ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “เฮียวิทย์” หรือ ดร. วิสิทธิ์ สิทธิเวคิน แขกรับเชิญที่น่าสนใจมาก ในฐานะผู้ที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง และมีพลังบวก การศึกษาประวัติศาสตร์สอนให้เฮียเห็น อุปนิสัยพื้นฐานของมนุษย์ที่คล้ายคลึงกันในทุกยุคสมัย และได้เรียนรู้จาก ความยิ่งใหญ่ ของชาติต่าง ๆ รวมถึงบทเรียนจากการเอาตัวรอด และบางช่วงเวลาที่ประเทศไทยถดถอย สีสันชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ

น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์...มีที่มาอย่างไร?
สิ่งหนึ่งที่หลายคนสงสัยคือ น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ชัดถ้อยชัดคำ ของเฮียวิทย์ เฮียเล่าว่าทุกอย่างย่อมมีที่มา ครอบครัวของท่านเป็นคนจีนที่ชอบดูหนังจีน เช่น 14 ขุนศึกตระกูลหยาง, เปาบุ้นจิ้น, มังกรหยก การถูกแวดล้อมด้วยสิ่งเหล่านี้ทำให้ซึมซับสำเนียงการพากย์ที่ชัดเจนเข้ามาโดยไม่รู้ตัว คุณพ่อของท่านซึ่งมาจากเมืองจีนและไม่ได้เรียนหนังสือ พูดไม่ชัด คุณแม่จึงย้ำให้ลูกทุกคนต้องพูดให้ชัด เพื่อไม่ให้เพื่อนล้อ การฟังสิ่งเหล่านี้ซึมซับเข้ามาจนทำให้เสียงและจังหวะการพูดเป็นแบบที่เป็นอยู่
เฮียวิทย์เพิ่งมารู้ตัวว่าเสียงของตัวเองเป็นอย่างไร ตอนไปเรียน รด. ปีแรก สมัย ม.4 ครูฝึกได้เลือกท่านเป็นหัวหน้ากองร้อย เพราะครูฝึกบอกว่า เสียงมันฟังแล้วมันมีอำนาจ มันฮึกเหิม เฮียเก็บเรื่องนี้มาแต่ไม่ได้คิดมาก จนกระทั่งมาทำงานที่เนชั่น ตอนเรียนจบปี 2542 คุณสุทธิชัย หยุ่น ได้สอนว่าผู้ประกาศต้องพูดโดยใช้กระบังลม (Diaphragm) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน คุณสุทธิชัยบอกว่าถ้าออกเสียงด้วยเส้นเสียง จะเจ็บคอเร็ว อาชีพที่ต้องพูดตลอดเวลาจึงต้องพูดด้วยกระบังลมเพื่อยืดอายุการทำงาน ดังนั้น เสียงของเฮียวิทย์ทุกวันนี้จึงเป็น น้ำเสียงแบบหนังจีน บวกกับการฝึกกำลังภายในแบบคุณสุทธิชัย

จากด็อกเตอร์...สู่เจ้าพ่อรายการประวัติศาสตร์ 8 นาที
เฮียวิทย์เป็นคนชอบประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เพราะมองว่าเป็นความสนุก เหมือนดูหนังอิงประวัติศาสตร์ที่สนุก แต่เฮียก็คิดว่าคำว่าประวัติศาสตร์ฟังแล้วเนิร์ด และคงไม่มีใครอยากทำรายการประวัติศาสตร์ เพราะคงไม่มีคนดู ด้วยความที่อยากคุย เฮียจึงโพสต์เรื่องประวัติศาสตร์ใน Facebook ก็มีคนกลุ่มเล็กๆ เข้ามาสนใจ ภรรยาของเฮียทราบว่า เฮียบ้าประวัติศาสตร์มาก จึงอัดคลิปให้ แต่ตอนแรกมีคนดูเพียง 2 คน คือตัวท่านเอง และภรรยา
