเน้นย้ำอีกว่า จงเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ นนท์ใช้ชีวิตโดยเป็นตัวของตัวเอง 100% ไม่ว่าจะเป็นหน้ากล้องหรือหลังกล้อง เขาทำในสิ่งที่เขารักและรู้สึกว่าถ้าเราเป็นตัวของตัวเอง เราจะทำสิ่งนั้นออกมาได้ดี และคนจะรักเราในแบบที่เราเป็น

 

 

นักแสดงเด็กหาเงินแสน บทเรียนแรกของการตอบแทนบุญคุณ

นนท์มีความชอบในวงการบันเทิงและการแสดงมาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเรียนการแสดงตั้งแต่อยู่ชั้น ป.6 ที่บางกอกการละคร เขาได้มีโอกาสเล่นละครเวทีถึง 2 เรื่อง คือ "หมูอู๊ดอี๊ดกับกระปุกกายสิทธิ์" และ "ซั่งไห่ ลิขิตฟ้า ชะตาเลือด" ซึ่งเป็นละครเวทีฟอร์มยักษ์เรื่องแรก ๆ ที่ศาลาเฉลิมกรุง โดยรับบทเป็นพระเอกตอนเด็ก

จากการเล่นละครเวที "หมูอู๊ดอี๊ดกับกระปุกกายสิทธิ์" ได้ถึง 20 รอบ นนท์สามารถหาเงินก้อนแรกได้ถึง 100,000 บาท ซึ่งเขานำเงินทั้งหมดก้อนนั้นให้แม่ สาเหตุที่นนท์ให้เงินแม่ทั้งหมด เป็นเพราะเขาเห็นความเหนื่อยยากของแม่ที่ต้องพาไปซ้อมถึงเที่ยงคืนทุกวัน แม้แม่จะทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศหาเช้ากินค่ำ นนท์ซึมซับเรื่องการตอบแทนบุญคุณมาจากการที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อปู่ย่าตายาย

ความรักในการแสดงของนนท์มีมากถึงขั้นที่ตอนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วต้องหยุดซ้อมละครเวทีถึงกับร้องไห้ เพราะอยากไปซ้อม นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาชอบสิ่งนี้อย่างแท้จริง และเงินก้อนแรกที่หามาได้ นนท์มอบให้แม่ทั้งหมด เพราะรู้สึกว่าคนที่ควรได้รับสิ่งดีๆ ที่สุดคือพ่อแม่ นี่คือการแสดงออกถึงความรักและความกตัญญูต่อการสนับสนุนของครอบครัว

 

 

สายกิจกรรมมุ่งมั่น การเรียนที่ "ตรงสาย" นำมาซึ่งเกียรตินิยม

ในช่วงมัธยม นนท์ให้ความสำคัญกับกิจกรรมมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำพานไหว้ครู ประกวดมารยาทไทย หรือกิจกรรมอื่น ๆ เขาทำกิจกรรมหมดทุกอย่าง จนกระทั่งบางครั้งก็ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ และเอาตัวรอดด้านวิชาการไปวัน ๆ เท่านั้น

เมื่อเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย นนท์เลือกเรียนด้านการแสดงที่ มศว (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารัก แม้จะทำกิจกรรมอย่างหนักจนบางครั้งไม่ได้เข้าเรียนและโดนอาจารย์หักคะแนน แต่ด้วยความรักในสิ่งที่เรียน ทำให้ทุกอย่างเสริมส่งซึ่งกันและกัน จนในที่สุด นนท์ก็จบมหาวิทยาลัยด้วย เกียรตินิยมอันดับ 2

การที่นนท์ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ (การแสดง) ทำให้การเรียนเป็นความสุข และสามารถทำผลงานออกมาได้ดีจนได้เกียรตินิยม แม้จะชอบกิจกรรมมาก แต่นนท์ก็พยายามเตือนเพื่อนๆ ให้เรียนบ้าง การรักษาสมดุลระหว่างกิจกรรมและการเรียนทำให้เขาได้รับผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม

 

 

ภารกิจพิสูจน์ตัวเอง 4 เป้าหมายสำคัญก่อนเปิดเผยตัวตน

นนท์ตัดสินใจวางแผนชีวิตอย่างรอบคอบก่อนที่จะบอกความจริงเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ (LGBTQ+) ให้กับครอบครัว นนท์ทำสิ่งเหล่านี้เพราะเขารู้สึกว่าเขาเป็นลูกคนเดียว และต้องการให้พ่อแม่ภูมิใจและเปิดใจยอมรับเขา นนท์ตั้งเป้าหมาย 4 สิ่งที่เขาอยากทำให้พ่อแม่ก่อนเปิดเผยตัวตน คือ

