[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

03 ก.ค. 2023

ย้อนกลับไป Indiana Jones เคยได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหนังผจญภัยที่ยิ่งใหญ่สุดในฮอลลีวูด จากความสำเร็จของไตรภาคหลักในยุค 80s ที่เป็นการผนึกกำลังกันของสามยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดอย่าง จอร์จ ลูคัส ผู้ให้กำเนิด Star Warsที่เป็นทั้งผู้สร้างและเจ้าของไอเดียหนังชุด Indiana Jones ซึ่งได้ดึงเอาเพื่อนสนิทอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก พ่อมดฮอลลีวูดมากำกับหนัง และมอบบทอินเดียน่า โจนส์ ให้กับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ที่กำลังมาแรงสุดๆในขณะนั้น จากบทฮาน โซโลในหนังระดับบล็อคบัสเตอร์อย่าง Star Wars ก่อนที่จะมีการกลับไปสร้างภาคต่ออีกครั้งในปี 2008 แต่กลับไม่ได้รับคำชมมากเท่า 3 ภาคแรก จนกระทั่งล่าสุด ดิสนีย์ ที่เพิ่งซื้อกิจการลูคัสฟิล์มมาไม่นาน ขอส่งท้ายตำนานอีกครั้งด้วยหนังภาคที่ 5 อย่าง 'Indiana Jones and the Dial of Destiny' โดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเป็นการส่งท้าย ด้าน สปีลเบิร์กและลูคัส กลับมานั่งตำแหน่งอำนวยการสร้าง และส่งต่อหน้าที่ผู้กำกับให้ เจมส์ แมนโกลด์ จาก The Wolverine และ Ford V Ferrari

สำหรับ The Dial of Destiny พาผู้ชมย้อนกลับไปในปี 1969 ช่วงเวลา 12 ปีหลังจากภาคก่อน เมื่ออินเดียน่า โจนส์ เดินทางมาสู่วัยเกษียณ ชีวิตของเขาหมดความหมายอีกต่อไป เมื่อเขากำลังจะหย่าร้างกับภรรยาหลังสูญเสียลูกชายไปในสงคราม จนกระทั่งได้พบกับ เฮเลน่า (รับบทโดย ฟีบี้ วอลเลอร์ บริดจ์) ลูกสาวบุญธรรม ทายาทของเพื่อนสนิท ที่โผล่มาหาเขาเพราะต้องการรู้เรื่องราวของ สิ่งของโบราณอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถพาให้ผู้ครอบครองเดินทางย้อนเวลาได้ ซึ่งสมบัติชิ้นนี้ ก็เป็นที่หมายปองของ วอลเลอร์ (รับบทโดย แมดส์ มิคเคลเซ่น) อดีตนาซีศัตรูเก่าของอินเดียน่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของโครงการ NASA นำไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่เพื่อตามหาสิ่งวิเศษชิ้นนี้ ก่อนที่มันจะตกอยู่ในมือผู้ประสงค์ร้าย

Indiana Jones and the Dial of Destiny ถือเป็นหนังภาคส่งท้ายที่ค่อนข้างน่าพอใจ และได้บรรยากาศแบบเก่าๆกลับมาครบ เหมือนหนังพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปสมัยปลายยุค 80s ถึงต้นยุค 90s อีกครั้ง เพราะถ้าไม่นับเรื่องของ CGI ที่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัย Mood & Tone ของหนังมีความคล้ายคลึงกับหนังยุคนั้น เหมือนหนังถูกสร้างและแช่แข็งเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกมาฉายตอนนี้ ทำให้บรรยากาศแบบเดิมๆจากหนังไตรภาค กลับมาพอสมควร ใครที่คิดถึงหนังสไตล์นี้น่าจะพึงพอใจ เพราะแทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้ ในมุมหนึ่งมันก็ดูค่อนข้างจะโบราณไปบ้าง แต่ในมุมหนึ่งมันก็มีความ Old School เป็นความคลาสสิคที่นานๆกลับมาดู ก็เป็นรสชาติที่หลายคนคิดถึง

องค์ประกอบต่างๆของหนังภาคนี้ ดูจะคล้ายคลึงกับภาคก่อนๆที่ผ่านมา ในด้านของเส้นเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก เน้นเล่าการผจญภัยของอินเดียน่า โจนส์ ที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆตามลายแทงและหลักฐาน เพื่อตามหาสมบัติก่อนที่ตัวร้ายจะคว้าไป และระหว่างทางก็จะมีฉากแอ็กชันไล่ล่า ที่ก็จะเป็นไปตามเอกลักษณ์ของหนังสไตล์นี้ เนื่องด้วยพล็อตเรื่องจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงปี 30s-60s ทำให้ฉากแอ็กชันส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นในป่า หรือตัวเมืองที่ค่อนข้างมีความโบราณ แต่การตัดต่อก็ทำออกมาได้ค่อนข้างเร้าอารมณ์ มีผสมกับอารมณ์ขันที่หนังมีอยู่เสมอ บวกกับเพลงธีมของ Indiana Jones ที่ทุกครั้งที่ใส่มา ยิ่งเพิ่มเอกลักษณ์ของหนังมาแบบเต็มๆ

สำหรับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในวัย 80 ปี อาจจะไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่หนังก็ไม่ได้พยายามจะให้ตัวละครอินเดียน่า โจนส์ในภาคนี้ หนุ่มกว่าวัยแต่อย่างใด หนังได้ใส่คาแรคเตอร์ในแบบวัยเกษียณเข้าไปด้วย มีกลิ่นความเป็นมนุษย์ลุงเบาๆ และช่วงองก์ที่ 3 ของหนังสำหรับภาคนี้ ถือมีบทส่งท้ายสำหรับอินเดียน่า โจนส์ ได้อย่างน่าพอใจ หนังพาผู้ชมไปไกลกว่าที่คาดคิดพอสมควร ยิ่งสำหรับตัวละครที่เป็นนักโบราณคดี การที่หนังพาไปไกลขนาดนั้น ถือว่าไม่ธรรมดา (แต่ขออนุญาตไม่สปอยล์ตรงนี้ เพื่ออรรถรสของผู้ชม) เป็นการปิดฉากสำหรับแฟรนไชส์หนังผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าพึงพอใจ ใครที่เป็นแฟนหนังแนวล่าขุมทรัพย์ ตามหาสมบัติก็ไม่ควรพลาดกัน

 

ชมตัวอย่าง Indiana Jones and the Dial of Destiny วันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

15 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสร้างภาคต่อของหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก Avatar ภาคแรกออกฉายเมื่อ 13 ปีก่อน และยังครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก ด้วยรายได้ 2.9 พันล้านเหรียญฯ มันกลายเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆคน มันกลายเป็นหนังที่พลิกโฉมโลกภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่ทันสมัย ดังนั้น เมื่อ เจมส์ คาเมรอน ต้องสร้างภาคต่อให้กับหนังที่ฮิตที่สุดในโลก เขาจึงต้องใช้เวลา และเขาไม่ได้มาแค่เล่นๆ เพราะหนังภาคต่อถูกวางแพลนยาวๆถึงภาค 5 กันเลยทีเดียว (ตอนนี้ถ่ายทำภาค 3 เสร็จแล้ว และถ่ายภาค 4 ไปได้องค์แรก) ดังนั้นผู้ชมจึงต้องรอนานมากกว่าทศวรรษเพื่อกลับสู่แพนโดร่าอีกครั้งAvatar : The Way of Water เล่าเหตุการณ์มากกว่า 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก (ห่างพอๆกับปีฉายหนังทั้งสองภาคนั่นเอง) เมื่อ เจคและเนทีรี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมกับสมาชิกครอบครัวใหม่ ทายาทของพวกเขาถึง 4 คน แต่แล้ว มนุษย์ก็ยังไม่หยุดแผนการณ์ที่จะเข้ายึดครองดาวดวงแห่งนี้ แถมยังขยายเขตอาณานิคมกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ และได้พบว่าผู้พันไมล์ ศัตรูจากภาคแรกที่แม้เจคจะสังหารไปแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นในร่างใหม่ (แต่เพราะอะไรต้องไปดูกันในหนัง) โดยไมล์มีเป้าหมายเดียว คือการตามล่าเจค และสังหารเขา นี่คือความแค้นส่วนตัวที่นำไปสู่การไล่ล่าครั้งใหม่ เจคจึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว นำไปสู่การผจญภัย การต่อสู้ และสงคราม ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสิ่งที่ทำให้ เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาเตรียมงานสร้างภาคต่อ Avatar นานกว่าทศวรรษคือการพัฒนาเทคโนโลยี ภาคแรกผู้ชมจะเห็นความสมจริง จากการถ่ายทำแบบเทคนิค Motion-Capture ดังนั้น สีหน้า แววตา การขยับตัวของตัวละครจะเหมือนนักแสดง แต่ภาคนี้ไอเดียเขาล้ำกว่า คือจะถ่าย Motion-Capture แบบในน้ำ ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เขาจึงต้องทดลองอยู่นาน ซึ่งความพยายามนี้เอง ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะไฮไลต์ที่โดดเด่นจริงๆของ The Way of Water นั้น คือฉากใต้น้ำนี่เอง หนังใช้เวลาถึง 2 ใน 3 ของเรื่องกับฉากเหนือน้ำและใต้น้ำ ทำให้เทคนิคนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคุ้มค่า ภาพที่ปรากฏบนจอดูสวยสะกดสายตามากๆ ทำให้สิ่งที่เห็นแล้วตื่นตะลึงในภาคแรก ถูกอัพเลเวลความน่าตื่นตาขึ้นไปอีก ยิ่งดูในระบบ IMAX 3D ยิ่งเพิ่มอรรถรส เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้นจริงๆ เหมือนเราลงไปในมหาสมุทรจริงๆก็ว่าได้ (ดีไม่ดี สวยกว่าของจริงด้วย)นอกจากงานสร้างที่สามารถเรียกว่า Visual Stunning สวยงามระดับตื่นตะลึงแล้ว สิ่งที่ทำให้ Avatar ภาคใหม่ตรึงผู้ชมได้ดี คือการไต่ระดับอารมณ์ของหนัง โดยเฉพาะในชั่วโมงสุดท้าย เจมส์ คาเมรอน สามารถเนรมิตฉากไคลแมกซ์สุดยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะซีนแอ็กชันในภาคนี้ เล่นใหญ่มาก และทำเอาลุ้นระทึกได้ตลอด แถมดีไซน์มุมกล้องออกมาได้สดใหม่ ทำให้เพิ่มความว้าวขึ้นไปอีก แต่ปัญหาหลักของ Avatar ภาคนี้ กลับเป็นเส้นเรื่อง ที่เหมือนจะยังไม่ได้เดินหน้าไปไหนมากนัก (จนหลายคนแซวว่าหนังรีเมกภาคแรกด้วยซ้ำ) หนังยังคงวนเวียนอยู่กับตัวละครกลุ่มเดิม จากภาคแรกที่เป็นการปกป้องเผ่าพันธุ์และอาณาจักร ภาคนี้ดูเหมือนกับโฟกัสที่ปมแค้นส่วนตัวของตัวละครมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พลังความหึกเหิม และอารมณ์ร่วมค่อนข้างลดหายไปอยู่บ้าง (แต่ถ้าคิดซะว่าเป็นแผนยาว ที่เขาต้องสร้างถึงภาค 5 ก็พอเข้าใจอยู่ว่าจะเก็บอะไรไว้เล่าอีกเยอะ)โดยรวม Avatar : The Way of Water คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น Cinema Experience ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการดูหนังในโรงที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าตัวหนังเองอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่มันก็ยกระดับงานสร้างขึ้นไปจากเดิม อรรถรสในการดูหนังเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การได้ดูในโรงภาพยนตร์ที่จอใหญ่ๆ และเสียงกระหึ่มจริงๆ นี่คือหนังอีกเรื่องที่ตอกย้ำว่า การดูหนังในโรงมันแตกต่างจากดูที่บ้านอย่างไร เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อหนังถูกลงในระบบสตรีมมิ่งแล้ว ถ้าดูซ้ำ คงไม่ได้อ้าปากค้าง หรีือเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแพนโดร่า เหมือนตอนดูในโรงอีกแล้วชมตัวอย่าง Avatar : The Way of Water วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : 20th Century Studios Thailand