จุดเปลี่ยนมาถึงตอนทำงานที่ The Standard น้องๆ ทราบว่าเฮียชอบประวัติศาสตร์จึงชวนให้มาทำรายการ Podcast ประวัติศาสตร์ เฮียวิทย์ดีใจมาก แต่ก็กังวลว่าจะไม่มีคนดู โปรดิวเซอร์ชื่อน้องฝัน บอกว่า ถ้าไม่มีคนดู ก็เลิกทำ ซึ่งเฮียวิทย์มองว่าเป็นวิธีคิดที่น่ารักและชัดเจน น้องฝันขอให้เฮียวิทย์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์เรื่องอะไรก็ได้ เฮียวิทย์ลองเล่าเรื่องสงครามฝิ่น ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์สงครามที่ชอบ ใช้เวลาเล่าไป 20 นาที แต่น้อง ๆ บอกว่า 10 นาทีแรกน่าสนใจ แต่ข้อมูลเยอะไป ย่อยไม่ทันและยาวไป น้อง ๆ จึงขอให้รายการประวัติศาสตร์ยาวประมาณ 10 นาทีพอ เฮียวิทย์เป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงปรับตามคำแนะนำ และคิดว่ารายการไม่ต้องรู้ลึก เอาแบบรู้เรื่องและง่าย ๆ เป็นเหมือนสารบัญ นอกจากนั้นการออกแบบโลโก้เลข 10 ยาก จึงทอนเวลาลงเหลือ 8 นาที กลายเป็นที่มาของรายการ "ประวัติศาสตร์ 8 นาที"

สงครามฝิ่น จุดเปลี่ยนชีวิตและมุมมองต่อประวัติศาสตร์
เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ประทับใจและเป็นแรงบันดาลใจของเฮียวิทย์คือ สงครามฝิ่น ระหว่างอังกฤษและจีนสมัยราชวงศ์ชิง เป็นการรบกันของสองมหาอำนาจที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน อังกฤษซึ่งปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้วมีเรือกลไฟและปืนใหญ่ที่ทันสมัยมาก ในขณะที่จีนยังใช้หอกและทวนอยู่ ผลคือจีนแพ้อย่างราบคาบ เฮียวิทย์ชอบเรื่องนี้มาก เพราะท่านชอบประวัติศาสตร์จีน แต่ไม่ชอบประวัติศาสตร์ฝรั่งเลยตอนเรียนที่อังกฤษ อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าอยู่อังกฤษจะไม่เรียนประวัติศาสตร์อังกฤษไม่ได้ หลังจากดูเรื่องสงครามฝิ่นนี้ในปี 2540 (ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง) เฮียคิดได้ว่า ถึงเราจะไม่ชอบฝรั่ง แต่ในเมื่อฝรั่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเค้าเหนือกว่าโลกตะวันออก เราต้องเรียนเรื่องของเค้าเลย สิ่งนี้กลายเป็นจุดที่พลิกชีวิต ทำให้ท่านเรียนรู้ประวัติศาสตร์มากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมตะวันตกถึงเก่ง ทำไมเอเชียถึงหายไปช่วงหนึ่ง และจุดพลิกผันคืออะไร นี่เป็นการเปิดโลกทัศน์อย่างใหญ่หลวง

ประวัติศาสตร์ที่อยากทำ...แต่ต้องพึ่งผู้รู้
มีประวัติศาสตร์บางเรื่องที่เฮียวิทย์สนใจมากและอยากทำ แต่ทำไม่ได้ด้วยความรู้ที่มีอยู่ เรื่องแรกคือ ประวัติศาสตร์การแพทย์ เฮียมองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว สงสัยว่าใครคิดยาชา ยาสลบ ใครค้นพบระบบไหลเวียนโลหิต หรือใครคิดยาเบาหวาน เฮียอยากเรียงเรื่องราวเหล่านี้เป็นซีรีส์ แต่ความรู้ทางการแพทย์ของท่านไม่เพียงพอ อีกเรื่องคือ ประวัติศาสตร์ดนตรี ท่านสงสัยลำดับเวลาของนักดนตรีคลาสสิก และความแตกต่างของดนตรีคลาสสิก โรแมนติก และโอเปร่า เฮียเคยลองทำ แต่รุ่นน้องที่ชอบดนตรีคลาสสิกแนะนำให้ย้อนกลับไปตั้งแต่คนคิดตัวโน้ต ทำให้ทราบเรื่องราวของบาทหลวงที่คิดค้นโน้ตดนตรี 5 เส้น (Pentatonic) จากการมองนิ้วมือ ท่านอยากทำประวัติศาสตร์ดนตรีป๊อป ร็อก และเรื่องของโน๊ตในดนตรีไทยด้วย แต่เนื่องจากทำเองไม่ได้ ท่านจึงต้องหาผู้รู้มาพูดคุย
บทเรียนจากประวัติศาสตร์ ความเป็นมนุษย์ที่ 'เหมือนเดิม' และพลังแห่งความทะเยอทะยาน
การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เฮียวิทย์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ความเป็นมนุษย์ ท่านพบว่าไม่ว่าจะเป็นยุคหิน, ยุคโรมัน, เรอเนซองส์, หรือปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์มีอุปนิสัยที่เหมือนเดิม เราจะเจอคนหลากหลายประเภท ทั้งคนที่ถูกกระแสโลกเปลี่ยน, คนที่ขี่คลื่นและสร้างนวัตกรรม, คนที่ทะเยอทะยาน, และคนที่มีอุปนิสัยแตกต่างกันไป แพทเทิร์นนี้เหมือนเดิมเสมอ การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เห็นปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีอุปนิสัยต่างกัน

สิ่งที่น่าสนใจจากการศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศใหญ่ ๆ คือ คนเหล่านี้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน พวกเขามีจินตนาการและคิดสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็น Masterpiece ของโลกได้ตลอดเวลา เช่น คนอิตาเลียนที่ทำทุกงานให้เป็น Masterpiece ไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จ นักประดิษฐ์อย่าง Nikola Tesla, Thomas Edison ที่คิดค้นหลอดไฟ เพื่อทำให้โลกมีพระอาทิตย์อีกดวง ผู้คิด Arpanet (พ่อของอินเทอร์เน็ต) ที่คิดระบบสื่อสารไร้ศูนย์กลาง เพื่อรับมือหากศูนย์กลางถูกโจมตี เฮียวิทย์สงสัยว่าพวกเขาคิดได้อย่างไร และหันมามองตัวเองในฐานะมนุษย์เหมือนกันว่าทำไมพวกเขาทำได้
ความทะเยอทะยานและหัวคิดของมนุษย์ ปรากฏให้เห็นในประวัติศาสตร์ เช่น JP Morgan ที่กลายเป็นเศรษฐีในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ด้วยการซื้อปืนเก่าที่ไม่แม่นยำและโหลดช้าของฝ่ายเหนือ มาดัดแปลงให้ยิงแม่นขึ้นและโหลดเร็วขึ้น แล้วนำกลับไปขายให้ฝ่ายเหนือในราคาที่แพงขึ้นถึง 4 เท่า
แรงบันดาลใจของแต่ละชาติก็แตกต่างกัน ญี่ปุ่นถูกอเมริกันบีบให้เปิดประเทศ จึงสร้างชาติให้แข็งแกร่งจนไม่มีใครกดขี่ได้ คนญี่ปุ่น 6 ล้านคนพร้อมเป็นทหาร แม้แต่การ์ตูนโดราเอมอน ก็สะท้อนความคิดที่อยากให้เด็กญี่ปุ่นช่วยเหลือตัวเอง ตัวละครโนบิตะมีของวิเศษทุกอย่างจากโดราเอมอน แต่ชีวิตแย่ที่สุดในเรื่อง เพราะคนญี่ปุ่นอยากให้คนเป็นแบบเดคิสุงิ ที่ไม่มีโดราเอมอนแต่เก่งที่สุด เวียดนามสามารถเอาชนะฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาได้ แม้จะเสียเปรียบเรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งที่ให้พลัง

มองประวัติศาสตร์ไทย เราเคยเก่ง...และอะไรที่ทำให้เราถดถอย?
เฮียวิทย์มองว่าประเทศไทยมีข้อดีเยอะมาก ในอดีตเราเคยเก่งมาก เช่น สมัยอยุธยาในรัชสมัยพระนารายณ์มหาราช ที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อยู่ร่วมกันถึง 1 ล้านคน เป็น Megacity ที่เก่งในการถ่วงดุลอำนาจต่างชาติ เช่น โปรตุเกส ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เปอร์เซีย ในช่วงที่ชาติตะวันตกพยายามหาเมืองขึ้น ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่รับอารยธรรมตะวันตก และ Modernize ตัวเอง โดยจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ เช่น อาจารย์ศิลป์ พีระศรี มาช่วยพัฒนา เราเอาตัวรอดจากสงครามเย็นได้ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเกิดสงครามกลางเมือง ประเทศไทยเลือกเปิดให้กองถ่ายฮอลลีวูดมาทำหนัง James Bond ตอน Golden Finger ในปี 1972 และเปิดตลาดหลักทรัพย์ในวันเดียวกับที่เวียดกงบุกทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 1975 เฮียวิทย์มองว่าเราเก่งในการอยู่รอดในสถานการณ์ที่รอบข้างแย่ และพัฒนาจนมีระดับความเจริญสูงมาก เราค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย วางแผน Seaboard กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยมีญี่ปุ่นมาลงทุนจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เฮียวิทย์มองว่าเราถดถอย ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยเคยถูกประมาณการว่าจะเป็นประเทศ Top 20 ของโลกอย่างถาวร แต่ไปไม่ถึงเพราะเกิดวิกฤต ท่านแนะนำให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์วิกฤตต้มยำกุ้งสำหรับคนที่ไม่ทัน จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และหลังจากนั้นเราก็โซซัดโซเซมาเรื่อย ๆ อีกส่วนหนึ่งคือเรื่อง ความพิถีพิถัน เราทำอาหารอร่อย แต่ระยะหลังบางร้านไปกินครั้งแรกอร่อย ครั้งที่สองไม่อร่อย ซึ่งเราเป็นคนทำเอง สิ่งที่เราเคยทำได้ดีเยี่ยมบางครั้งกลับค่อย ๆ ถดถอยไป บางอย่างทำมาแล้วกี่ปีก็ทำคล้าย ๆ เดิม ไม่พัฒนา ไม่ปรับปรุง
แม้เราจะเป็นชาติที่มีเสน่ห์มาก และมีชาวต่างชาติมาเที่ยวปีละกว่า 30 ล้านคน แต่เฮียวิทย์ย้ำว่า เราถดถอยลงไป แต่ไม่ต้องรอใคร ต่างคนต่างทำเองได้ ทุกประเทศจะเติบโตเพราะคนทุกคนในประเทศ ถ้าอยากเจริญแบบญี่ปุ่น ก็ต้องทำตัวแบบคนญี่ปุ่น อยากไดนามิกแบบเกาหลี ก็ต้องเข้มงวดและเรียนให้บ้าคลั่งแบบเกาหลี อยากเก่งเหมือนสิงคโปร์ ก็ต้องมีวินัยเหมือนคนสิงคโปร์ ถ้าอยากเป็นทุกอย่าง แต่ทำแบบสบายๆ เราก็จะเป็นแบบนี้
