ค้นฟ้าคว้าพลังใจ จาก “โดม จารุวัฒน์” จากเด็กขี้อาย สู่แชมป์ The Star ผู้เอาชนะปมในใจด้วยการ “รักตัวเอง”

Club Inspired Day Recap

ค้นฟ้าคว้าพลังใจ จาก “โดม จารุวัฒน์” จากเด็กขี้อาย สู่แชมป์ The Star ผู้เอาชนะปมในใจด้วยการ “รักตัวเอง”

02 พ.ค. 2025

“รัก และภูมิใจในตัวเองมาก ๆ เวลาใครมาพูดหรือทำอะไรเรา เราจะมสติมากขึ้น บางทีสิ่งที่เขาพูด มันอาจจะไม่มีประโยชน์กับเราเลยก็ได้”

 

 

เพราะที่ Club นี้ ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “โดม จารุวัฒน์” อดีตผู้เข้าแข่งขันและผู้ชนะรายการประกวดร้องเพลงชื่อดัง The Star ค้นฟ้าคว้าดาว 8 โดมแบ่งปันเรื่องราวการเดินทางของตนเอง ตั้งแต่การเป็นเด็กขี้อายจากภูเก็ต ไปจนถึงการก้าวเข้าสู่วงการเพลงผ่านเวที The Star 
แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากและการวิพากษ์วิจารณ์ แต่เขาก็สามารถเอาชนะอุปสรรคและประสบความสำเร็จในฐานะนักร้องคุณภาพ นอกจากนี้ โดมยังเล่าถึงบทบาทใหม่ในฐานะผู้บริหารและเบื้องหลังค่ายเพลง LIT Entertainment ซึ่งเป็นค่ายเพลงในเครือ Loveis โดยใช้ประสบการณ์จากการทำงานในวงการบันเทิงมาพัฒนาศิลปินรุ่นใหม่ โดยเน้นการสร้างคาแรคเตอร์และความสามารถที่โดดเด่น มุมมอง วิธีคิด พร้อมแรงบันดาลใจดี ๆ ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ

 

จุดเริ่มต้นของเด็กต่างจังหวัดผู้ขี้อาย

“ตอนเด็กผมขี้อายมาก อาจจะโดนบูลลี่บ้าง โดนแกล้งบ้าง ซึ่งบางทีคนอื่นอาจจะไม่ได้เจตนาร้ายแรง แต่ว่าบางทีมันเป็นปมหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าฉันออกไปทำอะไรสักอย่าง ฉันต้องโดนแซว โดนคนแกล้ง เลยจะรู้สึกกลัวมาก แล้วมันก็ส่งผลให้ไม่กล้าออกไปหน้าชั้นเรียน กิจกรรมโรงเรียนก็ไม่ทำ แต่ว่าเวลาอยู่บ้านชอบร้องเพลง คือเราแอบร้องเพลงอยู่ที่บ้าน ชอบวงการเพลงมาก เพราะว่าคุณย่าเป็นคนที่พาไปซื้อม้วนเทป เวลาเรากลับไปอยู่ที่บ้านก็อยู่กับเครื่องเล่นเทป  เราเปิดเทปฟังแล้วก็ร้องตาม จนช่วงมัธยมเป็นช่วงเวลาที่เราค่อย ๆ ทำกิจกรรม เนื่องจากเพื่อนผลักบ้าง อาจารย์เรียกออกไปทำกิจกรรมหน้าห้องบ้าง แล้วบางทีเราชอบฟังเพลง เจอเพลงเพราะก็เอาเพลงมาแชร์กับเพื่อน ๆ จนเพื่อนก็เริ่มรู้ว่า จริง ๆ เราเป็นคนชอบร้องเพลง พอเริ่มทำกิจกรรม มันก็เป็นจุดเปลี่ยนให้กับตัวเอง พออาจารย์เริ่มเห็นว่าเราทำได้ เค้าก็ชวนไปร้องเพลงหน้าเสาธง ไปทำกิจกรรมมากขึ้น จนเรามีมุมมองเรื่องความกล้าแสดงออกเปลี่ยนไปเลย ณ ครั้งแรกมันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ว่าเราคงไม่ได้มองหาความสมบูรณ์แบบในชีวิต เรามองหาจุดเริ่มต้นอะไรบางอย่างในชีวิตมากกว่า

นักร้อง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้โดมอยากเป็นนักร้องคือ พี่โบ สุนิตา เพราะว่าตอนที่เราซื้อม้วนเทปตอนนั้นเป็นอัลบั้มแรกของเค้า แล้วในอัลบั้มจะมีปกที่เป็นภาพพี่โบใส่หูฟังยืนอยู่ที่หน้าไมค์ซึ่งเป็นภาพที่เรารู้สึกว่า ฉันอยากทำแบบนี้บ้าง แล้วก็เริ่มเห็นพี่โบปล่อยเพลง ออกอัลบั้มมาเรื่อย ๆ ฉลองล้านตลับอัลบั้มที่ 1 แล้วก็ทำอัลบั้มล้านตลับอีกรอบ ซึ่งเราเห็นมันก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากเป็นนักร้อง กลายเป็นความฝันของเราเหมือนกัน”

 

 

เส้นทางค้นฟ้า สู่การคว้าดาว The Star 8

“The Star เป็นรายการทีวีที่คุณพ่อเปิดไปดูโดยบังเอิญ แล้วเราก็นั่งดูตั้งแต่ ปี 1 เลย ปีพี่สน ปีพี่นิวจิ๋ว พอดูแล้วมันเปลี่ยนความรู้สึกเกี่ยวกับวงการบันเทิง และอาชีพนักร้องไปเลย เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าการไปเป็นนักร้องมันยากมาก แต่ว่า The Star ทำให้รู้สึกว่า มันมีการเปิดออดิชั่น ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไปเป็นนักร้องได้ ผมดูรายการมาทุกปี จนผมอายุถึงที่จะสมัคร ปีแรกคือปี 4 เค้าเปิดรับสมัครตั้งแต่อายุ 15 ปี ผมก็ไปสมัครปีนั้นเลย แต่ก็ยังไม่ได้เข้ารอบ ปี 5 ไปอีก ก็ยังไม่ได้เข้ารอบ เลยพักไป 2 ปี เพราะรู้สึกว่าเราน่าจะไม่ใช่คนที่ The Star กำลังตามหา หลังจากนั้นผมเข้ามหาวิทยาลัย และได้มีโอกาสทำงานเกี่ยวกับเพลง ไปอยู่ชมรมวงดนตรี ไปเจอเพื่อน ๆ ที่เค้าไปสมัคร AF แล้วเค้าได้ เค้าไปสมัคร KPN แล้วเค้าได้ แล้วเราก็อยู่ในชมรมที่สิ่งแวดล้อมมันผลักดันเรา แล้วมันก็เป็นจังหวะที่น้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 จากที่เคยใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยที่ธรรมศาสตร์ ผมต้องกลับไปอยู่บ้านที่ภูเก็ต แล้ว The Star ก็ย้ายการรับสมัคร จากเดิมรับสมัครที่หาดใหญ่ แต่ย้ายไปสมัครที่ภูเก็ตแทน เราก็รู้สึกว่าเค้ามาที่บ้านเราแล้วนะ เราจะไปกลัวอะไรลองดูอีกสักปีไม่มีอะไรเสียหาย ก็ลองไปอีกปีครับ”

 

 

อุปสรรค แรงกดดัน และการแข่งขันใน The Star

“ตอนมาประกวด The Star อีกครั้ง เรากดดันมาก เราดร็อปเรียนมาแล้ว จะไม่กลับหลังถ้ายังไม่ได้ดี มันต้องทำให้เต็มที่ และช่วงเวลาที่เราไปเก็บตัว รอบ 22 คนสุดท้าย รอบนั้นเป็นช่วงที่ผมต้องสอบพอดี เลยตัดสินใจดร็อปเรียนดีกว่า แต่ในการแข่งขันก็มีหลายคนที่โดดเด่น อย่าง แกงส้ม เหมือนเดินแล้วมีแสงไฟส่องตลอดเวลา หรือพี่ฮั่น ที่เต้นเก่งมาก ตอนนั้นทุกคนมันต้องแอบคิดอยู่แล้วว่าใครโดดเด่น มันถึงได้พยายามผลักดันตัวเองเต็มที่ โดมเองก็คิดว่าไม่เป็นไร ทำให้เต็มที่ที่สุด ทำให้สุดก่อน มันเป็นเส้นทางที่เราเดินมาไกลมาก ตั้งแต่เรานั่งดูรายการมาตั้งแต่ปีแรก แล้วเราก็ไม่คิดว่า วันหนึ่งฉันจะได้มาเหยียบตึกแกรมมี่ ฉันจะได้ไปใช้ห้องซ้อมเต้นชั้น 29 ได้ร้องเพลง เพื่อดาวดวงนั้น ได้เจอครูแหม่ม ได้เจอคนทำงานที่เราเห็นในทีวี จนวันหนึ่งมันเกิดขึ้นตรงหน้า มันก็เลยตื่นเต้น ทำอะไรก็สนุกไปหมด และสุดท้ายฝันที่ไม่กล้าฝันก็เป็นจริง เราได้เป็นแชมป์ The Star ปีที่ 8”

 

 

ปลดล็อคชีวิต ด้วยวิธีคิด “ต้องรักตัวเอง”

“ปกติผมเป็นคนเก็บเงียบ ไม่ค่อยเอาเรื่องที่ตัวเองเจอไปปรึกษาใคร ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ผิดมากนะครั้งหนึ่งหลังจากจบรายการ เรา 8 คนได้ไปถ่ายปกนิตยสาร แต่สุดท้ายมีคนไปลบรูปผมออก  แล้วก็บอกว่า เห็นไหมว่ามันดูดีขึ้น ความรู้สึกตอนนั้นคือเราไม่รู้จะรับมือกับมันยังไง ไม่รู้จะเข้าไปพิมพ์ยังไงดี จะบอกเค้าดีไหมว่าอย่าบูลลี่ผมนะครับ หรือต้องทำยังไงดี มันตอบอะไรไม่ถูกเลย ณ ตอนนั้น ทำได้แค่เก็บไว้กับตัวเอง จนบางทีมันลืมไปเลยนะ ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย แล้วพอวันหนึ่งที่เรื่องนี้มันถูกพูดถึงขึ้นมา ในช่วงที่คนกำลังพูดถึงเรื่องการบูลลี่ คนกำลังพูดถึงเรื่องการคอมเมนต์ พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเรื่องนี้นี่นาที่เราไม่เคยก้าวผ่านมันไปได้เลย เราทำได้แค่เพิกเฉยกับมัน แต่เราไม่ได้ก้าวผ่านมาได้จริง ๆ

จนมานั่งทบทวนกับตัวเองว่า ผมก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี ในการทำความเข้าใจว่า จริง ๆ แล้ว ฉันต้องรักตัวเอง และต้องภูมิใจในตัวเองมาก ๆ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ภูมิใจในตัวเอง เวลาใครมาพูดอะไรกับเรา เราจะเชื่อเค้า เราจะฟังเค้า และเห็นด้วยกับเค้า แต่ถ้าเรารักตัวเองมาก เราภูมิใจว่าสิ่งที่เราทำเรากับมันมาก เวลาใครมาพูดอะไรเราจะมีสติในการฟังเค้ามากขึ้นว่า จริง ๆ แล้วมันอาจจะมีความอคติบางอย่าง มีอารมณ์ที่มันเจืออยู่ในนั้น บางครั้งสิ่งที่เค้าพูดมา อาจจะไม่มีประโยชน์กับเราเลยก็ได้ เราอาจจะไม่เอามาคิดก็ได้ ซึ่งผมบอกกับตัวเองเสมอว่าให้รู้สึกภูมิใจในทุกสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วก็รักในทุก ๆ อย่างที่ตัวเองเลือก

ซึ่งวิธีนี้มันอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนก็ได้นะ แต่นี่คือสิ่งที่ผมเคยทดลองกับตัวเองแล้ว และมันใช้ได้ แต่ว่าคุณอาจจะได้เจอวิธีอื่น ๆ ก็อย่าลืมแชร์กัน เพราะผมรู้สึกว่ามันน่าจะไม่ได้มีแค่คุณคนเดียวที่เจอเรื่องราวร้าย ๆ แบบนี้ มีคนเจอเรื่องราวแบบนี้มากมาย ที่อยากจะแบ่งปันวิธีการที่จะก้าวผ่านมันได้เช่นกัน”

 

 

เพราะการร้องเพลง มันยังคงเป็นความชอบ และความใฝ่ฝัน

“ก่อนหน้านี้เราเคยปล่อยเพลง มีเพลงประกอบซีรี่ส์ แล้วก็งานอื่น ๆ แล้วก็ได้ไปอยู่ในโหมดอื่น อยู่โหมดการแสดง เป็นพิธีกร มันเลยไม่มีเวลาในการทำเพลง แล้วภาพจำเรื่องการทำเพลงมันค่อย ๆ หายไปครับ ถ้าย้อนกลับไปก็ประมาณ 8 ปีได้ครับที่ไม่ได้ปล่อยเพลงใหม่เลย มันมีความคิดถึง แล้วยิ่งตัวเองได้ไปมีโอกาสทำงานเบื้องหลัง เราก็จะเห็นบรรยากาศเบื้องหน้าของน้อง ๆ ทุกคน เรารู้ว่ามันมีความสุขขนาดไหน แล้วมันทำให้เราคิดถึงวันเก่า ๆ และพร้อมจะกลับมาทำมันอีกครั้ง

ซึ่งผมไม่ได้เป็นคนที่เขียนเพลงมาตั้งแต่แรก แต่ว่าช่วงที่เราเริ่มทำงานเบื้องหลัง ก็ได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ในการทำเพลงมากขึ้น ก็ได้ลองเขียนเพลง แล้วก็เข้าไปอยู่ในกระบวนการมากขึ้น จริง ๆ แล้วการทำเพลง 1 เพลง มันต้องทำอะไรบ้าง เราเริ่มเข้าใจในเชิงลึกมากขึ้น แล้วพอเราอยู่ในยุคใหม่ ยุคที่โซเชียลมีเดียไม่เหมือนเดิม เพลงแต่ละเพลงมันมีฟังก์ชั่นที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน ยุคนี้เราอาจจะต้องทำเพลงที่เข้าถึงตลาดในทุก ๆ วันนี้ด้วย เราก็เริ่มคิดงานจากการที่ ลองคิดว่าเพลงมันมีฟังก์ชั่นอะไรบ้าง อย่างเช่นแบบตอนทำเพลงเธอไม่ชอบฝน ก็รู้สึกว่า อยากให้ทุกครั้งที่ฝนตก เราอยากให้เพลงนี้มันเข้าไปอยู่ในใจคน

ล่าสุดผมปล่อยเพลงชื่อ เอน เพลงนี้มาจากที่ผมชอบคำว่าเอน เพราะรู้สึกว่ามันเป็นอาการที่เราพร้อมจะทิ้งตัวได้โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะปลอดภัยไหม มันจะเจ็บรึเปล่า แต่พอเราเอนตัวไปแล้วมันสบายใจ มันก็เหมือนเป็นความรักที่เป็นเซฟโซนของเรา เหมือนมุมมองความรักมันเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะว่าเด็ก ๆ ความรักมันก็คงเป็นเรื่องความฉูดฉาด สนุกสนาน แต่พอเราผ่านระยะเวลาไป คนที่สามารถทำให้เรารู้สึกถึงความรักได้มาก ๆ ไม่ต้องมองที่ไหนไกล หันไปมองคุณพ่อคุณแม่ เราเห็นแม่ดูแลพ่อในทุกเวลา จนรู้สึกว่าจริง ๆ ความรักมันก็คงเป็นอะไรแบบนี้ คือการที่เราทำอะไรเพื่อใครสักคนโดยที่ไม่ได้หวังอะไร เราหวังดีกับเค้ามาก ๆ แล้วก็ทำทุกอย่างให้เค้า แล้วคนที่ได้รับสิ่งนี้มันก็คงได้สัมผัสความรักแบบเต็ม ๆ เช่นกัน

ทำเพลงมาเยอะ ถ้าถามว่าเพลงที่ผูกพันมากที่สุดก็ต้องเป็นเพลงแรก คำอธิษฐานด้วยน้ำตา ผมร้องเพลงนี้หลายร้อยรอบมาก ๆ แต่ว่าก็ยังเป็นเพลงที่พอร้องเมื่อไหร่ก็ให้ความรู้สึกนึกถึงวันแรกที่ได้ร้องมันอยู่ดี จริง ๆ เพลงนี้มันไม่ใช่เพลงรัก จริง ๆ มันเป็นเพลงที่พูดถึงการสูญเสีย ซึ่ง ณ ตอนเมื่อ 13-14 ปีที่แล้ว ผมก็มีความสูญเสียในรูปแบบหนึ่ง แต่พอมันผ่านระยะเวลาไปทุกการสูญเสียมันก็หล่อหลอมให้เพลงนี้ดูสมบูรณ์มากขึ้น

ความยากของการเป็นนักร้องคือ พอเราเข้ามาในวงการด้วยภาพจำที่คนมองว่าเรามีเสียงที่ทรงพลัง ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราก็คงไม่ทรงพลังทุก 7 โมงเช้าของวัน สมมติไปออกรายการเช้าก็คงจะมีเสียงแหบได้เหมือนกัน แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรายังคงต้องมีวินัยในตัวเอง มันคือหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบของเรา และความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การทำงานของเราด้วย ในฐานะการเป็นนักร้อง เราเองก็ต้องหมั่นฝึกฝน หมั่นเติมของ หมั่นดูแลตัวเอง ซึ่งผมก็พยายามดูแลตัวเองเท่าที่ทำได้ในฐานะนักร้องคนหนึ่ง ดูแลเสียงตัวเอง เรียนรู้สไตล์การร้องใหม่ ๆ ยังต้องไปเรียนร้องเพลงอยู่ครับทุกวันนี้”

 

 

โดม จารุวัฒน์ กับบทบาทผู้บริหารค่าย LIT Entertainment

“ในตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย เราได้รู้จักกับพี่ ๆ ที่ทำชมรมดนตรีด้วยกัน แล้วเหมือนเค้าได้รับคำชวนไปเปิดค่ายกัน ตอนนั้นเค้าก็เลยนึกถึงผม อยากชวนผมเข้าไปคุยด้วย ซึ่ง ณ ตอนนั้น เรายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายเพลงเลย ก็ไปคุยกันแล้วก็ลองเรียนรู้ดู แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด เราอยู่บ้านแต่ว่าก็มีงานอื่น ๆ บ้าง แต่ว่างานหลักอย่างการเป็นนักร้องมันหายไป พอได้รับคำชวนมาทำค่าย ผมก็รู้สึกว่าลองไปคุยและตกลงทำ

ตอนนั้นคิดตั้งแต่คุยกันแรก ๆ เลยครับ ว่าอยากทำเป็นวงเด็ก ๆ แต่พอเราเริ่มสเก๊าท์เด็ก ๆ ก็เริ่มรู้ว่าเด็กที่เหมาะกับการฝึกแล้วก็พร้อมทำงาน น่าจะอยู่ในวัยประมาณ 17-18 ปี ก็เลยเริ่มก่อตัวออกมาเป็นค่ายเพลงที่อยากปั้นเด็กที่เป็นวง แต่อย่างที่บอกว่าช่วงแรก เราอยู่ในช่วงโควิด ซึ่งเราแทบจะแบบทำงานกันไม่ได้เหมือนปกติทุกวันนี้ เพราะจำนวนคนก็ต้องจำกัด ช่วงเวลาในการออกกองก็จำกัด แล้วก็ความมือใหม่ของพวกเราที่ยังไม่ได้มีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นสิ่งที่ยากในช่วงแรก ๆ มาก เราไม่สามารถเปิดออดิชั่นได้ เราเลยต้องไถหาจาก Tiktok และ Instagram ว่าคนไหนที่มีทักษะ เค้าเต้นได้ เค้าร้องได้ ไถไปเรื่อย เพราะว่ามันเป็นวิธีการเดียวในช่วงนั้น ที่เราจะไปเจอคนที่อยากปั้นเป็นศิลปินได้

การทำเพลงมันไม่มีสูตรตายตัวในยุคนี้ เมื่อก่อนเราอาจจะเคาะได้ว่า เพลงนี้คือเพลงขาย เพลงนี้คือเพลงหน้า  A แต่ว่าทุกวันนี้มันแทบจะไม่มีความรู้สึกนั้น ทำได้แค่รู้ว่าเพลงประมาณนี้ มันได้ฟังก์ชั่นอะไรบ้าง แล้วสร้างคาแรกเตอร์ให้กับน้อง ๆ ศิลปินรึเปล่า ซึ่งสิ่งนี้มันสำคัญมากเพราะว่า สมมติเพลงนี้มันดัง เดี๋ยวอีกสามเดือนมันก็จะหายไป แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องส่งเสริมให้คาแรกเตอร์น้อง ๆ ยังคงอยู่ ยังคงถูกจำได้ในฐานะศิลปิน ต้องพยายามสร้างคาแรกเตอร์น้อง ๆ ด้วย

จากวันแรกที่ตั้งใจจะตั้งค่ายแค่ 1 ปี เพราะว่าเมื่อเค้าให้งบมา เราก็จะคำนวณแล้วว่า อยู่ได้เท่าไหร่ จ่ายเงินเดือนพนักงานได้เท่าไหร่ อยู่ได้กี่เดือน ซึ่งในปีแรกเวลาสรุปตัวเลขประจำปีทีหนึ่ง มันก็ยังไม่ได้เป้าตามที่เราต้องการ แต่เราก็ยังคงเชื่อว่าเรามีของที่ดี เรามีน้อง ๆ ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี แล้วแต่ละคนก็น่ารักมาก เลยพยายามทำต่อไปเรื่อย ๆ แล้วก็ถือว่าโชคเข้าข้างค่ายเราค่อยๆ เติบโตขึ้น แล้วก็ทำให้คนรู้จักทุก ๆ วงในค่ายมากขึ้น จนวันนี้ 5 ปีแล้ว เรายังคงตั้งใจทำผลงานดี ๆ ออกมาให้แฟน ๆ ของค่ายเพลงได้ติดตามกัน ฝาก LIT Entertainment ด้วยนะครับ” - โดม จารุวัฒน์

 

 

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง
 

album

0
0.8
1