1.       ตั้งใจเรียน เพื่อให้พ่อแม่เห็นความมุ่งมั่น

2.       ไม่ดื่มเหล้า ไม่ติดยาเสพติด ปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดีที่สุด

3.       อยากได้เกียรตินิยม เพื่อเป็นความภาคภูมิใจให้กับทางบ้าน

4.       บวช เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่

หลังจากทำได้ครบทั้ง 4 สิ่งนี้ (โดยเฉพาะการบวช ซึ่งจัดงานใหญ่โตถึง 9 วัน หมดเงินไปเป็นล้าน) นนท์จึงตัดสินใจเปิดเผยตัวตน การบอกความจริงถูกทำผ่านการ อัดคลิป ในช่วงปีใหม่ โดยนนท์มอบเงินและพวงมาลัยไหว้พ่อแม่และญาติๆ ก่อน จากนั้นจึงอธิบายว่าตนเองไม่ได้ชอบผู้หญิง พ่อรับฟังและโอบกอดพร้อมกล่าวว่า “จะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดีเท่านั้น”

นนท์ให้ข้อคิดว่า สุดท้ายแล้วพ่อแม่ก็คือพ่อแม่ เขาไม่มีทางเกลียดเรา เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด และเราไม่ได้เลือกที่จะเป็นสิ่งที่เราเป็น สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ

 

 

1 ปีที่แม่ไม่คุยด้วย การพิสูจน์ความสำเร็จด้วยเงินล้านแรก

หลังการเปิดเผยตัวตน คุณแม่ของนนท์อยู่ในอาการช็อกและรับไม่ได้ โดยแม่ไม่คุยกับนนท์เป็นเวลาถึง 1 ปีเต็ม คุณแม่พูดผ่านคุณพ่อเมื่อต้องการสื่อสารกับนนท์ นนท์เข้าใจว่าแม่ก็ต้องการเวลาในการทำใจ เพราะกว่าตัวเขาเองจะยอมรับตัวเองได้ก็ใช้เวลาหลายปีเช่นกัน

ในช่วงที่ถูกแม่เมิน นนท์รู้สึกกดดันและอยากย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาตั้งใจว่าจะทำอาชีพนี้ (วงการบันเทิง) แล้วคนจะรัก จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่

โชคดีที่ช่วงนั้น TikTok กำลังมา นนท์เริ่มทำคอนเทนต์อย่างหนักจนมีงานรีวิวเข้ามา เขาทำตามสิ่งที่คนดูชอบ เช่น การร้องเพลง การพูดไปเรื่อย และการใช้คำสร้อย จนกระทั่งเขาหาเงินได้ 1 ล้านบาทแรก นนท์นำเงินทั้งหมดก้อนนั้นไปให้แม่ โดยไม่เก็บไว้เลย แม่ไม่รับเงิน แต่ถามนนท์เพียงคำเดียวว่า "เหนื่อยไหม" คำถามนี้ทำให้เขาวิ่งขึ้นไปร้องไห้ชั้นสอง เพราะเป็นคำพูดที่ทรงพลังและทำให้ความเหนื่อยหายไปหมด หลังจากนั้นแม่ก็เริ่มเปิดใจและคุยกับนนท์

นนท์ไม่ได้พูดว่าจะพิสูจน์ แต่ลงมือทำ การที่คนรอบข้างเห็นเขาทำงานหนัก และมีคนรักเขามากขึ้นในแบบที่เขาเป็น ทำให้แม่ยอมรับในที่สุด และบางครั้งคำพูดสั้น ๆ เพียงคำเดียว (เช่น "เหนื่อยไหม") ก็สามารถสร้างแรงกระแทกทางอารมณ์ และเป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ได้

 

 

"ความท้อ" ที่ไม่เคยเกิดขึ้น สูตรสำเร็จจากป้ายรถเมล์สู่ดาว TikTok

ก่อนประสบความสำเร็จ นนท์เคยผ่านงานเบื้องหลังมามากมาย เช่น เป็นผู้ช่วยแคสติ้ง, ผู้ช่วยคอสตูม, ผู้ช่วยผู้กำกับ ครั้งหนึ่งเขาไปช่วยแคสติ้งงานโฆษณา 100 คน เพราะถูกบอกว่าจะได้โอกาสแคสตัวเองด้วย แต่เมื่อทำเสร็จ คนที่จ้างกลับบอกว่าตัวเลือกเยอะเกินไปและให้เงิน 500 บาท เหตุการณ์นี้ทำให้นนท์รู้สึกเหมือนความฝันพังทลายและไปนั่งร้องไห้อยู่ที่ป้ายรถเมล์

