“การเอาชนะตัวเองเริ่มได้ง่าย ๆ สมมุติว่าเราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ถ้าถึงเวลาแล้วเราต้องลุกเลย แค่นี้คุณก็ชนะตัวเองแล้ว”
เพราะที่ Club นี้ ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่เปิดไมค์ต้อนรับ “เต้ย พงศกร” พระเอกที่ปัจจุบันหันมาทุ่มเทให้กับการวิ่งมาราธอนอย่างจริงจัง โดยเขาเล่าถึงจุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจ และความท้าทายในการวิ่ง รวมถึงประเภทของการวิ่งมาราธอนในระยะทางต่าง ๆ นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยแง่มุมส่วนตัวในวัยเด็กที่ซุกซน ประสบการณ์แรกในการแสดงที่น่าจดจำ ความอ่อนไหวในบางเรื่อง และมุมมองความรักที่เปิดกว้าง ท้ายที่สุด เต้ยยังพูดถึงความสุขในชีวิตปัจจุบัน และการเริ่มต้นทำเพลง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เขากำลังทำอยู่
จุดเริ่มต้นจากเด็กติดเกม...สู่สนามกีฬา
“ตอนเด็กผมติดเกมมาก ลงแดงเลยถ้าไม่ได้เล่นเกม” เต้ยเล่าย้อนถึงวัยเด็กที่สมาธิสั้นและติดเกมหนัก จนคุณพ่อคุณแม่ต้องหาทางพาออกจากจอด้วยการพาไปตีกอล์ฟ “ตอนเล่นกอล์ฟเราได้เพื่อนด้วย มันก็จะมีการแข่งกันไปในตัว เหมือนเล่นเกมเลย ที่จะแข่งกันใครตีไกลกว่า ใครตีแล้วได้คะแนนดีกว่ากัน มันก็เลยเกิดความสนุก ความท้ายทาย ขึ้นมา
ตอนแรกตีแบบเล่น ๆ พอหลัง ๆ มาก็เริ่มจริงจัง ไปคัดตัวของตัวแทนจังหวัด เริ่มตอนประมาณ ป.5 พอไปแข่งระดับจังหวัด ก็จะมีแข่งภาคอีสาน เพราะผมเป็นคนอำนาจเจริญ ก็จะแข่งกันโซน อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ พอแข่งผ่านเข้าไปก็จะไปเจอกับอีสานบนต่อ ก็สนุกครับผม
ส่วนการวิ่งมาตอนเข้าวงการแล้ว ตอนนั้นเล่นละครกับพี่จุ๋ย เรื่องกำไลมาศ แล้วเจอ พี่นง ทนงศักดิ์ หลอกไปวิ่ง 10 กิโลเมตร ด้วยความเป็นนักกีฬากอล์ฟอยู่แล้วผมเลยลองไป พอไปวิ่งปรากฎว่า 2-3 กิโลเมตรแรกผ่านไปสบาย พอเข้ากิโลเมตรที่ 6 เท่านั้นแหละ เด็กแซง คนมีอายุแซง ผู้หญิงแซงไป ตอนนั้นคือไม่ได้แล้ว พอเข้าเส้นชัยครั้งแรกจบประมาณ 1 ชั่วโมง 12 นาที หลังจากนั้นมาก็เริ่มตั้งเป้าหมายว่าเราต้องวิ่งให้เร็วกว่านี้ ก็เกิดความท้าทายกับตัวเอง” จากสนามกอล์ฟกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขัน ได้เพื่อน และการเรียนรู้ที่จะ “เอาชนะตัวเอง” จากเกมในจอกลายเป็นเกมชีวิตจริงที่ต้องฝึกฝนและตั้งเป้าหมาย
เสน่ห์ของการวิ่ง การท้าทายตัวเอง สมาธิ และการได้เป็น 1% ของโลก
“ตอนนั้นถ่ายละครเสร็จ 4 ทุ่ม ปล่อยตัวมาราธอนตี 1 ผมไม่ได้หลับเลยครับ” เต้ย เล่าถึงมาราธอนแรกในชีวิต ที่วิ่งแบบไม่ได้พัก จนถึงกิโลเมตรที่ 35 ความคิดในหัวเริ่มมา "หยุดได้แล้ว" แต่เสียงหัวใจกลับสวนขึ้นมาว่า “กูไม่ยอมหรอกเว้ย!” เขาน้ำตาไหลเมื่อวิ่งเข้าเส้นชัย เพราะไม่เชื่อว่าเราจะทำมันได้สำเร็จจริง ๆ
“พอวิ่งต่อไป มันสนุกนะ ผมว่าบรรยากาศตอนเช้ามันเหมาะกับการวิ่งมาก ผมเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว ที่บ้านก็ตื่นเช้าด้วย เลยชื่นชอบอากาศตอนเช้า เมื่อ 10 ปีที่แล้วอากาศมันดีมากตอนเช้า ซึ่งการวิ่งมันสนุกตรงที่ได้ท้าทายกับตัวเอง แล้วก็ได้เพื่อนด้วย ถ้าวิ่งไปกับเพื่อน มันจะสนุกมาก ๆ เลยครับ
การวิ่งมาราธอน มันแบ่งเป็น ระยะทางการวิ่งแบ่งเป็น Fun Run (5 กม.), Mini Marathon (10 กม.), Half Marathon (21 กม.), และ Full Marathon (42.195 กม.) ตอนแรกผมก็สนุกกับระยะทาง 10 กิโลเมตรก่อน ผมก็พยายามทำเวลาให้ลดมาเรื่อย ๆ จนถึงประมาณ 45 นาทีได้ ผมก็เลยอยากลองขยับดู เพราะว่ามีคนป้ายยาด้วย ชวนขยับไปวิ่ง Half Marathon ดูไหม ผมก็เลยลองขยับไป Half Marathon แล้วก็ซ้อมเก็บระยะมาเรื่อย ๆ ซ้อมเองยังไม่มีโค้ช จบ Half Marathon แรกประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที จากนั้นถึงขยับไป Full Marathon
ผมตั้งใจมาก วิ่งอย่างเดียว ใส่สุด บางครั้งวิ่งไม่ได้ ร่างกายพัง เจ็บ หรือบางทีท่าวิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่งหากท่าวิ่งไม่ถูกต้อง มันเจ็บแน่นอน เวลาคนทักว่าตอนวิ่งระวังเจ็บเข่านะ มันเจ็บจริง ถ้าคุณท่าวิ่งไม่ถูกต้อง กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง เจ็บแน่นอนครับ
มาราธอนแรก มีครั้งเดียวในชีวิต คือผมโดนป้ายยาไว้ว่า มาราธอนแรกมีมาราธอนเดียวนะ ผมก็เลยไปสมัครมาราธอนหนึ่งในกรุงเทพ แล้วตอนนั้นก็ซ้อมมาอย่างดีเลย แต่ว่าก็ไม่ได้ดีมากเท่าไหร่ วิ่งถึง 30 กิโลเมตรแค่ครั้งเดียว แล้วพอถึงวันวิ่งจริง ดันติดถ่ายละคร ถ่ายเสร็จ 4 ทุ่มแล้วไม่ได้นอน เพราะมันปล่อยตัวมาราธอนบ้านเราเช้ามาก ปล่อยตัวตอน ตี 1 ผมจำได้เลยว่าผมไม่ได้นอน ผมไปบริษัทแล้วก็เปลี่ยนชุด แล้วก็ไปต่อเลย ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดแล้วก็นั่งแท็กซี่ไป เพราะตอนนั้นที่จอดรถหายากแน่นอน แล้วก็ปล่อยตัว ก็ตัดสินใจวิ่งจนถึงกิโลเมตรที่ 35 มันเริ่มล้า แล้วมันจะถึงจุดที่เหนื่อยแล้ว พอ 30 กิโลเมตร ไป 32 กิโลเมตร ร่างกายมันจะล้าแล้ว ในหัวจะเริ่มบอกว่า หยุดนิ่งได้แล้ว แต่เราก็นึกถึงประมวลภาพทุกอย่างว่าเราซ้อมมาตั้งหลายวัน ผมก็ตะโกนขึ้นมาว่า ไม่ยอมหรอกเว้ย แล้วก็วิ่งไปต่อ สักพักร้องไห้น้ำตาไหลออกมาเอง นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ มันจะจบแล้วอีกนิดเดียว อีก 2 กิโลเมตร ก็วิ่งเข้าเส้นชัยไป ร้องไห้ไปด้วย มันคือความภูมิใจ ที่เราสามารถเอาชนะร่างกายตัวเองได้ ชนะใจตัวเองได้ ถ้าเรายอมแพ้ใจตัวเองตั้งแต่ตรงนั้น ผมก็คงไม่จบมาราธอน จนตอนนี้ผมผ่านมาราธอนหลายครั้งแล้วครับ น่าจะ 8 ครั้งได้แล้ว
ครั้งที่ประทับใจมากที่สุดน่าจะเป็นครั้งที่ทำลายกำแพง Sub 3 ลงได้ คือวิ่งต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ตอนนั้นไปวิ่งที่ลอนดอน การวิ่งมาราธอน ผมว่าได้สุขภาพ ได้สมาธิด้วย และผมคิดว่าการวิ่งเหมือนการเรียนรู้ร่างกายตัวเองไปในตัว เหมือนเรามีสมาธิอยู่กับร่างกายตัวเอง ผมไม่ฟังเพลงนะเวลาวิ่ง ผมจะฟังเสียงหายใจตัวเอง ฟังเสียงร่างกายตัวเองมากกว่า เราต้องหายใจให้ถูกด้วย และต้องมีสมาธิต้องโฟกัสกับตรงนั้นจริง ๆ นอกจากนั้นยังได้เพื่อน ได้เป็นนักวิ่งด้วยกัน แล้วถ้าเราจบมาราธอนได้ มันก็เหมือนเป็น 1% ของโลก เพราะเค้าบอกว่า 1% ของโลกเท่านั้นที่จบมาราธอนได้ คุณอยากเป็น 1% รึเปล่าครับ งั้นมาวิ่งมาราธอนกันครับ”
เคล็ดลับสร้างวินัยง่ายๆ เริ่มจาก "ชนะตัวเอง" ในทุกวัน
“ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ครับ เหมือนตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 5 ถ้านาฬิกาปลุกแล้วผมก็ต้องลุกเลย นี่คือชนะตัวเองได้แล้ว เป้าหมายของผมในมาราธอน ผมก็อยากจะวิ่งให้ครบ 6 เมเจอร์ แล้วเวลาที่อยากได้ก็ขอต่ำกว่า 2 ชั่วโมง 45 นาที มันค่อนข้างที่จะยากเหมือนกัน
ส่วนคนอยากวิ่ง ก็ไปวิ่งเลยครับ ง่าย ๆ เลย กีฬาวิ่งมันไม่มีอุปกรณ์เยอะ ก็แค่ชุดกีฬาแล้วก็รองเท้าวิ่ง แล้วออกไปวิ่ง อย่างน้อยก็วิ่ง 30 นาที แล้วก็พักเดิน 10 นาที ทำแบบนี้ไปก่อนก็ได้ มันจะดีต่อหัวใจ ร่างกาย และระบบหายใจ แล้วถ้าเหนื่อย หรือท้อ ลองหาเพื่อนวิ่งครับ เริ่มวันละนิด เดี๋ยวก็จะไปเจอสังคมที่เค้าชื่นชอบวิ่ง แล้วเดี๋ยวเค้าจะพาไปเอง”
มุมมองชีวิตที่ลงตัว และความสุขที่แท้จริง
“ผมเข้าวงการจากเวทีประกวด The Idol ของช่อง 3 ผมไปประกวดซีซั่น 2 ซึ่งซีซั่นแรกจะมีรุ่นพี่ผมที่จังหวัดอำนาจเจริญเค้าประกวดด้วย แล้วแม่ผมก็เลยเห็น พอซีซั่น 2 แม่ก็มาบอกว่า คนอำนาจเจริญไปหน่อย ผมเลยตัดสินใจไปให้แม่หน่อยแล้วกัน พอไปก็ติดเข้ารอบ 10 คน แม่ดีใจมาก แล้วก็ชนะ ได้เข้ามาช่อง 3 เรื่องแรกที่ได้เล่นก็จะเป็น เรื่องคุณชายรัชชานนท์ แล้วก็มันจะควบพร้อมกันกับพันท้ายนรสิงห์ ตอนนั้นก็เป็นจังหวะที่ดีมาก ๆ ทำงานทุกวัน
ผมจำได้เลย เคยถ่ายฉากหนึ่งกับท่านมุ้ย ฉากนั้นมีผมนั่งอยู่คนเดียวอยู่ตรงกลาง แล้วมีกล้องอยู่ตรงหน้า แล้วเป็นเครนดันออกให้เห็นภาพกว้าง ซึ่งผมต้องพูด ผมใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง เพื่อพูดแค่ว่า ‘การอันองค์เสด็จสาครบุรีนั้นหาควรเสด็จทางคลองโคกขามไม่’ ประโยคนี้เลย มันกดดัน มันรน และจำฉากนี้ได้จนถึงทุกวันนี้ จนวันนี้ก็ภูมิใจ รู้สึกว่าผ่านอะไรมาเยอะ แล้วก็พัฒนาขึ้นเยอะกว่าเดิม แต่ก็ยังดีได้กว่านี้ในเรื่องการแสดง
ย้อนกลับไปตอนเด็กผมซนมากครับ มีรอยแผลเป็นจากความซนเยอะเลย แต่เริ่มเปลี่ยนตัวเองตอนซ้อมกีฬา ตอนกีฬากอล์ฟช่วงประมาณ ม.1- ม.2 และเพราะกีฬาด้วยครับ เราต้องมีวินัยในการซ้อมด้วย แต่ผมเป็นคนร้องไห้ง่าย อย่างดูการ์ตูน โดราเอม่อน ก็เลยร้องไห้ ร้องทุกตอน ยิ่งตอนโนบิตะไปหาคุณย่านี่คือเศร้ามากเลย ผมอ่อนไหวกับเรื่องครอบครัว น่าจะเป็นเพราะแบบผูกพัน แต่ครั้งหนึ่งตอนเข้าวงการบันเทิงมาแล้ว วันนั้นเราเหนื่อย แล้วพูดไม่ดีกับแม่ พูดเสร็จวางสายแล้วก็ขับรถไป สักพักก็คิดได้ว่าเราพูดไม่ดีนี่นา ก็เลยโทรไปขอโทษกับแม่ แล้วก็ร้องไห้
แต่ถามว่าอยากจะกลับไปแก้ไขเรื่องไหนในชีวิตไหม ไม่มีครับ ผมคิดว่ามันลงตัวแล้ว ถ้าเกิดวันนั้นสอบติดหมอเหมือนที่เคยฝัน ผมก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ผมคิดว่าทุกอย่างมันลงล็อค จังหวะมันกำหนดให้มาทางนี้แล้ว
ความสุขของผมคือการที่ได้มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณตา คุณยาย แล้วก็ทุกคนในครอบครัวอยู่กันครบ ถามว่ากลัวการสูญเสียไหม ก็กลัว แต่ก็เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขมาก ๆ ที่ทุกคนอยู่กันครบ แล้วก็สุขภาพทุกคนแข็งแรง”
ก้าวสู่นักร้อง ทำเพลงจากแรงบันดาลใจ สู่เป้าหมายการมี "อัลบั้ม"
“ตอนนี้ผมก็ วิ่ง ทำงาน แล้วก็ทำเพลงครับ การร้องเพลงผมได้แรงบันดาลใจมาจาก GOT7 ผมก็อยากร้องเพลงผมในงาน Meeting ที่แฟนคลับทุกคนสามารถร้องตามได้ มันจะรู้สึกดีใจขนาดไหน สักครั้งหนึ่งในชีวิต อยากจะสัมผัสลองดูว่า มันรู้สึกยังไง เลยทำเพลงแรกชื่อ สองพยางค์มาจากสตอรี่แบบเรากับแฟน เราเป็นแฟนกัน แต่เราไม่สามารถพูดว่าคิดถึง เป็นห่วง รักนะคนดี ได้ต่อหน้าคนอื่น เราแค่บอกว่า สองพยางค์นะ ก็เข้าใจกันสองคน เพลงแรกอัดในตู้เสื้อผ้า ต้องลองไปฟังครับ
เพลงที่สอง ขอบคุณฝน ตอนนั้นรถติด แล้วมันเป็นช่วงฤดูฝน ฝนตกหนักมาก ผมก็นั่งติดฝนอยู่ในรถ แล้วก็มองไปเห็นคนติดฝนอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ผมก็คิดว่าทำไมเราไม่ลองทำเพลงที่คนหลบฝน แล้วก็ไปเจอกันอยู่ที่หลบฝน แล้วก็ได้คุยกัน ได้รู้จักกัน กลายเป็นถูกชะตา แล้วก็รู้สึกว่าอยากอยู่ตรงนี้นาน ๆ จังเลย อยากอยู่กับเธอนาน ๆ ต้องขอบคุณฝนที่ทำให้เราได้มาเจอกันในวันนี้
เพลงล่าสุดชื่อเพลงว่า Picture เรื่องราวคือเราอยากจะเก็บรูปภาพนี้ เราเห็นรูปภาพนี้มันเคลื่อนไหวได้โดยเป็นความทรงจำของเรา ทุกครั้งที่เห็นรูปภาพเราจะได้ รูป รส กลิ่น เสียง มันจะเห็นแค่เราสองคนเท่านั้น
ผมเคยเรียนร้องเพลงตอนเข้าวงการ แล้วก็พอได้ไปห้องอัด ก็จะมีรุ่นน้องที่เค้าทำงานในวงการเพลงอยู่แล้วมาช่วยทำเพลง ตอนนี้ทำเพลงที่ 5 แล้ว และกำลังจะมาเพลงที่ 6 ความตั้งใจคืออยากให้ครบ 10 เพลง ให้ได้อัลบั้มเลยค่ะ”
การรับมือกับความกดดัน รู้จักใจตัวเอง และเปลี่ยนโฟกัส
“ข้อเสียของผมคือเป็นคนกดดัน มันกดดันตัวเอง อย่างตอนวิ่ง มันเหมือนกดดันตัวเองว่าทำเวลาเท่านี้ แต่ว่าดีที่มีคนรอบข้างคอยเตือน คนที่รักเราคอยเตือนว่า เธอไม่ใช่นักกีฬาทีมชาตินะอย่างแม่ก็จะคอยบอกว่า ลูกไม่ใช่ทีมชาตินะ แล้วดึงสติเรากลับมาได้ว่า มันเป็นสิ่งที่เราชื่นชอบ แล้วเราทำด้วยความสุขดีกว่า
ผมว่าจิตวิทยาสำคัญมากเลย การรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง การรู้ว่าตอนนี้ฉันกดดันแล้วนะ แล้วเรารู้วิธีการผ่อนคลายยังไง อย่างผมจะรู้สึกว่าบางทีกดดันแล้วก็จะไปนอน ช่วงหนึ่งผมเครียดมาก ๆ จะนอนก็ไม่ได้ ก็ไปคีบตุ๊กตา มันทำให้ผมแบบสบายใจขึ้น เปลี่ยนจุดโฟกัสไปเลย ทำให้เราหยุดคิดเรื่องฟุ้งซ่าน บางทีสิ่งแปลกใหม่ มันก็จะทำให้เราแบบผ่อนคลายมากขึ้น”
ก้าวใหม่ในวงการ บทบาทในซีรีส์วาย "ท็อปฟอร์ม กอดกันไหมนายตัวท็อป"
“ก็เริ่มต้นจากภาพยนตร์วิมานหนาม ผู้ใหญ่น่าจะเห็นเคมีอะไรบางอย่าง ที่ผมเล่นกับผู้ชายได้นี่นา จริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้นก็จะตอนที่ผมเจอ GOT7 ก็โดนมองว่าทำไมไปชอบผู้ชายด้วยกัน มันมีมุมมอง มันมีเคมีที่สามารถเข้ากับผู้ชายได้ ก็กลายเป็นบทบาทใหม่ มันก็ท้ายทายแปลกใหม่ดี ชื่อเรื่อง ท็อปฟอร์ม กอดกันไหมนายตัวท็อป ฝากไปติดตามด้วยครับ ซีซั่นนี้ยังไม่ใช่คู่หลัก ต่อไปจะเป็นคู่หลักครับ”- เต้ย พงศกร
เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง