ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “ก้อง สหรัถ สุขปรีชา” บุคคลที่ยืนหยัดในวงการบันเทิงมานานกว่า 40 ปี ด้วยภาพลักษณ์ที่ทุกคนยกให้เป็น สามีแห่งชาติ และ หล่ออมตะเบื้องหลังความสำเร็จที่ยั่งยืน และพลังงานที่ดูเหมือนไร้ขีดจำกัดนี้ ไม่ได้มาจากความเคร่งเครียด แต่มาจากปรัชญาการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ด้วยวิธีคิดที่เปลี่ยนจากคำว่า "ต้องเยอะ"** ในชีวิต มาสู่การใช้ชีวิตแบบ "เรียบง่าย ใจไม่เครียด" พร้อมทั้งการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดในทุกบทบาทที่ได้รับมอบหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี นักแสดง หรือแม้แต่โค้ชผู้คอยเจียระไนลูกทีมให้ฉายแสง
มาร่วมค้นพบเคล็ดลับที่ทำให้เขาสามารถรักษาสภาพร่างกายให้ดูดีตลอดกาล และรักษาจิตใจให้สบาย ๆ ไม่เครียดมาก รวมถึงการค้นพบความอิ่มใจจากการเป็นผู้ให้ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่หล่อเลี้ยงทั้งชีวิต และอาชีพของเขาให้เป็นแรงบันดาลใจแก่คนทุกยุคทุกสมัย

เคล็ดลับการดูแลตัวเองและจิตใจให้ดูดีตลอดกาล
ในเรื่อง การออกกำลังกาย เขาจะออกกำลังกายประมาณ 3-4 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณหนึ่งชั่วโมง โดยวิ่งบนลู่วิ่งที่บ้าน 45 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง และเวทเทรนนิ่งเล็กน้อย การกิน คือทานอาหารน้อยลง เน้นปลา ผัก และอาหารทะเลที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก การทำจิตใจให้ดี พยายามทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด ไม่โกรธ ไม่โมโห หากเกิดความโกรธ จะหาเหตุผลไปดับมัน เช่น เมื่อแท็กซี่ปาดหน้า อาจคิดว่าคนขับอาจมีลูกที่ต้องดูแล หรือบ้านกำลังผ่อน เพื่อให้ความโกรธลดลง หากหาเหตุผลไม่ได้ ก็จะปล่อยวางและไม่คิดมาก เมื่อโกรธขั้นสุด เขาจะเงียบและนิ่ง ไม่พูด การที่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด การพนัน หรือสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่มีข่าวฉาว

เส้นทางดนตรีที่เริ่มจาก "ห้องซ้อม" สู่ "นูโว" ตำนานวงดนตรี
ก้อง สหรัถ เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อยู่ช่วง ป.6 ถึง ม.2 โดยไม่ได้มีครูสอน แต่เรียนรู้จากเพื่อนและฝึกฝนด้วยตัวเอง จากนั้นก็เริ่มตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ ตั้งแต่ช่วง ม.2-ม.3 และมักจะไปสิงสถิตอยู่ตามห้องซ้อมดนตรีเพื่อแกะเพลงฮิตต่างๆ การได้เห็นวงดนตรีมืออาชีพอย่าง วง Infinity ซ้อมดนตรีก็เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เขาอยากเล่นดนตรีให้เก่งขึ้น
ในช่วง ม.5-ม.6 เขาก็เริ่มเล่นดนตรีในผับบาร์แบบจริงจังเป็นอาชีพ แม้ผู้ปกครองจะไม่เห็นด้วยนัก เพราะอยากให้เน้นการเรียน แต่ก้องก็ยังคงทำตามความตั้งใจ เพราะ "ใจมันไป" เขาเรียนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ และยังคงเล่นดนตรีเรื่อยมา วงดนตรีของเขาในตอนแรกชื่อ "High School" ซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่คือวงนูโวในปัจจุบัน ขาดเพียงปีเตอร์เพียงคนเดียว ก้องและโจเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ป.1 ที่กรุงเทพคริสเตียน และได้มารวมตัวกับจอห์น สุ และใหม่ ที่โรงเรียนศรีวิกรม

ก้อง สหรัถ ผู้ไม่หยุดนิ่ง จากนายแบบ พระเอก สู่โค้ช "The Voice" และ "ผู้ให้" ด้วยใจจริง
นอกจากอาชีพนักดนตรีแล้ว ก้อง สหรัถ ยังได้มีโอกาสทำงานเป็น นายแบบ ถ่ายนิตยสารและเดินแฟชั่นโชว์ ซึ่งเป็นอีกอาชีพที่สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้ดี จุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้ไปถ่ายมิวสิกวิดีโอ ให้กับคุณบิลลี่ โอแกน ทำให้เขาและพี่โจได้มีโอกาสเชื่อมโยงกับแกรมมี่ หลังจากนั้น ทางแกรมมี่ก็สนใจและดึงวงของเขามาเปลี่ยนชื่อเป็น นูโว (Nuvo) ซึ่งแปลว่า "ใหม่" เพื่อฟอร์มทีมเป็นวงดนตรีอย่างเป็นทางการ หลังจากเซ็นสัญญากับแกรมมี่ ใช้เวลาประมาณ 1 ปีเศษ กว่าจะได้ออกอัลบั้มแรก โดยการได้เข้าห้องอัดเสียงเป็นครั้งแรกเป็นประสบการณ์ที่ ยิ่งใหญ่อลังการ มาก โดยเฉพาะการได้ทำงานที่ห้องอัดศรีสยาม ซึ่งมีบอร์ดมิกเซอร์ยาวกว่า 5-6 เมตร เพลงแรกที่อัดคือ "เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เกิด" การทำงานกับโปรดิวเซอร์อย่างพี่เต๋อ และ พี่จอร์จ นั้นยากมาก เพราะทั้งสองคนต้องการความสมบูรณ์แบบ 100% ทำให้การอัดเพลงเป็นไปอย่างช้าๆ ต้องรอเทปหมุน และใช้เวลาอัดกันทั้งวัน ซึ่งแตกต่างจากยุคปัจจุบันมาก

ความสำเร็จ และการเป็นนักแสดง
อัลบั้มแรกของนูโวมียอดขายไม่ค่อยดีในช่วง 3-4 เดือนแรก แต่สมาชิกวงก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะรู้สึกเหมือนได้ "ปริญญา" แล้ว ความนิยมพุ่งขึ้นอย่างมากหลังจากได้ไปแสดงสดในรายการ "7 สีคอนเสิร์ต" ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าวงนูโวสามารถเล่นดนตรีสดได้จริง ไม่ใช่แค่บอยแบนด์ หลังจากนั้นก็มีคอนเสิร์ตทั่วประเทศ ออกรายการวิทยุ ถ่ายนิตยสาร งานเข้ามาทุกวัน เขายังคงมุ่งมั่นกับภารกิจตรงหน้า และไม่เคยรู้สึก เหลิงไปกับชื่อเสียง หลังจากออกอัลบั้มได้ 3-4 อัลบั้ม เขาก็ได้รับโอกาสเป็นนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องแรก คู่แท้ 2 โลก และต่อมาก็ได้รับบทบาทในละครเรื่อง พริกขี้หนูกับหมูแฮม ทางช่อง 3 ทำให้เขามี 2 อาชีพควบคู่กันไป

