[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

HOLLYWOOD GOSSIP

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

30 พ.ย. 2023

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าการลดราคาครั้งใหญ่ Black Friday ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า กลายเป็นคืนแห่งเลือดในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง นี่คือไอเดียตั้งต้นของ Thanksgiving หนังสยองขวัญแนวเชือด ที่เป็นการกลับมาสู่หนังแนวนี้อีกครั้งของผู้กำกับ อีไล รอธ หลังแจ้งเกิดจากหนังสยองขวัญสายโหดอย่าง Cabin Fever และ Hostel แล้วก็วนไปกำกับหนังแนวอื่น ซึ่งเดิมทีไอเดียของ Thanksgiving เริ่มจากการทำตัวอย่างหนังปลอม ๆ ไปใส่ไว้ในหนังชื่อ Grindhouse (2007) จนต่อมา อีไล ได้พัฒนาบทหนัง จนกลายมาเป็นหนังใหญ่ในที่สุด ซึ่งหนังจากเขาเบนเข็มไปกำกับทั้งหนังแอ็กชัน หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟ ก็ได้ฤกษ์ที่เขาจะกลับมาทำหนังที่แจ้งเกิดเขาอีกครั้งเสียที

Thanksgiving เล่าเรื่องราวความสยองในคืนวันเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนพากันเหยียบกันตาย เพราะแย่งกันซื้อของลดราคา กลายเป็นฝันร้ายของเมืองพลีมัธนับจากนั้น แม้ผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อ 1 ปีผ่านไป ฝันร้ายก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากาก แต่งตัวเป็นผู้ก่อตั้งเมือง ออกมาไล่เชือดประชาชน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปีก่อน โดยเป้าหลักคือ เจสสิก้า หญิงสาวที่พ่อของเธอเป็นเจ้าของห้างที่เกิดเหตุร้าย แถมเธอยังอยู่ในเหตุการณ์คืนวันนั้น จึงกลายเป็นหน้าที่ของ เอริค (รับบทโดย แพทริค เดมพ์ซีย์ จาก Grey's Anatomy) นายอำเภอของเมืองที่จะต้องจัดการคนร้าย ก่อนที่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง จะกลายเป็นคืนสยองอีกครั้ง!

ใครที่เป็นแฟนหนังแนวนี้ Thanksgiving คือหนังที่น่าจะสาแก่ใจคอหนังไล่เชือดอยู่ไม่น้อย โดยรวมนี่คือหนังที่ค่อนข้างเดินตามรอยหนังแนวเดียวกันที่ฮิตในช่วงปลายยุค 90s ไล่ตั้งแต่ Scream, I Know What You Did Last Summer ไปจนถึงUrban Legend เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับฆาตกรโรคจิตในหน้ากากปริศนาที่คอยตามไล่ฆ่า กับเหตุฝันร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนพวกเขา โดยเหตุการณ์มักจะเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองนึง และฆาตกรก็มักจะเป็นตัวละครสักตัว โดยจะเฉลยปมเหตุการฆ่าในตอนท้าย สำหรับ Thanksgiving แล้ว มาในสูตรแบบเดียวกันนี้เลย แต่ทำออกมาได้อย่างสนุก มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาอย่างน่าพอใจ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้มากนัก เหมือน Thanksgivingสร้างมาให้หายคิดถึงกึ่ง ๆ Tribute ให้ด้วยซ้ำ

Thanksgiving คือหนังที่สามารถนิยามได้ว่า “ฆ่ากันแบบเถิดเทิง” เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ทำถึงมาก ๆ ในสองส่วน พาร์ทแรกคือความโหด ที่ Thanksgiving จัดเต็มความโหดแบบไม่ยั้ง ไม่ให้เสียชื่อ อีไล รอธ หลังจากหนังสยองหลายเรื่องกลัวไม่ได้ผู้ชมกลุ่มอายุน้อย เลยโหดแบบเบาๆเพื่อให้ได้เรต PG-13 แต่หนังเรื่องนี้ มุ่งหน้าสู่เรต R แบบไม่กลัว ทำให้ฉากฆ่า ฉากเชือด จัดเต็มทั้งเลือดและฉากอวัยวะขาดแบบสะใจคอหนังเชือด และอีกพาร์ทที่หนังทำได้ดีคือ อารมณ์ขัน หนังเต็มไปด้วยอารมณ์ตลกร้าย จนหลายครั้งตัวหนังเองก็เกือบจะเป็นหนังล้อเลียน Parody หนังแนวไล่เชือดอยู่ไม่กัน โดยเฉพาะพวกฉากฆ่าต่าง ๆ มีดีไซน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังยิ่งสนุกมากขึ้น

สรุปแล้ว Thanksgiving คือหนังประเภท Teen-Slasher ที่แม้จะเดินตามสูตร แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสนุกสนาน มีองค์ประกอบทั้งความโหดและอารมณ์ขันแบบจัดเต็ม เป็นความโหดที่บันเทิงใช้ได้เลย และสำหรับแฟนของ แพทริค เด็มพ์ซีย์ ก็ถือว่าค่อนข้างแปลกตา ที่เขามารับบทนำในหนังแนวนี้ หลังติดภาพเขาเป็นผู้ชายในฝันเจ้าสำอาง บทบาทนี้ก็ดูสดใหม่ดีสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน ใครที่คิดถึงหนังไล่เชือดที่เต็มไปด้วยความเถิดเทิง ไม่ต้องเนี้ยบมาก ไม่ต้องฉลาดมาก เรื่องนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจ

Thanksgiving คืนเดือดเชือดขาช็อป / เข้าฉาย 5 ธันวาคมนี้


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

05 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

เตรียมหลอนรับสงกรานต์กันได้เลย กับการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกครั้งของค่ายจีดีเอช กับ 'บ้านเช่า บูชายัญ' เพราะตั้งแต่ปล่อยชิ้นงานโปรโมตทั้งตัวอย่างและโปสเตอร์ออกมา ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างหลากหลาย (ตั้งแต่บวกสุดไปจนถึงลบสุดๆ) ทำให้หลายคนยังกังขาว่า หนังฉบับเต็มจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งคอหนังสยองน่าจะพอโล่งใจได้ เพราะกระแสส่วนใหญ่ของรอบพรีเมียร์นั้น ค่อนข้างออกไปทางบวกเกือบหมด ใครที่เคยดูตัวอย่างแล้วยังลังเล ขอให้ลองไปพิสูจน์ในโรงกันดู เพราะสิ่งที่อยู่ในตัวอย่างนั้น เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของหนังเท่านั้น เพราะหนังจริงๆ แทบจะไม่สามารถเล่าอะไรได้มากเลย เนื่องจากจะเป็นการสปอยล์ แต่สิ่งที่ผู้ชมจากรอบแรกเห็นตรงกันคือ นี่คือการกลับมาคืนฟอร์มของ จิม-โสภณ จาก ลัดดาแลนด์ ผู้กำกับที่มุ่งมั่นกับการสร้างหนังแนวนี้มาโดยตลอด แต่ก็มีเป๋ไปบ้างกับผลงาน 2 เรื่องล่าสุด หลายเสียงจึงเห็นตรงกันว่า นี่คือหนังสยองขวัญที่เวิร์คที่สุดของเขา นับจาก ลัดดาแลนด์บ้านเช่า บูชายัญ ได้นักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง เวียร์-ศุกลวัฒน์ และ มิว-นิษฐา มารับบทสามีภรรยา กวินและหนิง ที่อาศัยอยู่ในบ้านอันสงบสุขกับลูกสาววัย 7 ขวบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่ต้องปล่อยบ้านหลังนี้ให้เช่า และผู้ที่สนใจเข้ามาเช่านั้น คือครอบครัวของ ราตรี (รับบทโดย ต่าย-เพ็ญพักตร์) แพทย์ที่เกษียณแล้ว ที่กำลังมองหาที่พักในกรุงเทพฯ เพื่ออยู่ใกล้ลูกสาว แต่ไม่นานหลังจากราตรีย้ายเข้ามาอยู่ เพื่อนบ้านเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติมากมาย จากบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวของราตรีที่แทบจะไม่ออกมาจากบ้านเลย สภาพของบ้านที่เริ่มเก่าและทรุดโทรม รวมถึงเสียงสวดประหลาดที่มักจะดังขึ้นทุกเช้ามืดเวลาตี 4 เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในบ้านหลังนี้? และชีวิตของทุกคนกำลังจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ (อย่างที่เกริ่นไป นี่เป็นเพียง 10% ของเส้นเรื่องเท่านั้น ที่เหลือต้องไปดูกันเอง)นี่คือหนังที่อาจจะกล่าวได้ว่า รีวิวยากมากเรื่องหนึ่ง เพราะหลายๆอย่างในหนังไม่สามารถบอกได้ มิฉะนั้นจะเป็นการสปอยล์ ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องด้วย แต่เป็นวิธีในการเล่าที่ทำให้หนังยิ่งน่าติดตามมากขึ้น แต่สิ่งที่พอบอกได้ และเป็นจุดที่ทำให้ชอบมากๆ คือ การดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างไว (และเมื่อดูไปเรื่อยๆ จะเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องเล่าไวในช่วงครึ่งแรก) หนังแทบจะไม่เสียเวลาอ้อยอิ่งอะไรเลย ตั้งแต่วินาทีที่หนังเริ่ม หนังพาผู้ชมเข้าเรื่องทันที และพอหนังเดินเรื่องไว ฉากสยองจึงมาไวเช่นกัน โดยเฉพาะในองก์แรกที่จัดเต็มฉากหลอนมาแบบต่อๆกัน จนแทบไม่ให้พักเลย หนังสามารถรักษาบรรยากาศความหวาดผวาไว้ได้ดี บวกกับปมหลัก โดยเฉพาะตัวละคร หนิง ของ มิว-นิษฐา ที่ต้องเผชิญกับความกดดันขีดสุด ทำให้ความรู้สึกของคนดู ผนวกกันทั้งความน่ากลัวและความกดดันไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ บ้านเช่า บูชายัญ น่าติดตามเป็นอย่างมาก คือวิธีการเล่าเรื่อง ที่เล่นกับมุมมอง ทำให้ภาพรวมของหนังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆปะติดปะต่อเรื่อง จนกว่าจะเป็นภาพรวมออกมา สำหรับในองก์แรก หนังเล่นกับอารมณ์ความไม่รู้เป็นหลัก หนังเลือกที่จะแหย่คนดูให้รู้เห็นเหตุการณ์ทีละนิด ทีละหน่อย ไม่ต่างกับตัวละครนำ ที่ยังคงสับสนว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะต้องเผชิญคืออะไรกันแน่ ซึ่งเป็นพาร์ทที่น่าลุ้นน่าติดตามมาก ก่อนที่จะเข้าสู่องก์ที่ 2-3 ซึ่งเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ผู้ชมเริ่มเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์ความหลอนเพราะไม่รู้ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นหลอน เพราะสิ่งที่รู้มันน่ากลัว น่าหวาดผวาแทนแน่นอนว่า อีกไฮไลต์สำคัญ คือการแสดงของ 3 นักแสดงหลักของเรื่อง ซึ่งหนังเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้โชว์การแสดงในมุมของตัวเองพอสมควร เริ่มจาก มิว ที่รับบทหญิงที่ต้องเผชิญกับความกลัวขีดสุด ความไม่มั่นคงใดๆในชีวิต และพร้อมทำทุกทางให้กับลูกสาว หลายฉากผู้ชมสัมผัสได้จริงๆว่าตัวละครนี้ กลัวมากๆ เพราะเธอแทบจะไม่มีอะไรยึดมั่นได้เลย ในขณะที่ เวียร์ ถ่ายทอดบทสามีที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ดีทีเดียว และเมื่อเส้นเรื่องดำเนินไป หลายฉากต้องแสดงอารมณ์ที่ทั้งซับซ้อนและสับสนค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถ่ายทอด ปิดท้ายด้วย พี่ต่าย กับบทคุณราตรี ตัวละครที่เต็มไปด้วยปริศนา และดูน่าหวาดผวาจากภายนอก ซึ่งเพียงแค่สีหน้าของพี่ต่ายนั้น แค่ยืนเฉยๆก็สร้างความหวาดกลัวให้กับคนดูได้มากแล้วโดยรวม 'บ้านเช่า บูชายัญ' ถือเป็นหนังสยองขวัญของคนไทย ที่ไม่ธรรมดาเลย มีอะไรที่หนังซ่่อนเอาไว้ ยังไม่บอกผู้ชมอีกเพียบ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินจากสิ่งที่เห็นบางส่วนเท่านั้น เชื่อว่าหลายคนหลังดูจบ จะเกิดความหวาดระแวงเมื่อออกจากโรงหนังอย่างแน่นอน เพราะหลังจากดูจบ แค่ลองมองบ้านธรรมดาๆ ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวได้แล้ว แค่เห็นหน้าต่างที่ม่านปิดอยู่ เสียงนกร้องในตอนกลางคืน เสียงน้ำหยดในบ้าน หรือแม้แต่ เมื่อถึงเวลาตี 4 ถ้าใครนอนไม่หลับ แล้วเพิ่งดูหนังเรื่องนี้มา ต้องมีหลอนกันบ้างอย่างแน่นอน นี่คือหนังสยองขวัญอีกเรื่อง ที่ิบิลด์ความน่ากลัวได้เก่ง และมีวิธีการเล่าที่น่าติดตามมากจริงๆ.\ชมตัวอย่าง 'บ้านเช่า บูชายัญ' เข้าฉาย 6 เมษายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

15 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสร้างภาคต่อของหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก Avatar ภาคแรกออกฉายเมื่อ 13 ปีก่อน และยังครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก ด้วยรายได้ 2.9 พันล้านเหรียญฯ มันกลายเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆคน มันกลายเป็นหนังที่พลิกโฉมโลกภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่ทันสมัย ดังนั้น เมื่อ เจมส์ คาเมรอน ต้องสร้างภาคต่อให้กับหนังที่ฮิตที่สุดในโลก เขาจึงต้องใช้เวลา และเขาไม่ได้มาแค่เล่นๆ เพราะหนังภาคต่อถูกวางแพลนยาวๆถึงภาค 5 กันเลยทีเดียว (ตอนนี้ถ่ายทำภาค 3 เสร็จแล้ว และถ่ายภาค 4 ไปได้องค์แรก) ดังนั้นผู้ชมจึงต้องรอนานมากกว่าทศวรรษเพื่อกลับสู่แพนโดร่าอีกครั้งAvatar : The Way of Water เล่าเหตุการณ์มากกว่า 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก (ห่างพอๆกับปีฉายหนังทั้งสองภาคนั่นเอง) เมื่อ เจคและเนทีรี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมกับสมาชิกครอบครัวใหม่ ทายาทของพวกเขาถึง 4 คน แต่แล้ว มนุษย์ก็ยังไม่หยุดแผนการณ์ที่จะเข้ายึดครองดาวดวงแห่งนี้ แถมยังขยายเขตอาณานิคมกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ และได้พบว่าผู้พันไมล์ ศัตรูจากภาคแรกที่แม้เจคจะสังหารไปแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นในร่างใหม่ (แต่เพราะอะไรต้องไปดูกันในหนัง) โดยไมล์มีเป้าหมายเดียว คือการตามล่าเจค และสังหารเขา นี่คือความแค้นส่วนตัวที่นำไปสู่การไล่ล่าครั้งใหม่ เจคจึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว นำไปสู่การผจญภัย การต่อสู้ และสงคราม ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสิ่งที่ทำให้ เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาเตรียมงานสร้างภาคต่อ Avatar นานกว่าทศวรรษคือการพัฒนาเทคโนโลยี ภาคแรกผู้ชมจะเห็นความสมจริง จากการถ่ายทำแบบเทคนิค Motion-Capture ดังนั้น สีหน้า แววตา การขยับตัวของตัวละครจะเหมือนนักแสดง แต่ภาคนี้ไอเดียเขาล้ำกว่า คือจะถ่าย Motion-Capture แบบในน้ำ ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เขาจึงต้องทดลองอยู่นาน ซึ่งความพยายามนี้เอง ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะไฮไลต์ที่โดดเด่นจริงๆของ The Way of Water นั้น คือฉากใต้น้ำนี่เอง หนังใช้เวลาถึง 2 ใน 3 