แต่ขณะที่ร้องไห้ ก็มีคุณป้าคนหนึ่งที่เดินขายข้าวเกรียบเข้ามาปลอบใจและมอบข้าวเกรียบให้กิน โดยบอกว่าวันนี้ป้าก็ยังขายไม่ได้เลย เหตุการณ์นี้ทำให้นนท์เรียนรู้ว่า ความสุขอยู่รอบตัวเรา ไม่จำเป็นต้องหรูหราอลังการ

นนท์เคยหันหลังให้วงการบันเทิงถึงปีเศษ เพราะเงินไม่เยอะ แต่สุดท้ายก็กลับมาทำช่อง YouTube และลองทำหลายอย่าง ทั้งรายการสัมภาษณ์เพื่อนดารา (มีเพื่อนดัง), เล่าเรื่องตอนรถติด, ร้องเพลงโคฟเวอร์ จนกระทั่งนำคลิปที่บอกพ่อแม่ลง TikTok แล้วตื่นมาพบว่ามีคนดูเป็นล้าน นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตั้งใจลงคลิปทุกวันเป็นเวลาประมาณ 2 ปี จนถึงปัจจุบัน

นนท์เชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนกำลังตั้งใจทำอยู่ "ไม่สูญเปล่าแน่นอน" ถ้ามีเป้าหมายและพุ่งชนมันไป เขาลงคลิปทุกวันอย่างสม่ำเสมอจนประสบความสำเร็จ เขาไม่เคยท้อเลย เพราะเขาสนุกกับการทำงานทุกวัน ความสุขของเขาคือการได้อ่านคอมเมนต์ที่คนมาชม

สำหรับนนท์ เขารู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จตั้งแต่มีเงิน 1 ล้านบาทก้อนแรกให้แม่แล้ว หลังจากนั้นคือ "กำไร" ความสุขของเขาไม่ใช่ยอดเงิน แต่คือความภูมิใจที่ได้ทำเพื่อครอบครัว แต่อย่างไรก็ตาม อย่าเปรียบเทียบกับใคร ไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าการมีสิ่งต่างๆ นั้นจะทำให้เรามีความสุขจริงหรือไม่ เราควรหาความสุขในสิ่งที่ทำแล้วเราแฮปปี้

 

 

ความสุข ของการเป็นตัวของตัวเอง 100%

นนท์รู้สึกว่าการแคร์คนอื่นมากเกินไปทำให้ช่วงชีวิตที่ควรมีความสุขที่สุดหายไป เมื่อผ่านจุดนั้นมาได้ เขาจึงมีปรัชญาในการดำเนินชีวิตคือ เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย ถ้าหากเราเป็นคนคิดดี ทำดี และไม่เบียดเบียนใคร

วิธีการจัดการพลังงานและความเครียด แบบ นนท์ อินทนนท์

  • เคลียร์ปัญหาทันที นนท์เป็นคนที่ไม่ปล่อยให้ปัญหาค้างคา หากรู้สึกว่าพูดจาไม่ดีกับใครจะโทรไปขอโทษทันที และต้องพูดคุยจนกว่าจะจบและโอเค
  • การแยกแยะ เขาพยายามแยกปัญหาออกจากงาน เมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ เขาชอบทำท่า "โยนสิ่งนี้ทิ้ง" หรือ "กด shutdown" ก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการใหม่
  • การพูดกับตัวเอง นนท์ชอบคุยกับตัวเองหน้ากระจก เพื่อดึงสติและตำหนิตัวเองตามความเป็นจริง (fact) เมื่อทำงานไม่ดี เพราะเขาเชื่อว่าเรารู้จักตัวเองดีที่สุด
  • สร้างโมติเวชัน เมื่อรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาจะเขียนคำว่า "สติ" ไว้ที่มือแล้วทำท่า "กินสติ" เข้าไปก่อนขึ้นแสดง

ปัจจุบัน นนท์ยังคงทำงานในวงการบันเทิง ทั้งการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ นักแสดง (เล่นละครทีวี/ซีรีส์/หนังเรื่อง พี่นาค 5) และละครเวที (เรื่อง วันสละโสดกับโจทย์เก่า ๆ The Musical) นอกจากนี้ เขายังจัดทอล์กโชว์ของตัวเอง โดยไม่รับสปอนเซอร์ในการจัดงานครั้งแรก เพื่อให้สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ 100% แม้จะขาดทุน แต่สิ่งที่ได้คือความสุข และเขากำลังจะมีซีซั่น 2 ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ขึ้น

 

 

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1