บทบาทโค้ช "The Voice" และการเป็น "ผู้ให้"
ก้อง สหรัถ เคยปฏิเสธการเป็นโค้ช The Voice อยู่นานมาก เพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถเทรนคนให้เป็นนักร้องได้ แต่ทีมงานก็ตื๊ออย่างหนัก จนเขาตัดสินใจลองดู เขาเป็นโค้ชมาแล้วกว่า 10 ปี ในทุกซีซัน เขาพบว่าการเป็นโค้ชไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะสิ่งที่เขาถ่ายทอดให้นักร้องรุ่นใหม่นั้น เป็นสิ่งเดียวกับที่เขาเคยได้รับการเคี่ยวกรำจากโปรดิวเซอร์อย่างพี่เต๋อและพี่จอร์จ ในห้องอัดและการแสดงคอนเสิร์ต บทบาทการเป็นโค้ชทำให้เขารู้สึก "อิ่มใจ" และ "มีความสุข" โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นลูกทีมที่มาจากต่างจังหวัดและมีความฝัน ได้ประสบความสำเร็จ มีรายได้ และเลี้ยงดูครอบครัวได้
เขาจะคอยขัดเกลาและเจียระไนลูกทีมให้ฉายแสงได้มากที่สุด โดยค้นหาตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคน ว่าชอบร้องเพลงแนวไหน มีคีย์สูงสุดแค่ไหน และดึงศักยภาพออกมาให้เต็มที่ เกณฑ์การคัดเลือกนักร้องของเขาคือ ต้องร้องโน้ตตรงและจังหวะดี หรือมีพื้นฐานที่ดี เพราะคนที่มีพื้นฐานดีจะสามารถนำไปต่อยอดได้ง่าย สำหรับลูกทีมที่ประหม่า เขาจะให้กำลังใจโดยบอกว่า "อย่าคิดว่ามันเป็นการประกวด ให้คิดเสียว่ากำลังจะขึ้นไปร้องในงานปาร์ตี้ให้เพื่อนฟัง" เพื่อให้คลายความกังวลและผ่อนคลาย

ปรัชญาชีวิต "ก้อง สหรัถ" เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง และการรับมือโลกยุคโซเชียล
ก้อง สหรัถ เป็นคนใช้ชีวิต "เรียบง่าย" โดยให้เหตุผลว่า "ถ้าทำมันยากมันก็ลำบาก ถ้าเราจะทำมันยากทำไม ก็อยู่เรียบง่ายมันก็สบายดี" เขาไม่ชอบการมีคำว่า "ต้อง" เยอะๆ ในชีวิต เพราะมันเหมือนการ "ตี กรอบล้อมตัวเอง" และทำให้ชีวิตลำบาก เช่น หากไม่มีกาแฟที่อยากดื่ม ก็สามารถดื่มอย่างอื่นหรือรอไปดื่มที่ร้านอื่นก็ได้
มุมมองต่อโซเชียลมีเดีย และการใช้ชีวิต
เขาใช้โซเชียลมีเดียไม่มาก ส่วนใหญ่จะเน้นการลงเรื่องราวเกี่ยวกับงานคอนเสิร์ต หรือแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เขาเป็นคนหวงพื้นที่ส่วนตัว และไม่จำเป็นต้องประกาศให้ทุกคนรู้ทุกเรื่อง สำหรับคนที่ชอบ "อวด" ในโซเชียลมีเดีย เขาคิดว่าหากเป็นความสุขของเขา ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เขามองว่าโลกปัจจุบันอยู่ยากขึ้นมาก เนื่องจากข้อมูลข่าวสารที่มากมาย ทั้งจริงและไม่จริง จึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ "มีสติ" และ "ความคิดวิเคราะห์" ในการเสพข่าวสารต่างๆ ไม่ควรเชื่อหรือแชร์ทันที

เป้าหมายในอนาคต อิสระ ความสุข และการตอบแทนสังคม
ความสุขของ ก้อง สหรัถ คือ "ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ" เช่น ได้ไปเที่ยวตามที่ตั้งใจไว้ หรือได้ไปกินอาหารร้านที่อยากลอง สำหรับอนาคต เขาตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากจะมีเวลา "พักผ่อน" และมี "อิสระในการใช้ชีวิต" มากขึ้น แม้เขาจะยังคงทำงานหนักอยู่ แต่ก็พยายามจะลดทอนบางอย่างลง เช่น อาจลดงานละครที่ใช้เวลามาก เพื่อให้เหลือเพียงการเล่นดนตรีประมาณ 3-4 วันต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ เขายังคงเป็นผู้ให้และมีส่วนร่วมกับสังคม โดยในเดือนกันยายน 2568 นี้ เขามีกิจกรรม Green Charity เติมใจให้กัน ร่วมกับ Green Wave เพื่อนำรายได้สมทบทุนให้ มูลนิธิผ่าตัดหัวใจเด็ก เขายืนยันว่าเขาจะยังคงอยู่ในวงการและเล่นดนตรีต่อไปอย่างแน่นอน ทำให้แฟน ๆ สบายใจว่ายังคงมีโอกาสได้เห็นเขา และผลงานของเขาไปอีกนาน

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง
