เรียนรู้วิธีคิด จากชีวิตและอุปสรรค ของ “เสนาหอย” พิธีกรฝีปากกล้า สู่วันที่พบความสุขที่แท้จริง

Club Inspired Day Recap

เรียนรู้วิธีคิด จากชีวิตและอุปสรรค ของ “เสนาหอย” พิธีกรฝีปากกล้า สู่วันที่พบความสุขที่แท้จริง

16 เม.ย. 2025

“ชีวิตคนเราทุกคนมีปัญหาหมด ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เมื่อว่ามาไหร่ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า คุณจะแก้มันรึเปล่า”

 

เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment สำหรับ Club Inspired Day กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “เสนาหอย” นักแสดงอารมณ์ดีที่ถือว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่ผ่านงานในวงการบันเทิงมาแล้วทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง นักแสดง พิธีกร และเจ้าของรายการ กว่าจะมีวันนี้ เสนาหอย มีวิธีคิดและมุมมองการใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ และมีวิธีการในการหาแรงบันดาลใจอย่างไรบ้าง ที่อยากแบ่งปันเพื่อจุดไฟฝันให้กับใครหลาย ๆ คน เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการ

 

 

เปิดที่มา ชื่อ “เสนาหอย”

“จริง ๆ แล้ว ผมชื่อบอย ซึ่งก่อนคลอดหนึ่งวัน แม่ของผมฝันเห็นเด็กฝรั่งหัวทองกวักมือเรียก แม่ก็เลยเห็นว่าเป็นลูกครึ่ง แล้วพี่สาวของผมชื่อแหม่ม แม่ก็ฝันเลยว่า ถ้าเกิดออกมาต้องผมทองเลย ซึ่งพอแม่คลอด เห็นหน้าเราปั๊บพูดกับหมอเลยว่า ไม่ได้อย่างที่คิด แล้วเราก็ต้องชื่อบอย แต่หน้าเรากับชื่อค่อนข้างที่จะสวนทางกัน ตอนเด็กเราเลยไม่ค่อยกล้าบอกชื่อเล่นของเรา แต่ไม่ได้รังเกียจที่แม่ตั้งให้นะ จนถึงมัธยมพอไปเรียนวัดสุทธิ แล้วก็ไปเรียนดุริยางค์ ก็ต้องมีระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง แล้วก็ต้องรู้ชื่อ ผมก็พยายามบอกให้พี่เรียกว่าเกียรติศักดิ์แล้วกัน แต่เค้าก็บอกว่าไม่ได้อยากได้ชื่อเล่น แล้วรุ่นพี่คนนั้นก็บอกว่าเอาอย่างงี้ดีกว่า เราเรียกนายว่าหอยแล้วกัน ซึ่งพอเราได้ยินมันเหมือนพรหมลิขิต เหมือนเราเคยชื่อนี้ พอรุ่นพี่เอ่ยชื่อนี้มาแล้วเราชอบเลย เราก็ถามรุ่นพี่ว่า ทำไมถึงอยากเรียกผมว่าหอย เค้าก็บอกว่าดูจากผมนาย เมื่อก่อนผมนายเป็นก้นหอย ผมก็เลยรู้สึกว่าชื่อนี้ดี ตั้งแต่นั้นมาจนถึงบัดนี้ก็ชื่อหอย แล้วพอไปอยู่รายการยุทธการขยับเหงือก พิธีกรเค้าจะมีตำแหน่งข้างหน้าคือ เสนา อย่าง เสนาโน้ต เสนาติ๊ก เสนาตุ๋ย เสนาโค้ก ผมก็เลยต้องเป็นเสนาหอย แต่ถ้าสมมติเป็นเสนาบอย ผมว่าผมคงไม่ดัง”

 

 