เฮียวิทย์มองว่าอนาคตของโลก และของประเทศไทยจะเป็นยังไง ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้ เฮียชอบย่อยทุกอย่างลงมาเป็นระดับไมโคร และถามว่าถ้าเราอยากเห็นประเทศไทยเจริญแบบประเทศอื่น เราจะทำอะไร? อนาคตของเราอยู่ที่ว่าวันนี้เราทำอะไร ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ความบังเอิญ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เกิดจากการสร้างทำจากมือของเรา

เส้นทางอาชีพ จากสื่อ ไปองค์กรใหญ่ และการกลับคืนสู่วงการสื่ออีกครั้ง
เฮียวิทย์เริ่มต้นการทำงานที่เนชั่นทีวี ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ออกอากาศ เป็นช่วงเตรียมกำลังพล เพราะที่อื่นไม่รับ เฮียจึงต้องทำในสิ่งที่ไม่ได้ชอบนัก แต่ด้วยสไตล์ที่เป็นคนพูดตรงไปตรงมา เฮียก็ทำไป เฮียเคยไม่แน่ใจว่าจะชอบงานนี้ไหม แต่ผู้ใหญ่บอกว่ามีคนจำนวนมากอยากทำงานนี้แต่ไม่ได้ทำ แต่เฮียกลับได้ทำ เฮียจึงคิดว่าควรเรียนรู้ให้หมด อาจจะชอบก็ได้ ปรากฏว่าทำไปแล้วก็สนุก ได้เรียนรู้กระบวนการทำข่าวทีวี การตัดต่อ คุณสุทธิชัยสอนให้ทุกคนทำได้ทุกอย่าง ทั้งช่างภาพ ผู้ประกาศ โปรดิวเซอร์ เพื่อให้ทุกคนทำแทนกันได้ แม้ตอนแรกจะมีปัญหาเรื่องการตัดต่อ เพราะตัดภาพก่อนเขียนสคริปต์ แต่มันคือบทเรียนสำคัญ ทำให้เฮียระมัดระวังการพูดเพื่อให้คนตัดต่อทำงานง่ายขึ้น
หลังจบจากเนชั่น เฮียก็ไปทำงานบริษัทที่อยากเข้ามาก คือบริษัทรถยนต์ (BMW) ซึ่งเป็นงานบริหาร งานท้าทายมาก โดยเฉพาะเรื่องการเข้ากับหัวหน้า การเปลี่ยนหัวหน้าบ่อย จาก BMW ก็ย้ายไปทำธนาคาร ซึ่งก็ไม่ได้ชอบงานธนาคาร แต่ด้วยอุปนิสัยเดิมคือไม่ชอบก็ต้องบังคับให้เรียนรู้. ท่านมองว่าไม่รู้เรื่องการเงินไม่ได้ จึงคิดว่าต้องได้ประสบการณ์ที่ดีและความรู้ติดตัวไว้
พออายุ 40 กว่า ๆ เฮียออกมาจากโลก Corporate มาทำ PR Agency และอยากกลับมาทำทีวี จนกระทั่งอายุ 41 ปี ททบ.5 ติดต่อให้มาลองอ่านข่าวเช้า เฮียตื่นเต้นมาก แม้จะต้องตื่นเช้ามาก แต่ก็มีวินัยทำไป เฮียยอมรับว่าในช่วงนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เก่ง แต่ขอทำหน้าที่ตัวประกอบให้ดีที่สุด
จนกระทั่งอายุ 51 ปี The Standard ติดต่อมา เฮียวิทย์สงสัยว่าทำไมถึงเลือกท่านมาทำรายการเศรษฐกิจ (Morning Wealth) และได้รับคำตอบว่าเพราะเฮียเคยทำงานธนาคารมา กลายเป็นว่าสิ่งที่เฮียไม่เคยคิดว่ามีค่า และเป็นสิ่งที่เฮียไม่ชอบตอนแรก กลับมาช่วยเฮีย เฮียดีใจมากที่ตอนอยู่ธนาคารไม่ได้บ่น แต่พยายามเรียนรู้ ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการเริ่มชีวิตใหม่ แม้จะไม่รู้เรื่องการเงินลึกซึ้ง แต่ตัวเองถูกเลือกเพราะสามารถถามและรายงานแทนใจคนดูที่ไม่รู้ได้ หลังจากนั้นก็ได้ทำรายการประวัติศาสตร์ด้วย ทำให้ชีวิตเฮียได้ทำสิ่งที่เราชอบทั้งสองอย่าง

เสาเข็มของชีวิต แม้ "ขี้เหร่" แต่ก็มีคุณค่า
เฮียวิทย์เปรียบเทียบประสบการณ์ชีวิตเหมือนเสาเข็ม ไม่ว่าก้อนประสบการณ์นั้นจะขี้เหร่ หรือสวยงาม ก็มีคุณค่าตลอด เสาเข็มเป็นสิ่งที่ขี้เหร่ที่สุดเลยในตึก แต่ตึกสูง ๆ อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเสาเข็ม เฮียย้ำว่าอะไรอยู่ข้างหน้า จงทำให้ดีที่สุด เฮียใช้การหลอกตัวเองให้มีวินัย เช่น บอกตัวเองว่าตื่นเช้าดีต่อสุขภาพ แม้จะไม่อยากตื่น ทำเรื่องการเงินก็บอกตัวเองว่าคนอื่นอาจไม่มีเวลาติดตามข่าวการลงทุน เราต้องศึกษาให้ดี ทำประวัติศาสตร์ 8 นาทีในตอนที่ทำยาก ก็บอกตัวเองว่ารู้ไว้เถอะ วันหนึ่งจะได้ใช้ เฮียยอมรับว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่หลอกตัวเองจนเปื่อยมาตลอดชีวิต
Midlife Crisis วิกฤตวัยกลางคนที่ต้องบริหารจิต
เฮียวิทย์มองว่า Midlife Crisis หรือวิกฤตวัยกลางคน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ตอนเด็ก ๆ เราตั้งต้นชีวิต ทำงาน มีตำแหน่ง มีความมั่นคง และเริ่มฝันว่าเมื่อไหร่จะไปให้สูงที่สุดให้เร็วที่สุด แต่ใจเราสปีดเร็วกว่าความจริง ความคาดหวังสูง ทำให้เกิดความอึดอัดเมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่คิด เมื่อก่อนมีหัวหน้าคอยสอน แต่พอโตขึ้นก็รู้สึกว่าหัวหน้าไม่ให้เกียรติ วัย 30 กว่า ๆ เริ่มแต่งงาน มีบ้าน มีลูก มีความท้าทายและแรงกดดันเข้ามา ซึ่งความกดดันนี้มาในช่วง 30 ปลายถึง 40 ต้น เมื่อความคาดหวังสูง แต่ชีวิตจริงไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ ทำให้เกิดความอึดอัด
เฮียวิทย์เคยเจอวิกฤตนี้ตอนอายุ 36 ขณะทำงานที่ BMW และได้ลองทำตำแหน่ง Marketing เฮียรู้สึกว่าความคาดหวังและจินตนาการเยอะเกินไป ไม่สามารถบริหารจัดการได้ ทำให้สติแตกมาก เริ่มนอนไม่หลับอย่างรุนแรง เฮียแก้ปัญหาด้วยวิธีคลาสสิกคือ อ่านหนังสือธรรมะ เฮียเริ่มเข้าใจคำว่า ปล่อยวาง ได้มากขึ้น และแนะนำว่าเมื่อเจอวิกฤต จงบริหารจิตให้เย็นลง บางครั้งเราขับเคลื่อนชีวิตเร็วเกินไป เหมือนขับรถ 200 แรงม้าตลอดเวลา ลืมไปว่าบางครั้งต้องขับช้า ๆ ค่อย ๆ ไป ก็ถึงเป้าหมายได้ เมื่อก่อนเชื่อว่ายิ่งเร็วยิ่งดี แต่ตอนโตขึ้น บางทีเร็วแล้วพินาศ
อ่านคนให้เก่ง ทักษะสำคัญที่เรียนรู้ได้จากชีวิตและประวัติศาสตร์
เฮียวิทย์มองว่าทักษะสำคัญในการอยู่รอดและปรับตัวคือการ อ่านคนให้เก่ง ท่านเรียนรู้เรื่องนี้จากเพื่อนร่วมงานชาวเยอรมันที่ BMW ซึ่งตรงไปตรงมา บางคนก็ไม่แฟร์ ทำให้รู้สึกอึดอัด หัวหน้าท่านบอกว่าในชีวิตเราเลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เมื่อเจอคนแบบนี้ เราจะได้รู้วิธีรับมือคนลักษณะคล้าย ๆ กันนี้ตลอดชีวิต งานแรกๆ จึงเป็นเหมือนแบบฝึกหัด เราจะเจอคนหลากหลายประเภท ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็ต้องเรียนรู้ว่า ถ้าเจอคนที่ไม่ดีจะหลบเลี่ยงอย่างไร ถ้าต้องปะทะจะทำอย่างไร เจอหัวหน้าแบบนี้จะบริหารอย่างไร นี่คือ ทักษะมนุษย์ การมองคนสามารถเรียนรู้ได้จากประวัติศาสตร์และละคร ซึ่งทำให้เห็นตัวละครที่มีอุปนิสัยต่างกัน
เฮียวิทย์ยกตัวอย่างวิธีมองคนของแต่ละชาติ เช่น ชาวยิว ที่ถูกเลี้ยงดูมาให้ไม่ไว้ใจใครเลย เพราะประวัติศาสตร์ และพื้นที่ตั้งทำให้พวกเขาถูกแวดล้อมด้วยผู้ที่ไม่เป็นมิตรและถูกกดขี่ พวกเขาจะมองคนด้วยเลนส์ที่ว่ามาดีหรือมาร้าย กว่าจะเปิดใจต้องใช้เวลา หรือแม้แต่ชาวเยอรมัน ก็จะไม่ไว้ใจคนง่าย แต่จะมองว่าคนนี้เก่งพอที่จะไว้ใจหรือไม่ เป็นเพื่อนที่มีน้ำใจหรือไม่ กว่าจะเข้ากันได้ก็ต้องใช้เวลา ส่วนชาวเอเชียเกือบทั้งหมดจะเปิดรับคนง่าย ตอนแรกดูน่ารัก ไป ๆ มา ๆ อาจจะเริ่มแย่ลง เฮียย้ำว่าเราต้องมองอย่างมีสติอยู่ตลอดเวลา และถ้าเกิดผิดคาดก็อย่าตกใจ บางครั้งที่เราตำหนิว่าเขาผิด เราอาจจะลืมไปว่าเราเองก็อาจจะห่วยหรือมีอคติ ต้องพิจารณาด้วยสติ
วางแผนการเงิน สูตรง่าย ๆ ที่ต้อง "ว่ายทวนน้ำ"
เฮียวิทย์มองว่าการวางแผนการเงินเป็นเรื่องคลาสสิก สูตรง่ายๆ คือ ใช้เท่าที่จำเป็น หลักการสำคัญของท่านคือการ ว่ายทวนน้ำ บางอย่างไม่อยากทำก็ต้องทำ เช่น เก็บเงิน บางอย่างอยากทำแทบตาย ก็ต้องหักห้ามใจ เช่น อยากซื้อของฟุ่มเฟือย เฮียมาเรียนรู้เรื่องการเงินจริงจังตอนอยู่ธนาคาร เฮียถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่าความมั่นคงทางการเงินคือเท่าไหร่ และได้รับคำตอบว่า ความมั่นคงคือการมีเงินเท่ากับค่าใช้จ่ายต่อเดือนคูณด้วย 24 (เท่ากับ 2 ปี) เพราะเวลาเศรษฐกิจไม่ดี อาจไม่มีรายรับเป็นเวลา 2 ปี ถ้ามีเงินก้อนนี้อยู่ก็ถือว่ามั่นคง ตอนนั้นเฮียไม่มีเงินเก็บเลย และคำว่า เศรษฐี ในภาษาอังกฤษคือ Millionaire ซึ่งหมายถึงมีเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 30 กว่าล้านบาท) เมื่อรู้เป้าหมายแล้ว ผู้ใหญ่ท่านนั้นบอกว่าข้อแรก ต้องอดออมให้เป็นก่อน บริบทที่ทำงานก็สำคัญ เมื่ออยู่ธนาคาร คนรอบข้างคุยกันเรื่องการออมและการลงทุน แทนที่จะคุยเรื่องการใช้เงิน เฮียวิทย์เริ่มบังคับเก็บเงินด้วยการฝากประจำ พอผ่านไป 2 ปี ก็มีเงินก้อนขึ้นมา มุมมองเรื่องวัตถุเปลี่ยนไป จากที่ต้องมีรถรุ่นนี้ ยี่ห้อนี้ ก็แค่พอประมาณ เพราะความสุขที่ดีคือการได้เห็นตัวเลขในบัญชีเยอะขึ้น ไม่ใช่เรามีวัตถุเยอะขึ้น ท่านเห็นคนที่เป็นไอดอลทางการเงิน แต่งตัวธรรมดา ๆ แต่มีเงินจำนวนมาก ความสุขคือการมีเงิน ไม่ใช่การใช้เงิน
เมื่ออายุมากขึ้น ความท้าทายคือเรื่องสุขภาพ บางคนป่วยต้องใช้เงินจำนวนมาก เพื่อนเฮียคนหนึ่งเตือนเรื่องการเตรียมตัวเกษียณ เมื่ออายุ 50 ปี ถามว่าอีก 10 ปีจะเกษียณพร้อมหรือยัง หากเกษียณตอน 60 และมีชีวิตถึง 80 ใช้เงินปีละ 1 ล้าน บวกค่าป่วย ต้องมีเงิน 20 ล้าน คำถามนี้ทำให้เฮียวิทย์ตื่นขึ้นมาเลย และเฮียย้ำว่า เรื่องภาษาเงิน ใครตื่นก่อน คนนั้นชนะ ตื่นช้าอาจจะไม่ทันแล้ว
วินัย และความสุข กุญแจสู่การบริหารเวลาและพลังชีวิต
เฮียวิทย์มองว่าท่านไม่ได้ทำงานเยอะกว่าคนอื่น เพียงแต่ท่านเป็นคนหน้าฉาก คนจึงเห็นการทำงานบ่อย สิ่งสำคัญคือวินัย เฮียมองว่า จะไม่ มีใครมาดูถูกแล้วด่าได้ว่าไอ้วิทย์เป็นคนไม่มีวินัย เฮียจะลุกจากที่นอนทันทีที่ตื่น ไม่ขออีก 10 นาที โดยบอกตัวเองว่า โชคดีแล้ว ที่มีคนเห็นคุณค่าเรา เฮียแบ่งเวลาการทำงานเป็นกะ และเมื่อว่างก็วางแผนว่าจะทำอะไร เช่น เขียนสคริปต์ 8 Minute History เฮียมองว่าการทำ 8 Minute History ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นความสุข เหมือนการเล่นดนตรี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสุขภาพ เฮียออกกำลังกายและมีวินัยในการนอน พยายามนอนให้ได้ 6-7 ชั่วโมง เพราะสุขภาพคือ Hardware ที่สำคัญที่สุด

พลังไม่เคยหมด ความสุขจากการได้ทำและแก้ไขปัญหา
เฮียวิทย์มองว่า ตัวเองไม่เคยหมด Passion เลย ยังคงมีความสุขมากกับการใช้ชีวิต เมื่อมีคนถามว่าเหนื่อยไหม คำตอบแรกที่เกิดขึ้นคือ ไม่เคยเหนื่อยครับ ผมมีความสุขทุกวันครับ เฮียรู้สึกดีใจที่มีคนให้เกียรติ และการที่จะต้องแก้ปัญหา เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าชีวิตเรายังมีความสำคัญต่อสังคม การเจอคนดีคือโบนัสชีวิต ส่วนคนไม่ดีก็แค่คิดว่า เดี๋ยวก็ผ่านไป เฮียเล่าถึงบทสนทนากับชาวจีนที่ขายหนังสือพิมพ์ในอังกฤษ ซึ่งตอบคำถาม "How are you?" ด้วยประโยคว่า "Just like another day, it came and it went” ตอนแก่ตัวลง เฮียก็เข้าใจว่าทุกวันมันก็เหมือนกันหมด เรื่องดีมาแล้วก็ไป เรื่องไม่ดีก็จากไป ดังนั้นทำใจให้เบาครับ อยากให้ทุกคนลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมาทำชีวิตให้ดีขึ้น อย่าไปรอความช่วยเหลือจากคนอื่น เราต้องช่วยเหลือตัวเองได้
เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง
