[REVIEW] “Death on the Nile” ไขคดีฆาตกรรมที่เก่งกาจสับขาหลอกผู้ชม | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Death on the Nile” ไขคดีฆาตกรรมที่เก่งกาจสับขาหลอกผู้ชม | GOSSIP GUN

09 ก.พ. 2022

กลับมาขึ้นจอใหญ่อีกครั้งสำหรับแอร์กูว์ ปัวโรต์ นักสืบในนิยายของ อกาธา คริสตี้ เจ้าแม่หนังสือฆาตกรรมระดับตำนาน หลังจาก Murder on the Orient Express กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเมื่อ 5 ปีก่อน ทำให้ค่ายหนังอนุมัติหยิบเอาหนังสือเล่มต่อมาของอกาธา อย่าง Death on the Nile (ฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์) มาขึ้นจอใหญ่ทันที โดยหนังได้ เคนเนธ บรานาห์ กลับมาควบหน้าที่ทั้งกำกับภาพยนตร์และรับบทเป็น ปัวโรต์ อีกครั้ง ซึ่งตัวหนังเองถ่ายทำไปเกือบ 3 ปีแล้ว แต่เพราะโควิด-19 ทำให้ถูกเลื่อนฉายมาหลายต่อหลายรอบ บวกกับคดีฉาวของ อาร์มี่ แฮมเมอร์ หนึ่งในหนังแสดงที่เกือบทำให้หนังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเสียแล้ว แต่ในที่สุด Death on the Nile ก็พร้อมเข้าฉายในสัปดาห์ก่อนวาเลนไทน์ ซึ่งบังเอิญสุดๆที่ รางวัลออสการ์เพิ่งประกาศผู้เข้าชิง และ ผลงานกำกับที่ออกฉายก่อนหน้านี้ของ บรานาห์ (แต่ถ่ายทำทีหลัง) อย่าง Belfast ก็ได้ชิงในสาขาหนังยอดเยี่ยม รวมถึงส่งให้ บรานาห์ ได้ชิงในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกครั้ง กลายเป็นสัปดาห์นี้ เขามีทั้งหนังใหม่เข้าโรง และหนังก่อนหน้าได้ชิงรางวัลใหญ่

Death on the Nile ดำเนินเรื่องราวต่อจาก Murder on the Orient Express ทันที เมื่อนักสืบแอร์กูว์ ปัวโรห์ ถูกเรียกตัวไปยังอียิปต์เพื่อสืบคดีใหม่ ทำให้เขาได้กลายเป็นแขกคนพิเศษ บนเรือล่องแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นทริปที่จัดขึ้นเพื่อฉลองคู่รักใหม่ที่เพิ่งแต่งงาน อย่าง ลินเน็ต (รับบทโดย กัล กาด็อต) มหาเศรษฐีสาวผู้ทรงเสน่ห์ซึ่งใครๆก็หมายปอง กับไซม่อน (รับบทโดย อาร์มี่ แฮมเมอร์) ชายธรรมดาๆที่ตกถังข้าวสาร ทุกคนต่างอิจฉาที่เขาโชคดี ได้หญิงที่ทั้งรวยและสวยเป็นภรรยา แต่บนเรือลำนี้กลับเต็มไปด้วยแขกที่มีปมลึกๆกับคู่รักคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็น คุณหมอซึ่งเป็นอดีตคู่หมั้นของฝ่ายหญิง, นักบัญชีที่อาจมีปัญหากับนางเอก, แม่เลี้ยงนางเอกที่เก็บความลับบางอย่างไว้, เพื่อนสมัยเรียนของนางเอกที่ขึ้นเรือลำนี้มาพร้อมกับคุณป้าที่เป็นนักร้อง รวมถึงทั้งคู่กำลังถูกติดตามโดย อดีตคนรักของฝ่ายชายที่ดันเป็นอดีตเพื่อนสนิทของนางเอกอีก และเมื่อทริปนี้ดำเนินไป เรือที่ค่อยๆล่องไปตามลำน้ำไนล์ เหตุฆาตกรรมปริศนาได้เกิดขึ้น กระสุนลึกลับถูกยิงออกจากกระบอกปืน จึงกลายเป็นหน้าที่ของ ปัวโรห์ที่จะสืบว่า ใครกันแน่ คือฆาตกรสุดอำมหิตบนแม่น้ำกลางอียิปต์แห่งนี้

โดยรวม Death on the Nile ถือเป็นหนังสืบสวนสอบสวนที่ดูเพลิน แต่ก็มีความโบราณในระดับนึง ด้วยต้นฉบับของ Death on the Nile ที่มีความเป็นหนังสืออายุเก่าแก่กว่า 80 ปี บวกกับเส้นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคเวลานั้น จึงไม่แปลกที่หนังจะเล่าเรื่องในสไตล์ค่อนข้างตามขนบ มีความเป็น Old-School อยู่พอสมควร ต่างจากหนังแนว Who dun it (หรือใครคือฆาตกร) ยุคใหม่อย่าง Knives Out ที่ใส่สไตล์หวือหวาเข้าไปมากกว่า แต่เมื่อเทียบกับหนังในตระกูลเดียวกันอย่าง Murder on the Orient Express หนังภาคใหม่นี้ ค่อนข้างมีความเข้มข้นในเส้นเรื่องมากกว่า ส่วนหนึ่งของโครงของคดีที่แตกต่างกันไปด้วย ภาคแรกจะมีเส้นเรื่องคือเกิดเหตุฆาตกรรมแล้วค่อยๆไขปริศนา แต่สำหรับภาคนี้ใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างนาน ก่อนที่จะเกิดเหตุร้าย และนำไปสู่การคลี่คลายปม แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่ได้ถูกคลี่คลายอย่างง่ายดายนัก

ความน่าสนใจของ Death on the Nile คือการที่เหมือนผู้ชมจะเดารูปคดีได้ไม่ยากนัก (ต่างจาก Murder on the Orient Express ที่เฉลยแทบพลิกหมดเลย) แต่ถึงคุณคิดว่าจะพอเดาออก แต่หนังก็ไม่ปล่อยให้คุณมั่นใจกับไอเดียนั้นมากนัก เพราะระหว่างทาง หนังจะเล่าเรื่องแบบสับขาหลอก ให้คนดูสงสัยในทุกตัวละครจนหลายขณะเริ่มสับสนว่า ตกลงใครคือคนร้ายกันแน่ หนังพาเราไปยังจุดที่ผู้ชมอาจจะไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าใครคือ "ฆาตกร" เพราะทุกตัวละครล้วนมีแรงจูงใจทั้งนั้น ในขณะที่ปัวโรต์ค่อยๆปั่นหัวสมาชิกบนเรือ ให้เหล่าผู้ต้องสงสัยหลุดเผยความจริงออกมา ผู้ชมเองก็ถูกปัวโรห์ปั่นหัวไปพร้อมๆกันด้วย

อีกแง่มุมที่ Death on the Nile ทำได้ดีกว่า Murder on the Orient Express คือการที่พาผู้ชมไปสำรวจตัวละคร แอร์กูว์ ปัวโรต์ มากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เขาเป็นตัวละครหลักในหนังชุดนี้ หนังภาคแรกแนะนำเขาอย่างผิวเผิน ให้รู้จักบุคลิกภาพรวมแล้วนำไปสู่การคลี่คลายคดีแบบทันที แต่ภาคนี้จะใช้เวลาลงลึกในแง่มุมอื่นๆของเขามากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้เราจะได้เห็นปัวโรห์เป็นนักสืบที่เย่อหยิ่ง ใช้ความฉลาดและช่างสังเกตในการข่มบุคคลที่เป็นผู้ต้องสงสัยเพื่อไขความจริง แต่ใน Death on the Nile ผู้ชมจะได้เห็นด้านอ่อนไหวของเขามากขึ้น เห็นเขาในฐานะคนธรรมดามากขึ้น ต่อให้เขาจะเก่งกาจขนาดไหน เขาก็คือคนที่มีบาดแผลทั้งบนร่างกายและจิตใจ อะไรที่ส่งให้ปัวโรห์กลายเป็นคนเช่นทุกวันนี้

อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ Death on the Nile คืองานโปรดักชันที่สามารถเนรมิตอียิปต์และลำน้ำไนล์ออกมาได้สวยและตื่นตามากๆ หนังถ่ายทอดความยิ่งใหญ่แต่อ้างว้างได้อย่างยอดเยี่ยม เสริมบรรยากาศให้คดีฆาตกรรมครั้งนี้ดูชวนขนลุกมากยิ่งขึ้น บวกกับการแสดงที่เล่นดีกันแบบยกทีมอีกครั้ง ไม่ต่างจาก Murder on the Orient Express แต่คราวนี้เป็น กัล กาด็อต ที่หนังดึงเสน่ห์ของเธอออกมาใช้งานได้อย่างเต็มที่มากๆ ทำให้เธอยิ่งเป็นศูนย์กลางของเส้นเรื่องที่น่าสนใจและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น แรงขับเคลื่อนของหลายตัวละครดูสมจริงมากขึ้น เพราะเสน่ห์ของกัลในบทนี้จริงๆ โดยรวม ใครที่เป็นแฟนหนังแนวฆาตกรรม ไขคดีใครคือฆาตกร ไม่ควรพลาดภาคนี้ และดูจบก็ยังอยากให้ บรานาห์ได้มีโอกาสสร้างภาคต่อๆไป (ก็หนังสือ อกาธา ที่มีปัวโรห์ มีตั้ง 33 เล่มเชียวนะ)


(ให้ 8 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

12 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

ฮือฮาตั้งแต่เปิดตัวไปแล้วสำหรับภาพยนตร์ไทยน่าจับตามองแห่งปีอย่างFaces of Anneหรือชื่อไทยสั้นๆ ว่า"แอน"ด้วยทีมนักแสดงสุดหวือหวา เพราะน่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่รวมนักแสดงหญิงวัยรุ่นน่าจับตามองไว้เยอะที่สุดขนาดนี้ ทั้งที่เปิดเผยออกมาแล้วถึง10คน ตามรายชื่อบนใบปิด ประกอบด้วย ออกแบบ ชุติมณฑน์,อิ้งค์ วรันธร,วี วิโอเลต,มินนี่ ภัณฑิรา,ก้อย อรัชพร,ปันปัน สุทัตตา,เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ,มิวสิค แพรวา,อุ้ม อิษยา และ นานา ศวรรยา ยังไม่รวมที่ยังไม่ได้โปรโมตอีก ซึ่งความพีกยิ่งกว่าคือคอนเซปต์ของหนัง เพราะนักแสดงทั้งหมดที่เอ่ยนามมานี้ ต่างเล่นเป็นตัวละครที่ ชื่อว่า แอน พวกเขารับบทเป็นหญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาในห้องหนึ่ง ในชุดสีเหลืองเหมือนกัน ทุกคนต่างถูกคุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่อันตรายกำลังจะมาถึง หลังจากการปรากฏตัวขึ้น ของ ปีศาจกวาง ที่ออกไล่ฆ่าพวกเธออย่างอำมหิต ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แล้วทำไมทุกคนถึงชื่อแอน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในที่แห่งนี้ ต้องไปหาคำตอบกันในหนังสิ่งที่ดึงดูดกลุ่มคนดูหนังมากที่สุด นอกจากลิสต์รายชื่อนางเอกรุ่นใหม่ และพล็อตสุดแปลกแล้ว คือ ชื่อของผู้กำกับ อย่าง คงเดช จาตุรันต์รัศมี เจ้าของผลงานเกรดเออย่าง เฉิ่ม,ตั้งวง, Snapแค่ได้คิดถึง และล่าสุดอย่างWhere We Belongที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า(นอกจากนี้ คงเดช ยังเขียนบทให้กับหนังรักคุณภาพล้นอย่างThe Letterจดหมายรัก และMe..Myselfขอให้รักจงเจริญ อีกด้วย)ด้วยงานกำกับที่คุมคนดูอยู่หมัดมาโดยตลอด และไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องอะไร มักแฝงประเด็นสถานการณ์บ้านเมืองไว้เสมอ โดยเฉพาะ3เรื่องล่าสุดที่ เอ่ยถึงทั้งอย่างตรงไปตรงมา และในนัยยะแฝง เฉกเช่น ผลงานล่าสุดอย่างFaces of Annesแม้ตัวหนังเองจะทำท่าเป็นPsychological Thrillerหรือหนังทริลเลอร์จิตวิทยา ที่มีกลิ่นของหนังสยอง และหนังไล่เชือด แต่ในเส้นเรื่องที่ลึกกว่านั้น เชื่อว่าผู้กำกับได้แฝงอะไรบางอย่างไว้อย่างแน่นอน เพราะระหว่างทางมีอะไรให้คิดไปทางนั้นอยู่ไม่น้อยโดยรวมบรรยากาศของFaces of Annesทั้งชวนสะพรึง ชวนสยอง และชวนฉงนไปพร้อมๆกัน ในพาร์ทที่ทำให้รู้สึกสะพรึงนั้น หนังสามารถทำได้ตั้งแต่วินาทีแรกๆ ที่คุมคนดูอยู่ แม้จะเคลื่อนตัวไปช้าในระดับหนึ่ง แต่ด้วยอารมณ์ของหนังทำให้ผู้ชมติดอยู่กับสถานการณ์นั้นได้ตลอด นำมาสู่จังหวะที่หนังชวนสยอง เมื่อFaces of Annesเพิ่มดีกรีความระทึกขึ้น นับตั้งแต่ตัวละคร"ปีศาจกวาง"โผล่ออกมา ไล่ฆ่าพวกเธอ แม้เหล่าแอนจะพยายามหนีแต่ก็ไม่มีทางออก นำไปสู่พาร์ทชวนฉงน การดูหนังเรื่องนี้เหมือนการต่อจิกซอว์อยู่ไม่น้อย เมื่อคนดูค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว คนสร้างก็ค่อยๆเผยโครงสร้างพล็อตออกมา เผยความจริงบางอย่าง ทำให้หนังน่าติดตาม และชวนให้อยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในหนังเรื่องนี้?แน่นอนว่าFaces of Annesไม่ใช่หนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องชั้นเดียว นอกจากการไขปริศนาที่เกิดขึ้นในเส้นเรื่องหลักแล้ว การมองหนังด้วยแว่นตาที่ต่างออกไป ทำให้เห็นอะไรบางอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะแว่นตาของการเมือง ซึ่งปรากฏในหนังคงเดชอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องนี้ก็แฝงไว้ซึ่งสัญญะเช่นกัน(ต่อจากนี้ไม่ได้สปอยล์เรื่องนะครับ)เริ่มจากตัวละครแอน และปีศาจกวาง ที่เปรียบเปรยถึง คน หรือ กลุ่มคนบางกลุ่ม สามารถสังเกตได้ด้วย สิ่งที่พวกเธอเผชิญ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ในขณะที่ปีศาจกวางนั้น สามารถสังเกตได้จาก การเลือกให้ตัวละครนี้ สวมหัวกวาง สัตว์ที่ดูสง่างามแต่กลับมาไล่ฆ่าคน อาวุธที่กวางใช้ เพลงที่ถูกเปิดทุกครั้งที่ปีศาจตนนี้ปรากฏตัว พร้อมด้วยรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย หลายจังหวะถ้าดูหนังด้วยแว่นตาแบบดูเอาบันเทิงอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ถ้ามองอีกแบบ อาจจะเจอคำตอบ สิ่งที่แฝงไว้ในหนังเรื่องนี้ โดย นอกจากในแง่การปกครองที่ถูกเล่าผ่านFaces of Annesแล้ว หนังยังเล่าถึงสังคมคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา การใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การถูกครอบงำโดยSocial Mediaลามไปถึงปัญหาด้านจิตเวช ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่วัยรุ่นยุคนี้ต้องเผชิญ ในสภาวะสังคมที่ไม่ปกตินี้ไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ คือเหล่าทีมนักแสดงหญิงรุ่นใหม่มากฝีมือที่ตบเท้าเข้ามาแสดงในFaces of Anneอย่างน่าตื่นตา โดยรวมหนังค่อนข้างบาลานซ์Screen Timeของนักแสดงแต่ละคนได้ค่อนข้างดี แน่นอนว่า เวลาปรากฏบนจอไม่เท่ากัน แต่ทุกคนต่างมีโมเมนต์เป็นของตัวเอง มีจังหวะที่ปล่อยของกันพอสมควร ถ้าจะให้เลือกไปเลยว่าใครคือMVPแทบจะเลือกได้ยากมาก เพราะทุกตัวละครต่างมีความสำคัญ ต่างมีอะไรบางอย่างที่ไม่ง่ายนักในการแสดง ความสนุกของผู้ชมคือการลุ้นว่า ใครจะโผล่มาเมื่อไหร่ นักแสดงที่เราชอบจะปรากฏตัวช่วงนี้ ประโยชน์ของการที่หนังมีดาราเยอะ มันก็สนุกในแบบนี้แฝงไปด้วยโดยรวมFaces of Annesคือหนังชวนขยี้สมองแห่งปี หากจะเข้าไปดูเพื่อความบันเทิง อาจจะได้ความเครียดกลับมาแทน เพราะหนังท้าทายผู้ชม กระตุ้นให้ชวนคิดต่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในแง่เส้นเรื่องปกติ รวมถึงเส้นประเด็นที่แฝงเอาไว้ ทั้งหมดนี้ถูกคุมด้วยบรรยากาศชวนสะพรึงตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีบางจุดที่จังหวะการเล่าค่อนข้างช้า แต่หนังก็สามารถตรึงเราไว้ได้เสมอ และด้วยแคสระดับดรีมทีมแบบนี้ ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้ดูหนังไทยที่แปลกใหม่ น่าสนใจ น่าลิ้มลองในแบบที่Faces of Annesนำเสนอ ถ้ามีโอกาส นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง ที่อยากให้ลองชมภาพ : M Picturesชมตัวอย่าง แอนFaces of Anneเข้าฉาย13ตุลาคมในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

14 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

กวาดกระแสบวกไปอย่างท่วมท้นนับตั้งแต่ฉายรอบพิเศษในงาน CinemaCon เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับ The Flash หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดในจักรวาล DC ถึงขนาดที่ เจมส์ กันน์ หัวเรือของ DC Studio คนใหม่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ ก็ยังอดออกปากชมไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ The Flash จะเข้าฉายจริงในกลางเดือนมิถุนายนนี้ ทางวอร์เนอร์ฯ สตูดิโอเจ้าของหนังจึงจัดรอบพิเศษมากมายทั่วโลกเพื่อบิลด์กระแสบวกให้กับหนัง ส่วนหนึ่งเพื่อกลบกระแสลบของนักแสดงนำอย่าง เอซร่า มิลเลอร์ ที่ก่อคดีมากมายตลอดปีที่ผ่านมา กลายเป็นดราม่าให้ผู้บริหารสตูดิโอปวดหัวว่าจะทำอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ดี แต่เพราะผลลัพภ์ในแง่บวกสุดๆ ทำให้ค่ายหนังพยายามเบนเข็มความสนใจของแฟนหนังมายังรีวิว มากกว่าที่จะโฟกัสถึงพฤติกรรมส่วนตัวของนักแสดง เพื่อให้หนังได้เข้าฉายและประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้The Flash เป็นหนังเดีี่ยวเรื่องแรกของตัวละครแบร์รี่ อัลเลน หลังจากปรากฏตัวใน Justice League ของแซค สไนเดอร์ เอซร่า มิลเลอร์ก็กลับมารับบทนี้อีกครั้ง ภายใต้การคุมโปรเจกต์ของ แอนดี้ มุสชิเอติ จากหนัง Stephen King's It ทั้งสองภาคที่ประสบความสำเร็จจนวอร์เนอร์ไว้ใจให้เขาเข้ามาคุมหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า The Flash จะสร้างกระแสความฮือฮาต่อเนื่องตลอดการสร้าง เพราะข่าวน่าตื่นเต้นออกมามากมาย เริ่มจากการที่ เบน แอฟเฟล็ก จะกลับมารับบทแบทแมนในหนังเรื่องนี้ แต่ที่ทำให้แฟนๆตื่นตะลึงมากกว่า คือการที่ประกาศว่า ไมเคิล คีตัน จะกลับมารับบทแบทแมนอีกครั้ง หลังจาก Batman Returns ในปี 1992 ทำให้แฟนๆคาดการณ์ไปต่างๆนานาถึงพล็อต จนกระทั่งตัวอย่างปล่อยออกมาก็ยืนยันว่า หนังจะเล่าเรื่องในหลายมิติ ทำให้มีนักแสดงที่รับบทแบทแบน ปรากฏตัวใน The Flash มากกว่า 1 เวอร์ชั่นสำหรับในหนังเรื่องนี้จะเล่าถึง แบร์รี่ ที่ยังคงตกอยู่ในความเศร้า หลังสูญเสียแม่ไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่เพราะเขาได้พลังเร็วกว่าแสงของ เดอะแฟลช มา ทำให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ถึงแม้ว่า บรู๊ซ เวย์น จะพยายามห้ามไม่ให้เขาสร้างความวุ่นวายจากการเปลี่ยนอดีตก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของแบร์รี่ แต่ทุกอย่างเริ่มผิดพลาด เมื่อการย้อนกลับไปครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับ แบร์รี่ ในอีกเวอร์ชั่น เขาได้สร้างมิติใหม่ขึ้นมา กลายเป็นโลกที่ นายพลซอด (รับบทโดย ไมเคิล แชนน่อน ที่กลับมารับบทเดิมจาก Man of Steel) กำลังจะบุกมาทำลาย เขามายังโลกใบนี้เพื่อที่จะตามหาซูเปอร์แมน ซึ่งทางเดียวที่จะหยุดแผนร้ายนี้นั้น คือการที่แบร์รี่ จะต้องตามหาเหล่าบรรดาจัสติซ ลีกในมิตินี้ ทำให้เขาพบกับ แบทแมนในเวอร์ชั่นที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน แบทแมนที่ผู้ชมคุ้นเคยจากบทบาทการแสดงของ ไมเคิล คีตันแน่นอนว่า The Flash คือหนังทีี่สามารถอวยได้อย่างเต็มปากว่าเจ๋งมากๆ สมคำร่ำลือว่านี่คือหนังในจักรวาลดีซีที่อยู่ในระดับบนๆแน่นอน ความน่าสนใจมากๆของหนัง คือการวางโครงเรื่องและสร้างบทภาพยนตร์ออกมา ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ ความสนุกของหนังจึงอยู่ที่การพาผู้ชมเข้าสู่อีกมิติหนึ่งของดีซี มันเปิดโอกาสให้หนังสามารถเล่นอะไรได้มากมาย เปิดทางถึงความเป็นไปได้หลายๆอย่าง แน่นอนว่าหนังยังมีปมอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าในตัวอย่าง ยังมีเซอร์ไพรสที่ซ่อนอยู่อีกพอสมควร ทำให้ระหว่างทางผู้ชมจะเจอได้กับหลายสิ่งที่ทำให้แปลกใจ นี่คือความสนุกของ The Flash และแน่นอนว่าหนังจะทำให้แฟนของดีซีกรี๊ดลั่นอย่างแน่นอนอีกหนึ่งความรู้สึกระหว่างดู The Flash คือการที่สัมผัสได้ว่า นี่เหมือนจะเป็นหนังภาคต่อกลายๆของ Batman Returns สำหรับแฟนๆของ แบทแมน ฉบับของ ไมเคิล คีตัน นี่เป็นเหมือนหนังที่จะพาผู้ชมไปรู้เรื่องราวของตัวละครนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊ซ เวย์น ฉบับนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบภาคนั้นไปแล้วคีตันไม่รับบทนี้ต่อ ทำให้เกิด Batman Forever ขึ้น หนังเรื่องนี้เลยเปรียบเหมือนแบทแมนภาคที่หายสาบสูญไป ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของคีตัน เขายังคงเท่และทรงพลังมากๆในบทของแบทแมน แม้ว่าอายุของเขาและตัวละครบรู๊ซในหนังจะค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถลดพลังและเสน่ห์ของแบทแมนในแบบของเขาได้เลย และจุดนี้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนัง The Flash จะมีแบทแมนเข้ามาปรากฏตัวถึงสองเวอร์ชั่น และใช้เวลากับตัวละครอัศวินแห่งรัตติกาลพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนจากเดอะแฟลชไปแต่อย่างใด ผู้ชมยังคงเต็มอิิ่มกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชมจะได้เจอกับแบร์รี่ถึงสองคน เดอะแฟลชถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้และรู้จักตัวละครนี้มากเสียยิ่งกว่ามาก สิ่งที่ชอบมากๆใน The Flash คือการที่หนังทำให้ผู้ชมได้สัมผัสด้านที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของตัวละครนี้ในหลายๆด้าน หลังจากใน Justice League เราอาจจะรู้จักเขาแค่เพียงผิวเผิน แต่ในหนังเดี่ยวจะได้เห็นถึงทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอของตัวละคร ให้เห็นชัดว่าแม้เขาจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่แต่ก็มีมุมที่เปราะบางในแบบมนุษย์มากๆ มีความผิดพลาดเฉกเช่นคนทั่วไป ทำให้นี่คือหนังเดี่ยวของ The Flash อย่างแท้จริง ไม่ได้โดนใครแย่งซีนไปทั้งนั้นโดยรวม The Flash ถือเป็นอีกสเต็ปของจักรวาลดีซีที่น่าพอใจมากๆ เป็นการสร้างมัลติเวิร์สของตัวเองในแบบที่ไม่น้อยหน้าใคร ในฐานะหนังเดี่ยวของเดอะแฟลชก็ทำหน้าที่ได้ดีที่ทำให้ผู้ชมได้รัก ได้เข้าใจตัวละครนี้ในฐานะมนุษย์มากขึ้น ในฐานะหนังในจักรวาลดีซีมันก็น่าจะทำให้แฟนๆพึงพอใจได้อย่างมากเช่นกัน ด้วยการพาไปสำรวจหลายๆมุมในโลกของดีซีที่หลายมุมแฟนๆอาจไม่เคยเห็นมาก่อน หลายมุมเคยเห็นแต่ห่างหายไปนาน ในฐานะหนังฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ หนังก็มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ไม่ธรรมดาและฉากแอ็กชันสุดตื่นตา เรียกว่าครบองค์ประกอบหนังฟอร์มใหญ่ที่ควรดูเลยจริงๆ ไม่ว่าในอนาคตจักรวาลดีซีจะถูกเปลี่ยนไปในทิศทางใด The Flash ยังจะได้ไปต่อหรือไม่ นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมตัวอย่าง The Flash เข้าฉายสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆนอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุดในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1