เรียนรู้วิธีคิด เปิดมุมมอง ของ “หมอสอง นพรัตน์” ศัลยแพทย์ผู้บาลานซ์ชีวิต สู่การพิชิตทุกประเทศทั่วโลก

Club Inspired Day Recap

เรียนรู้วิธีคิด เปิดมุมมอง ของ “หมอสอง นพรัตน์” ศัลยแพทย์ผู้บาลานซ์ชีวิต สู่การพิชิตทุกประเทศทั่วโลก

15 พ.ค. 2025

ที่ Club Inspired Day โดย “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” เราได้มีโอกาสรับฟังเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจจาก “หมอสอง นพรัตน์” ศัลยแพทย์มากประสบการณ์ ผู้ที่ชีวิตไม่ได้หยุดนิ่งอยู่เพียงแค่ในห้องผ่าตัด แต่ยังก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยความมุ่งมั่นในการออกเดินทาง "เที่ยวทั่วโลก ครบทุกประเทศจริง" ตามนิยามของเขา ซึ่งรวมถึง 193 ประเทศที่ได้รับการรับรองจากองค์การสหประชาชาติ และประเทศอื่น ๆ เช่น ปาเลสไตน์ และวาติกัน นอกจากนี้ คุณหมอยังได้ไปเยือนจุดหมายสุดขั้วอย่างขั้วโลกเหนือ ด้วยเรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ และเกือบครบทั้งขั้วโลกใต้

ในการพูดคุยครั้งนี้ หมอสองได้แบ่งปัน "วิธีคิด" และ "มุมมอง" อันลึกซึ้ง ทั้งในฐานะแพทย์
ผู้ทุ่มเท และนักเดินทางผู้พิชิตความฝัน รวมถึง "ความลับ" ในการ "บาลานซ์ชีวิต" ระหว่างการทำงานหนักกับการท่องโลก ประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กที่เป็นเด็กเนิร์ดและนักกีฬา เส้นทางอันท้าทายในวิชาชีพแพทย์และการค้นพบแพชชั่นด้านศัลยกรรมตกแต่ง และการเติมเต็มความสุขในทุกมิติของชีวิต

 

 

ชีวิตที่สมดุล ของหมอศัลยกรรมตกแต่ง และนักเดินทางรอบโลก

นพรัตน์ โอสถานุเคราะห์ หรือที่รู้จักกันในนาม "หมอสอง" เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง และยังเป็นนักเดินทางผู้พิชิตการเยือนทุกประเทศทั่วโลก เขาเชื่อในการใช้ชีวิตอย่างสมดุล คือทำงานอย่างเต็มที่ และพักผ่อนด้วยการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่เช่นกัน เขาให้ความสำคัญกับความสุขในทุกวัน ไม่ใช่รอให้มีเงินเยอะ ๆ แล้วค่อยเที่ยวเมื่ออายุมากขึ้น

หมอสองเริ่มต้นจากการท่องเที่ยวเหมือนคนทั่วไป จากนั้นจึงเริ่มเที่ยวมากขึ้น มากกว่า 80 ประเทศ เขาและเพื่อนนักเดินทางก็เริ่มนับประเทศที่ไป โดยจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขามองว่า "อยากไปประเทศที่ไม่เคยไปดีกว่า" เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ วัฒนธรรมใหม่ ๆ ในประเทศที่ไม่คุ้นเคย และเมื่อจำนวนประเทศทะลุร้อยก เขาก็เริ่มมุ่งเป้าไปยัง "ประเทศแปลก ๆ" ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปไม่ค่อยไป

นิยามของ "การเที่ยวรอบโลก" ในแบบของหมอสอง คือการไปเยือนทุกประเทศที่ได้รับการรับรองโดยองค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีทั้งหมด 193 ประเทศ โดยเขาได้ไปเยือนครบทุกประเทศแล้ว นอกจากประเทศเหล่านี้ เขายังไปเยือนดินแดนที่เป็นอาณานิคมหรือส่วนหนึ่งของประเทศอื่น เช่น โบรา โบร่า (ของฝรั่งเศส) และ Réunion แม้จะไม่นับเป็นประเทศก็ตาม