ของเรื่องกับฉากเหนือน้ำและใต้น้ำ ทำให้เทคนิคนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคุ้มค่า ภาพที่ปรากฏบนจอดูสวยสะกดสายตามากๆ ทำให้สิ่งที่เห็นแล้วตื่นตะลึงในภาคแรก ถูกอัพเลเวลความน่าตื่นตาขึ้นไปอีก ยิ่งดูในระบบ IMAX 3D ยิ่งเพิ่มอรรถรส เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้นจริงๆ เหมือนเราลงไปในมหาสมุทรจริงๆก็ว่าได้ (ดีไม่ดี สวยกว่าของจริงด้วย)นอกจากงานสร้างที่สามารถเรียกว่า Visual Stunning สวยงามระดับตื่นตะลึงแล้ว สิ่งที่ทำให้ Avatar ภาคใหม่ตรึงผู้ชมได้ดี คือการไต่ระดับอารมณ์ของหนัง โดยเฉพาะในชั่วโมงสุดท้าย เจมส์ คาเมรอน สามารถเนรมิตฉากไคลแมกซ์สุดยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะซีนแอ็กชันในภาคนี้ เล่นใหญ่มาก และทำเอาลุ้นระทึกได้ตลอด แถมดีไซน์มุมกล้องออกมาได้สดใหม่ ทำให้เพิ่มความว้าวขึ้นไปอีก แต่ปัญหาหลักของ Avatar ภาคนี้ กลับเป็นเส้นเรื่อง ที่เหมือนจะยังไม่ได้เดินหน้าไปไหนมากนัก (จนหลายคนแซวว่าหนังรีเมกภาคแรกด้วยซ้ำ) หนังยังคงวนเวียนอยู่กับตัวละครกลุ่มเดิม จากภาคแรกที่เป็นการปกป้องเผ่าพันธุ์และอาณาจักร ภาคนี้ดูเหมือนกับโฟกัสที่ปมแค้นส่วนตัวของตัวละครมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พลังความหึกเหิม และอารมณ์ร่วมค่อนข้างลดหายไปอยู่บ้าง (แต่ถ้าคิดซะว่าเป็นแผนยาว ที่เขาต้องสร้างถึงภาค 5 ก็พอเข้าใจอยู่ว่าจะเก็บอะไรไว้เล่าอีกเยอะ)โดยรวม Avatar : The Way of Water คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น Cinema Experience ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการดูหนังในโรงที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าตัวหนังเองอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่มันก็ยกระดับงานสร้างขึ้นไปจากเดิม อรรถรสในการดูหนังเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การได้ดูในโรงภาพยนตร์ที่จอใหญ่ๆ และเสียงกระหึ่มจริงๆ นี่คือหนังอีกเรื่องที่ตอกย้ำว่า การดูหนังในโรงมันแตกต่างจากดูที่บ้านอย่างไร เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อหนังถูกลงในระบบสตรีมมิ่งแล้ว ถ้าดูซ้ำ คงไม่ได้อ้าปากค้าง หรีือเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแพนโดร่า เหมือนตอนดูในโรงอีกแล้วชมตัวอย่าง Avatar : The Way of Water วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : 20th Century Studios Thailand

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

22 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

ใครที่ยกให้ Call Me By Your Name เป็นหนังรักในดวงใจ ต้องลองกลับมาลิ้มรสผลงานใหม่ของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่กลับมาร่วมงานกับพระเอก ทิโมธี ชาลาเมต์ อีกครั้งใน Bones And All หนังรักในบรรยากาศเหงาๆผสมความสยองสุดแหวก ที่หยิบเอานิยายของ คามิล เดอแองเจลิส ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2015 มาดัดแปลงขึ้นจอใหญ่ โดยก่อนจะเข้าฉายในโรง หนังสร้างกระแสด้วยการตระเวนทัวร์ เดินสายฉายโชว์ในเทศกาลหนังมาแล้วหลากหลาย ทั้งเวนิส นิวยอร์ก เทลลูไลด์ ไปจนถึงลอนดอน ซึ่งล้วนกวาดคำชม และล่าสุดหนังได้คะแนนเฉลี่ยนักวิจารณ์จาก Rotten Tomatoes มาแล้วถึง 86% โดยส่วนใหญ่ชื่นชมในการแสดง การกำกับ การบันทึกภาพ และการผสมผสานระหว่างตระกูลหนังที่แตกต่างเทย์เลอร์ รัสเซลล์ นางเอก Escape Room รับบทมาเรน วัยรุ่นสาวที่เติบโตมาด้วยความแปลกแยก เพราะเธอมีพฤติกรรมชอบกินเนื้อคนตั้งแต่เด็กๆ ทำให้พ่อของเธอต้องพามาเรนย้ายเมืองอยู่บ่อยๆ เพื่อหลบหนีจากสังคม จนกระทั่งวันหนึ่งเธอตัดสินใจออกตามหาแม่ที่ทิ้งเธอไปนาน และระหว่างการเดินทางเธอได้พบกับ ลี วัยรุ่นหนุ่มที่ค้นพบว่า ต่่างมีรสนิยมชอบกินเนื้อมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งโดยปกติแทบจะหาคนประเภทเดียวกันไม่เจอ กลายเป็นความสัมพันธ์ของสองคนเหงาที่แปลกแยกจากสังคม แต่ต่างเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน และเรื่องราวของทั้งสองนั้นไม่ง่ายดาย เมื่อสันชาตญาณดิบในการกินเนื้อมนุษย์ พร้อมที่จะทำให้เกิดการนองเลือดได้ตลอดเวลาBones And All ถือเป็นหนังที่มีรสชาติแปลกน่าลิ้มลองทีเดียวเชียว มันมีส่วนผสมระหว่างหนังรักโรแมนติก และหนังเขย่าขวัญสุดประหลาด คล้ายคลึงกับการหยิบเอาบางมู้ดของ Call Me By Your Name มาผสมผสานกับความแปลกปนสยองของSuspiria อีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่ดูเหมือนจะมาคนละทิศคนละทาง แต่กลับเข้ากันอย่างน่าทึ่ง หนังถ่ายทอดด้วยการเล่าเรื่องสไตล์ Road Movie ด้วยจังหวะที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อเลย เสริมความโรแมนซ์ด้วยงานบันทึกภาพที่สวยไร้ที่ติ และเสริมอารมณ์หนังได้อย่างดียิ่ง ส่วนฉากสยอง หนังก็ไม่ยั้งที่จะนำเสนออย่างโหดเหี้ยมและถึงเลือดถึงเนื้อ สมกับชื่อหนัง ตามที่ควรจะเป็นแกนกลางที่แข็งแรงที่สำคัญสุดของหนังคือนางเอก เทย์เลอร์ รัสเซลล์ ที่เป็นตัวเดินเรื่อง เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างดี ทำให้เธอน่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งนักแสดงรุ่นใหม่ที่น่าจับตาในยุคนี้ รับส่งบทบาทกับ ทิโมธี ได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนที่สะพรึงสะกดทุกสายตาจริงๆ คือการปรากฏตัวของ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ มาร์ก ไรแลนซ์ (จาก Bridge of Spies) ในบทมนุษย์กินคนสุดแปลกแยกจากสังคม ที่เขาถ่ายทอดบทบาทผ่าน สีหน้าแววตาและน้ำเสียง ได้อย่างชวนขนลุก โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่ชวนสยดสยองอย่างน่าสะพรึงเลยจริงๆ กลายเป็นว่า 3 นักแสดงนำที่เป็นแกนหลักของเรื่องราว ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างแข็งแรง ยกระดับ Bones And All ให้ดีขึ้นไปอีกถึงอย่างไรก็ตาม อาจจะต้องออกตัวไว้ก่อนว่า Bones And All อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน หนังดำเนินเรื่องด้วยจังหวะที่ไม่ได้เร้าใจอะไรมากนัก ค่อยๆทอดอารมณ์ไปกับเรื่องราว บวกกับการที่หนังผสม Genre ที่ต่างกันสุดขั้วเอาใจ ทำให้รสชาติแปลกประหลาด จนบางทีอาจจะยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ถ้าใครพร้อมจะลิ้มลอง มันคือหนังที่น่าสนใจ ที่สร้างความแปลกใหม่ได้ดีทีเดียว แม้ว่าเรื่องมันจะสยอง แม้ว่ามันจะเล่าถึงมนุษย์กินคน แต่แกนกลางของเรื่อง ที่การเล่าถึง ความรักและความเหงาของคนที่แปลกแยกจากสังคม มันสามารถแทนค่าได้ด้วยกลุ่มคนที่หลากหลาย นี่คือหนังที่พยายามทำความเข้าใจคนชายขอบ และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจจริงๆชมตัวอย่าง Bones And All เข้าฉาย 24 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

06 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่างIron ManและCaptain Americaประกาศจบการศึกษากันไปแล้ว ด้วยการมีหนังเดี่ยวคนละ3ภาค แต่Thorกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรกในจักรวาลมาร์เวล ที่มีหนังของตัวเองเป็นภาคที่4ได้ ด้วยหลายๆปัจจัย ทั้งในแง่ของตัวละครที่ยังสามารถเล่าในแง่มุมต่างๆได้อีกเพียบ ความเป็นเทพ การเดินทางข้ามจักรวาล ทำให้เรื่องราวของThorถูกเปิดกว้างยิ่งกว่า รวมถึงปมที่เกี่ยวกับตัวละครแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจน ฟอสเตอร์ อดีตแฟนสาวของเขา ที่ถูกทิ้งไปดื้อๆหลังจบภาค2ทำให้นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะมาสานต่อเรื่องราวให้สมบูรณ์ รวมถึงความสำเร็จของหนังภาคก่อนอย่างThor : Ragnarokที่ผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ เข้ามาปรับMood Toneทำให้หนังสนุกขึ้นและฉูดฉาดขึ้น จึงน่าเสียดายที่หนังของThorจะจบแค่ไตรภาคแรกเท่านั้น ทั้งๆที่มันยังมีโอกาสไปต่อได้นำมาสู่Thor : Love and Thunderที่หยิบเรื่องราวของธอร์(รับบทโดย คริส เฮมเวิร์ธ)มาเล่าต่อหลังจากเหตุการณ์ในAvengers : Endgameเมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาลพร้อมกับเหล่าGuardians of the Galaxyเพื่อช่วยเหลือใครก็ตามที่เดือดร้อน จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับGorr The God Butcher (รับบทโดย คริสเตียน เบล)ชายที่คลั่งแค้น จนสาบานว่าเขาจะสังหารเหล่าทวยเทพให้หมดสิ้น เป้าหมายต่อไปของกอร์ คือนิวแอสการ์ด บ้านหลังใหม่ของชาวแอสการ์ดที่ตั้งอยู่บนโลกมนุษย์ ธอร์จึงต้องเดินทางกลับมาที่โลกอีกครั้งเพื่อปกป้องอดีตชาวเมืองของเขา และการกลับมาในครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ เจน(รับบทโดย นาตาลี พอร์ตแมน อีกครั้ง)อดีตคนรักที่ตอนนี้เธอได้กลายเป็น ไมตี้ธอร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็นหญิงพลังเทพแบบเดียวกับที่ธอร์เป็น และเมื่อแฟนเก่ามาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ ความรู้สึกในอดีตของธอร์ จึงถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง!แน่นอนว่า เมื่อ ไทก้า ไวติติ กลับมานั่งแท่นผู้กำกับในภาคนี้ ภาพรวมของThor : Love and Thunderจึงมีบรรยากาศและสีสันใกล้เคียงกับThor : Ragnarokโดยเฉพาะอารมณ์ขันที่ถูกใส่เข้ามาเยอะยิ่งกว่าเดิม และการออกแบบงานสร้างที่ฉูดฉาดมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ละทิ้งความดราม่าที่หนักหน่วง การลงลึกไปสำรวจความรู้สึกของ ธอร์ หลังจากจบEndgameที่ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมายพอสมควร ในหนังภาคนี้ ธอร์จะได้สำรวจความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรัก ที่เขาเก็บมันไว้ในส่วนลึกนานถึง8ปี และในภาคนี้เขาก็ได้จะค้นหาเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิต ซึ่งนั่นทำให้หนังในภาคนี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สำหรับไตรภาคต่อไปของThorก็เป็นอันได้ไฮไลต์ที่สำคัญมากๆสำหรับThor : Love and Thunderคือการกลับมาอีกครั้งของ นาตาลี พอร์ตแมน หลังจากไม่ปรากฏตัวในหนังภาคก่อนLove and Thunderทำให้เส้นเรื่อง ความสัมพันธ์ของ ธอร์และเจน สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หลายประเด็นที่ถูกทิ้งไว้และยังไม่เคยเล่า ถูกหยิบมาเล่าให้คอมพลีต ยิ่งฉากโรแมนติกของ ธอร์และเจน ในภาคนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่ขาดหายไปในThorภาคก่อน และกลับมาอยู่ในภาคนี้อีกครั้ง นอกจากนี้การปรากฏตัวของ ไมตี้ธอร์ ทำให้เส้นเรื่องของThor : Love and Thunderมีสีสันมากยิ่งขึ้น และทำให้เราได้เห็นอีกมุมของธอร์ หลังจากที่ภาคก่อน เน้นไปที่ประเด็นด้านครอบครัว ในภาคนี้ก็จะโฟกัสที่ความรักเป็นหลักอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดสำหรับThor : Love and Thunderคือการเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล ของ คริสเตียน เบล อดีตพระเอกแบทแมน ที่พลิกมารับบทร้ายแบบสุดขั้ว การแสดงของเบลทำให้ตัวละคร กอร์ เต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวชวนขนลุก และบางซีนน่ากลัวยิ่งกว่าผีปรากฏตัวในหนังสยองขวัญเสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน เบลก็ใส่มิติ ความลึกของตัวละครเข้าไป กอร์ มีที่มาที่ไป ก็น่าเห็นใจอย่างมาก อะไรที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นปีศาจที่เต็มไปด้วยความแค้น นี่ไม่ใช่ตัวร้าย ที่คลั่งอำนาจ แต่กลับคลั่งแค้นด้วยความไร้เมตตาที่เขาได้รับ เบลเล่นดีจนกระทั่งอยากให้ กอร์ เป็นตัวร้ายใหญ่ในจักรวาลมาร์เวลเลยด้วยซ้ำปัญหาสำคัญของThor : Love and Thunderคือความกลมกล่อมของหนัง แน่นอนว่าไทก้าใส่สีสันมากมายเข้ามา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในแบบที่แฟนๆมาร์เวลจำนวนไม่น้อยชอบมาก แต่ในภาคนี้เขาไม่สามารถบาลานซ์มันได้ดีเท่าRagnarokอาทิ จังหวะการปล่อยมุก ซึ่งในภาคก่อนค่อนข้างแม่นยำและได้ผลมาก แต่ในภาคนี้ กลับขำบ้างแป้กบ้าง บางจังหวะก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนจะเน้นตลกไปเรื่อย จนความจริงจังในหนังแอบหายไปพอสมควร เมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องซีเรียส อารมณ์ร่วมเลยไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำให้ตัวละครดูไม่จริงจังกับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ ทำให้แม้หนังจะออกมาสนุกสนาน บันเทิงระหว่างดู แต่น้ำหนักของเส้นเรื่องกลับเบาอย่างน่าเสียดายท้ายที่สุดThor : Love and Thunderก็ยังคงเป็นหนังป็อปคอร์นฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ ที่ยังคงดูสนุกและสร้างความบันเทิงได้เช่นเดิม แม้มันจะไม่ได้ลงตัวเท่างานชิ้นก่อนของ ไทก้า แต่เอกลักษณ์ในแบบของเขาก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ รวมถึงหนังตอบโจทย์เรื่อง แฟนเซอร์วิส ได้แบบเต็มๆ โดยThor : Love and Thunderเหมือนเป็นจุดเชื่อมสำคัญของThorยุคก่อนEndgameและยุคหลังจากนี้ บางปมที่ยังไม่ถูกเล่า ก็มาคลี่คลายในภาคนี้(โดยเฉพาะเรื่องเจน)ในขณะเดียวกันหนังก็ผูกปมใหม่ ให้สำหรับThorในอนาคต ทำให้แฟนๆของมาร์เวลได้เห็นภาพกว้างๆว่า เส้นทางของเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ ในจักรวาลมาร์เวลนั้น ยังอีกยาวไกล...(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างThor : Love and Thunderวันนี้ในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1