Club Inspired Day Recap

Club Inspired Day Recap

เปิดเบื้องหลังความคอมเมดี้ ของ “หมู ชยนพ” ผู้กำกับอารมณ์ดี กับผลงานรีเมกหนังในรอบ 6 ปี ที่คนไทยควรดู

01 เม.ย. 2025

“ผมว่าความสบายใจ มันเป็นพลังงานที่ดีมาก ๆ ที่ทำให้เรามั่นใจทำสิ่งต่าง ๆ แล้วบางทีการทำอะไรที่เราไม่ชอบมันดีเหมือนกันนะ เหมือนเวลาเราเขียนบท ถ้าเลือกแนวทางผิด เราก็ขีดฆ่าแล้วแปลว่าเราจะไม่เลือกเลี้ยวไปทางนั้นอีก ลงมือทำ ลองผิดลองถูกกับมันได้ และขอให้มีความสุขกับสิ่งที่ทำ”

 

 

เพราะที่ Club นี้ ทุก Story จะมีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment สำหรับ Club Inspired Day กับสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “หมู ชยนพ” ผู้กำกับ เจ้าของผลงานหนังอารมณ์ดี ที่อยู่ในดวงในคอหนังหลายคน อย่างเช่น ซักซี้ด

ห่วยขั้นเทพ, เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ, พรจากฟ้า, Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน

และผลงานล่าสุด ซองแดงแต่งผี กว่าจะมีวันนี้ หมู ชยนพ มีวิธีคิดและมุมมองการใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ และมีวิธีการในการหาแรงบันดาลใจอย่างไรบ้าง ที่อยากแบ่งปันเพื่อจุดไฟฝันให้กับใครหลาย ๆ คน เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการ

 

ซองแดงแต่งผี 6 ปีที่หายไป และการกลับมาใหม่หลังเติบโตขึ้น

“มันเจอช่วงโควิดด้วยครับ หลังจากที่ผมทำเรื่อง Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน แล้วก็มีบางโปรเจกต์ที่พยายามปั้น แล้วมันก็ติดช่วงโควิด หรือบางไอเดียมันก็เหมือนหมดความน่าสนใจไปก็เลย

ซองแดงแต่งผี เรื่องนี้เริ่มจาก พี่โต้ง บรรจง โปรดิวเซอร์ของเรื่องนี้ แกได้ไปดูเวอร์ชั่นต้นฉบับมาจากเทศกาลหนังต่างประเทศ ชื่อเรื่องว่า Marry My Dead Body แต่งงานกับผี พอพี่โต้งเค้าดูแล้วก็เห็นไอเดียของหนั งก็คือเรื่องผี และเรื่อง LGBTQ+ แล้วเค้ารู้สึกว่า นี่มันคือไอเดียหนังไทยทั้งนั้นเลย แต่ทําไมไม่เคยเอา 2 เรื่องนี้มาร่วมกัน แล้วถ้าเป็นเวอร์ชั่นไทย ต้องเป็น พีพี บิวกิ้น ซึ่งพี่โต้ง เป็นแฟนคลับของ พีพี บิวกิ้น แล้วก็ชอบดูเวลาทั้งคู่ให้สัมภาษณ์นักข่าวตามคลิป ต่าง ๆ ทั้งคู่จะมีเคมีของความหยอกกัน จิกกัดกัน ซึ่งมันไม่เคยมีสิ่งนี้อยู่ในจอภาพยนตร์ แล้วก็เป็นโชคดีของผม เหมือนพี่โต้งทิ้งซองแดงให้ผม เพราะแกก็นึกถึงหนังที่ผมทํา แกชอบงานคอมเมดี้ที่ผ่านมาของผม ก็เลยติดต่อมาว่า มีโปรเจกต์เรื่องนี้นะ สนใจไหม ผมก็ตอบตกลงแล้วแกก็ส่งหนังมาให้ดู ก็ไปขอลิขสิทธิ์มา แล้วพอผมได้ก็จินตนาการตามไปเลยว่า ถ้าเป็น พีพี บิวกิ้น จะเป็นยังไง ซึ่งคิดแล้วมันน่าสนุกดี ซึ่งหนังเรื่องที่ผ่านมา เรื่องราวมันจะเริ่มจากตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แต่พอมาเรื่อง ซองแดงแต่งผี มันเป็นอีกวิธี เพราะมันมีต้นฉบับอยู่แล้ว มันมีโครงเรื่องที่ดีแล้ว เราจะมาปรับยังไงให้มันเป็นบริบทแบบไทย ให้คนที่เคยดูต้นฉบับแล้วไม่รู้สึกเบื่อ ทํายังไงให้มันไม่แพ้ความคาดหวัง โชคดีที่ได้ทีมที่ทีมเราแกร่งมาก ๆ มีทั้งพี่โต้ง มีคุณแวววรรณ ที่เป็นผู้กํากับเรื่อง เธอกับฉันกับฉัน มี พี่เต๋อ ฉันทวิชช์ แล้วก็มีผม เป็นการรวมตัวจี๊ดคู่บุญของพี่โต้ง ที่เขียนบทกันมาตั้งแต่กวนมึนโฮ แล้วก็ พี่มากเลย แล้วก็มี น้องเวฟ ที่เก่งมากอีกคนหนึ่ง

ในการปรับบท ผมเลือกปรับอาชีพของพระเอก เพราะพระเอกในต้นฉบับจะเป็นตํารวจ แต่เราคิดว่า บิวกิ้น จะเหมาะกับบทตำรวจไหมนะ ดูหน่วยก้านแล้วผ่านการถกเถียงกัน จนรู้สึกว่า ถ้าลองเป็นสายตํารวจ แต่เป็นคนที่อยากเป็นตํารวจ และเคยเป็นโจรกลับใจ ซึ่งผมรู้สึกว่าทุกอย่างยังอยู่ครบเลยนะ ความมุ่งมั่น ความอยากจะจีบตํารวจรุ่นพี่ ความอยากจะเป็นตํารวจ แต่ไม่ได้เป็น พอปรับแล้วก็รู้สึกว่ามันเอื้อให้เกิดคอมเมดี้ง่ายขึ้น และอาจจะมีตัวละครที่มีมิติมากขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าความดราม่าก็ยังมีได้ด้วย ส่วนบทของ พีพี จริง ๆ ในต้นฉบับตัวละครจะมีอาชีพที่ไม่ได้พูดถึงมากนัก แต่ว่าในของเรา ปรับให้เป็นดีไซเนอร์ไปเลย ชุดที่เค้าใส่ทั้งเรื่อง ที่เป็นสีชมพู ก็คือชุดที่เค้าออกแบบเอง แล้วมันก็เชื่อมไปถึงความรัก หรือว่าความมุ่งมั่นในชีวิตของเค้า ที่อยากจะแต่งงานกับแฟนของเค้าด้วย”

 

 

ซองแดงแต่งผี หนังคอมเมดี้ ที่แฝงไปด้วยสาระ

“มันคือหนังมิตรภาพ แต่ว่ามันแฝงไปด้วยธีมของครอบครัว ตั้งแต่ต้นเรื่อง จนกระทั่งขมวดปมในตอนท้าย เพราะมันเริ่มมาจาก อาม่า ของ ตี่ตี๋ (พีพี) อยากให้หลานสมหวัง แต่หลานเสียชีวิตไปก่อน แล้วยังไม่ได้ทําตาม Mission ที่ตั้งใจไว้ นั่นก็คือได้แต่งงาน ก็เลยเกิดหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ที่อาม่าจัดพิธีกรรม แล้วเอาซองแดงไปตกไว้ ใครมาเก็บก็จะต้องแต่งงานกับหลานตัวเอง

ซึ่งคำว่า ครอบครัว ในมุมมองของผมเอง ผมรู้สึกว่าโชคดีที่เหมือนพ่อแม่ให้อิสระ ให้เราเลือก ให้เราทําอะไรได้ โดยไม่มีข้อจํากัด และพร้อมจะสนับสนุนไม่ว่าเราอยากเป็นอะไร อยากทําอะไร จนผมได้มาทำอาชีพผู้กำกับ ผมว่าความสบายใจมันเป็นพลังงานที่ดีมาก ๆ เวลาเรานึกย้อนไปถึงตอนที่เรากําลังเลือกว่าอยากจะเลือกเรียนอะไร อยากจะทําอาชีพแบบไหน แล้วเมื่อมันไม่มีข้อจํากัดจากที่บ้าน การที่เค้าสบายใจเปิดพื้นที่ให้เราสบายใจได้ มันทําให้เรามีความมั่นใจ โดยที่เค้าไม่ต้องให้กําลังใจอะไรมากด้วยซ้ำ เราขอบคุณความรู้สึกนั้นมากที่เป็นจุดสําคัญ เพราะถ้าเกิดมันสบายใจ มันก็จะมีความมั่นใจได้จริง ๆ

อีกอย่างที่สอดแทรกอยู่ในไหนคือมุมมองเรื่อง การไม่กลัวความตาย และพร้อมต้องเตรียมตัวรับมือ ซึ่งผมมองว่า ความตาย มันใกล้ตัวมาก ๆ เลย โดยเฉพาะในช่วงที่ผมถ่ายทําหนังเรื่องนี้ ผมก็สูญเสียคนใกล้ตัวที่สุดก็คือคุณแม่ แล้วเมื่อมันผ่านเวลาไปสักพัก สิ่งที่เหลือไว้ คือการที่เรายังรําลึกถึงคนที่จากไปแล้ว เพราะหลังจากที่แม่ผมจากไป แต่ว่าหลายอย่างที่เรานึกถึงเขา หลาย ๆ อย่างที่เราเคยเห็นเขาทํา หรือทัศนคติบางอย่างมันยังตกอยู่ในตัวเรา ความตาย มันพรากบางอย่างไป แต่ว่าบางอย่าง มันทําให้เรายังรู้สึกและเห็นสิ่งเหล่านั้นชัดขึ้น เมื่อเกิดการพลัดพรากนั้นไปแล้ว

ถามว่าผมเอง กลัวตายไหม ต้องบอกว่า บางทีมันก็กลัว แล้วบางทีก็ไม่กลัว ที่กลัวเพราะเรายังมีบางอย่างที่ยังทําไม่สําเร็จ เรายังมีห่วง ก็เลยรู้สึกว่ายังไม่อยากตาย แต่พอเราได้ทำมันสำเร็จ เราก็พึงพอใจกับชีวิต ก็เลยมีความรู้สึกว่าถ้าตายก็โอเคนะ กลายเป็นความคิดที่กลับไปกลับมา และมันก็ยังคงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

ในหนังที่มันตลกมาก ๆ มันเหมือนกับเวลาเรารู้จักใครสักคนที่เค้าตลกมาก ๆ เรารู้สึกฮาเค้ามาก แต่พอเค้าจริงจังขึ้นมา หรือพอเค้าเจอเรื่องที่มันสะเทือนใจ เราจะดราม่าแบบสุด ๆ ดังนั้นในคอมเมดี้มีดราม่า ในดราม่ามีคอมเมดี้ ยิ่งเราทําให้คนดูสนุกมีความสุข และขําได้มากเท่าไหร่ ในช่วงที่เราอยากจะขยี้เรื่องประเด็นสําคัญ มันยิ่งเอฟเฟคได้มากเท่านั้น ซึ่งในเรื่อง ซองแดงแต่งผี จริง ๆ แล้วมันมีเรื่องราวสอดแทรกอยู่มากมายเลย อย่างเรื่องความแบบไม่เท่าเทียมทางเพศ ผมว่ามันไม่ได้มีแค่การเหยียดกันระหว่าง LGBTQ+ แต่ผู้หญิงก็โดนชายแท้ข่ม การไม่เข้าใจกัน หรือความมองไม่เท่ากัน มันอยู่ในทุกบริบท และเรื่องนี้ผมว่ามีเล่าในทุกมุมเลยเช่นกัน”

 

 

สูตรโกงความสัมพันธ์ และนักแสดง "ซองแดงแต่งผี"

“การทำงานกับ บิวกิ้น ผมชื่นชมนะ ในการกำกับบิวกิ้น เรารู้สึกว่ามันมหัศจรรย์ ซึ่งผมก็ดูงานที่ผ่านมาของบิวกิ้น ก็จะมีทั้งดราม่าเข้มข้น แสดงอารมณ์แบบลึกซึ้ง แต่เรื่อง ซองแดงแต่งผี นี่คือ เป็นอีกบทบาทหนึ่งเลย เราได้เห็นอีกด้านที่ทึ่งว่า บิวกิ้นกล้าทําขนาดนี้เลยเหรอ ให้ทําอะไรก็ทําคลุกกดิน ลงไปเกลือกกลิ้ง ทําอะไรบ้าบอ ได้อย่างเต็มที่ไม่มีข้อจํากัดเหมือนมันปลดล็อกมาแล้ว ผมอยากให้เครดิตกับคนที่เคยร่วมงานกับบิวกิ้น ในเรื่องที่ผ่านมา ที่ช่วยให้บิวกิ้นเก่งขึ้นมาก ๆ การกำกับบิวกิ้นไม่ยาก และไม่ง่ายครับ บิวกิ้น มีความขี้แกล้ง ผมเนี่ยตัวโดนเลย แต่ไม่เป็นไร จะแกล้งก็แกล้งขอให้ทําผลงานไว้ดีแล้วกัน ซึ่งเค้าก็ทำออกมาถูกใจเราจริง ๆ ด้วยครับ

ส่วน พีพี ก็เป็นขีดสุดแห่งความทุ่มเทมาก ๆ เลย ซึ่งพอเขาทุ่มเทมาก บางทีเขาจะกดดันตัวเองแต่ว่าพอเราปรับให้ลงตัว กลายเป็นว่า พีพี มีเสน่ห์มาก แล้วผมรู้สึกว่า บทที่เราเขียนกัน พอมันไปอยู่ในปาก พีพี มันกลายเป็นคําพูดของตัวละครตี่ตี๋ได้เลยโดยธรรมชาติ ซึ่งอันนี้ผมรู้สึกว่า เราทึ่งทุกครั้งเวลาเราเขียนอะไรแล้วในที่สุดมันก็อยู่ในปากตัวละครแล้วทำออกมาได้ดี แล้ว พีพีต้องใช้เทคนิคเยอะมากในการแสดง เพราะในเรื่องเค้าแสดงเป็นวิญญาณ จึงต้องใช้เทคนิค หลายอย่าง ให้เขาดูล่องลอย หายตัวได้ และมันต้องพะวงกับเรื่องเทคนิคด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงอารมณ์ด้วย ผมว่ามันยากมากนะ ซึ่งพอ พีพี ทําได้ตลอดรอดฝั่ง ผมก็ ตบมือให้เลยครับ เก่งมาก

ในการกำกับเรื่องนี้ สิ่งที่ยากคือหลายฉากที่มันร่วมแรงร่วมใจกัน อย่างเช่นฉากยิงกัน ซึ่งเราจะต้องดูทั้งการฝังเอฟเฟคไว้ตามจุดต่าง ๆ แล้วคนก็ต้องเคลื่อนที่ให้มันถูกต้อง ซึ่งพอมันทําได้ดี เทคเดียวผ่าน เราก็จะมีความสุขมาก ทีมงานทุกคนก็เหมือนทีมเวิร์คมากขึ้น อีกหนึ่งพาร์ทที่ประทับใจคือการแสดงของ พีพี บิวกิ้น ที่เค้ามีวิธีสื่อสารกันแบบพิเศษมาก ๆ เรียกว่าสูตรโกงก็ได้ยัง สมมติว่ากล้องถ่ายพีพีอยู่ แล้วเราอยากให้พีพีเศร้า ผมก็อธิบายเหตุผลไปนะ พีพีเค้าก็ทําอารมณ์แต่ก็ยังไม่ร้องไห้ แต่ว่าสักพัก บิวกิ้น เดินมาหลังกล้อง เท่านั้นแหละ พีพี ก็ร้องไห้ออกมาแบบสวยงามมาก ๆ มันเหมือนสูตรโกง เป็นพลังของคู่นี้เลย คู่นี้เค้าสุดจริง ๆ

ส่วนนักแสดงคนอื่น ๆ ก็สุดยอดมาก อย่าง ก้อย ก็แบบว่าฟ้าส่งมาเลย เราประทับใจมาก ซึ่งตัวละครที่ก้อยเล่น ชื่อว่า เจ๊ก๊อย มันฟ้องอยู่แล้วว่า Reference เป็นคุณก้อยนั่นแหละ ผู้หญิงอะไรที่จะมีพร้อมทั้งความห้าว ความเก่ง ความมีเสน่ห์ ความเซ็กซี่ มีหลายมิติและลึกซึ้งมาก และเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากก้อย และเมื่อ ก้อยมาเล่นก็ดีงามกับบทนี้

ส่วน พี่สังข์ ที่เล่นเป็น คุณพ่อ ในเรื่อง ก็เป็นผู้กํากับละครเวที ดีใจมากที่เป็นพี่สังข์ คือผมไปเห็นแกจากซีรี่ส์ แล้วการแสดงของพี่สังข์ ผมว่ากําลังดี กับความเป็นคุณพ่อ ผู้อยู่ในวัยที่ยังทําความเข้าใจกับโลก เกี่ยวกับเรื่องความหลากหลายทางเพศ และรู้สึกว่าพี่สังข์ให้ดีกรีกับบทพ่อของ ตี่ตี๋ ได้อย่างพอเหมาะ

อาม่า เป็นบทที่เรียกว่า เป็นตัวต้นเรื่องของหนัง บทนี้จะมีทั้งคอมเมดี้ก็ได้ ดราม่าก็ได้ และต้องน่ารักอบอุ่น ก็โชคดีที่นึกถึง คุณปุ๊ ปิยมาศ พอมาลองแคสกันดู ก็ได้ทั้งความคม ได้ทั้งจังหวะคอมเมดี้ แล้วเวลาคุณปุ๊ต้องดราม่าก็คือ น้ำตามาแบบสั่งได้ เวลาแกเล่นมันทำให้เราเชื่อมาก ๆ และบทนี้มันต้องเป็นแกจริง ๆ”

 

 

ย้อนจุดเริ่มต้น ของผู้กำกับอามรมณ์ดี

“อยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่เด็กไหม จริง ๆ ผมชอบดูหนัง เราก็ไปดูหนังกับเพื่อนเหมือนวัยรุ่นปกติ พอดูไปแล้วก็เริ่มอยากทําบ้าง ก็เลยลองมาถ่ายเล่นกันกับเพื่อนแถวบ้าน หรือที่โรงเรียน แล้วก็มารู้สึกชอบการทำหนังจริง ๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมเรียนนิเทศศาสตร์ คือมันจะมีกิจกรรมหนังรับน้อง ที่เค้าจะเอาเด็กปีหนึ่งมาเป็นตัวแสดง แล้วก็ฉายที่ใต้ถุนคณะ แล้วผมก็ได้แสดง ตอนนั้นผมเล่นเป็นบทคนโดนผีฆ่าตาย แล้วตอนที่เพื่อนดูกับเราบนจอ เพื่อนเค้าตื่นเต้นและกลัวจนกระโดดมากอดเรา เราก็เลยรู้สึกว่าหนังมันอิมแพคกับคนได้ขนาดนี้เลยเหรอ จนได้เป็นรุ่นพี่ ผมก็เริ่มได้เขียนบท และกำกับหนัง ตอนนั้นทำหนังจีนกำลังภายใน แล้วผมเติมความตลกเข้าไปเยอะมาก พอหนังฉายผมดีใจมากนะที่คนดูขำและตลกกับมุกที่มีในหนัง นั่นมันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผมสนใจทำหนังคอมเมดี้เลยก็ว่าได้

พอเรียนจบ งานแรกของผมคือ เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เพราะตอนเรียนปี 3 พี่เก้ง จิระ ซึ่งเป็นไอดอลของผม มาสอนที่คณะ แล้วพี่เก้ง บอกว่าเรียนจบอย่าเพิ่งรีบไปทําหนังเลย ลองไปหาประสบการณ์ชีวิตก่อน เพราะจบใหม่มันยังไม่มีเรื่องเล่าหรอก ผมเลยตัดสินใจไปเป็น สจ๊วต อยู่ 2-3 ปี แล้วในช่วงก่อนจบ ตอนปี 4 ผมมีโอกาสทำหนังสั้นตัวจบชื่อว่า The Suck Seed แต่มันจะไม่ใช่เวอร์ชั่นที่ทุกคนดูในโรงภาพยนตร์นะครับ พล็อตเรื่องคือ มันจะเป็นแบบแก๊งวงดนตรีห่วย ๆ กับเด็กคนหนึ่งที่มาสร้างแรงบันดาลใจให้วงห่วย ๆ อยากจะเก่งขึ้นมา แล้วในวันฉาย พี่เก้ง จิระ ก็มาเป็นคนคอมเมนต์งาน แล้วแกก็ชอบหนังที่ผมทำ จากนั้นปีต่อมา ก็มีรุ่นน้องทํา Final Project โดยทําภาคต่อของ The Suck Seed แล้วปีถัดมา ก็มีภาคต่ออีก แล้วพี่เก้ง มาดูทุกปีครับ แกก็เลยเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาว่า ลองชวนพวกนี้มาคุยกันทําเป็นหนังใหญ่ได้ไหม ผมก็เลยโชคดี ที่หนังสั้นได้พัฒนาเป็นเป็นหนังใหญ่ โดยให้ผมเขียนชีวิตมัธยมสมัยตั้งวงดนตรีกับเพื่อน บวกชีวิตรักของตัวเองที่เคยอกหัก เอายํารวมกันกลายเป็นเป็น Suck Seed ห่วยขั้นเทพ ที่ทุกคนได้ดูกันในโรงภาพยนตร์”

 

 

กว่าจะเป็นหนัง 1 เรื่อง ผู้กำกับต้องทำอะไรบ้าง?

“กว่าจะเป็นหนัง 1 เรื่อง มันก็เริ่มจากเขียนบท ใช้เวลาประมาณ 8-9 เดือน พอเสร็จแล้วก็จะเป็นขั้นตอนรวมทีมงาน หาโลเคชั่นถ่ายทําก็ใช้เวลา 2-3 เดือน แล้วก็ช่วงถ่ายทำอีกประมาณ 3เดือน แล้วก็ตัดต่อออกมาเป็นหนัง รวม ๆ น่าจะเกือบ 2 ปีครับ

หน้าที่ของผู้กำกับ อันดับแรกคือการสื่อสารสิ่งที่เราต้องการให้กับทุกคนได้เข้าใจตรงกันมากที่สุด โดยมันก็ต้องมีไอเดียด้วย ถ้าเปรียบเทียบ ผู้กำกับ ก็จะเป็น กัปตันเรือ ที่จะกำหนดว่าจะไปทิศทางไหน ผู้กำกับ คือคนกําหนด Direction ของสิ่งที่เราจะพาไป การทำหนัง คือการแก้ปัญหา มันมีปัญหาตลอดเวลา การที่ต้องทำงานกับหลายชีวิต มันต้องจัดการดี ๆ รวมถึงปัญหาที่เราอาจจะควบคุมได้ยาก เช่น ฝนฟ้าอากาศ หรือ อุบัติเหตุจากการถ่ายทำ สิ่งสําคัญที่สุดคือ ผู้กํากับ จะเลือกแก้มันยังไง ยกตัวอย่างเช่น ในซองแดงแต่งผี มันจะมีตํารวจท่านนึง ใครได้ดูจะไม่รู้เลยว่าเค้าขาเจ็บ ซึ่งมันจะมีอยู่ฉากหนึ่งในช่วงท้าย ๆ เรื่อง ที่เค้าขาเจ็บ แต่ต้องแสดงฉากที่ต้องดวลปืนกัน ทีมเราเลยมีการแก้บท เพราะว่าเค้าประสบอุบัติเหตุมา เราเลยใช้แสตนด์อินแทน แล้วก็แก้ฉากจบบางฉาก ซึ่งรู้สึกว่าผลลัพธ์มันฮากว่าที่เราตั้งใจไว้อีก บางครั้งการแก้ปัญหา มันนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

นอกจากการสื่อสาร จิตวิทยาก็สำคัญ เราต้องเชื่อใจทีม เชื่อใจคนที่มาช่วยเรา เพราะหนังมันเหมือนทำงานกลุ่ม ถ้าเราเชื่อมั่นในคนทำงาน เค้าจะให้เรากลับมา แต่ถ้าเราคิดว่าทําไม่ได้หรอก เดี๋ยวผมจัดการเอง มันจะไม่มีใครช่วยเรา แล้วพอเราคิดด้วยตัวเราเองคนเดียว มันจะอาจจะไม่ได้ในแบบที่เราต้องการทั้งหมด

สำหรับคนที่อยากเป็นผู้กำกับ ผมอยากให้ลองทำหนังสั้นดู จะได้รู้ว่าเราชอบมันไหม เราถนัดอะไร เหมือนผมชอบทำหนังคอมเมดี้ เพราะมีความสุขเวลาคนดูตลกตอนดูหนังที่ผมทำ ถ้าให้ผมทําหนังที่มันเป็นแนวอื่น ผมก็อาจจะไม่ถนัด ณ ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน เราก็เลยทําในสิ่งที่เรามั่นใจไปก่อน แต่ถ้าเกิดเราไม่ได้มีโอกาสไปทดลองแนวอื่น เราก็จะยังไม่รู้ว่าเราชอบอะไร และเสน่ห์ของงานกํากับหนังใหญ่ในโรงภาพยนตร์ มันคือการที่ได้ไปเห็นจริง ๆ ว่าคนดูรู้สึกยังไง มันก็วัดกันไปเลย ผมว่าสิ่งนี้ทําให้เรามั่นใจขึ้นว่าเราทํามันได้ไหม

แล้วบางทีเวลาเราทําอะไรที่ไม่ชอบ มันดีเหมือนกันนะ เหมือนเราเขียนบทเลือกทางผิด เราก็ขีดข้ามไปเลย แปลว่าเราจะไม่เลี้ยวไปทางนั้น แล้วเราจะเลี้ยวไปในทางอื่นที่เรามั่นใจขึ้น ให้ลงมือทําไปก่อน แล้วมันจะได้คําตอบ”

 

จากปมที่มี กลายเป็นหนังดีโดนใจคนดู

“หนังเกือบทุกเรื่องที่ผมทำ มามาจากเรื่องราวของตัวเอง ก็คือ Suck Seed ห่วยขั้นเทพ มาจากที่เราเคยตั้งวงดนตรี ไปประกวดแล้วตกรอบ แล้วก็มีทะเลาะกับเพื่อน มีเรื่องความรัก ก็คือรวมมิตรอะไรที่ล้มเหลวของชีวิตวัยรุ่น ก็จะมารวมอยู่ในเรื่องนี้ครับ

แล้วก็จริงจริงมันยังไม่ครบด้วยครับ ก็เลยมามาสู่ เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ พระเอกมันจะชื่อ ไอ้ป๋อง ที่คุณ แบงค์ ธิติ เล่น ตัวละครจะเชื่อว่าโลกในโรงเรียนมีฐานันดร แล้วตัวเองอยู่ในฐานันดร ต่ำสุด ก็คือเป็นพวกไร้ตัวตน มันคือความคิดบางส่วนของผม ในช่วงม.ต้น ที่เราคิดว่าสู้คนอื่นไม่ได้ มันมีคนที่มันเจ๋งกว่าเราเต็มไปหมด สมมติเราไปชอบเพื่อนผู้หญิงสักท่านนึง เราก็จีบไม่ติดหรอก เพราะว่าคนที่เหนือกว่าเราเขาจีบอยู่ กลายเป็นปมของการแอบชอบเพื่อนแล้วไม่กล้าบอก ต้องเอามาเป็นวาดเป็นการ์ตูน อันนี้คือผมเอง

Friend Zone เกิดจากการยํารวมเรื่องราวของคนเขียนบทอีกคนหนึ่ง เป็นรุ่นน้องของผม เอาเรื่องราวของเค้ามาเขียนเลย อย่างบท กิ๊ง ที่ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก เล่น มันก็จะมีคาแรคเตอร์จากเพื่อนผม และจัวผมรวมร่างด้วยกัน

