[REVIEW] ‘Meg 2 : The Trench’ ภาคต่อที่บันเทิงแบบปล่อยจอย อัดแน่นด้วยฉลามยักษ์ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Meg 2 : The Trench’ ภาคต่อที่บันเทิงแบบปล่อยจอย อัดแน่นด้วยฉลามยักษ์ | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2023

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน The Meg กลายเป็นหนังฉลามที่กวาดรายได้ไปแบบเหนือความคาดหมาย ด้วยรายได้ระดับ 500 ล้านเหรียญฯจากทั่วโลก อยู่ๆก็กลายเป็นหนังฉลามที่ทำเงินทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลแซง Jaws ไปเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าถ้าจะเทียบกันจริงๆ โดยเอาค่าตั๋วมาดู ก็ยังคงแพ้ Jaws แต่ถ้านับแค่รายได้ ก็เลยชนะไปซะงั้น ทำให้โปรเจกต์ภาคต่อถูกอนุมัติในเวลาไม่นาน และที่น่าสนใจคือ กลายเป็นประเทศจีนที่เป็นประเทศที่ The Meg ภาคแรกทำเงินมากที่สุด ราวๆ 150 ล้านเหรียญฯ แซงอเมริกาที่ทำเงินไปแถวๆ 143 ล้าน จึงไม่แปลกใจเลยที่ภาคต่อนี้ ทางวอร์เนอร์เลยได้ไประดมทุน จับมือกับสตูดิโอในเมืองจีน แถมดึงพระเอกระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง อู๋จิง ที่ปรากฏตัวในหนังทำเงินถล่มทลายอย่าง Wolf Warrior 2, The Wandering Earth และ The Battle of Lake Changjin (ซึ่งล้วนอยู่ใน Top 10 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของจีน) มาร่วมแสดงประกบ เจสัน สเตแธม พระเอกจากภาคแรกที่กลับมารับบทนำในภาคต่ออีกครั้ง

Meg 2 : The Trench เล่าเรื่องราวหลายปีจากภาคแรก กับการผจญภัยครั้งใหม่ของ โจนัส (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) ที่นำทีมนักวิจัยลงไปสำรวจร่องสมุทรที่ลึกลงไปในมหาสมุทร สถานที่ซึ่งพวกเขาเจอกับเมกาโลดอน หรือฉลามยักษ์ดึกดำบรรพ์ในภาคแรก ไม่นานอันตรายก็เริ่มเข้าใกล้ เมื่อเมกาโลดอนที่พวกเขาขังเอาไว้เพื่อวิจัยกลับหลุดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แถมยังมีเมกาโลดอนตัวอื่นโผล่ออกมา รวมถึงพวกเขากำลังจะได้พบกับ โครโนซอรัส สัตว์ลึกลับดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ที่ปรากฏอยู่ใต้ทะเล กลายเป็นจากภารกิจสำรวจใต้ทะเลลึก พวกเขาต้องเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตสุดอันตราย ที่ไม่ใช่แค่ทวีจำนวนมากขึ้น แต่เพิ่มความหลากหลายและอันตรายมากขึ้นด้วย หนังภาคนี้ได้ อู๋จิง มารับบทนำประกบกับ เจสัน ในบทจิวหมิง น้องชายของนางเอกจากภาคแรก

โดยรวมภาคนี้ มันไปไกลกว่าแค่หนังฉลามแล้ว ดูจะเป็นหนังมอนสเตอร์ที่เน้นสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลลึกเสียมากกว่า จากภาคแรกที่เป็นหนังฉลามแบบติดเว่อร์นิดๆ เพราะเน้นไซส์ที่มโหฬารและที่มาจากดึกดำบรรพ์ แต่ภาคนี้เหมือนกำลังจะตั้งท่าขยายจักรวาลให้ใหญ่โตขึ้น นอกจากเมกาโลดอน ผู้ชมเลยจะได้เจอกับสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลอีกหลายตัว เหมือนกับผู้สร้างเตรียมจะขยายจักรวาลเป็น Sea-Monsterverse อะไรทำนองนั้น ซึ่งมันก็ช่วยทวีความน่าสนใจให้กับหนังมากขึ้นในอีก ในฐานะภาคต่อที่ทั้งขยายเส้นเรื่องและเพิ่มปริมาณเหล่ามอนสเตอร์ให้มากยิ่งขึ้น ใครที่ชอบหนังสัตว์ประหลาดน่าจะสนุกและคุ้มค่ากับการมาดูอยู่ไม่น้อย

ในขณะเดียวกันสิ่งที่แอบเปลี่ยนไปเล็กน้อยคือ Mood & Tone ของหนัง ซึ่งแน่นอนว่ามันยังเป็นหนังแอ็กชันตื่นเต้น แต่ภาคนี้แอบปรับอารมณ์ให้ไม่โหดหรือซีเรียสเท่าเดิม เน้นให้หนังดูเป็นมิตรกับผู้ชมกลุ่มครอบครัวมากขึ้น ยกระดับความแฟนตาซีเพิ่มเข้าไปอีก แทนที่หนังจะขยับเข้าหาหนังสไตล์ Jaws แต่กลับขยับมาใกล้หนังแบบ Jurassic World เสียมากกว่า ซึ่งตรงนี้เองน่าจะเปิดโอกาสให้หนังทำเงินได้มากขึ้น รวมไปถึงเหมาะกับการเจาะตลาดจีนที่ภาคแรกกวาดเงินถล่มทลายไปแล้ว แต่แม้จะไม่ได้โหดเลือดสาดเท่าไหร่นัก แต่ฉากแอ็กชันต่างๆก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้น เร้าใจ และเว่อร์ขึ้นไปอีกสเต็ป เหมือนผู้สร้างจับทางได้แล้วว่าผู้ชมชอบสไตล์ไหน ก็จัดให้แบบนั้นอย่างไม่ยั้ง

สรุป Meg 2 : The Trench ถือเป็นหนังภาคต่อที่เข้าที่เข้าทางกว่าภาคแรก ยังคงความสนุกแบบดูเพลินได้ตลอดทั้งเรื่อง และทวีคูณหลายๆอย่างเข้าไป ทั้งในแง่ของสัตว์ประหลาด รวมถึงตัวละครฮีโร่ จากเดิมที่ภาคแรกเน้นความเท่ของ เจสัน สเตแธม ภาคนี้พอใส่ อู๋จิง เข้ามา เหมือนเจสันได้คู่หูมาร่วมแท็กทีม ยิ่งทำให้ฝั่งมนุษย์ดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก และไม่แน่อีกหน่อย อาจจะมีการต่อยอดสร้างเป็นภาคแยกฉบับจีนเลยก็เป็นอันได้ เพราะปกติหนังของ อู๋จิง ก็ทำเงินแบบถล่มทลายที่นั่นอยู่แล้ว อีกหน่อยเราคงได้เห็นหนังตระกูล Meg ที่มากขึี้นและหลากหลายขึ้นเป็นแน่แท้

 

ชมตัวอย่าง Meg 2 : The Trench วันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : Warner Bros. Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

12 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

ฮือฮาตั้งแต่เปิดตัวไปแล้วสำหรับภาพยนตร์ไทยน่าจับตามองแห่งปีอย่างFaces of Anneหรือชื่อไทยสั้นๆ ว่า"แอน"ด้วยทีมนักแสดงสุดหวือหวา เพราะน่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่รวมนักแสดงหญิงวัยรุ่นน่าจับตามองไว้เยอะที่สุดขนาดนี้ ทั้งที่เปิดเผยออกมาแล้วถึง10คน ตามรายชื่อบนใบปิด ประกอบด้วย ออกแบบ ชุติมณฑน์,อิ้งค์ วรันธร,วี วิโอเลต,มินนี่ ภัณฑิรา,ก้อย อรัชพร,ปันปัน สุทัตตา,เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ,มิวสิค แพรวา,อุ้ม อิษยา และ นานา ศวรรยา ยังไม่รวมที่ยังไม่ได้โปรโมตอีก ซึ่งความพีกยิ่งกว่าคือคอนเซปต์ของหนัง เพราะนักแสดงทั้งหมดที่เอ่ยนามมานี้ ต่างเล่นเป็นตัวละครที่ ชื่อว่า แอน พวกเขารับบทเป็นหญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาในห้องหนึ่ง ในชุดสีเหลืองเหมือนกัน ทุกคนต่างถูกคุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่อันตรายกำลังจะมาถึง หลังจากการปรากฏตัวขึ้น ของ ปีศาจกวาง ที่ออกไล่ฆ่าพวกเธออย่างอำมหิต ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แล้วทำไมทุกคนถึงชื่อแอน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในที่แห่งนี้ ต้องไปหาคำตอบกันในหนังสิ่งที่ดึงดูดกลุ่มคนดูหนังมากที่สุด นอกจากลิสต์รายชื่อนางเอกรุ่นใหม่ และพล็อตสุดแปลกแล้ว คือ ชื่อของผู้กำกับ อย่าง คงเดช จาตุรันต์รัศมี เจ้าของผลงานเกรดเออย่าง เฉิ่ม,ตั้งวง, Snapแค่ได้คิดถึง และล่าสุดอย่างWhere We Belongที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า(นอกจากนี้ คงเดช ยังเขียนบทให้กับหนังรักคุณภาพล้นอย่างThe Letterจดหมายรัก และMe..Myselfขอให้รักจงเจริญ อีกด้วย)ด้วยงานกำกับที่คุมคนดูอยู่หมัดมาโดยตลอด และไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องอะไร มักแฝงประเด็นสถานการณ์บ้านเมืองไว้เสมอ โดยเฉพาะ3เรื่องล่าสุดที่ เอ่ยถึงทั้งอย่างตรงไปตรงมา และในนัยยะแฝง เฉกเช่น ผลงานล่าสุดอย่างFaces of Annesแม้ตัวหนังเองจะทำท่าเป็นPsychological Thrillerหรือหนังทริลเลอร์จิตวิทยา ที่มีกลิ่นของหนังสยอง และหนังไล่เชือด แต่ในเส้นเรื่องที่ลึกกว่านั้น เชื่อว่าผู้กำกับได้แฝงอะไรบางอย่างไว้อย่างแน่นอน เพราะระหว่างทางมีอะไรให้คิดไปทางนั้นอยู่ไม่น้อยโดยรวมบรรยากาศของFaces of Annesทั้งชวนสะพรึง ชวนสยอง และชวนฉงนไปพร้อมๆกัน ในพาร์ทที่ทำให้รู้สึกสะพรึงนั้น หนังสามารถทำได้ตั้งแต่วินาทีแรกๆ ที่คุมคนดูอยู่ แม้จะเคลื่อนตัวไปช้าในระดับหนึ่ง แต่ด้วยอารมณ์ของหนังทำให้ผู้ชมติดอยู่กับสถานการณ์นั้นได้ตลอด นำมาสู่จังหวะที่หนังชวนสยอง เมื่อFaces of Annesเพิ่มดีกรีความระทึกขึ้น นับตั้งแต่ตัวละคร"ปีศาจกวาง"โผล่ออกมา ไล่ฆ่าพวกเธอ แม้เหล่าแอนจะพยายามหนีแต่ก็ไม่มีทางออก นำไปสู่พาร์ทชวนฉงน การดูหนังเรื่องนี้เหมือนการต่อจิกซอว์อยู่ไม่น้อย เมื่อคนดูค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว คนสร้างก็ค่อยๆเผยโครงสร้างพล็อตออกมา เผยความจริงบางอย่าง ทำให้หนังน่าติดตาม และชวนให้อยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในหนังเรื่องนี้?แน่นอนว่าFaces of Annesไม่ใช่หนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องชั้นเดียว นอกจากการไขปริศนาที่เกิดขึ้นในเส้นเรื่องหลักแล้ว การมองหนังด้วยแว่นตาที่ต่างออกไป ทำให้เห็นอะไรบางอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะแว่นตาของการเมือง ซึ่งปรากฏในหนังคงเดชอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องนี้ก็แฝงไว้ซึ่งสัญญะเช่นกัน(ต่อจากนี้ไม่ได้สปอยล์เรื่องนะครับ)เริ่มจากตัวละครแอน และปีศาจกวาง ที่เปรียบเปรยถึง คน หรือ กลุ่มคนบางกลุ่ม สามารถสังเกตได้ด้วย สิ่งที่พวกเธอเผชิญ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ในขณะที่ปีศาจกวางนั้น สามารถสังเกตได้จาก การเลือกให้ตัวละครนี้ สวมหัวกวาง สัตว์ที่ดูสง่างามแต่กลับมาไล่ฆ่าคน อาวุธที่กวางใช้ เพลงที่ถูกเปิดทุกครั้งที่ปีศาจตนนี้ปรากฏตัว พร้อมด้วยรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย หลายจังหวะถ้าดูหนังด้วยแว่นตาแบบดูเอาบันเทิงอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ถ้ามองอีกแบบ อาจจะเจอคำตอบ สิ่งที่แฝงไว้ในหนังเรื่องนี้ โดย นอกจากในแง่การปกครองที่ถูกเล่าผ่านFaces of Annesแล้ว หนังยังเล่าถึงสังคมคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา การใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การถูกครอบงำโดยSocial Mediaลามไปถึงปัญหาด้านจิตเวช ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่วัยรุ่นยุคนี้ต้องเผชิญ ในสภาวะสังคมที่ไม่ปกตินี้ไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ คือเหล่าทีมนักแสดงหญิงรุ่นใหม่มากฝีมือที่ตบเท้าเข้ามาแสดงในFaces of Anneอย่างน่าตื่นตา โดยรวมหนังค่อนข้างบาลานซ์Screen Timeของนักแสดงแต่ละคนได้ค่อนข้างดี แน่นอนว่า เวลาปรากฏบนจอไม่เท่ากัน แต่ทุกคนต่างมีโมเมนต์เป็นของตัวเอง มีจังหวะที่ปล่อยของกันพอสมควร ถ้าจะให้เลือกไปเลยว่าใครคือMVPแทบจะเลือกได้ยากมาก เพราะทุกตัวละครต่างมีความสำคัญ ต่างมีอะไรบางอย่างที่ไม่ง่ายนักในการแสดง ความสนุกของผู้ชมคือการลุ้นว่า ใครจะโผล่มาเมื่อไหร่ นักแสดงที่เราชอบจะปรากฏตัวช่วงนี้ ประโยชน์ของการที่หนังมีดาราเยอะ มันก็สนุกในแบบนี้แฝงไปด้วยโดยรวมFaces of Annesคือหนังชวนขยี้สมองแห่งปี หากจะเข้าไปดูเพื่อความบันเทิง อาจจะได้ความเครียดกลับมาแทน เพราะหนังท้าทายผู้ชม กระตุ้นให้ชวนคิดต่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในแง่เส้นเรื่องปกติ รวมถึงเส้นประเด็นที่แฝงเอาไว้ ทั้งหมดนี้ถูกคุมด้วยบรรยากาศชวนสะพรึงตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีบางจุดที่จังหวะการเล่าค่อนข้างช้า แต่หนังก็สามารถตรึงเราไว้ได้เสมอ และด้วยแคสระดับดรีมทีมแบบนี้ ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้ดูหนังไทยที่แปลกใหม่ น่าสนใจ น่าลิ้มลองในแบบที่Faces of Annesนำเสนอ ถ้ามีโอกาส นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง ที่อยากให้ลองชมภาพ : M Picturesชมตัวอย่าง แอนFaces of Anneเข้าฉาย13ตุลาคมในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

12 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

ขึ้นแท่นหนังเปิดปี 2023 ที่ปังเกินคาดสำหรับ M3GAN หนังสยองขวัญผสมอารมณ์ตลกร้าย ผลงานการจับมือกันสร้างของสองโปรดิวเซอร์หนัง Horrorแห่งยุค อย่าง เจสัน บลัม แห่งค่าย Blumhouse ที่โด่งดังจากหนังตระกูล Paranormal Activity, The Purge จนมาถึงยุคหลังๆอย่าง Get Out, Happy Death Day และ Halloween ผนึกกำลังกับ เจมส์ วาน ผู้ให้กำเนิดหนังอย่าง Insidious และจักรวาล The Conjuring นั่นเอง ดังนั้นการมาเจอกันครั้งนี้ จึงต้องไม่ธรรมดา โดยล่าสุดจากทุนสร้างเพียง 12 ล้านเหรียญฯ หนัง M3GAN กวาดรายได้ทั่วโลกผ่านหลัก 50 ล้านไปแล้ว และดูเหมือนจะผ่าน 100 ล้านได้แบบง่ายๆอีกด้วย เพราะกระแสปากต่อปากในแง่บวกที่บอกต่อความสนุก ความแสบของหนัง ซึ่งไม่เพียงแค่ถูกใจคนดู แต่นักวิจารณ์ยังเทคะแนนบวกให้ จนล่าสุดคว้าคะแนนบวกสูงถึง 94%จาก Rotten Tomatoes ซึ่งพบได้ไม่มากนักในหนังแนวสยองขวัญM3GAN เล่าเรื่องราวของ เจมม่า (รับบทโดย แอลิสัน วิลเลี่ยมส์ จาก Get Out) นักวิจัยพัฒนาในบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ ในขณะที่หุ่นตุ๊กตารุ่นล่าสุดของบริษัทกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เธอก็กำลังสร้างสิ่งที่เหนือยิ่งกว่า คือหุ่นตุ๊กตาเมแกน ที่ภายนอกดูเหมือนเด็กผู้หญิงจริงๆ และภายในบรรจุสมองแบบ AI เอาไว้ ทำให้มันสามารถตอบโต้ได้ไม่ต่างจากมนุษย์ บวกกับการที่เมแกนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ ทำให้มันค่อยๆฉลาดขึ้น ซึ่งในหนัง เจมม่า ได้นำเมแกนตัวทดลองมาทดสอบกับหลานสาวของเธอ ที่เพิ่งสูญเสียพ่อและแม่ไป ในตอนแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปด้วยดี เมแกนหลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของหลาน แต่เพราะความผูกพันและปัญญาที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมแกนเริ่มไม่ฟังคำสั่งใคร นำไปสู่เหตุการณ์ชวนสยอง มากกว่าใครจะคาดคิดจริงๆเส้นเรื่องหลักของ M3GAN ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร หลายครั้งที่ฮอลลีวูดเล่าถึงสิ่งที่ดูไม่มีพิษมีภัย แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นฝันร้ายของคนที่เจอ แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จนั้น คงหนีไม่พ้นบทที่ค่อนข้างลงตัว M3GAN มีการผสมผสานกลิ่นอายของความเป็นหนังสยองขวัญ และอารมณ์ขันได้อย่างพอดิบพอดี หนังใช้เวลาพอสมควรในการค่อยๆบิลด์เส้นเรื่อง ค่อยๆปูความไม่น่าไว้วางใจให้กับตัวละครเมแกน คล้ายๆกับหนังที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลายเรื่องที่ค่อยๆทรยศมนุษย์ จนนำไปสู่พาร์ทสยองที่ชวนขนลุกอยู่ไม่น้อย M3GAN จึงมีกลิ่นอายในแบบ Child's Play ผสมกับ The Terminator บวกด้วยอารมณ์ขัน ที่ทั้งแสบสันต์และร้ายกาจ กลายเป็นรสชาติเฉพาะทางที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมเป็นอย่างดีไฮไลต์สำคัญของหนัง คือการดีไซน์คาแรคเตอร์ เมแกน ออกมาให้ชวนขนลุก ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอย่างไรก็ชวนไม่น่าไว้วางใจ และพฤติกรรมของเธอ ที่อำมหิตและคาดเดาไม่ได้ โดยการที่ เมแกนเป็น AI ที่ชาญฉลาด ทำให้หนังสามารถหยิบกับเทคโนโลยีต่างๆ มาเล่นกับเมแกนได้อย่างแพรวพราว มีลูกล่อลูกชนที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเสียง การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ สร้างความขนลุกยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก แต่แอบน่าเสียดายอยู่เล็กน้อย ที่ผู้สร้างตัดสินใจเดินหน้ากับเรต PG-13 (เด็กอายุต่ำกว่า 13 ต้องเข้าชมพร้อมกับผู้ปกครอง) ไม่ใช่ เรต R ทำให้หลายฉากในหนังต้องยั้งความโหดเอาไว้ ไม่ได้เลือดสาดสยองกระจายในแบบที่หนังเรตR ทำได้ หลายซีนเลยดูเหมือนอาจจะยังไปไม่สุด หรือไม่สะใจผู้ชมเท่าที่ควรโดยรวม M3GAN ถือเป็นหนังสยองขวัญสายบันเทิงอย่างแท้จริง นอกจากบรรยากาศที่ชวนขนลุกและไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาแล้ว หนังยังผสมอารมณ์ขันตลกร้ายไว้อย่างร้ายกาจ นอกจากนี้หนังยังชี้ให้เห็นถึง ประเด็นสังคมที่สำคัญของคนยุคใหม่ ที่ผู้ปกครองหลายท่านฝากลูกหลานไว้กับเทคโนโลยี ไม่ได้เลี้ยงดูหรือให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ หนังเรีื่องนี้อาจจะทำให้ผู้ปกครองทบทวนความคิดและหันมาดูแลบุตรหลานมากขึ้น หนังสะท้อนให้เห็นถึงระยะห่างที่ทั้ง คุณน้าคุณหลานมีเมื่อเมแกนเข้ามาแทรกกลาง กลายเป็นปมในใจที่ยิ่งปล่อยทิ้งไว้อาจจะสายเกินแก้ก็เป็นได้ นอกจากความสนุกของหนังแล้ว M3GAN ยังแฝงประเด็นเหล่านี้ไว้ให้ขบคิดอีกด้วยชมตัวอย่าง M3GAN (เมแกน) วันนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

11 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อภารกิจฉกของง่ายๆ บนรถไฟหัวกระสุน กลายเป็นสนามรบสุดเดือดบนขบวนรถไฟ ที่เต็มไปด้วยนักฆ่าจากรอบโลก นี่คือพล็อตของ Bullet Train ต้นฉบับคือนิยายของญี่ปุ่น ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแอ็กชันคอเมดี้สุดชุลมุนโดยผู้กำกับที่เลื่องชื่อสายนี้อย่าง เดวิด ลีทช์ อดีตสตันท์แมน ที่เติบโตมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันสายเดือดอย่าง John Wick, Deadpool 2 และล่าสุด Fast Furious : Hobbs Shaw ที่แต่ละเรื่อง ฉากต่อสู้คลั่งของจริง และแฝงด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บแสบ โดยหนังได้พระเอกตลอดกาลอย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ ซึ่งถือเป็นการกลับมาเล่นหนังแอ็กชันในรอบหลายปี หลังจาก World War Z, Fury และ Allied ซึ่งมีรายงานว่า พิตต์ แสดงฉากแอ็กชันเองถึง 95% อีกด้วยพิตต์ รับบทอดีตนักฆ่าฝีมือฉกาจ นามแฝงว่า "เลดี้บักส์" หลังจากเข้าบำบัดจิตเพื่อลืมอดีตอันน่าปวดหัว เขาต้องการรับแค่งานเบาๆ ไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายอีกต่อไป จึงรับภารกิจง่ายๆ ด้วยการขึ้นไปฉกกระเป๋าใบหนึ่ง บนรถไฟสายด่วนที่มุ่งหน้าจากโตเกียว ไปยังเกียวโต เขาคิดว่างานนี้อย่างหมู เพราะแค่ขึ้นไป หยิบกระเป๋า แล้วลงมา ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า รถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยนักฆ่าจากทั่วโลกที่มีภารกิจเดียวกัน แถมยังมีนักฆ่าสายโหดอีก 2 คน ที่คอยเฝ้ากระเป๋าใบนี้อยู่ รถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ จึงกลายเป็นสนามประลองสุดเดือด ที่มีผู้รอดตายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระเป๋าใบนี้ไปครอบครองสิ่งที่ทำให้ Bullet Train บันเทิงขีดสุด คือ ความชุลมุนวุ่นวายของหนัง การที่หนังค่อยๆวางหมากไว้มากมายตอนต้นเรื่อง ปูรายละเอียดตัวละครเอาไว้ ใส่ดีเทลไว้มากมาย แล้วหยิบมายำใหญ่มโหฬารในช่วงท้าย กลายเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ ได้ฟีลคล้ายการดูหนัง เควนติน ทารันติโน่ อาจจะไม่คมเท่า แต่ก็ดูง่ายกว่า ผสมกับฉากแอ็กชันที่ดุเดือด ตามสไตล์ของ เดวิด ลีทช์ ที่แม้ว่าฉากต่อสู้จะถูกออกแบบมาให้ดุดัน โหดระดับเรต R แต่มันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันที่ร้ายกาจตลอดเวลา อาทิ ฉากที่พระเอกต้องต่อสู้กับนักฆ่าอีกคน บนรถไฟขบวนเงียบ กลายเป็นฉากต่อสู้ที่พวกเขาห้ามส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ซึ่งในหนังจะมีฉากต่อสู้แปลกๆ ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ และทั้งฮา ประกอบเอาไว้อยู่มากมาย ถ้าจะอธิบายอารมณ์ของหนัง ที่ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น Deadpool 2 ของลีทช์นั่นเอง (ซึ่ง แบรด พิตต์ ก็เคยไปรับเชิญในนั้นด้วย)พูดถึงแขกรับเชิญ Bullet Train เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้เซอร์ไพรสกับกองทัพดารา ทั้งที่หนังหยิบมาโปรโมตและไม่ได้โปรโมต คนที่ชัดเจนสุดคือ แซนดร้า บูลล็อค ที่โผล่มาในบทผู้จ้างงานพระเอก (หนังเผยว่าเธอแสดงตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว)ซึ่งดีลนี้ เกิดจากการที่ พิตต์ และบูลล็อค ตกลงกันว่าจะมาปรากฏตัวในหนังของอีกฝ่าย เราจึงได้เห็น แบรด พิตต์ ไปโผล่ใน The Lost City ที่บูลล็อคแสดงนำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เห็นบูลล็อค มาปรากฏตัวในเรื่องนี้ นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่ไม่สามารถสปอยล์ได้ สำหรับตัวของ แบรด พิตต์เอง บทบาทใน Bullet Train ทำให้ผู้ชมได้เห็นเขาในโหมดที่สบายๆ ตลกหน้าตายแบบเดียวกับใน Ocean's Eleven ความชิลล์ของคาแร็คเตอร์เขา ส่งผลให้หนังดูสบายๆไปด้วยเช่นกัน และอีกสองคนที่โดดเด่นจนแทบจะขโมยซีน คือ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (จาก Avengers : Age of Ultron) และไบรอัน ไทรี่ เฮนรี่ (จาก Eternals) ในบทสองนักฆ่าฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย กับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าต้นเรื่อง เป็นสองนักแสดงที่เคมีอารมณ์ขัน เข้ากับพิตต์ได้ดีเหลือเกิน หลายฉากจะเห็นพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้หนังสมูธมากยิ่งขึ้นจุดปัญหาของ Bullet Train ที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นช่วงองก์แรกที่หนังใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างเยอะ บางช่วงก็ย้วยเกินจำเป็น บางซีนก็เล่าไวจัด จนแทบจะตามไม่ทัน ก่อนที่จะมาแม่นจังหวะในช่วงองก์สองและสาม ด้วยความที่ตัวละครเยอะจัด และต้องเล่าที่มาที่ไป เพื่อใช้ประโยชน์ในตอนท้ายเรื่อง หนังเลยต้องใช้เวลาตรงนี้เยอะพอสมควร และอีกจุดที่จริงๆ อาจจะไม่ใช่จุดด้อย แต่เป็นปัญหากับผู้ชมบางส่วน คือการที่หนังใช้มุกตลกหน้าตายค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะพระเอก) ถ้าผู้ชมไม่ใช่สายมุกทางนี้ อาจจะไม่เอ็นจอยกับหลายๆซีนของหนังก็เป็นอันได้โดยรวม Bullet Train ถือเป็นหนังแอ็กชันชุลมุนที่เล่าเรื่องได้สนุก ฉากแอ็กชันทำถึง ฉากความวุ่นวายทำได้ดี และตัวละครล้วนสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างมาก แม้จะมีบางจุดที่อาจจะยาวไป และเล่นมุกเฉพาะทางเยอะไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ส่งท้ายซัมเมอร์ 2022 ที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ถ้าเคยชอบผลงานชิ้นก่อนๆของ เดวิด ลีทช์ ทั้ง John Wick ภาคแรก, Deadpool ภาคสอง และ Fast Furious ภาคแยก น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ ท่ามกลางหนังภาคต่อหรือรีเมกมากมาย นานๆจะมีหนังออริจินัลโผล่เข้ามาให้ลิ้มลองในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ก็สามารถลองขึ้นรถไฟขบวนป่วนสายนี้ได้ชมตัวอย่าง Bullet Train วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sony Pictures Thailand

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

17 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

หลายคนสะดุุดหนังเรื่อง NOPE ตั้งแต่ชื่อไทย ที่ทางค่ายยูไอพี ตั้งแบบตรงไปตรงมาตามชื่ออังกฤษว่า "ไม่" นำไปสู่ปริศนาที่ต้องตามต่อในหนังว่า คำว่าไม่ ในที่นี้หมายถึงอะไร และมันใช้ในบริบทไหนของหนังกันแน่ นี่คือโปรเจกต์หนังเขย่าขวัญเรื่องที่ 3 ของ จอร์แดน พีล อดีตนักแสดงตลกที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนังในแนว Horror ที่ปังตั้งแต่โปรเจกต์แรกอย่าง Get Out ที่นอกจากจะกวาดเงินถล่มทลาย ยังทำให้เขาได้รางวัลออสการ์มาครองอีกด้วย ต่อด้วย Us ที่ทั้งชวนผวาและสร้างความเหวอได้ไม่แพ้กัน มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง NOPE ที่ในหนังเรื่องนี้ เขาผสมความเป็น Sci-Fi เข้าไปในหนัง และเป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งอีกครั้ง พีล และแดเนียล คาลูย่า พระเอกจาก Get Out ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไปแล้ว คาลูย่า รับบท โอเจ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลคอกม้าต่อจากพ่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สุดประหลาด เขากับน้องสาวที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วอย่าง เอ็ม (รับบทโดย กีกี้ พาล์มเมอร์ จาก Hustlers) ต้องทำหน้าที่คอยฝึกม้า เพื่อไปใช้ในการถ่ายทำหนังหรือโฆษณา แต่แล้วเหตุการณ์สุดแปลกก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ไฟฟ้าดับบริเวณบ้านกลางหุบเขาของพวกเขา ทุกอย่างที่เป็นของที่ใช้กระแสไฟฟ้า แม้แต่ รถยนต์ หรือมือถือก็ล้วนดับหมด แถมยังทำให้ม้าของพวกเขาผวากับบางอย่าง โอเจและเอ็ม เริ่มมองขึ้นไปบนฟ้า และสังเกตุเห็นว่า มีอะไรผิดปกติ โดยเฉพาะก้อนเมฆบางก้อน ที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น นำไปสู่เหตุการณ์สุดผวา ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเผชิญมาก่อนสิ่งที่ทำให้อยากดูและตั้งตารอคอยผลงานของ จอร์แดน พีล มากๆ ทุกครั้งที่เขาทำโปรเจกต์ใหม่ คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในหนังเขย่าขวัญแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นพล็อตที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นำไปสู่ความเหวอขั้นสุดในช่วงหลัง การแฝงด้วยประเด็นสังคมที่มากกว่าเส้นเรื่อง อาทิ เรื่องสีผิวใน Get Out เรื่องประเทศใน Us มาจนถึงเรื่องล่าสุด ที่หยิบเอาเรื่องระดับโลกมาแฝงไว้ บวกกับอารมณ์ขัน ที่ถูกสอดแทรกไว้ในหนังด้วยจังหวะที่แม่นยำ ต้องขอบคุณที่เขาเคยเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ทำให้เขาทำหนังเขย่าขวัญออกมาได้ดี เพราะสิ่งที่คล้ายกันของหนังเบาสมองและหนังเขย่าขวัญ คือ จังหวะที่แม่นยำในการปล่อยของ และจำเป็นต้องหามุกใหม่มาเล่นเสมอๆ (อย่างในหนังผี ถ้าเรื่องไหน มีฉากหลอกผู้ชมใหม่ๆ และจังหวะผีหลอกเป๊ะ มักจะออกมาดีงาม) นั่นทำให้หนังของ พีล ดูเฟรชตลอด เหมือนกับดูหนังของ เอ็ม.ไนต์ ชยามาลาน ที่ทั้งตลกด้วยและสอดแทรกประเด็นเสียดสีหรือวิพากท์สังคมไว้ด้วย การดู NOPE ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่แปลกใหม่อีกครั้ง ด้วยสองปัจจัยสำคัญ คือทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง และภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ สิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ เต็มไปด้วยความแปลก ความประหลาด และชวนหวาดผวา พีลสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราเห็นประจำ มาทวิสต์ให้เรารู้สึกหลอนกับสิ่งนั้นได้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เขาค่อยๆแย้มปริศนาที่ซ่อนอยู่ทีละนิดๆ จนกระทั่งสาดใส่ผู้ชมและตัวละครในเรื่องอย่างแรงในช่วงหลัง การดู NOPE ในโรง ทำให้ผู้ชมถูกตรึงไว้กับหนังได้อย่างดี บวกกับสิ่งที่ปรากฏบนจออย่างที่เอ่ยไป บางสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ มันเหมาะที่จะถูกชมบนจอขนาดใหญ่มากๆ (ยิ่งโรง IMAXยิ่งเพิ่มอรรถรส) แม้มันจะไม่ใช่หนังแอ็กชันโปรดักชั่นใหญ่โต แบบที่ชอบฉายในระบบ IMAX แต่ "บางอย่าง" ในหนัง ยิ่งดูบนจอใหญ่ ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นจริงๆ จนทำให้ NOPE น่าจะเป็นอีกหนึ่ง Cinema Experience สำหรับผู้ชมไม่มากก็น้อยเมื่อเทียบกับผลงานสองเรื่องก่อนของ จอร์แดน พีล ต้องถือว่า NOPE เล่าในสเกลหนังที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก และค่อนข้างดูง่ายกว่าทั้ง Get Out และ Us แต่มันก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้กำกับ หนังยังทำให้ผู้ชมเหวอ และหวาดผวากับพล็อตได้เช่นเดิม บวกกับจังหวะหลอนและจังหวะอารมณ์ขันที่ค่อนข้างถูกเป๊ะ พร้อมกับหลากหลายประเด็นที่ซุกซ่อนไว้ในหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็ได้ แต่ถ้าพอจะสังเกตุก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กำกับอยากสื่อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ได้ชวนปวดหัวแบบหนังเชิงสัญลักษณ์บางเรื่อง เพราะท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นหนังเขย่าขวัญซัมเมอร์ ที่พร้อมให้ผู้ชมทุกกลุ่มดูได้ และเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังได้ เช่นเดิม นี่คืออีกงานที่พิสูจน์ว่า ความสำเร็จของ Get Out ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ พีล ตอกย้ำว่า เขาคือผู้กำกับที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแฟนหนังชุดใหญ่พร้อมที่จะรอดูอยู่แล้วNOPE เข้าฉาย 18 กรกฎาคมในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง :ภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1