[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

HOLLYWOOD GOSSIP

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

30 พ.ย. 2023

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าการลดราคาครั้งใหญ่ Black Friday ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า กลายเป็นคืนแห่งเลือดในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง นี่คือไอเดียตั้งต้นของ Thanksgiving หนังสยองขวัญแนวเชือด ที่เป็นการกลับมาสู่หนังแนวนี้อีกครั้งของผู้กำกับ อีไล รอธ หลังแจ้งเกิดจากหนังสยองขวัญสายโหดอย่าง Cabin Fever และ Hostel แล้วก็วนไปกำกับหนังแนวอื่น ซึ่งเดิมทีไอเดียของ Thanksgiving เริ่มจากการทำตัวอย่างหนังปลอม ๆ ไปใส่ไว้ในหนังชื่อ Grindhouse (2007) จนต่อมา อีไล ได้พัฒนาบทหนัง จนกลายมาเป็นหนังใหญ่ในที่สุด ซึ่งหนังจากเขาเบนเข็มไปกำกับทั้งหนังแอ็กชัน หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟ ก็ได้ฤกษ์ที่เขาจะกลับมาทำหนังที่แจ้งเกิดเขาอีกครั้งเสียที

Thanksgiving เล่าเรื่องราวความสยองในคืนวันเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนพากันเหยียบกันตาย เพราะแย่งกันซื้อของลดราคา กลายเป็นฝันร้ายของเมืองพลีมัธนับจากนั้น แม้ผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อ 1 ปีผ่านไป ฝันร้ายก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากาก แต่งตัวเป็นผู้ก่อตั้งเมือง ออกมาไล่เชือดประชาชน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปีก่อน โดยเป้าหลักคือ เจสสิก้า หญิงสาวที่พ่อของเธอเป็นเจ้าของห้างที่เกิดเหตุร้าย แถมเธอยังอยู่ในเหตุการณ์คืนวันนั้น จึงกลายเป็นหน้าที่ของ เอริค (รับบทโดย แพทริค เดมพ์ซีย์ จาก Grey's Anatomy) นายอำเภอของเมืองที่จะต้องจัดการคนร้าย ก่อนที่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง จะกลายเป็นคืนสยองอีกครั้ง!

ใครที่เป็นแฟนหนังแนวนี้ Thanksgiving คือหนังที่น่าจะสาแก่ใจคอหนังไล่เชือดอยู่ไม่น้อย โดยรวมนี่คือหนังที่ค่อนข้างเดินตามรอยหนังแนวเดียวกันที่ฮิตในช่วงปลายยุค 90s ไล่ตั้งแต่ Scream, I Know What You Did Last Summer ไปจนถึงUrban Legend เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับฆาตกรโรคจิตในหน้ากากปริศนาที่คอยตามไล่ฆ่า กับเหตุฝันร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนพวกเขา โดยเหตุการณ์มักจะเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองนึง และฆาตกรก็มักจะเป็นตัวละครสักตัว โดยจะเฉลยปมเหตุการฆ่าในตอนท้าย สำหรับ Thanksgiving แล้ว มาในสูตรแบบเดียวกันนี้เลย แต่ทำออกมาได้อย่างสนุก มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาอย่างน่าพอใจ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้มากนัก เหมือน Thanksgivingสร้างมาให้หายคิดถึงกึ่ง ๆ Tribute ให้ด้วยซ้ำ

Thanksgiving คือหนังที่สามารถนิยามได้ว่า “ฆ่ากันแบบเถิดเทิง” เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ทำถึงมาก ๆ ในสองส่วน พาร์ทแรกคือความโหด ที่ Thanksgiving จัดเต็มความโหดแบบไม่ยั้ง ไม่ให้เสียชื่อ อีไล รอธ หลังจากหนังสยองหลายเรื่องกลัวไม่ได้ผู้ชมกลุ่มอายุน้อย เลยโหดแบบเบาๆเพื่อให้ได้เรต PG-13 แต่หนังเรื่องนี้ มุ่งหน้าสู่เรต R แบบไม่กลัว ทำให้ฉากฆ่า ฉากเชือด จัดเต็มทั้งเลือดและฉากอวัยวะขาดแบบสะใจคอหนังเชือด และอีกพาร์ทที่หนังทำได้ดีคือ อารมณ์ขัน หนังเต็มไปด้วยอารมณ์ตลกร้าย จนหลายครั้งตัวหนังเองก็เกือบจะเป็นหนังล้อเลียน Parody หนังแนวไล่เชือดอยู่ไม่กัน โดยเฉพาะพวกฉากฆ่าต่าง ๆ มีดีไซน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังยิ่งสนุกมากขึ้น

สรุปแล้ว Thanksgiving คือหนังประเภท Teen-Slasher ที่แม้จะเดินตามสูตร แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสนุกสนาน มีองค์ประกอบทั้งความโหดและอารมณ์ขันแบบจัดเต็ม เป็นความโหดที่บันเทิงใช้ได้เลย และสำหรับแฟนของ แพทริค เด็มพ์ซีย์ ก็ถือว่าค่อนข้างแปลกตา ที่เขามารับบทนำในหนังแนวนี้ หลังติดภาพเขาเป็นผู้ชายในฝันเจ้าสำอาง บทบาทนี้ก็ดูสดใหม่ดีสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน ใครที่คิดถึงหนังไล่เชือดที่เต็มไปด้วยความเถิดเทิง ไม่ต้องเนี้ยบมาก ไม่ต้องฉลาดมาก เรื่องนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจ

Thanksgiving คืนเดือดเชือดขาช็อป / เข้าฉาย 5 ธันวาคมนี้


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

05 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

เตรียมหลอนรับสงกรานต์กันได้เลย กับการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกครั้งของค่ายจีดีเอช กับ 'บ้านเช่า บูชายัญ' เพราะตั้งแต่ปล่อยชิ้นงานโปรโมตทั้งตัวอย่างและโปสเตอร์ออกมา ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างหลากหลาย (ตั้งแต่บวกสุดไปจนถึงลบสุดๆ) ทำให้หลายคนยังกังขาว่า หนังฉบับเต็มจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งคอหนังสยองน่าจะพอโล่งใจได้ เพราะกระแสส่วนใหญ่ของรอบพรีเมียร์นั้น ค่อนข้างออกไปทางบวกเกือบหมด ใครที่เคยดูตัวอย่างแล้วยังลังเล ขอให้ลองไปพิสูจน์ในโรงกันดู เพราะสิ่งที่อยู่ในตัวอย่างนั้น เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของหนังเท่านั้น เพราะหนังจริงๆ แทบจะไม่สามารถเล่าอะไรได้มากเลย เนื่องจากจะเป็นการสปอยล์ แต่สิ่งที่ผู้ชมจากรอบแรกเห็นตรงกันคือ นี่คือการกลับมาคืนฟอร์มของ จิม-โสภณ จาก ลัดดาแลนด์ ผู้กำกับที่มุ่งมั่นกับการสร้างหนังแนวนี้มาโดยตลอด แต่ก็มีเป๋ไปบ้างกับผลงาน 2 เรื่องล่าสุด หลายเสียงจึงเห็นตรงกันว่า นี่คือหนังสยองขวัญที่เวิร์คที่สุดของเขา นับจาก ลัดดาแลนด์บ้านเช่า บูชายัญ ได้นักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง เวียร์-ศุกลวัฒน์ และ มิว-นิษฐา มารับบทสามีภรรยา กวินและหนิง ที่อาศัยอยู่ในบ้านอันสงบสุขกับลูกสาววัย 7 ขวบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่ต้องปล่อยบ้านหลังนี้ให้เช่า และผู้ที่สนใจเข้ามาเช่านั้น คือครอบครัวของ ราตรี (รับบทโดย ต่าย-เพ็ญพักตร์) แพทย์ที่เกษียณแล้ว ที่กำลังมองหาที่พักในกรุงเทพฯ เพื่ออยู่ใกล้ลูกสาว แต่ไม่นานหลังจากราตรีย้ายเข้ามาอยู่ เพื่อนบ้านเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติมากมาย จากบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวของราตรีที่แทบจะไม่ออกมาจากบ้านเลย สภาพของบ้านที่เริ่มเก่าและทรุดโทรม รวมถึงเสียงสวดประหลาดที่มักจะดังขึ้นทุกเช้ามืดเวลาตี 4 เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในบ้านหลังนี้? และชีวิตของทุกคนกำลังจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ (อย่างที่เกริ่นไป นี่เป็นเพียง 10% ของเส้นเรื่องเท่านั้น ที่เหลือต้องไปดูกันเอง)นี่คือหนังที่อาจจะกล่าวได้ว่า รีวิวยากมากเรื่องหนึ่ง เพราะหลายๆอย่างในหนังไม่สามารถบอกได้ มิฉะนั้นจะเป็นการสปอยล์ ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องด้วย แต่เป็นวิธีในการเล่าที่ทำให้หนังยิ่งน่าติดตามมากขึ้น แต่สิ่งที่พอบอกได้ และเป็นจุดที่ทำให้ชอบมากๆ คือ การดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างไว (และเมื่อดูไปเรื่อยๆ จะเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องเล่าไวในช่วงครึ่งแรก) หนังแทบจะไม่เสียเวลาอ้อยอิ่งอะไรเลย ตั้งแต่วินาทีที่หนังเริ่ม หนังพาผู้ชมเข้าเรื่องทันที และพอหนังเดินเรื่องไว ฉากสยองจึงมาไวเช่นกัน โดยเฉพาะในองก์แรกที่จัดเต็มฉากหลอนมาแบบต่อๆกัน จนแทบไม่ให้พักเลย หนังสามารถรักษาบรรยากาศความหวาดผวาไว้ได้ดี บวกกับปมหลัก โดยเฉพาะตัวละคร หนิง ของ มิว-นิษฐา ที่ต้องเผชิญกับความกดดันขีดสุด ทำให้ความรู้สึกของคนดู ผนวกกันทั้งความน่ากลัวและความกดดันไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ บ้านเช่า บูชายัญ น่าติดตามเป็นอย่างมาก คือวิธีการเล่าเรื่อง ที่เล่นกับมุมมอง ทำให้ภาพรวมของหนังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆปะติดปะต่อเรื่อง จนกว่าจะเป็นภาพรวมออกมา สำหรับในองก์แรก หนังเล่นกับอารมณ์ความไม่รู้เป็นหลัก หนังเลือกที่จะแหย่คนดูให้รู้เห็นเหตุการณ์ทีละนิด ทีละหน่อย ไม่ต่างกับตัวละครนำ ที่ยังคงสับสนว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะต้องเผชิญคืออะไรกันแน่ ซึ่งเป็นพาร์ทที่น่าลุ้นน่าติดตามมาก ก่อนที่จะเข้าสู่องก์ที่ 2-3 ซึ่งเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ผู้ชมเริ่มเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์ความหลอนเพราะไม่รู้ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นหลอน เพราะสิ่งที่รู้มันน่ากลัว น่าหวาดผวาแทนแน่นอนว่า อีกไฮไลต์สำคัญ คือการแสดงของ 3 นักแสดงหลักของเรื่อง ซึ่งหนังเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้โชว์การแสดงในมุมของตัวเองพอสมควร เริ่มจาก มิว ที่รับบทหญิงที่ต้องเผชิญกับความกลัวขีดสุด ความไม่มั่นคงใดๆในชีวิต และพร้อมทำทุกทางให้กับลูกสาว หลายฉากผู้ชมสัมผัสได้จริงๆว่าตัวละครนี้ กลัวมากๆ เพราะเธอแทบจะไม่มีอะไรยึดมั่นได้เลย ในขณะที่ เวียร์ ถ่ายทอดบทสามีที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ดีทีเดียว และเมื่อเส้นเรื่องดำเนินไป หลายฉากต้องแสดงอารมณ์ที่ทั้งซับซ้อนและสับสนค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถ่ายทอด ปิดท้ายด้วย พี่ต่าย กับบทคุณราตรี ตัวละครที่เต็มไปด้วยปริศนา และดูน่าหวาดผวาจากภายนอก ซึ่งเพียงแค่สีหน้าของพี่ต่ายนั้น แค่ยืนเฉยๆก็สร้างความหวาดกลัวให้กับคนดูได้มากแล้วโดยรวม 'บ้านเช่า บูชายัญ' ถือเป็นหนังสยองขวัญของคนไทย ที่ไม่ธรรมดาเลย มีอะไรที่หนังซ่่อนเอาไว้ ยังไม่บอกผู้ชมอีกเพียบ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินจากสิ่งที่เห็นบางส่วนเท่านั้น เชื่อว่าหลายคนหลังดูจบ จะเกิดความหวาดระแวงเมื่อออกจากโรงหนังอย่างแน่นอน เพราะหลังจากดูจบ แค่ลองมองบ้านธรรมดาๆ ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวได้แล้ว แค่เห็นหน้าต่างที่ม่านปิดอยู่ เสียงนกร้องในตอนกลางคืน เสียงน้ำหยดในบ้าน หรือแม้แต่ เมื่อถึงเวลาตี 4 ถ้าใครนอนไม่หลับ แล้วเพิ่งดูหนังเรื่องนี้มา ต้องมีหลอนกันบ้างอย่างแน่นอน นี่คือหนังสยองขวัญอีกเรื่อง ที่ิบิลด์ความน่ากลัวได้เก่ง และมีวิธีการเล่าที่น่าติดตามมากจริงๆ.\ชมตัวอย่าง 'บ้านเช่า บูชายัญ' เข้าฉาย 6 เมษายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

24 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

Top Gunคือหนังระดับตำนาน มันคือหนึ่งในภาพยนตร์ที่นิยามความเป็นยุค80sอย่างเด็ดชัด เป็นตัวแทนPop Cultureในยุคนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากหนังจะยกระดับให้"ทอม ครูซ"ขึ้นแท่นเป็นพระเอกหนังบล็อกบัสเตอร์แล้ว มันยังส่งอิทธิพลไปถึงทุกวงการแวดล้อม นอกจากจะเป็นแนวทางให้กับหนังแอ็กชันยุคใหม่ หลายฉากในหนังกลายเป็นภาพจำแบบIconicแฟชั่นการแต่งตัวของนักแสดงนำ รวมไปถึงแว่นตาRay Banกลายเป็นภาพแฟชั่นที่นำสมัย แม้แต่เพลงประกอบอย่างTake My Breath Awayก็ยังกลายเป็นงานเพลงที่โดดเด่นสุดเพลงหนึ่งในยุค80sดังนั้นเมื่อเวลากว่า30ปีผ่านไป"ทอม ครูซ"บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปจับโปรเจกต์Top Gunอีกครั้ง มันต้องมีไอเดียอะไรบางอย่างแน่นอนที่เขามั่นใจ เพราะการกลับไปแตะของระดับตำนานไม่ใช่ไอเดียที่ดีนักสำหรับฮอลลีวูด ในTop Gun : Maverickทอม ครูซ กลับไปสวมบทมาเวอริคอีกครั้ง เขาคือนักบินรบระดับตำนาน สร้างสถิติมากมาย คว้าเหรียญฯเกียรติยศมาเต็มบ่า แต่ไม่ยอมขยับตำแหน่งขึ้นไปไหน เพราะสิ่งที่เขารักคือการบินเท่านั้น จนกระทั่งได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่ ให้กลับไปยัง ท็อปกันอีกครั้ง สถาบันสอนนักบินรบ ที่มีเพียงระดับแถวหน้าของกองทัพที่จะได้มาเรียนที่นี่ ด้วยภารกิจลับที่ต้องใช้ยอดฝีมือเท่านั้น มาเวอริคต้องสอบเทคนิคการบินสุดผาดโผนของเขาให้12รุ่นน้องระดับท็อปของประเทศ โดยจะมีเพียงครึ่งเดียวได้ออกปฏิบัติการจริง และภารกิจนี้เองทำให้เขาได้เจอกับ รูสเตอร์(รับบทโดย ไมล์ เทลเลอร์ จากWhiplash)ลูกชายของกูส เพื่อนสนิทเขาที่เสียชีวิตในภารกิจ ซึ่งเขาเคยสัญญาว่า จะดูแลชีวิตเด็กคนนี้ ไม่ยอมให้ตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อรูสเตอร์ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจเสี่ยงตายนี้ มาเวอริคจึงต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง! ตลอดระยะ1เดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศค่อยๆเริ่มถาโถมคำวิจารณ์ในแง่บวกของTop Gun : Maverickออกมา จนกระแสความไฮป์ของหนังเริ่มต้นขึ้น และมาร้อนแรงสุดเมื่อหนังฉายรอบพิเศษในเทศกาลหนังเมืองคานส์ จนกระทั่ง ทอม ครูซ และทีมงานได้รับการยืนปรบมือชื่นชมนานถึง5นาที ซึ่งไม่ใช่บ่อยครั้งนัก ที่หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ จะถูกใจผู้ชมในเทศกาลหนังแบบนี้ ซึ่งTop Gun : Maverickก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ตามกระแสที่กล่าวมาจริงๆ ไม่แปลกใจที่สื่อหลายสำนักจะยกให้มันคือ"หนังบล็อกบัสเตอร์แห่งปี"ตัวหนังเองเหมือนเป็นข้อพิสูจน์ว่า โรงภาพยนตร์ยังคงสำคัญ การดูหนังในโรงคืออรรถรสที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยองค์ประกอบต่างๆที่จะกล่าวถึงต่อไป.. หากจะกล่าวกันตรงๆTop Gun : Maverickก็ยังคงเป็นหนังแอ็กชันแบบOld-Schoolคือมันไม่ใช่หนังยุคใหม่ แบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วย สเปเชียลเอฟเฟกต์มากมาย แต่มันคือหนังแอ็กชันแบบที่เน้นสตันท์ การที่นักแสดงหรือนักแสดงแทนเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงตายด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ ทอม ครูซ เชื่อมั่นมาโดยตลอด และพิสูจน์มาแล้วในMission: Impossibleหลายต่อหลายภาค ในTop Gun : Maverickทอมและนักแสดงสมทบต่างต้องขับเครื่องบินรบด้วยตัวเอง(และถ่ายทำด้วยตัวเอง โดยใช้กล้องติดไว้ในห้องนักบิน)ดังนั้น ฉากต่างๆในห้องนักบินจึงออกมาสมจริง มากถึงมากที่สุด สิ่งต่างๆที่ปรากฏในหนังล้วนเป็นแอ็กชันที่อาจจะไม่หวือหวาเท่าหนังที่เน้นVFXแต่มันดูเรียล และดึงอารมณ์ได้ดีมากๆ ข้อดีมากๆของTop Gun : Maverickที่ทำให้องค์ประกอบต่างๆลงตัว และดึงผู้ชมเข้าไปสู่หนังได้ตลอดคือPacingหรือจังหวะความเร็วในการเล่าเรื่องของหนัง หนังไม่ได้เร่งรีบอะไรมากมายนัก ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยืดยาดจนน่าเบื่อ ทุกฉากใช้จังหวะตัดต่อดึงอารมณ์ได้อย่างพอดี และเมื่อฉากต่างๆในการปูเรื่อง ถูกปูมาอย่างพอเหมาะ จนผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ของตัวละคร เริ่มอินกับปมระหว่างตัวละคร พอเมื่อไปถึงฉากไคลแม็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง30นาทีสุดท้าย เมื่อทุกอย่างมันขมวดเข้าด้วยกัน กลายเป็นความรู้สึกที่ลุ้น บีบหัวใจ มากกว่าหนังแอ็กชันทั่วไป ฉากบู๊ที่ตื่นเต้นมากๆอยู่แล้ว ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ด้วยปมแวดล้อมที่ถูกค่อยๆผูกมากอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าTop Gun : Maverickเป็นหนังแอ็กชันที่ประณีตในการเล่า และค่อยๆรีดอารมณ์จากผู้ชมได้อย่างดีมาก จนบางครั้งเราอดน้ำตาซึม หรือปรบมิือให้กับตัวละครอย่างไม่รู้ตัว! แม้ว่าTop Gunภาคแรกจะเป็นไอคอนสำคัญแห่งยุค80sแต่Top Gun : Maverickก็สามารถถีบตัวเองให้เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมได้ไม่แพ้กัน จนหลายเสียงเทียบเคียงกับThe Godfather IIในแง่ของการที่เป็นภาคต่อที่มีคุณภาพไม่แพ้ต้นฉบับ ในแง่มุมหนึ่ง ตัวภาคต่อนี้ก็ได้Tributeหนังภาคแรกในหลายๆแง่มุม ฉากแอ็กชันบางฉากที่ทำออกมาเพื่อหวนให้ระลึกถึงความเก๋าของความเก่า สดุดีตัวละครกูสที่จากไปในท้ายภาคแรก หรือแม้แต่การนำ"วัล คิลเมอร์"กลับมาในแบบที่เคารพความเป็นเขาในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนทำไปเพื่อสดุดีความเป็นIconของภาคแรกทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันTop Gun : Maverickก็สร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างตัวละครกลุ่มใหม่ที่น่าจดจำ ด้วยการเป็นหนังแอ็กชันระดับมาตรฐานคุณภาพสูงในยุค2020sใครจะไปคิดว่าภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรกนานถึง36ปี จะกลายมาเป็นหนังซัมเมอร์ระดับคุณภาพในยุคนี้ได้(และจัดเข้ากลุ่มเดียวกับMad Max : Fury Road, Blade Runner 2049รวมถึงTron : Legacyซึ่งกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ เช่นเดียวกัน เข้ากรุ๊ปหนังภาคต่อจากยุค80sที่คุณภาพคับจอ) ท้ายที่สุดต้องขอบคุณพระเอก"ทอม ครูซ"ที่ดื้อแพ่งไม่ยอมให้ พาราเมาต์ปล่อยหนังเรื่องนี้ลงสตรีมมิ่ง อันที่จริงแล้วTop Gun : Maverickต้องฉายตั้งแต่ก่อนยุคโควิดด้วยซ้ำ แต่เพราะงานPost-Productionไม่เรียบร้อย จึงต้องดีเลย์นานนับปี พอเลื่อนมารอบแรกก็เจอโควิดเข้าไป ทำให้เลื่อนอีกหลายครั้ง รวมจากโปรแกรมแรกที่วางไว้ก็เกือบ3ปี จนในที่สุดTop Gun : Maverickก็ได้พบกับผู้ชมบนจอภาพยนตร์ ที่ๆเหมาะสมที่สุดในการดูหนังเรื่องนี้ และไม่เพียงแต่มันจะเหมาะกับการดูในโรงแล้วTop Gunยังเผยให้เห็นข้อดีของระบบพิเศษทั้งหลาย ทั้งIMAXจอยักษ์ที่เพิ่มดีกรีความตื่นตา,ระบบ4DXที่น่าจะทำให้ผู้ชมเหมือนอยู่บนเครื่องบินจริงๆ และล่าสุดกับScreen Xที่ว่ากันว่าเหมือนเราได้นั่งอยู่ในห้องนักบินกับตัวละครเลยทีเดียว!ใครสะดวกระบบไหนก็ลองพิสูจน์กันดู และไม่ต้องกลัวว่า ไม่เคยดูภาคแรกจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะมันถูกออกแบบมาให้ดูแยกได้..และจะทำให้คุณอยากกลับไปหยิบTop Gunในปี1986กลับมาดูอย่างแน่นอน(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

17 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

หลายคนสะดุุดหนังเรื่อง NOPE ตั้งแต่ชื่อไทย ที่ทางค่ายยูไอพี ตั้งแบบตรงไปตรงมาตามชื่ออังกฤษว่า "ไม่" นำไปสู่ปริศนาที่ต้องตามต่อในหนังว่า คำว่าไม่ ในที่นี้หมายถึงอะไร และมันใช้ในบริบทไหนของหนังกันแน่ นี่คือโปรเจกต์หนังเขย่าขวัญเรื่องที่ 3 ของ จอร์แดน พีล อดีตนักแสดงตลกที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนังในแนว Horror ที่ปังตั้งแต่โปรเจกต์แรกอย่าง Get Out ที่นอกจากจะกวาดเงินถล่มทลาย ยังทำให้เขาได้รางวัลออสการ์มาครองอีกด้วย ต่อด้วย Us ที่ทั้งชวนผวาและสร้างความเหวอได้ไม่แพ้กัน มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง NOPE ที่ในหนังเรื่องนี้ เขาผสมความเป็น Sci-Fi เข้าไปในหนัง และเป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งอีกครั้ง พีล และแดเนียล คาลูย่า พระเอกจาก Get Out ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไปแล้ว คาลูย่า รับบท โอเจ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลคอกม้าต่อจากพ่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สุดประหลาด เขากับน้องสาวที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วอย่าง เอ็ม (รับบทโดย กีกี้ พาล์มเมอร์ จาก Hustlers) ต้องทำหน้าที่คอยฝึกม้า เพื่อไปใช้ในการถ่ายทำหนังหรือโฆษณา แต่แล้วเหตุการณ์สุดแปลกก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ไฟฟ้าดับบริเวณบ้านกลางหุบเขาของพวกเขา ทุกอย่างที่เป็นของที่ใช้กระแสไฟฟ้า แม้แต่ รถยนต์ หรือมือถือก็ล้วนดับหมด แถมยังทำให้ม้าของพวกเขาผวากับบางอย่าง โอเจและเอ็ม เริ่มมองขึ้นไปบนฟ้า และสังเกตุเห็นว่า มีอะไรผิดปกติ โดยเฉพาะก้อนเมฆบางก้อน ที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น นำไปสู่เหตุการณ์สุดผวา ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเผชิญมาก่อนสิ่งที่ทำให้อยากดูและตั้งตารอคอยผลงานของ จอร์แดน พีล มากๆ ทุกครั้งที่เขาทำโปรเจกต์ใหม่ คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในหนังเขย่าขวัญแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นพล็อตที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นำไปสู่ความเหวอขั้นสุดในช่วงหลัง การแฝงด้วยประเด็นสังคมที่มากกว่าเส้นเรื่อง อาทิ เรื่องสีผิวใน Get Out เรื่องประเทศใน Us มาจนถึงเรื่องล่าสุด ที่หยิบเอาเรื่องระดับโลกมาแฝงไว้ บวกกับอารมณ์ขัน ที่ถูกสอดแทรกไว้ในหนังด้วยจังหวะที่แม่นยำ ต้องขอบคุณที่เขาเคยเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ทำให้เขาทำหนังเขย่าขวัญออกมาได้ดี เพราะสิ่งที่คล้ายกันของหนังเบาสมองและหนังเขย่าขวัญ คือ จังหวะที่แม่นยำในการปล่อยของ และจำเป็นต้องหามุกใหม่มาเล่นเสมอๆ (อย่างในหนังผี ถ้าเรื่องไหน มีฉากหลอกผู้ชมใหม่ๆ และจังหวะผีหลอกเป๊ะ มักจะออกมาดีงาม) นั่นทำให้หนังของ พีล ดูเฟรชตลอด เหมือนกับดูหนังของ เอ็ม.