 

 

การเดินทางสู่จุดที่เหนือกว่าขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้

นอกจากการเยือนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว หมอสองยังได้เดินทางไปยังจุดที่พิเศษมาก ๆ คือ ขั้วโลกเหนือ (North Pole) เขาเดินทางโดยเรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ ขึ้นไปถึงจุด 90 องศาแนวตั้งเหนือสุดของโลก การเดินทางในช่วงฤดูร้อนทำให้น้ำแข็งบางลง เรือสามารถทะลุไปได้ ระหว่างทางได้พบเห็นรอยเท้าหมีขาว และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัย บรรยากาศที่นั่นไม่มีกลางคืนในช่วงฤดูร้อน ทำให้ต้องปิดม่านนอน

ขั้วโลกใต้ (Antarctica) เขาเดินทางด้วยเรือไปยังหมู่เกาะต่าง ๆ ทางตอนใต้ เช่น แถวฟอล์กแลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแอนตาร์กติกา หรือที่เรียกรวม ๆ ว่าขั้วโลกใต้ แม้จะยังไปไม่ถึงจุดใต้สุดจริง ๆ ที่ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ แต่ก็มีแผนจะไปในอนาคต

ความท้าทายเมื่อประเทศธรรมดาไปครบแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปยังประเทศที่เหลือต้องอาศัยการวางแผนและออกแบบเอง โดยเฉพาะในหมู่เกาะแปซิฟิกที่มีประเทศเล็ก ๆ หลายแห่งที่คนทั่วไปไม่รู้จักชื่อ รวมถึงหลายประเทศในแอฟริกาที่อยู่ใกล้กัน บางครั้งหากไม่มีคนเดินทางไปด้วย หมอสองจัดการเดินทางแบบ Private Trip คือไปคนเดียวแต่ให้บริษัททัวร์ช่วยจัดการเรื่องที่พัก ไกด์ท้องถิ่น

ประเทศสุดท้ายที่ทำให้หมอสองเดินทางครบทุกประเทศคือเกาหลีเหนือ ซึ่งประเทศนี้ปิดรับนักท่องเที่ยวมา 6 ปีแล้วตั้งแต่ช่วงโควิด การเปิดรับที่เกิดขึ้นล่าสุดเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ประมาณ 2-3 ทริปเท่านั้น แต่มีเหตุการณ์พิเศษ คือการเปิดรับคนเข้าร่วมงาน เปียงยางมาราธอน ซึ่งเปิดได้เพียงประมาณ 2 อาทิตย์ และรับเพียง 200 คนทั่วโลกที่ลงทะเบียนทัน ผู้ที่เข้าร่วมได้รับวีซ่าประเภทนักกีฬา ไม่ใช่วีซ่านักท่องเที่ยว โดยทุกคนต้องวิ่งอย่างน้อย 1 รายการ (5 กม., 10 กม., หรือฮาล์ฟมาราธอน) ส่วนวันที่เหลือก็ได้ท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ หมอสองยืนยันว่าเกาหลีเหนือไม่ได้น่ากลัว หากทำตามกฎของเขา เหตุการณ์นี้ถือเป็นอีเวนต์พิเศษที่นักเดินทางทั่วโลกรอคอย และมีนักเดินทางจากทั่วโลก 14 คนที่เดินทางมาปิดจบทริปครบทุกประเทศที่เกาหลีเหนือในครั้งนี้ ได้มีการจัดโต๊ะพิเศษสำหรับกลุ่มคนที่เที่ยวครบในวันนั้น ซึ่งหมอสองก็เป็นหนึ่งในนั้น  โดยในกลุ่มนั้นมีนักเดินทางจากหลายประเทศ ส่วนใหญ่เป็นยุโรปและจีน หมอสองเป็นคนไทยคนเดียวในกลุ่มนั้น และเชื่อว่าตนเองเป็นคนไทยคนที่สองที่เดินทางครบทุกประเทศในโลก โดยรู้จักกับคนไทยคนแรกซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เดินทางอย่างหนัก ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็ยังมีคนไทยคนอื่น ๆ ที่เดินทางได้ถึง 160-170 ประเทศ

 

 

ปัจจัยการท่องเที่ยวแบบฉบับหมอสอง คือมี "ใจ-เวลา-เงิน"

หมอสองกล่าวว่าการเดินทางให้ครบทุกประเทศแบบเขาต้องอาศัย 3 ปัจจัยสำคัญ คือ แพชชั่นในการท่องเที่ยว ต้องมีความสุขกับการเดินทาง แม้บางประเทศจะลำบาก ก็ต้องยอมทนเพื่อเก็บประเทศนั้น หรือเพื่อไปดูว่าสภาพความเป็นอยู่เป็นอย่างไร เวลา ต้องสามารถแบ่งเวลาได้ หากรู้สึกว่างานยุ่งมากจนไปเที่ยวไม่ได้ นั่นแปลว่ายังแบ่งเวลาไม่เป็น และ เงิน เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เพราะต้องใช้เงินเยอะ อย่างไรก็ตาม สามารถประหยัดได้ด้วยการเลือกเดินทางแบบไม่หรูหรา เช่น บินชั้นประหยัด พักโรงแรมที่ปลอดภัยแต่ไม่จำเป็นต้องดีมาก และไม่เน้นอาหารหรู ตัวเขาเองก็เคยพักโรงแรมที่เหมือนอพาร์ทเมนต์ต่างจังหวัดในบางประเทศที่แอฟริกา

โดยคนที่อยากเที่ยว หมอสองแนะนำให้ค่อย ๆ เที่ยวตามความสุข เริ่มจากที่ที่เราอยากไปก่อน อย่าเพิ่งมองว่าต้องไปให้ครบทั้งหมด และเมื่อเที่ยวเยอะขึ้น ความคิดอาจเปลี่ยนไปเอง

 

 

ไม่มีที่ไหนน่าอยู่เท่า ประเทศไทย

จากการเดินทางไปทั่วโลก หมอสองได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย และเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกอย่างแรงกล้าคือ "ไม่มีประเทศไหนน่าอยู่เท่าประเทศไทย ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารการกินที่ถูกปาก แต่รวมถึงความปลอดภัย ความเครียดในชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละประเทศ บางประเทศที่เจริญมากก็มีความเครียดสูง บางประเทศยังคงมีปัญหาความขัดแย้ง ในขณะที่ประเทศไทยอยู่สบาย หางานทำ หรือทำธุรกิจก็ทำได้ง่ายกว่าหลายที่ เขาจึงมองว่าประเทศไทยดีที่สุดแล้ว

 

ความรักที่พบกันในคอร์สเรียน สู่ชีวิตคู่ที่เติมเต็มกันและกัน

หมอสอง พบกับ ภรรยา (คุณออน สมฤทัย) ครั้งแรกในคอร์สเรียน และรู้จักกันในฐานะเพื่อน ต่อมาได้มาเจอกันอีกครั้งในงานแต่งงาน โดยบังเอิญที่ทั้งคู่โสดในเวลานั้นพอดี จึงค่อยๆ เริ่มต้นความสัมพันธ์ การตัดสินใจแต่งงานสำหรับเขาคือการเจอคนที่ใช่ที่สุด ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นแล้วทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยไม่ได้วางแผนตายตัวว่าจะต้องอายุเท่าไหร่ หรืองานต้องมั่นคงแค่ไหน

ในการปรับตัวเข้าหากันในชีวิตคู่ เขายอมรับว่ามีความแตกต่างอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องช่องว่างระหว่างวัยที่ทำให้ฝ่ายหญิงยังมีความเป็นเด็กและประสบการณ์น้อยกว่า เขาก็จะค่อย ๆ อธิบายและแนะนำ แต่ก็พยายามไม่ทำตัวเป็นผู้สอนมากเกินไป ฝ่ายหญิงเองก็มีการปรับตัวให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเช่นกัน ทั้งคู่พยายามถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และไม่คาดหวังอะไรมากเกินไป แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ข้อดีของภรรยาที่เขาเห็นคือเป็นคนขยันทำงาน มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ แอคทีฟ และพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ซึ่งฝ่ายหญิงก็อาจชอบผู้ชายที่อาวุโสกว่าที่สามารถแนะนำได้

ความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รสนิยมการฟังเพลง ที่เขาชอบเพลงไทยเก่า ๆ ยุค 90 ส่วนภรรยาชอบเพลงสากลสมัยใหม่หรือ K-pop ก็มีการปรับจูนกัน ปัญหาหรือความขัดแย้งส่วนใหญ่เป็นเรื่องการงอน โดยที่บางครั้งฝ่ายชายอาจไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนของผู้หญิง ทั้งคู่ใช้วิธีการสื่อสารกันตรงไปตรงมา บอกความรู้สึกและความต้องการ เพื่อทำความเข้าใจกันให้มากที่สุด หากมีอารมณ์ไม่พร้อมคุย ก็จะรอให้อารมณ์ดีขึ้นแล้วค่อยมานั่งคุยและชี้แจงกัน

หมอสองมองว่าชีวิตคู่ช่วยเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์มากขึ้น ทำให้รู้สึกอบอุ่น และมีอีกคนคอย
ซัพพอร์ต คอยเป็นที่ปรึกษาเมื่อมีปัญหา

 

 

จากเด็กเนิร์ด สู่ศัลยแพทย์ตกแต่งมืออาชีพ

หมอสองมีความฝันอยากเป็นหมอมาตั้งแต่ ป.1 เขารู้สึกว่าหมอเก่งเหมือนผู้วิเศษที่รักษาคนป่วยได้ แม้จะเป็นเด็กต่างจังหวัดจากแพร่ และเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดธรรมดา เขาเป็นเด็กที่ขยันและตั้งใจเรียนมาก เรียกว่า "เด็กเนิร์ด" นอกจากการเรียน เขายังเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ เคยเป็นตัวแทนเขตและไปแข่งกีฬาแห่งชาติ/เยาวชนแห่งชาติหลายครั้ง ได้เหรียญทองแดง ในวัยเด็ก เขายอมรับว่าไม่ค่อยมีคนสนใจเพราะเป็นเด็กเนิร์ด ไม่เท่เหมือนคนที่เล่นดนตรี

การเข้าคณะแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เขาได้โควต้าคณะแพทย์ มศว. ซึ่งเป็นการสอบก่อนการสอบปกติ เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยในปีแรก เขารู้สึกว่าเพื่อน ๆ เก่งมาก และชีวิตมหาวิทยาลัยมีกิจกรรมให้ทำเยอะ ทำให้เกรดตก อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีวิชาติด D และสามารถประคองเกรดได้ ตั้งแต่ปี 2 เป็นต้นไป เขาตัดกิจกรรมทุกอย่างและหันมาตั้งใจเรียนวิชาแพทย์อย่างจริงจัง ทำให้เกรดดีขึ้นจนจบได้เกียรตินิยมอันดับ 2

ในระหว่างการเรียนแพทย์ หมอสองต้องผ่านการเรียนทุกแผนก เขาค้นพบว่า ชอบการผ่าตัดมาก ๆ ตั้งแต่เรียนกายวิภาค ได้ผ่าอาจารย์ใหญ่ เขารู้สึกมีความสุขกับการ Identifiy เส้นประสาทหรือส่วนต่าง ๆ และเพื่อน ๆ ยังมาดูวิธีการผ่าของเขา เขามองว่าตนเองมีทักษะที่ดีในการมองกล้องและงานแล็บ

เส้นทางสู่ศัลยกรรมตกแต่งคือการเรียนต่อเฉพาะทาง ต้องเริ่มจากศัลยกรรมทั่วไปก่อน เขามีโอกาสได้เข้าเรียนศัลยกรรมทั่วไปในระบบแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ซึ่งเป็น Fast Track ที่เรียนต่อได้ทันที หลังจากเรียนศัลยกรรมทั่วไปและผ่านการเรียนทุกแผนกแล้ว เขารู้สึกสะดุดใจและชอบมากเป็นพิเศษกับศัลยกรรมตกแต่ง เพราะรู้สึกว่ามันน่าทึ่งและท้าทายมากที่สามารถสร้างสรรค์ความสวยงามขึ้นมาได้ เช่น การศัลยกรรมใบหน้าผู้ป่วยอุบัติเหตุให้กลับมาสวย หรือการทำศัลยกรรมเสริมความงามต่าง ๆ ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบศิลปะและความสวยงาม จึงคิดว่าศัลยกรรมตกแต่งคือสิ่งที่ใช่ที่สุด สำหรับตนเอง

การเข้าเรียนเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งนั้นยากมาก มีจำนวนจำกัดเพียง 11 ตำแหน่งทั่วประเทศในสมัยนั้น หลังจากจบศัลยกรรมทั่วไปและสอบบอร์ดผ่านแล้ว เขาได้มีโอกาสเข้าเรียนศัลยกรรมตกแต่งที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งใช้เวลาเรียนอีก 2 ปี ทำงานหนักมากและได้ฝึกฝนการผ่าตัดอย่างละเอียดภายใต้การดูแลของอาจารย์ อาจารย์ยังปลูกฝังเรื่องจริยธรรมและคุณธรรมอย่างมาก หลังจากเรียนจบและสอบบอร์ดศัลยกรรมตกแต่งผ่านแล้ว เขายังได้ไปฝึกฝนเพิ่มเติมที่ซิดนีย์ รวมระยะเวลาเรียนและฝึกฝนเฉพาะทางทั้งหมดกว่า 12 ปี

 

 

ข้อคิดสำหรับคนอยากเป็นหมอ ต้องอดทนและทุ่มเท

หมอสองฝากข้อคิดถึงคนที่อยากเป็นหมอว่า ต้องศึกษาเส้นทางอาชีพนี้ให้ชัดเจน อาชีพหมอไม่ได้สบาย บางครั้งต้องดูแลผู้ป่วยกลางคืน ต้องตั้งใจเรียนอย่างหนักทั้ง 6 ปีในมัธยมเพื่อสอบเข้า และอีก 6 ปีในคณะแพทย์ที่ต้องทุ่มเทจนอาจสูญเสียชีวิตวัยรุ่น ต้องขยันและอดทนอย่างต่อเนื่อง อาชีพหมอเป็นอาชีพที่มั่นคง ไม่ได้รวยเร็วหรือรวยง่ายแบบนักธุรกิจ แต่เป็นอาชีพที่ช่วยเหลือคนได้ เขาสังเกตว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ชาย สนใจเป็นหมอน้อยลง และหันไปทำอาชีพอื่นที่สบายกว่า ขณะที่หมอผู้หญิงมีจำนวนมากขึ้น คนรุ่นใหม่มีทางเลือกอาชีพที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น Youtuber, วงการบันเทิง, หรือนักธุรกิจ

 

 

ความสุขที่ได้จากการทำงาน และการใช้ชีวิต

ความสุขของหมอสองคือการได้บาลานซ์ชีวิต แม้ไปเที่ยวต่างประเทศนาน ๆ เขาก็คิดถึงการผ่าตัด ความสุขในงานคือการได้เห็นคนไข้พอใจในผลลัพธ์ มีความสุขกับหน้าตาหรือร่างกายที่ดูดีขึ้น นอกจากงานและการเดินทาง เขายังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย เช่น ตีแบดมินตัน และว่ายน้ำทุกวัน

 

 

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1