ส่วน พรจากฟ้า อันนี้แตกต่างออกไปครับ เราอยากเล่นไอเดียเรื่อง Body Percussion ก็เลยอยากเล่าไอเดียนี้ แล้วก็ได้ไปเห็นภาพ ๆ หนึ่ง ตอนที่ประธานาธิบดีสหรัฐเขาซ้อมพิธีสาบานตน แล้วมีการเอาใครก็ไม่รู้มาแขวนป้ายเป็นประธานาธิบดี แล้วก็เป็นไอเดียจาก พี่วรรณฤดี ที่คิดว่า การที่เขาต้องมาเล่นเป็นผัวเมียกัน จริง ๆ แล้ว เขาจะจีบกันไหม เขาจะชอบกันไหมนะ กลายเป็นไอเดียของตอนนี้เลยครับ”

 

 

อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ในวันที่ยุคเปลี่ยนไป

“มันยากขึ้นมาก มันจึงต้องการทีมงานจํานวนมากในการโปรโมทหนังที่เราทำ แล้วที่หลายคนคิดว่าโรงภาพยนตร์มันจะน้อยลงเรื่อย ๆ ผมว่ามันจะเป็นไปตามที่ผู้กํากับรุ่นใหญ่เขาเคยพูดไว้ในวงการนะครับ เขาบอกไว้ว่า มันจะเหลือแต่หนังฟอร์มยักษ์ที่จะได้ฉายในโรงภาพยนตร์ เป็นหนังที่ควรค่าแก่การเสียเงินเพื่อจะไปดูจอใหญ่ ๆ หนังที่มันฟอร์มเล็กลง ก็จะถูกผลักมาอยู่ในสตรีมมิ่ง แต่ผมกลับรู้สึกว่า หนังที่ฟอร์มใหญ่มาก ๆ บางทีเราก็เบื่อได้เหมือนกันนะ ถ้ามันไม่ได้แบบมีอะไรใหม่ จริง ๆ ต่อให้คุณลงทุนอีกหลายร้อยล้าน แต่ว่าถ้าไอเดียมันไม่สดใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน หนังฟอร์มเล็กบางเรื่อง ไอเดียสดใหม่ก็เอาอยู่ คนก็พร้อมจะเฮไปดูกันมากมาย  ยกตัวอย่าง หลานม่า ผมว่าไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่มาก แต่ว่าคนก็ยังไปดูในโรงภาพยนตร์กันจํานวนมาก ผมว่าการไปดูในโรงภาพยนตร์มันยังมีเสน่ห์ การจูงมือพ่อแม่ พาครอบครัวไปดูหนัง การหัวเราะด้วยกัน มันยังเวิร์คอยู่ และมันจะยังไม่หายไป

ในการปรับตัวกับแฟลตฟอร์มดูหนังที่มากขึ้น ไอเดียมันก็ต้องพิเศษจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่ตัวหนัง มันต้องมีทีมที่ช่วยคิดโปรโมท ทีมคอนเทนต์ที่ทําความเข้าใจกับโลกที่มันเปลี่ยนวันต่อวัน กับความคิดที่ว่า คนไทยไม่ค่อยชอบดูหนังไทย ผมมองว่าเราเลือกดูสิ่งที่เราสนใจ ผมยังเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ถ้าหนังน่าสนใจ ยังไงคนก็ดู จากในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมา มันยังมีหนังที่ทำรายได้เข้า เป้าถล่มทลาย ไม่อย่างนั้นแปลว่าหนังไทยทุกเรื่องก็ต้องเจ๊งหมด แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ

ผมยังเชื่อว่าต้นทางสําคัญมากครับ เรื่องของการพัฒนาบท ซึ่งปกติหลาย ๆ ที่เขาจะให้เวลาน้อย ผมเลยเชื่อว่า ถ้าเกิดมีเวลาให้มากพอ ก็จะมีเแก้ไขทบทวนมัน แล้วก็มันก็จะตามมาด้วยBudjet ที่ช่วยให้คนทําอาชีพในอุสาหกรรมภาพยนตร์ สามารถหล่อเลี้ยงตัวเองได้ ส่งกําลังใจให้สําหรับคนที่อยากเป็นผู้กํากับ จงลงมือทํา แล้วก็ขอให้มีความสุข ลองผิดลองถูกกับมันได้สำหรับผมเอง ความสุขของผม คือการเห็นคนดูมีความสุขในโรงภาพยนตร์ครับ”

 

 

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110