ไนต์ ชยามาลาน ที่ทั้งตลกด้วยและสอดแทรกประเด็นเสียดสีหรือวิพากท์สังคมไว้ด้วย การดู NOPE ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่แปลกใหม่อีกครั้ง ด้วยสองปัจจัยสำคัญ คือทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง และภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ สิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ เต็มไปด้วยความแปลก ความประหลาด และชวนหวาดผวา พีลสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราเห็นประจำ มาทวิสต์ให้เรารู้สึกหลอนกับสิ่งนั้นได้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เขาค่อยๆแย้มปริศนาที่ซ่อนอยู่ทีละนิดๆ จนกระทั่งสาดใส่ผู้ชมและตัวละครในเรื่องอย่างแรงในช่วงหลัง การดู NOPE ในโรง ทำให้ผู้ชมถูกตรึงไว้กับหนังได้อย่างดี บวกกับสิ่งที่ปรากฏบนจออย่างที่เอ่ยไป บางสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ มันเหมาะที่จะถูกชมบนจอขนาดใหญ่มากๆ (ยิ่งโรง IMAXยิ่งเพิ่มอรรถรส) แม้มันจะไม่ใช่หนังแอ็กชันโปรดักชั่นใหญ่โต แบบที่ชอบฉายในระบบ IMAX แต่ "บางอย่าง" ในหนัง ยิ่งดูบนจอใหญ่ ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นจริงๆ จนทำให้ NOPE น่าจะเป็นอีกหนึ่ง Cinema Experience สำหรับผู้ชมไม่มากก็น้อยเมื่อเทียบกับผลงานสองเรื่องก่อนของ จอร์แดน พีล ต้องถือว่า NOPE เล่าในสเกลหนังที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก และค่อนข้างดูง่ายกว่าทั้ง Get Out และ Us แต่มันก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้กำกับ หนังยังทำให้ผู้ชมเหวอ และหวาดผวากับพล็อตได้เช่นเดิม บวกกับจังหวะหลอนและจังหวะอารมณ์ขันที่ค่อนข้างถูกเป๊ะ พร้อมกับหลากหลายประเด็นที่ซุกซ่อนไว้ในหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็ได้ แต่ถ้าพอจะสังเกตุก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กำกับอยากสื่อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ได้ชวนปวดหัวแบบหนังเชิงสัญลักษณ์บางเรื่อง เพราะท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นหนังเขย่าขวัญซัมเมอร์ ที่พร้อมให้ผู้ชมทุกกลุ่มดูได้ และเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังได้ เช่นเดิม นี่คืออีกงานที่พิสูจน์ว่า ความสำเร็จของ Get Out ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ พีล ตอกย้ำว่า เขาคือผู้กำกับที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแฟนหนังชุดใหญ่พร้อมที่จะรอดูอยู่แล้วNOPE เข้าฉาย 18 กรกฎาคมในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง :ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

22 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

ถือเป็นหนังเกาหลีโปรแกรมใหญ่เรื่องแรกประเดิมปี 2023 เลยสำหรับ The Point Men ที่เรียกได้ว่าใหญ่ในทุกๆองค์ประกอบ เริ่มจากนักแสดงนำที่ใหญ่ระดับบิ๊กเนมแห่งเกาหลี อย่าง ฮวางจองมิน ที่หนังของเขาล้วนติดอันดับ All-Time Box Office มากมาย อาทิ Ode To My Father, Veteran, A Violent Prosecutor และ The Wailing มาประกบกับ ฮยอนบิน จาก Clash Landing on You ที่เพิ่งมี Confidential Assignment 2 กวาดเงินถล่มทลายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ใหญ่ทั้งพล็อตซึ่งหยิบเอาเหตุการณ์จริงช็อกโลก ของนักท่องเที่ยวเกาหลีในอัฟกานิสถานที่ถูกจับเป็นตัวประกันมาเล่า และใหญ่จนถึงงานโปรดักชั่น ซึ่งเพื่อความสมจริง หนังจึงยกกองกันไปถ่ายทำไกลถึงประเทศจอร์แดน จนได้บรรยากาศรกร้างว่างเปล่าใกล้เคียงกับอัฟกานิสถานจริง (ที่เข้าไปถ่ายทำไม่ได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย)The Point Men สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 2007 ที่ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ จำนวน 23 คน ถูกกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน จับไปเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอัฟกานิสถาน ปล่อยตัวนักโทษตาลีบันที่ถูกจับคุมขังไว้ในคุกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ กลายเป็นภารกิจสำคัญของ แจโฮ (รับบทโดย ฮวางจองมิน) นักการทูตที่ถูกส่งตัวไปยังกรุงคาบูลทันที เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และต้องร่วมมือกับ เดซิก (รับบทโดย ฮยอนบิน) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่เชี่ยวชาญในพื้นที่แถบนี้ แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาจะแทบเข้ากันไม่ได้เลย แต่เพื่อช่วยชีวิตพลเมืองเกาหลีถึง 23 ชีวิต พวกเขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อหยุดวิกฤตครั้งนี้ให้ได้โดยรวม The Point Men สามารถรักษาบรรยากาศความตึงเครียดได้ตั้งแต่นาทีแรก หนังแทบจะไม่เสียเวลาในการเล่าเรื่องที่ไม่สำคัญเลย เปิดมาฉากแรกก็เข้าสู่โหมดระทึก และแทบจะไม่กราฟตกเลยนับจากนั้น โดยหนังมีมู้ดและโทนที่เน้นไปในทางการเจรจาต่อรอง หรือ หาวิธีในการช่วยตัวประกัน มากกว่าอัดฉากแอ็กชันที่เน้นลุยเน้นต่อสู้ ทำให้ The Point Men ดูจะเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ที่มีความบุ๋น มากกว่าความบู๊ เน้น ใช้สมอง มากกว่าเน้นลุย อาจจะไม่ได้ถูกใจคอแอ็กชั่นมากนัก แต่ใครที่ชอบหนังที่มีความกดดัน เรื่องนี้สามารถทำให้ผู้ชมลุ้นตามได้แทบทุกฉากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายๆ ที่แม้ว่าจะพอรู้บทสรุปอยู่บ้าง(ถ้าติดตามข่าว เพราะมันคือเรื่องจริง) แต่หนังก็ยังสามารถเร้าอารมณ์ได้ถึงขีดสุดอยู่ดีในแง่ของนักแสดงยิ่งทำให้ The Point Men หายห่วงเข้าไปใหญ่ เมื่อตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องอยู่ที่ ฮวางจองมิน นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ไม่ว่าบทไหนเขาก็เอาอยู่หมด มาประกบกับ ฮยอนบิน ที่เรื่องนี้เปลี่ยนจากลุคมาดคลีนๆมาเป็นหนุ่มใหญ่สายลุย ที่อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็เป็นภาพที่เท่อยู่ไม่น้อย และเมื่อมาเจอกับ ฮวางจองมิน กลายเป็นสองคาแรคเตอร์ที่ลักษณะดูแตกต่างกันสุดขั้ว แต่เคมีกลับเข้ากันอย่างมาก ถือเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างเพอร์เฟคเลยทีเดียว แถมในหนังยังได้ คังคิยง (จาก Extraordinary Attorney Woo) มาสร้างสีสันในบทของ กาซิม ชายชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน ตัวละครของเขาคือส่วนของอารมณ์ขัน ที่หยิบเข้ามาแทรกในจังหวะตึงเครียด ให้ผู้ชมได้เบรกอารมณ์ผ่อนคลายบ้าง ในจังหวะที่พอเหมาะสรุปแล้ว The Point Men ถือเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ที่เน้นสร้างบรรยากาศระทึก มากกว่าลงลึกด้านการเมือง และบิลด์ฉากแอ็กชัน เน้นฉากการเจรจาต่อรองเพื่อช่วยเหลือตัวประกันเป็นหลัก ซึ่งภาพรวมสร้างออกมาได้อย่างสมจริง และยิ่งใหญ่ในงานสร้าง หนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศของอัฟกานิสถานออกมาได้อย่างหลากหลายแบบตามจุดประสงค์ของแต่ละซีน ฉากในกรุงคาบูลก็เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ฉากนอกเมืองก็มีแต่บรรยากาศที่เคว้งคว้าง ใครที่ชื่นชอบหนังแนวนี้ หรือเป็นแฟนหนังเกาหลี น่าจะไม่ควรพลาด The Point Men ที่การันตีความฮิตมาแล้ว ด้วยการครองอันดับ 1 ของตารางหนังทำเงินเกาหลี ได้นานถึง 3 สัปดาห์ซ้อนชมตัวอย่าง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลกภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

album

0
0.8
1