ทรงผมสุดยูนีค ของ เสนาหอย

“เมื่อก่อนเป็นคนผมหยิกธรรมดาก้นหอยผมมันจะหยิก แต่ว่ามีอยู่ช่วงที่ผมอยู่ยุทธการขยับเหงือก พี่แหม่มเค้าไปดูที่แฟชั่นวีค นายแบบนางแบบเค้าจะมีที่ผูกผมผูกเป็นอันเล็ก ๆ แล้วมาบอกเราว่า หอยลองทำอย่างนี้เลย ตอนนั้นเราต้องปล่อยผม ก็เลยลองไว้ แล้วทำยังไงก็ได้ให้มันมัดได้ อยู่ดี ๆ ผมมันก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มันพันตัวมันเอง แล้วก็ค่อย ๆ ขดเป็นเด๊ดร็อค ผมเคยไปสระผมที่ร้าน ช่างเค้าถามว่า พี่หอยไปทำจากข้าวสารมาเหรอ เราบอกไม่ครับผมมันเป็นเอง ช่างเลยบอกว่าพี่ตัดผมไม่ได้นะ มันคือผีช่อ การที่ผมเป็นผีช่อได้แบบนี้ได้ ต้องเป็นนักพรตหรือฤาษีเท่านั้น ถ้าตัดการงานของพี่จะหาย ผมก็เชื่อเค้านะ ก็เลยไม่ตัดผมเลย 10 ปี ตอนนี้มันก็ขดไปเรื่อย ๆ มันเป็นเอกลักษณ์ ก็เลยไม่คิดจะเปลี่ยนทรงผมเลย”

 

 

จุดเริ่มต้นการเข้าวงการ มาจากอยากจีบหญิง

“จริง ๆ แล้วผมเข้าไปเรียนที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกดนตรี แต่ผมอยากจะเข้าคณะนิเทศศาสตร์ ผมสอบแล้วมันไม่ได้ ผมติดอันดับสุดท้าย เราอยากเรียนนิเทศศาสตร์เพราะเราอยากทำรายการทีวีจริง ๆ แต่เราสอบไม่ได้ เราก็เลยหาทางโน่นหาทางนี่ไป แต่พอดีคณะผมเป็นคณะศิลปกรรมศาสตร์ แล้วอยู่ติดกับคณะอักษรศาสตร์ ซึ่งจะมีละครเวที มีเอกละคร มีเอกเขียนบท แล้วมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เค้าเรียนเอกละคร แล้วเค้าได้ทำละครของภาค พอเค้าแคสติ้งเสร็จหมดแล้วก็มีพระเอกเป็น คุณเปิ้ล นาคร นางเอกก็คือ คุณรัดเกล้า อมาระดิษฐ์ อีกคนหนึ่งก็คือ ครูรักษ์ ศรัทธาทิพย์ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็มาชวนเราว่า หอยไปเป็นทหารเลวให้เราหน่อยสิ ไม่ต้องทำอะไรเลย ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนจะชอบเค้า เราก็ตกลงไปเล่น ก็เล่นทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าต้องไปทำอะไรบ้าง

ผู้หญิงเค้าเป็น สเตจแมน แล้วทางผู้กำกับเค้าอยากให้มีตัวละครตัวนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นตัวเด่นอะไร แต่พอไปเล่น นี่คือจุด ๆ หนึ่งที่ทำให้ผมมีจุดยืนในวันนี้เลยนะ เวลาผมไปซ้อมละครเวที ต้องไปทำแบบฝึกหัดบัวตูมบัวบาน เวลาคนเห็นเค้าก็หัวเราะ เราก็เลยรู้สึกว่า การที่ทำให้คนหัวเราะได้มันมีความสุขมากเลย นั่นคือจุดที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผม

ในการเล่นละครรอบสุดท้ายคนที่มาดูคือ พี่ต้น ลาวัลย์ ของ JSL และพี่หน่อย JSL ทั้งสองคนเค้าไปดูเพราะว่า พี่เปิ้ล อยู่ยุทธการขยับเหงือก เค้ามาดูละครรอบสุดท้าย เราก็เล่นเหมือนเดิม คนก็หัวเราะ พอละครจบเราก็จะกลับบ้าน ก็มีคนมาเรียก แล้วก็มีพี่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ 2 คนมองเรา เราก็สวัสดีครับ แล้วได้ยินครูพูดว่า คุณต้นครับเอาไปเถอะครับ คนนี้จะดังมาก หลังจากนั้นเค้าก็เรียกเราเข้าไปทำรายการใน JSL แล้ววันหนึ่งเค้าก็มาพูดกับเราบอกว่า ให้อยู่รายการยุทธการขยับเหงือก ตอนนั้นเราดีใจมาก เราจำได้เลยวันแรกที่เดินออกมา เสียงแอร์ดัง กว่าเสียงที่คนพูดอีก คนไม่ฮา เป็นอย่างนี้อยู่ 6 เดือน คือเราร้องไห้ทุกครั้งที่ไปอัดรายการ”

 

 

เมื่อคนไม่ฮา ต้องหาประสบการณ์

“ตอนนั้นเป็นยุคทองของตลกคาเฟ่ เราต้องไปคาเฟ่อาทิตย์ละ 5 วัน เพื่อไปดูไปหามุก เราจะนั่งสั่งแป๊ะซะกินทั้งคืน เมื่อก่อนมันเปิดตั้งแต่ 2 ทุ่มจนถึงตี 4 ก็นั่งฟังตลกเล่นมุกแล้วจด แล้ว พี่โน้ต มาทัก พี่เป็ดมาทัก แล้วที่สำคัญผมจะต้องรอดูตอนตี 3 คือคณะชวนชื่น เราก็เลยได้วิชาจากตรงนั้นมาจนถึงวันนี้ พอผ่านไป 6 เดือน ผมจำได้วันแรกที่เราทำลายกำแพงได้ คือวันที่ผมเดินไปที่สยาม เดินไปร้านขายเทป เดินไปถามเปี๊ยกว่าช่วงนี้เพลงอะไรดัง แล้วเราเหลือบไปเห็นปกเทป บุ๋ม ตรีรัก ใส่ชุดหนังสีดำแล้วกระโปรงสั้น เลยบอกเปี๊ยกพี่เอาชุดนี้นะ แล้วเอาไปให้โปรดิวเซอร์ยุทธการขยับเหงือกดูบอกว่า พี่ครับผมจะแต่งตัวแบบนี้ แล้วอย่าบอกใครนะ แล้ววันนั้นพอผมเดินออกไป จากเสียงแอร์ดัง กลายเป็นว่าพี่ ๆ ยุทธการขยับเหงือกหัวเราะผมอยู่ 5 นาที นั่นคือการจุดประกายให้เราได้แต่งเป็นผู้หญิงตลอดเวลา เมื่อก่อนเราถือว่าการเป็นศิลปินหรือว่าการเป็นนักแสดง กว่าจะได้เป็นมันยากมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ ตอนนี้ใครเป็นก็ได้ แต่เมื่อก่อนกว่าจะเข้าวงการได้ มันต้องมีโอกาส”

 

 

จุดเริ่มต้นของ รายการสาระแน

“ตอนนั้นผมทำยุทธการขยับเหงือก 9 ปี จนวันหนึ่งมันก็ต้องลาจากกันไป ซึ่งรายการมันโด่งดังมากตอนนั้น พอจากลากัน เหมือนเค้าจะปรับรายการ ซึ่งเรารู้สึกว่าเราเกิดมาด้วยกันทั้งหมด 7 คน เราอยากจะอยู่เติบโตไปด้วยกันแบบนี้ แต่ถ้าสมมติต้องเปลี่ยนเราเลยคิดว่าไม่เป็นไร เราหยุดตรงนั้นไปดีกว่า พอหยุดก็ต้องคิดกันต่อว่าทำอะไรดี ผม กับ พี่เปิ้ล ก็คิดว่าทำรายการเลยแล้วกัน 2 คน แต่ก็ดูไม่น่าจะได้ หาอีกสักคนไหม เอาแบบหล่อ ๆ ซึ่งพี่เปิ้ล รู้จัก วิลลี่ แมคอินทอช แค่รู้จักไม่ได้สนิทแต่จะลองคุยดู

วันนั้นเรานัดไปที่ทาวน์อินทาวน์ ก็คุยบอกว่า วิลลี่ เราจะทำรายการสาระแนนะ แล้วเราก็ลุ้นนะวิลลี่ จะตอบว่ายังไง ซึ่งมันตอบเลยว่า เอา นั่นคือจุดแรกที่พระเอกยอมทำรายการกับเรา จนเกิดรายการสาระแนขึ้นมา ซึ่งจริง ๆ รายการสาระแนมันเป็นเกมโชว์เลยนะ แต่ถูกปรับเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ ตอนนั้นรายการที่โด่งดังมันจะมีรายการแกล้งคนของญี่ปุ่น ซึ่งในเมืองไทยยังไม่ค่อยมีรายการที่คนแกล้งดารา ก็ตกลงสัญญากันเอง 3 คนว่า ถ้าเราจะทำ เราจะต้องทำให้มันดัง เมื่อก่อนเวลาทำรายการ จะมีหนังสือทีวีพูล จัดอันดับว่ารายการวิทยุอันดับ 1 ถึง 5 ซึ่งรายการสาระแนติด TOP 5 ภายใน 3 เดือน

แกนรายการเราไม่ได้อยากให้แขกรับเชิญดูเสียหาย เราอยากให้เค้าเห็นอีกมุมหนึ่งที่หลายคนไม่ได้เห็นในทีวีมากกว่า คือเราบอกกันเลยว่าแขกคนไหนมาเราต้องรักแขกก่อน เราก็เลยหาข้อมูลมาเป็นร้อย ๆ ข้อมูล แล้วมาสรุปว่าจริง ๆ แล้ว แขกรับเชิญเป็นคนแบบไหน แล้วทำให้คนดูเห็นไม่เหมือนที่เค้าเห็นในทีวี อันนั้นคือสิ่งที่ทำให้รายการมันประสบความสำเร็จมาก”

 

 

ในวันที่ชีวิตเจอวิกฤต เป็นหนี้ 106 ล้าน

“ในยุคนั้นเราทำทุกอย่างที่เป็นวงการบันเทิง ทำรายการทีวี ทำหนัง ทำคลื่นวิทยุ 97.5 กู๊ดเอ็ฟเอ็ม แล้วก็ทำหนังสือ แต่สุดท้ายความเป็นดิจิตอลมันเข้ามา แล้วมันพลิกทุกอย่าง สมมติแค่ข่าวบันเทิงเมื่อก่อนผมทำหนังสือบันเทิง ข่าวมันออกรายปักษ์ แต่ตอนนั้นข่าวบันเทิงมันออกทุก ๆ 10 นาที บริษัทผมเจ๊งภายในเดือนเดียว แล้วเริ่มมีการถอนหุ้นกัน จนผม กับ คุณวิลลี่ ตัดสินใจว่าเราลองมาเช็คดูว่าทั้งหมดทั้งมวลเรามีทรัพย์สินอะไรยังไงบ้าง กลายเป็นว่าเราเหลือแค่บริษัทเดียวคือ ลักษ์ 666 ที่ทำรายการสาระแน ก็ลองเช็คดูจากฝ่ายบัญชี เราเห็นตัวแดงเลยว่าเป็นหนี้ 106 ล้าน ตอนนั้นมองหน้ากับวิลลี่ น้ำตามันค่อย ๆ ไหล และตัดสินใจประกาศล้มละลายดีกว่า แต่ วิลลี่ บอกว่าถ้าสมมติคนที่เป็นเจ้าหนี้เรา กำลังรอเงินก้อนนี้ไปจ่ายค่าเทอมลูก เราต้องเข้าใจเค้านะ ก็เลยตัดสินใจใช้หนี้คนละครึ่ง เราปิดบริษัทลักษ์ 666 แล้วก็เปิดใหม่ เพื่อที่จะชำระหนี้ ด้วยความที่เรายังพอมีฝีมือในการเป็นนักแสดง ยังเป็นพิธีกร ดังนั้นต้องทำยังไงก็ได้ให้มีแต่รายรับ ห้ามมีรายจ่าย ไม่อย่างนั้นเราจะไปลงทุนทำรายการไม่ได้ และ ต้องทำทุกอย่างทุกอาชีพ หลับหูหลับตาทำงานเพราะต้องมีรายได้เท่านั้น เวลาถ่ายรายการแล้วมีข้าวกองเราจะดีใจมาก ต้องยอมขายรถ นั่งมอเตอร์ไซค์บ้าง ถ้าไกลหน่อยก็ต้องแท็กซี่ ถ้าใกล้ก็มอเตอร์ไซค์ ทำอย่างนั้นโดยไม่เห็นเงินเลย 4 ปี แล้วหนี้ที่มีเพิ่งหมดไปเมื่อปีที่แล้ว”

 

 

4 ปีที่ต้องทำทุกวิถีทาง พร้อมแรงบันดาลใจในการใช้หนี้

“เราทำงานทุกวิถีทางทั้งหมด 4 ปี จนรู้สึกว่าเราผ่านมาได้ยังไง แต่ถ้าเราไม่ได้เริ่มตอนนั้น เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ถ้าเรามาเริ่มตอนนี้ก็คงยากมาก สุดท้ายวันนั้นที่ปิดหนี้ ผม กับ วิลลี่ เราก็มองหน้ากัน จับมือกันบอกว่าโอเคเราทำได้ เราสามารถเล่าให้ลูกให้หลานเราฟังได้แล้วนะ

แรงบันดาลใจในการทำงานใช้หนี้ของผม มาจากที่เราได้อัดรายการ ชื่อรายการซุปเปอร์เท็น  เป็นรายการที่เด็ก ๆ มาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อหาความฝันของเค้า พอเรานั่งเป็นกรรมการ เราก็เห็นเด็กบางคนมีภาระตั้งแต่อายุน้อย ๆ จนเรารู้สึกว่าปัญหาของเรามันเล็กไปเลย นั่นคือแรงบันดาลใจที่มันทำให้เราฮึดสู้เสมอ ชีวิตของเราทุกคนมีปัญหาหมด ไม่ว่าจะมาเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ทุกคนมี แต่ทุกคนจะแก้รึเปล่า ทุกคนจะทำได้ไหม แล้วเรารู้สึกดีใจทุกครั้งที่พอเด็กมารายการ แล้วเค้าทำได้ด้วยความสามารถของเค้าเอง แล้วเรารู้สึกว่าชีวิตมันต้องมีปัญหา มันต้องเจอ แต่เราจะสู้ไหม หรือเลือกที่จะไม่สู้ก็ได้ วันนั้นถ้าเราเลือกที่จะล้มละลายก็ได้ ซึ่งผมก็จะไม่มี เรื่องมาเล่าให้ลูกหลานฟัง ไม่มีประสบการณ์ แต่ผมรู้สึกดีใจนะ ผมไม่เคยเสียดายเลย มีคนเคยถามว่าถ้ากลับไปได้จะทำแบบนี้ไหม ผมบอกว่าจะทำยิ่งกว่านั้นอีกเยอะเลย และผมเชื่อว่า ผมได้ทำทุก ๆ อย่างที่ผมอยากทำ”

 

เป็นเพื่อนกัน ทำธุรกิจร่วมกันได้ไหม?

“บางคนบอกว่ามีเพื่อนเยอะก็ดี แต่หลัง ๆ มันเป็นอินโทรเวิร์ดโดยธรรมชาติไปแล้ว แต่ผมรู้สึกว่า คุณวิลลี่ ผมหันไปทีไรผมจะเห็นคน ๆ นี้ยืนมองผม บางทีผมจะทำอะไร บางคนก็จะบอกอย่าทำเลย แต่คุณวิลลี่จะบอกว่าเอาเลย ทำเลย ผมรู้สึกว่าคน ๆ นี้ ไม่รู้นะว่าเค้าจะอยู่กับผมไปนานขนาดไหน แต่ผมเชื่อว่าผมจะพยายามเกาะเค้าไว้ ถ้าเค้าจะไปไหนผมก็ไปด้วย

แม้มีจุดที่เราสามคนต้องแยกกัน แต่ผมเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลในแต่ละคน และเรื่องที่คนบอกว่า ทำธุรกิจกับเพื่อน ส่วนใหญ่จะทะเลาะกันเรื่องเงิน แต่ผมบอกเลยว่า เราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องพวกนี้ มันอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ต้องทำก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เรามีความสุขที่ได้ทำงาน  แล้วผมก็ยังทำรายการ เราก็ยังเจอกันในการทำ Youtube บ้าง ได้เจอกันแค่นั้นโอเคแล้ว

หลาย ๆ คน เวลาทำธุรกิจมักจะลืมวันแรก วันแรกที่จับมือกัน อะไรก็ได้ แต่สุดท้ายพอมันมีเงินเยอะ ๆ มันไม่มีอะไรก็ได้หรอก ต้องตกลงกันให้เรียบร้อย คุยกันให้ชัดเจน คุณทำอันนี้ ผมทำอันนี้ แล้วสุดท้ายถ้าเราไม่ลืมวันแรก เราก็จะมีวันต่อไปเรื่อย ๆ เราจะไม่มีวันจบแค่นั้นเอง”

 

 

ลูกหนี้ ต้องเห็นใจเจ้าหนี้ และเป็นหนี้ต้องใช้

“106 ล้าน ในอาชีพของผม ผมยังไม่เคยถือเงิน 100 ล้านเลย แต่ผมจะต้องเอาเงินตรงนี้ออกไปจากชีวิตผม ตอนนั้นมันต้องใจแข็งจริง ๆ เราต้องนึกถึงใจคนที่เป็นเจ้าหนี้หน่อย สิ่งที่คุณทำไปแล้วคุณผิดพลาด คุณต้องเอาเงินก้อนนี้ไปให้เค้า เราต้องจ่ายหนี้ และต้องขอบคุณเจ้าหนี้ทุกคนนะที่ยอมให้เราประนอมหนี้ บางทีช้าหน่อย เงินมันต้องมาทีละก้อน เมื่อเรารู้สึกว่าเหนื่อย มองไปข้าง ๆ มีคนเหนื่อยกว่าเราเยอะ เราหนี้ 100 ล้าน แต่บางคนหนี้ 1,000 ล้าน เลยนะ แล้วมันจะจุดไฟเวลาไปทำงาน ทำให้คุ้มกับเงินที่เค้าจ้างเรา ต้องทำให้คุ้มค่าเงิน ใส่ให้เต็มที่ ให้เค้าจ้างเราอีกแค่นั้นเอง” เสนาหอย เกียรติศักดิ์

 

 

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1