[REVIEW] “SING 2” กู่ร้องครั้งใหม่ กุมหัวใจยิ่งกว่าเดิม | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “SING 2” กู่ร้องครั้งใหม่ กุมหัวใจยิ่งกว่าเดิม | GOSSIP GUN

12 ม.ค. 2022

ปลายปีที่ผ่านมา นอกจาก Spider-Man : No Way Home ที่เดินหน้ากวาดรายได้ถล่มทลายแล้ว มีหนังอีกเพียงเรื่องเดียวที่ทำเงินอย่างน่าสนใจ นั่นก็คือ SING 2 ภาคต่อของแอนิเมชั่นปี 2016 ของค่ายอีลูมิเนชั่น (ค่าย Minions นั่นเอง) ที่ทำออกมากินใจผู้ชมอย่างมาก เพราะมันเล่าถึงเหล่าบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่ต่างมีความฝันอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะบัสเตอร์มูน โคอาล่าที่ฝันอยากเป็นเจ้าของโรงละคร ซึ่งท้ายที่สุดฝันของแต่ละคนก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม ด้วยภาพรวมหนังที่สนุก พล็อตประทับใจ และเพลงเพราะมาก ส่งให้หนังกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 600 ล้านเหรียญฯ จึงไม่แปลกใจที่อิลลูมิเนชั่นจะสร้างภาคสองออกมาทันที

แม้ว่าฝันในสเต็ปแรกของเหล่าตัวละครใน SING จะประสบความสำเร็จแล้ว แต่เส้นทางก็ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น เพราะใน SING 2 มูน (พากย์เสียงโดย แมธธิว แม็คคอนาเฮย์) อยากพาโชว์ของเขาไปยังเรดชอว์ซิตี้ (ฟีลแบบได้แสดงในเวกัส) แต่แมวมองกลับบอกว่าพวกเขาไม่เก่งพอ มูนจึงพยายามทำทุกทางเพื่อให้ได้ขึ้นโชว์ ซึ่งเขารู้ดีว่าทางเดียวที่จะเป็นไปได้ คือการดึงเอา เคลย์ คาโลเวย์ (พากย์เสียงโดย โบโน U2) ร็อกเกอร์ระดับตำนานที่เก็บตัวเงียบนาน 15 ปี กลับมาขึ้นเวทีอีกครั้ง แต่ภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่ หรือฝันที่จะโชว์สุดอลังการในเวทีของ เรดชอว์ซิตี้จะพังทลาย ต้องมาดูกัน ซึ่งทีมนักแสดงจากภาคแรก ก็ยังกลับมาให้เสียงทั้ง รีส วิทเธอร์สพูน, สการ์เล็ต โจแฮนส์สัน, ทารอน เอ็ดเกอร์ตัน รวมถึงศิลปินดังๆอย่าง ฟาร์เรลล์ วิลเลี่ยม และฮาร์เซย์ ก็มาเป็นสมาชิกใหม่ประจำภาคนี้ด้วย

ถ้าคุณชื่นชอบภาคแรก คุณจะตกหลุมรักหนังภาคนี้อย่างแน่นอน เพราะหนังอัดแน่นด้วยความอิ่มเอมและสนุกสนาน ปัจจัยหลักคือประเด็นในภาคนี้ และเพลงที่จัดหนักยิ่งกว่าภาคแรก หลังจากภาคแรกเล่าถึงความแตกต่างของตัวละครที่แม้ว่าคุณจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว หรือคุณจะมีความแตกต่างจากคนในสังคมขนาดไหน แต่คุณก็มีสิทธิที่จะมีฝัน และทำตามความฝันได้ แม้ฝันนั้นจะสำเร็จแล้ว แต่ภาคสอง มันเล่าถึงการเลือกทางเดินที่เป็นตัวตนของคุณเองได้ ไม่ใช่ทุกคนต้องเดินไปในทางเดียวกัน ความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ซึ่งคุณเองนั่นแหละที่มีสิทธิเลือก รวมถึงประเด็นการสานต่อความฝัน แม้ว่าจะผิดหวังและทุกข์ทน คุณก็สามารถก้าวออกมา แล้วทำในสิ่งที่คุณรักได้ หลายประโยคในหนังภาคนี้ เข้าไปกินใจมากๆ และน่าจะสร้างพลังใจให้กันผู้ชมไม่มากก็น้อย ซึ่งเหมาะกับช่วงปีใหม่แบบนี้ ช่วงเวลาที่เราจะได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆกัน

อีกจุดที่ทำให้ SING 2 เพลิดเพลินขั้นสุด คือเพลงดังชุดใหญ่จากหลากหลายยุคที่ถูกใส่เข้ามาในหนังอย่างถาโถม จนภาคนี้เกือบจะเป็น Jukebox Musical แบบเดียวกับ Trolls ที่อัดแน่นด้วยเพลงฮิต แบบเพลงแล้วเพลงเล่า ซึ่งแต่ละเพลงก็มาไม่ได้ถูกใส่มาเฉยๆ แต่มาในจังหวะที่ขยายเส้นเรื่อง เติมเต็มให้พิเศษขึ้นไปอีก อาทิ เพลง Break Free ของอารีอาน่า กรานเด ที่ความหมายเฉยๆก็ทรงพลังอยู่แล้ว แต่ SING 2 ใส่มันในฉากที่พิเศษมากๆ เพิ่มพลังให้กับเพลงขึ้นไปอีก หรือแม้แต่เพลงของ U2 ที่เข้ามาในจังหวะที่เหมาะ นี่น่าจะเป็นหนึ่งในหนัง Jukebox Musical ที่แพรวพราวมากที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้

ท้ายที่สุด SING 2 คือหนังแอนิเมชั่นที่ทำให้ผู้ชมความสุขเอ่อล้นได้อย่างไม่ยาก ทั้งความสนุกสนานของเส้นเรื่องที่ยังคงอัดแน่นมุกตลกที่สร้างเสียงหัวเราะได้อย่างดี ประเด็นสำคัญในหนังที่กล่าวถึงความฝัน ความสุข และตัวตนที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคน ยังคงแข็งแรงและสื่อสารได้อย่างถึงแก่น รวมถึงเพลงดังมากมาย ที่มาในรูปแบบโชว์สุดตื่นตา ระหว่างดู SING 2เหมือนเราได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปตลอดปีที่ผ่านมา นั่นคือการดูคอนเสิร์ต การดูแสดงโชว์ดีๆ ในชีวิตจริง เพราะโควิด-19 ทำให้จัดไม่ได้ แต่โชว์ต่างๆในหนัง จะทำให้คุณเพลิดเพลินอย่างแน่นอน

(ให้ 8 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Hunt’ ล่าคนปลอมคน ภารกิจล่าสายลับ โค่นอำนาจเผด็จการ| GOSSIP GUN

02 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘Hunt’ ล่าคนปลอมคน ภารกิจล่าสายลับ โค่นอำนาจเผด็จการ| GOSSIP GUN

ชื่อเสียงของหนัง Hunt เป็นที่กล่าวถึงตั้งแต่ช่วงกลางปีทีี่ผ่่านมาด้วยหลายๆปัจจัย ข้อแรกนี่คือผลงานกำกับเรื่องแรกของ อีจองแจ พระเอกแถวหน้าของเกาหลีที่ดังระดับโลกจากซีรีส์ Squid Game ข้อต่อมา คือหนังได้รับเลือกให้ไปฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุดในส่วนของ Midnight Screening ในแบบที่ Train To Busan เคยทำได้มาแล้ว แม้ว่ารีวิวจะออกมาก้ำกึ่ง ส่วนใหญ่นักวิจารณ์เมืองนอกหลายคนดูหนังแล้วตามไม่ค่อยทัน แต่แน่นอนว่าคะแนนรีวิวจากคานส์สำหรับหนังเกาหลีอาจจะเชื่อถือมากไม่ค่อยได้ เพราะหนังอย่าง Emergency Declaration ก็ได้รับรีวิวไม่ค่อยดี แต่ถูกใจคอหนังในเกาหลีรวมถึงในไทย และข้อสุดท้ายคือ ล่าสุดหนังเพิ่งเข้าฉายในเกาหลีเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และกวาดรายได้เป็นอันดับ 1 Korea Box Office ได้นานถึง 3 สัปดาห์ซ้อน ล่าสุดติด Top 3 หนังเกาหลีทำเงินสูงสุดของปีไปแล้ว แน่นอนว่า Hunt ไม่ใช่โปรเจกต์ธรรมดาที่ควรมองข้ามอีจองแจ เลือกที่จะพาผู้ชมกลับไปยังเกาหลีใต้ในยุค 80s ช่วงเวลาที่รัฐบาลทหารยังเรืองอำนาจ บ้านเมืองถูกปกครองแบบเผด็จการ นักศึกษาจำนวนมากออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย (อ่านแล้วคุ้นๆ) โดย อีจองแจ เองรับบท หัวหน้าพัค หัวหน้าทีมข่าวกรองนอกประเทศ ที่ต้องมาปะทะเดือดกับ หัวหน้าคิม หัวหน้าทีมข่าวกรองภายในประเทศ (ซึ่งรับบทโดย จองอูซอง จาก Steel Rain เพื่อนสนิทของ อีจองแจ ที่เป็นการหวนกลับมาเจอกันบนหน้าจอครั้งแรกในรอบ 23 ปีหลังจาก City of the Rising Sun ในปี 1999) หลังจากทั้งสองได้รับคำสั่งให้ตามจับ "ทงลิม" สายลับจากเกาหลีเหนือที่แฝงตัวอยู่ในองค์กรของพวกเขา โดยต่างฝ่ายต่างต้องสืบสวนทีมฝ่ายตรงข้าม ว่ามีหนอนบ่อนไส้แฝงตัวอยู่หรือไม่ เพราะถ้าทั้ง หัวหน้าพัค และหัวหน้าคิม หาตัวคนร้ายไม่เจอ พวกเขาอาจจะต้องกลายเป็นแพะรับบาปเสียเอง และที่สำคัญ พวกเขาต้องหาตัว ทงลิม ให้เจอ ก่อนที่แผนการลอบสังหารประธานาธิบดีจะเกิดขึ้นคำที่จะจำกัดความหนังเรื่อง Hunt ได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นคำว่า "เดือดมากกก (เติม ก.ไก่ไปอีกล้านตัว) เพราะตั้งแต่เริ่มหนังในนาทีแรก ไม่มีคำว่ากราฟตกเลย ถ้าเปรียบเสมือนรถยนต์ที่ อีจองแจขับ เขาน่าจะเหยียบคันเร่งตั้งแต่นาทีแรก แล้วไม่มีคำว่าเหยียบเบรกเลย ด้วยความเร็วระดับ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผ่านถนนอันคดเคี้ยวขั้นสุด เพราะหนังเดินเรื่องด้วย Pacingที่ค่อนข้างไวมาก มีรายละเอียดในเนื้อหา และตัวละครค่อนข้างเยอะ ทำให้ผู้ชมอาจจะต้องโฟกัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอค่อนข้างสูง มิฉะนั้นอาจจะตกเนื้อหาไปบางอย่างและพาลทำให้ดูไม่รู้เรื่องได้ และที่สำคัญ หนังมาพร้อมกับพล็อตที่ยากแก่การคาดเดา พร้อมที่จะหักมุมตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถลุกออกไปเข้าห้องน้ำได้เลย เพราะทุกนาทีหนังสามารถพลิกเหตุการณ์ได้ตลอด และช่วงเวลาที่คุณลุกไป อาจจะพลาดดีเทลบางอย่างก็เป็นอันได้ แน่นอนว่าด้วยความเร็วและดีเทลค่อนข้างเยอะ หนังอาจจะไม่เป็นมิตรกับคนดูมากนัก แต่ถ้าคุณตามทัน Hunt จะเป็นหนังที่โคตรมันส์อย่างแท้จริงความเข้มข้นขั้นสุดของ Hunt เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ เริ่มจากการเล่าเรื่องที่ชวนให้ติดตามอย่างมาก หนังสามารถดึงความสนใจของผู้ชมได้ตั้งแต่นาทีแรกๆ และไม่ปล่อยให้ผู้ชมวอกแวกไปคิดเรื่องอื่นเลย ยิ่งช่วงที่ตัวละครหลักพยายามไล่ล่าหาว่าใครคือ สายลับจากเกาหลีเหนือกันแน่ มันขับเขี้ยวเฉือนคมกันมันส์สุดๆ ถ้าคุณเคยชื่นชอบหนังแบบ Infernal Affairs ของฮ่องกง จะต้องไม่พลาดเรื่องนี้ ปัจจัยที่สองคือฉากแอ็กชัน ที่ดีไซน์ออกมาทั้งเดือด ทั้งมันส์ และเท่ห์สุดๆ แถมมันถูกตัดต่อออกมาให้ผู้ชมดูแล้วเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ตัดมั่วซั่วแบบหนังบางเรื่อง ดังนั้นในระหว่างที่คุณสนุกกับซีนแอ็กชัน ก็ยังเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยไฮไลต์สุดท้ายของ Hunt ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ "ซูเปอร์แคส"ทีมนักแสดงที่ใส่เต็มทุกคน เริ่มจากดูโอ้ อีจองแจ และจองอูซอง ใส่ยับแบบไม่เกรงใจกันเองเลย ทุกฉากที่พวกเขาต้องปะทะอารมณ์กัน เถียงกัน ไล่ล่ากัน มันถึงพริกถึงขิงถึงอารมณ์จริงๆ ในขณะตัวนักแสดงสมทบก็ใส่หนักทุกเบอร์ โดยเฉพาะ โกยุนจอง ที่เพิ่งมีผลงานซีรีส์ Alchemy of Souls เข้าฉายไป บทของเธอมีบทบาทค่อนข้างมาก และเธอแสดงอารมณ์ได้เต็มจริงๆ ใครที่เป็นแฟนๆของ โกยุนจอง ต้องมาดูเธอใน Huntก่อนที่จะไปดูเธอขยับเป็นนางเอกใน Alchemy of Soul พาร์ทสอง นอกจากนี้ ไฮไลต์สำหรับแฟนหนังและซีรีส์เกาหลี คือการที่ Hunt มีนักแสดงรับเชิญโผล่แบบเยอะมาก เหมือน อีจองแจ กวาดนักแสดงรุ่นราวคราวเดียวกันมารับเชิญแบบล้นจอ มีทั้งที่มีบทพูดเยอะหน่อย และคนที่โผล่มาแว้บๆ ถ้าตาดีก็อาจจะเห็นทันโดยรวม Hunt ล่าคนปลอมคน ที่หนังเกาหลีที่เดือดสะใจแฟนๆหนังสไตล์แอ็กชันสายลับ หักเหลี่ยมเฉือนคม เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เกือบ 3 ทศวรรษในวงการบันเทิง อีจองแจ ได้สะสมฝีมือ ศึกษาแง่มุมในการทำหนังเพื่อมาทุ่มให้กับโปรเจกต์นี้ และเพื่อความสนุกมากยิ่งขึ้น ถ้าผู้ชมมีโอกาสได้ศึกษาประวัติศาสตร์ด้านการเมืองการปกครองของเกาหลีใต้ในช่วงยุค 80s ก็อาจจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมมากขึ้น ดีไม่ดีอาจจะยิ่งอินหนักและโยงมาเปรียบเทียบกับการเมืองไทยในปัจจุบันได้ชมตัวอย่าง Hunt ล่าคนปลอมคน วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

12 มิ.ย. 2024

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

คุ้มค่าแก่การรอคอยนาน 9 ปีเต็ม สำหรับภาคต่อของแอนิเมชั่นสุดประทับใจที่มาพร้อมไอเดียสุดล้ำอย่าง ‘Inside Out’ ของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชั่น ที่ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 สร้างปรากฏการณ์ทั้งกวาดเงินมากถึง 850 ล้านเหรียญฯ จากทั่วโลก กวาดคะแนนบวกจากนักวิจารณ์มากถึง 98% และปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ และขึ้นแท่นหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นในดวงใจคนดูไปเต็ม ๆด้วยพล็อตสุดครีเอท ที่เล่าถึงเหล่าอารมณ์ในหัวของ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังว้าวุ่นกับการเติบโต โดยในหัวของเธอมีอารมณ์ต่าง ๆ เป็นตัวขับเคลื่อน นำโดย จอย ตัวละครสุดอารมณ์ดี แน่นอนว่ากว่าที่ ‘Inside Out’ ภาคแรกจะเกิดขึ้นได้ ใช้เวลาพัฒนาโปรเจกต์อยู่นาน ขั้นตอนสำหรับภาคต่อก็เช่นกัน ทำให้หนังถูกทิ้งช่วงนานถึง 9 ปีเต็ม โดยพิกซาร์มอบหมายหน้าที่ผู้กำกับภาคนี้ให้ เคลซี มานน์ หัวเรือใหญ่ของทีมครีเอทีฟพิกซาร์ ที่มีส่วนร่วมในหนังของค่ายยุคหลัง ๆ อย่าง Soul, Luca และ Elemental มาทำหน้าที่กำกับเป็นครั้งแรก ที่ดูเหมือนจะรับไม้ต่อมาได้อย่างยอดเยี่ยมเสียด้วยสำหรับใน ‘Inside Out 2’ ยังคงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อเธอกำลังต้องขึ้นสู่ชั้นเรียนใหม่ ต้องพบกับเพื่อนใหม่ ๆ และความฝันในการเข้าทีมเป็นนักกีฬาฮอกกี้ ทำให้การเข้าค่ายในช่วงไม่กี่วันจากนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของไรลี่ย์ นอกจาก 5 อารมณ์เดิมจากภาคแรกแล้ว คือการเข้ามาของ 4 อารมณ์ใหม่ ที่นำทีมโดย ว้าวุ่น อารมณ์ที่เริ่มเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้น พวกเขากำลังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษย์เริ่มมีอารมณ์ดีที่น้อยลง และเริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จอยและแก๊งอารมณ์เดิมจะรับมืออย่างไรกับสิ่งนี้ พวกเธอจะสามารถควบคุมไรลี่ย์ให้หน้าด้านไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการได้หรือไม่ ต้องมาติดตามกันแน่นอนว่าหนังภาคนี้ เติบโตในเนื้อหามากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับตัวละครไรลีย์ที่มีอายุมากขึ้น ดังนั้นประเด็นต่าง ๆ ของหนัง จึงเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ การก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในพาร์ทนี้ของหนังถือว่า สามารถถ่ายทอดความซับซ้อนด้านอารมณ์ของคนเรา ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ยังคงมีความลึกซึ้งทางด้านเนื้อหา ตามแบบฉบับที่ Inside Out นั้นควรจะเป็น และมีความเข้าใจมนุษย์มากขึ้นยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้เนื้อหาในภาคนี้ น่าจะทัชใจผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วย ไม่ได้เพียงแค่สร้างความบันเทิง สำหรับผู้ชมที่เป็นเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของหนังดิสนีย์เท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ตัว Message ของหนังจะโตขึ้นก็ตาม แต่ ‘ Inside Out 2’ ยังคงรักษามาตรฐานความบันเทิงแบบดิสนีย์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะเหล่ามุกที่สร้างสรรค์ขึ้นจากครีเอทีฟไอเดีย ภาคนี้ถือว่าไม่เสียเวลารอคอยจริง ๆ ยิ่งการสร้างตัวละครใหม่ ยิ่งน่าสนใจไม่แพ้กับ 5 ตัวละครแรก ทุกตัวยังคงมีเอกลักษณ์ในแบบของมัน และเป็นที่จดจำ นอกจากนี้ยังมีเหล่าตัวละครที่อาจจะไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไม่ใช่ทั้งอารมณ์ แต่มาขโมยซีนแบบเต็ม ๆ (แต่พวกเขาคืออะไรนั้น ไม่สามารถสปอยล์ได้ตรงนี้) นอกจากนี้หนังยังสามารถรักษาพาร์ทของการเป็นหนังผจญภัยได้อย่างสนุกสนาน กับการเดินทางของ จอย และแก๊งอารมณ์ออริจินัลของพวกเธอ ที่ต้องออกเดินทางด้วยภารกิจบางอย่าง หนังสร้างสรรค์มุมต่าง ๆ ในหัวของไรลีย์ ได้เหมือนสวนสนุก เหมือนจำลองดิสนีย์แลนด์ ในเวอร์ชั่นสมองไรลีย์ออกมาได้อย่างน่าติดตาม ยิ่งเสริมให้ ‘Inside Out 2’ ครบถ้วนในทุกแง่มุมทั้งความสนุก ความลึกซึ้ง และความประทับใจของธีมเรื่องโดยรวม ‘Inside Out 2’ ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับพิกซาร์อยู่ไม่น้อย เพราะว่าภาคแรกสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก แต่ผลลัพภ์ที่ออกมา ก็ถือว่าน่าพอใจมาก คุ้มค่าแก่การรอคอยสำหรับแฟนหนังพิกซาร์ ซึ่งหลายโปรเจกต์ที่ผ่านมา ทางค่ายไม่สามารถรักษามาตรฐานที่ทัดเทียมภาคแรกไว้ได้สำหรับภาคต่อ แต่สำหรับเรื่องนี้ถือว่าทำได้ เป็นการกลับคู่ระดับความพีกของพิกซาร์อีกครั้ง และน่าจะส่งให้ ‘Inside Out 2’ เป็นความสำเร็จเรื่องแรก ๆ ของซัมเมอร์นี้ในอเมริกาได้อย่างไม่ยาก หลังจากที่ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีแต่หนังที่ทำรายได้น่าผิดหวัง และเพิ่งมามีหนังที่ทำเงินเหนือความคาดหมายคือ ‘Bad Boys : Ride or Die’ ในสัปดาห์ก่อน แอนิเมชั่นจากพิกซาร์เรื่องนี้ น่าจะมีปลุกผี Box Office ในอเมริกาได้ต่ออีกเรื่องภาพ : Walt Disney Studios

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

20 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

เจอราร์ด บัตเลอร์ ถือเป็นพระเอกสายบู๊ที่ยังคงแอคทีฟต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ไม่มีหนังเขาเข้าฉายเลย แต่ในแง่กระแสตอบรับ ก็มีทั้งหนังเจ๋งและหนังเจ๊งสลับกันไป แต่กับผลงานล่าสุดที่ชื่อสั้นๆอย่าง Plane (ชื่อไทย ดิ่งน่านฟ้า เดือดเกาะนรก) ต้องจัดเข้าสู่กลุ่มแรก เพราะหนังสามารถกวาดคะแนนผู้ชม Audience Score ไปได้สูงถึง 94% จากเว็บไซด์ Rotten Tomatoes ในขณะที่คะแนนนักวิจารณ์ก็ปาเข้าไป 75% ถือว่าเยอะมากจริงๆ สำหรับพระเอกสายบู๊คนนี้ เพราะโดยปกติหนังของเขาจะถูกจัดเข้าสู่กลุ่มมะเขือเน่ามากกว่า ทำให้ Plane กลายเป็นหนังแอ็กชันสุดเซอร์ไพรส น่าจะตามองเรื่องแรกของปี 2023แน่นอนว่า Plane ต้องเล่าถึงเครื่องบิน โดยเจอราร์ดรับบทเป็นกัปตันโบรดี้ ที่กำลังขับเครื่องบินไฟลต์ข้ามปีใหม่ จากสิงคโปร์มุ่งหน้าสู่โตเกียว ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติราบรื่นดี จนกระทั่งวิกฤตแรกเขาพบว่า เที่ยวบินนี้จะมีนักโทษคดีฆาตกรรมพร้อมผู้คุมมาร่วมเดินทางไปด้วย วิกฤตที่สอง ในขณะที่เขากำลังบินผ่านเหนือทะเลจีนใต้ ก็เกิดสภาพอาการแปรปรวนขึ้นทำให้เขาต้องนำเครื่องลงในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด และวิกฤตสุดท้าย คือการที่เขาได้ค้นพบว่า เกาะที่พวกเขาแลนดิ้งนั้น อยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ ที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อยากยุ่ง เขาและเหล่าผู้โดยสาร จึงเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกัน กัปตันเจอราร์ด จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคนของเขา ซึ่งนั่นรวมถึงการที่จะต้องร่วมมือกับนักโทษบนเครื่อง ที่เป็นอดีตทหารฝีมือฉกาจภาพรวมนั้น Plane มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับหนังแอ็กชันในแบบที่ควรจะเป็น พล็อตที่สามารถไต่ระดับความตื่นเต้น รักษาบรรยากาศสุดระทึกได้ตลอดเวลา ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดสมจริง ตัวร้ายที่น่าเกรงขาม เริ่มจากฉากใหญ่ฉากแรกคือฉากเครื่องบินที่ต้องเผชิญมรสุมและต้องหาทาลงจอดฉุกเฉินให้ได้ หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง จนใครที่กลัวการขึ้นเครื่องบิน อาจจะหลอนกับฉากนี้ก็ได้ ต่อด้วยฉากแอ็กชันต่างๆบนเกาะที่เข้มข้นถึงใจ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว มีฉากที่พระเอก เจอราร์ด บัตเลอร์ สู้กับตัวร้ายแบบ Long Take ซึ่งเจ๋งมากๆ ฉากการใช้อาวุธปะทะกันที่โหดแบบไม่เกรงใจใครนอกจากนี้ Plane ยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่น่าสนใจ ทำให้หนังสนุกแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขันที่ใส่เข้ามา มาได้ถูกจังหวะถูกที่ และสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้บ่อยมากๆ การออกแบบตัวละครของ เจอราร์ด ให้ไม่ได้เก่งกาจเหนือมนุษย์มากนัก ทำให้หนังยิ่งสมจริง ดูพระเอกสูสี หรืออาจจะอ่อนด้อยกว่าบรรดาตัวร้ายด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ผู้ชมอินกับหนังและเอาใจช่วยตัวละครหลักมากขึ้น รวมถึงการที่หนังเรื่องนี้ แทบจะไม่มีตัวละครที่ชวนขัดใจ หรือบทที่งี่เง่าเลย ยิ่งทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกขัดอะไรกับหนัง สามารถเอ็นจอยไปได้ตลอดจนจบในแบบที่ไม่มีอะไรให้หงุดหงิด (ซึ่งหลายครั้งที่หนังแนวนี้ หรือหนังผี จะมีอะไรให้หงุดหงิดเสมอ)สรุปแล้ว Plane ถือเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มกลางๆที่ทำถึง และสนุกแบบครบถ้วนมากๆ ถ้าชอบหนังแอ็กชันในสไตล์แบบยุค80s-90s น่าจะชอบเรื่องนี้ มันมีความโหดเหี้ยมในฉากแอ็กชันแบบเดียวกับ Rambo มันมีอารมณ์บางอย่างที่คล้ายกับหนังอย่าง Con Air และอีกหลายๆเรื่อง ถือเป็น 2 ชั่วโมงที่บันเทิงมากๆ และน่าดูในโรงภาพยนตร์จริงๆPlane เปิดรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่มตั้งแต่วันนี้ ฉายจริง 26 มกราคมทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

02 พ.ย. 2022

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

ว่ากันว่าหนังรักอยู่คู่กับโลกภาพยนตร์มาตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มจากหนังคลาสสิกอย่าง It Happened One Night เมื่อปี 1934 มาจนถึงหนังโรแมนติกเบาสมองยุคใหม่อย่าง When Harry Met Sally, Pretty Women, Sleepless in Seattle จนกระทั่งมาถึงยุคของ Notting Hill และ Love Actually ตลอดระยะเวลาเกือบ 100ปีที่ผ่านมา กับหนังรักหลายพันเรื่อง ไม่เคยมีครั้งไหนมาก่อน ที่สตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูด จะสร้างหนังประเภท Romantic-Comedy ที่มีสองตัวละครนำเป็นเกย์..และนี่คือครั้งแรกบิลลี่ ไอค์เนอร์ นักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงจากรายการ Billy on the Street มาพร้อมกับไอเดียของ BROS ในฐานะหนังโรแมนติกเบาสมองที่มีคู่พระนางในเรื่องเป็น "เกย์"แม้ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีสตูดิโอยักษ์ใหญ่รายไหนอนุมัติสร้าง แต่เขาคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยนไป เรื่องราวความรัก LGBTQ+ คู่ควรแก่การถูกเล่าบนจอใหญ่เสียที บิลลี่นำไอเดียนี้ไปเสนอกับ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับหนังรอมคอมที่ประสบความสำเร็จอย่าง Forgetting Sarah Marshall และเคยร่วมงานกับบิลลี่มาแล้วใน Bad Neighbors พวกเราทั้งคู่ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง และส่งต่อโปรเจกต์ให้โปรดิวเซอร์หนังตลกแห่งยุคอย่าง จัดด์ อพาโทว์ และนำเสนอต่อสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ หลังจากนั้น BROS ก็กลายเป็นตำนาน ครั้งแรกที่สตูดิโอใหญ่สร้างหนังเกย์โรแมนติกคอเมดี้EFM94 ขอเป็นส่วนหนึ่งในความพิเศษครั้งนี้ กับการเป็นตัวแทนจากประเทศไทย ร่วมพูดคุยกับทีมนักแสดงนำ และผู้กำกับ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ บิลลี่ ไอค์เนอร์ ในฐานะผู้เริ่มต้นโปรเจกต์, ผู้เขียนบทภาพยนตร์ และที่สำคัญ เขาคือพระเอกของหนังเรื่องนี้อีกด้วย บิลลีี่รับบทเป็บ บ็อบบี้ เกย์วัย 40 อัปที่ไม่เชื่อในความรัก จนกระทั่งได้พบกับรักแท้ บิลลี่เล่าว่าเขาอยู่ในขั้นตอนการเขียนบทอยู่หลายปีเลย และเขากับนิค (ผู้กำกับ) ที่เป็นคู่หูที่แตกต่างอย่างดีเยี่ยม บิลลี่เผยว่า - "นิคเป็นชายแท้ ผมเป็นเกย์ นิคเขียนบทหนังมาตลอด แต่ผมไม่เคยมาก่อน ดังนั้น เราจึงต้องแชร์ความรู้แก่กันหลายอย่าง นิคค่อยๆสอนผมขั้นตอนต่างๆในการเขียนบทหนัง หนังรอมคอมสำหรับสตูดิโอใหญ่ๆ องค์ประกอบที่ต้องมี เรื่องราว สิ่งที่ค่ายหนังมองหา ผมเริ่มต้นจากมุมมองคนละแบบ ในฐานะคนที่ไม่รู้กฏเกณฑ์ในการเขียนมาก่อน ไม่รู้ว่ามันต้องออกมาเป็นอย่างไร ในขณะที่ นิคไม่รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกย์ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ดังนั้น เราสอนซึ่งกันและกันเยอะมาก"บิลลี่เล่าต่อว่า แม้ประสบการณ์ในการเขียนบทหนังจะแตกต่างกัน ตัวตนในเรื่องเพศสภาพจากต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกัน คือ ความรักที่มีให้กับหนังตลกที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะออกมาได้ดังๆ บิลลี่ เล่าว่า ในหนังเรื่อง BROS พวกเขาไม่อยากเล่นอะไรที่เบาและนุ่มนวล เราต่างอยากให้ผู้ชมผจญภัยไปกับหนังได้ ทั้งสนุกและหัวเราะหนักๆ นั่นแหละคือเป้าหมายของทั้งเขาและนิค บิลลี่เผยว่า - "นิคสอนผมเกี่ยวกับกฏในการเขียนบทหนังหลายอย่าง และในขณะเดียวกันหลายครั้งที่ผมยุให้เขาลองแหกกฏดูบ้าง เพราะบางครั้งมันก็สนุกอยู่นะที่จะแหกกฏ เพราะมันจะทั้งเซอร์ไพรสและคาดเดาไม่ได้ เขาเป็นคู่หูที่ดีมากๆ และผมภูมิใจในงานที่พวกเราทำมาก"ในขณะที่ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับและผู้ร่วมเขียนบทของ BROS เล่าว่า จุดเริ่มต้นมันคือการที่เขาเคยได้ร่วมงานกับบิลลี่ใน Bad Neighbors 2 นิคเล่าต่อว่า - "เป็นเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากนะ จนกระทั่งผมได้ยินไอเดียเกี่ยวกับหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ผู้ชายสองคนตกหลุมรักกันจากบิลลี่ พอได้ยินไอเดียนี้ ผมก็สนใจทันที ผมกับบิลลี่ พวกเรามองหาโปรเจกต์ที่จะทำร่วมกันมานานแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นชายแท้ก็ค่อยๆศึกษาเรื่องเกย์จากเขา หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆพัฒนาบทกันมา" – ในฐานะที่ BROS กลายเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่มีตัวละครนำเป็นเกย์เรื่องแรก นิคออกความเห็นว่าคนดูพร้อมจะดูหนังเกย์รอมคอมมานานแล้วนะ เขาบอกว่าสตูดิโอช้ากว่าคนดูเยอะ ก่อนหน้านี้มักจะมีแต่พวกหนังเกย์ที่เป็นโศกนาฏกรรม แนวออสการ์ แล้วก็พวกหนังเกย์อินดี้ในยุค 90s นิคจำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาดู The Birdcage เป็นหนึ่งในหนังที่ตลกที่สุดเท่าที่จำความได้ แล้วตามมาด้วย In Out ซึ่งตอนนั้นก็ทำเงินนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงหายไป และหวังว่าตอนนี้จะเป็นเวลาที่ใช่อีกครั้งความน่าประทับใจของการมีหนังอย่าง BROS คือการที่เกย์รุ่นใหม่ๆ จะมีอะไรที่เล่าขานหรือสื่อสารเรื่องราวของพวกเราในรูปแบบหนังใหญ่เสียที บิลลี่เผยว่า - "ผมว่า เกย์รุ่นใหม่กำลังมา มันมีสื่อมากมายที่จะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ทั้งบนหน้าจอทีวีหรือในออนไลน์ ในโซเชียลมีเดีย หรือ สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม ซึ่งผมเคยคาดหวังว่า พวกเราจะมีแบบนั้นบ้าง ตอนสมัยที่พวกเรายังวัยรุ่น ย้อนกลับไปสมัยรุ่นผมหรือรุ่นก่อนหน้า LGBTQ+ ไม่มีพื้นที่มากนักเท่าตอนนี้ ตอนนั้นไม่มีแม้แต่แนวทางที่ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ของเกย์เป็นแบบไหน ไม่มีแม้แต่หนังโรแมนติกคอเมดี้ในแบบของเรา ผมจึงภูมิใจที่ BROS จะได้เป็นคลื่นลูกใหม่ ในการบอกเล่าความรักของเกย์ในแบบหนังรอมคอม เพื่อให้คนรุ่นใหม่หรือแม้แต่รุ่นผม ได้เห็นว่าเรื่องราวความรักของเกย์มันเป็นอย่างไร เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นต่อๆไป"."ผมโตขึ้นมาในฐานะแฟนคลับของ เม็ก ไรอัน" – บิลลี่เล่าต่อถึงแรงบันดาลใจให้เขาอยากทำหนังโรแมนติกเบาสมองที่สองตัวละครนำเป็นเกย์ - "ผมชอบหนังของเธอแทบทุกเรีื่อง When Harry Met Sally, Sleepless in Seattle, You've Got Mail, French Kiss ผมพูดชื่อหนังต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ผมรักหนังเหล่านั้นมาก รักจังหวะของชายหญิงตัวละครนำ สิ่งที่ผมรู้สึกพิเศษมากเกี่ยวกับ BROS คือผม ไม่เคยเห็นตัวเองในหนังเหล่านั้นเลย เพราะผมเป็นเกย์ คุณไม่ได้เป็นทั้ง ทอม แฮงค์ หรือว่า เม็ก ไรอัน มันอาจจะมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกับคุณ อาจจะมีบางอย่างที่ทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ แต่มันไม่เคยมีอะไรที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของผมเลย ดังนั้น หนังเรื่องนี้จึงพิเศษทั้งสำหรับ ชายจริงหญิงแท้และเกย์ เพราะพวกคุณจะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมใหม่ๆ เหมือนๆกัน ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนังเหล่านี้จะมีเวอร์ชั่นสำหรับ LGBTQ+ได้ ถือว่าฮอลลีวูดมาได้ไกลพอสมควรเลย หนังเรื่องนี้จะมีหลายองค์ประกอบจากหนังรอมคอมในแบบที่ผู้ชมชอบ แต่ก็มีหลายอย่างที่แปลกใหม่มากจริงๆ"นอกจาก BROS จะเป็นหนังรักเบาสมองของเกย์เรื่องแรกจากสตูดิโอใหญ่แล้ว ในแง่ของงานสร้าง BROS ไปได้ไกลยิ่งกว่านั้น ด้วยการคัดเลือกให้ทีมนักแสดงนำทั้งหมดในหนัง ล้วนเป็นนักแสดง LGBTQ+ แม้แต่คาแร็คเตอร์ที่เป็นชายจริงหญิงแท้ในหนังก็ตาม เริ่มจาก ลุค แมคฟาร์เลน นักแสดงเกย์ ที่รับบทเป็นหนุ่มสุดฮ็อต แอร่อน ชายที่ทำให้บ็อบบี้ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง แม้บ็อบบี้จะไม่เชื่อในความรักเท่าไหร่นัก แต่แอร่อนจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ลุคเผยว่าการทำงานกับบิลลี่ ทั้งสนุกและง่ายมากๆ ลุคเล่าว่า - "บิลลี่เป็นคนที่ใจกว้างมาก เขาให้คำแนะนำตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ รวมถึงปล่อยให้ผมได้ลองแสดงบทนี้ในแบบของตัวเองด้วย มันแปลกดีเหมือนกันที่ได้เล่นหนังคู่กับคนที่เขียนบทเรื่องนี้ แต่บิลลี่ เชื่อมั่นในขั้นตอนของการคัดเลือกนักแสดง ตอนที่ทดสอบบทเคมีเราเข้ากัน เขาปล่อยให้ผมเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ปล่อยให้ผมได้ลองตกหลุมรักเขาบนจอ ดังนั้น ผมได้รับการสนับสนุนอย่างมาก จาก บิลลี่ ครับ"นอกจากบทของคู่พระนางอย่าง บ็อบบี้และแอร่อนแล้ว ไฮไลต์สำคัญของ BROS ที่จะทำให้ผู้ชมหัวเราะจนท้องแข็ง คือเหล่านักแสดงสมทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวละครแก๊งสมาชิกบอร์ดของพิพิธภัณฑ์ โปรเจกต์ในฝันของบ็อบบี้ ที่เขาอยากสร้าง เกย์มิวเซียมที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ ความเป็นมาที่สำคัญของ LGBTQ+ โดย BROS ได้นักแสดง LGBTQ+ ที่มีความหลากหลายในตัวตนมารับบทสมาชิกบอร์ด ทั้ง ทีเอส แมดิสัน ตัวแม่แห่งรายการเรียลลิตี้จาก The Ts Madison Experience มารับบทแองเจลล่า, มิส ลอว์เรนซ์ แฮร์สไตล์ลิสที่โด่งดังจากผลงานมากมาย มารับบท วานด้า, ด็อต-มารีย์ โจนส์ นักแสดงที่แฟนซีรีส์คุ้นหน้าคุ้นตาจาก Glee ในบทเชอร์รี่, จิม แรซ จากซีรีส์ Community ในบทโรเบิร์ต และ อีฟ ลินด์ลีย์ จากนางแบบทรานส์สู่นักแสดงมากฝีมือ ในบททามาร่า เมื่อพวกเขาได้รู้ว่า BROS จะเป็นหนังเรื่องแรกที่นักแสดงทั้งหมดเป็น LGBTQ+ ต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า มันถึงเวลาแล้วเสียที มิส ลอว์เรนซ์ เผยว่า - "สิ่งที่ฉันคิดคือ มันถึงเวลาแล้วสินะ ที่พวกเราจะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเราออกไป เล่าเรื่องราวของพวกเราจริงๆ ในโลกของภาพยนตร์หรือซีรีส์" ในขณะที่ทีเอส แมดิสัน บอกว่าเห็นด้วยเช่นกัน เธอกล่าวต่อว่า - "มันถึงเวลาแล้วละ อันที่จริงมันไม่ควรจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ฉันเชื่อว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นในเวลาที่สมควร"ด็อต-มารีย์ เผยถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำ BROS ซึ่งเธอบอกว่าไม่เหมือนหนังหรือซีรีส์เรื่องไหนที่เธอเคยแสดงมาก่อน เธอเล่าต่อว่า - "ก่อนอื่น ฉันขอบอกเลยว่า ฉันไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ไหน เหมือนกับตอนที่แสดงใน Glee เลย ในเรื่องนั้น ไรอัน (ไรอัน เมอร์ฟีย์ โปรดิวเซอร์ Glee) พยายามจะเล่าเรื่องของ แต่ละตัวละคร LGBTQ+ แต่ละแบบ ในแต่ละตอน แต่ใน BROS นั้น หนังได้รวมเอาบุคคล LGBTQ+ มารวมไว้ด้วยกันอย่างงดงาม โดยเฉพาะฉากประชุมของสมาชิกบอร์ด คุณต้องไปดูหนังเรื่องนี้ มันจะทำให้คุณหัวเราะไม่หยุด ชวนผู้คนในชุมชนของคุณไปดูด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ แบ่งปันความรักกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะพวกเรามีกันเองเพียงเท่านี้"ในขณะที่ จิม เล่าว่า – "สำหรับผม ได้มีโอกาสร่วมแสดงในซีรีส์ Community ถึง 6 ปีด้วยกัน ครอบครัว และทีมนักแสดง เป็นแกนหลักสำคัญของซีรีส์ เช่นเดียวกับ BROS แค่มันต่างครอบครัวกัน ซึ่งผมภูมิใจอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ในขณะที่ BROS สร้างตัวละครที่หลากหลายมาก เหมือนกับพวกเราได้เฉลิมฉลองความหลากหลาย และแกนที่แข็งแกร่งของหนังคือเหมือนพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่เราสามารถยินดีกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเราได้ สิ่งที่รวมพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวได้ คือ ความรู้สึกที่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน สนุกไปด้วยกัน ได้เรียนรู้ที่จะรักกัน และโอกาสที่ทุกคนจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้" ด้านของ อีฟ เธอเล่าว่า เธอตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้มาก เพราะได้มีโอกาสร่วมงานกับบุคคลระดับตำนานของ LGBTQ+ หลายคน ที่เธอชื่นชมพวกเขาอยู่แล้ว - "ฉันเพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าทำไม บิลลี่ ถึงต้องสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และฉันโชคดีมากแค่ไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้"แน่นอนว่า BROS คือก้าวสำคัญของชุมชน LGBTQ+ ที่จะได้มีหนังที่เล่าถึงความรักของพวกเขาอย่างแท้จริง ในรูปแบบของหนังโรแมนติกคอเมดี้ แต่ในแง่มุมของโลกภาพยนตร์ BROSก็ยังเป็นหนังรอมคอมในแบบที่ห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปนาน มันคือหนังรักเบาสมองระดับคุณภาพที่ในระยะหลังๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้งนักจากฮอลลีวูด โดยล่าสุด BROS ที่กวาดคะแนนนักวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ มากถึง 88% ในขณะที่คะแนนจากผู้ชมยิ่งชื่นชอบสูงกว่า ด้วยคะแนน Audience Score ระดับ 90% ซึ่งการันตีว่าผู้ชมต่างชอบ ต่างตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ พวกเขาหัวเราะ พวกเขาร้องไห้ พวกเขาอินไปกับเรื่องราวความรักของคนสองคน นี่ไม่ใช่แค่หนังเกย์ นี่คือหนังที่เล่าเส้นทางความรักที่พวกเราพบเจอได้ทั่วไป นี่คือหนังที่เล่าถึงความหลากหลายของมนุษย์ นี่คือหนังที่จะส่งพลังให้กับพวกเราทุกคน ให้เป็นตัวของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ยอมรับในความแตกต่าง ยอมรับซึ่งกันและกัน นี่คืออีกหนึ่งหนังสนุกคุณภาพแน่นแห่งปี 2022 ที่ไม่ควรพลาดBROS เพื่อนชาย ?วางโปรแกรมฉายในไทย 3 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1