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

21 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

หลังจากเหล่าอเวนเจอร์สสามารถโค่นทานอสไปได้ในหนัง Avengers ภาคล่าสุด เป็นการปิดหนัง MCU ในพาร์ทของ The Infinity Saga ไปได้อย่างสวยงาม ถึงเวลาแล้วที่แฟนๆและคอหนัง จะได้ทำความรู้จักตัวร้ายหลักประจำเส้นเรื่องใหม่อย่างThe Multiverse Saga นั่นก็คือ แคงผู้พิชิต ที่จะปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania ซึ่งนอกจากหนังจะทำหน้าที่ปิดไตรภาคของ แอนท์-แมน เองแล้ว ยังถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกใน MCU เฟส 5 อีกด้วย ที่นอกจากจะสำรวจพหุจักรวาลให้ลึกขึ้น หนังยังทำหน้าที่ปูไปยังปมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ซึ่งจะถูกปิดท้ายด้วยหนัง Avengers : The Kang Dynasty และ Avengers : Secret Wars ที่จะออกฉายใน 2-3 ปีข้างหน้าเรื่องราวใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania เริ่มต้นขึ้น เมื่อแคสซี่ ลูกสาวของ สก็อตต์ แลง ที่ประดิษฐ์เครื่องมือในการส่งสัญญาณเพื่อติดต่อกับในมิติควอนตั้มขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่ จากสิ่งประดิษฐ์นี้ ทำให้ สก็อตต์, โฮป, แคสซี่, ดร.แฮงค์ และเจเน็ต ถูกดูดเข้าไปในมิติควอนตั้ม ซึ่งสร้างความหวาดผวาอย่างมากให้กับ เจเน็ต เพราะเธอเคยถูกขังอยู่ในมิตินี้ นานกว่า 30 ปีกว่าจะออกไปได้ และเธอรู้ดีว่า อันตรายอะไรที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเขา ทั้ง 5 จึงต้องทำทุกทางเพื่อหาทางออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด พร้อมกับหยุดยั้งบุคคลอันตราย ที่พยายามทำทุกทางเพื่อออกไปจากมิตินี้เช่นกัน..หากเทียบกับหนังในตระกูล Ant-Man ทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania ถือเป็นภาคที่ดูจะมีMood Tone ที่แตกต่างจากเดิมค่อนข้างมาก แม้ว่ายังคงมีอารมณ์ขัน และโครงเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์ในเกือบทั้งเรื่อง เกิดขึ้นในมิติควอนตัม งานภาพของภาคนี้ จึงดูแตกต่างจากภาคก่อนๆไปอย่างสิ้นเชิง ดูคล้ายหนังอย่าง Doctor Strange ภาคล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่มีบทบาทสำคัญใน The Multiverse Saga เช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่างานโปรดักชั่นของ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จะดูยิ่งใหญ่กว่าภาคก่อนๆ แต่ด้วยความยาวเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้หนังอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า Doctor Strange In The Multiverse of Madness หรือBlack Panther : Wakanda Forever แต่กระนั้น มันก็มีข้อดีอย่างชัดเจน คือหนังสั้น ทำให้ค่อนข้างกระชับ และเดินเรื่องฉับไว หนังแทบจะไม่เสียเวลาตรงไหนที่ไม่จำเป็นกับเรื่องเลยจุดที่โดดเด่นมากๆของหนังภาคนี้ กลับไม่ใช่ครอบครัวของ แอนท์-แมน แต่เป็นการปรากฏตัวของ แคงผู้พิชิตเสียมากกว่า ซึ่งการแสดงของ โจนาธาน เมเจอร์ส นั้น ชวนขนลุกและน่าเกรงขามมากๆ ตั้งแต่สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียงที่ดูแสนจะเลือดเย็น ตั้งแต่วินาทีที่แคงปรากฏตัวบนจอ ดูเหมือนหนังจะถูกขโมยไปเป็นหนังของเขาเลยทีเดียว และตลอดเวลาที่ดู ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาทั่วไป นี่เป็นตัวร้ายที่บางทีอาจจะเก่งเกินกว่าที่ แอนท์-แมน จะสามารถโค่นได้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จึงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในฐานะหนังเปิดเฟส 5 ของจักรวาลมาร์เวล ซึ่งดูแล้ว ความสามารถของแคง และเจตนารมณ์อันน่าสะพรึงนั้น สามารถเป็นแกนหลักให้กับ The Multiverse Saga ได้อย่างสบายๆในส่วนของครอบครัวแอนท์-แมน เอง ภาคนี้ก็ยังคงยึดในความรักและความผูกพันอย่างชัดเจน ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ของหนัง Ant-Man ที่ดูจะเป็นหนังครอบครัวมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆใน MCU แต่ตัวละครที่โดดเด่นในภาคนี้มากที่สุด ต้องยกให้บท เจเน็ท ที่ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ แสดงไว้ได้อย่างชวนขนลุก เนื่องจากตัวละครของเธอ เคยถูกขังอยู่ในมิติควอนตัมมาแล้ว ทำให้เจเน็ท ขยับขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ และนั่นเปิดโอกาสให้นักแสดงรุ่นใหญ่ได้โชว์ฝีมือการแสดงได้อย่างเต็มที่ กับบทที่มีมิติและความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น แต่ไฮไลต์สำคัญสำหรับใครที่เติบโตมาในยุค 90s คือการที่ตัวละครของ มิเชลล์ ไฟเฟอร์, ไมเคิล ดักกลาส และสมาชิกใหม่ของภาคนี้อย่าง บิล เมอร์เร่ย์ ปรากฏตัวพร้อมกัน เป็นฉากที่ชวนย้อนระลึกความหลังได้อย่างดี ถึงความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยนั้นโดยรวมแล้ว Ant-Man and The Wasp : Quantumania สามารถจัดเข้ากลุ่มหนังใน MCU ที่สามารถดูได้เพลินๆ ความสนุกอยู่ในระดับปานกลาง อาจจะไม่ได้เข้มข้นหรือบีบอารมณ์ผู้ชมเท่าหลายๆเรื่อง แต่กระนั้น หนังเรื่องนี้ต้องถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวต่อของ จักรวาลมาร์เวลเฟสใหม่ ทำให้หนังดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นหนังเปิดเฟสใหม่ มากกว่าหนังปิดไตรภาคของเส้นเรื่อง Ant-Man เอง สำหรับแฟนของมาร์เวลเอง น่าจะมีหลายจุดในหนังที่ทำให้ร้องว้าว นับตั้งแต่การปรากฏตัวของแคง ไปจนถึงฉากแถมระหว่างและหลังจบ End-Credit ที่ในเรื่องนี้มีแถมให้ถึง 2 ฉาก และต่างเป็นซีนที่สำคัญ เพื่อก้าวสู่สเต็ปต่อไปของจักรวาลมาร์เวลชมตัวอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘House of the Dragon ’ มหาสงคราม 2 ศตวรรษก่อนศึกชิงบัลลังก์ Game of Thrones | GOSSIP GUN

22 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘House of the Dragon ’ มหาสงคราม 2 ศตวรรษก่อนศึกชิงบัลลังก์ Game of Thrones | GOSSIP GUN

Game of Thronesคือซีรีส์ระดับปรากฏการณ์ของทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมไปยังทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ความสำเร็จอันท่วมท้นนี้ นำไปสู่การสานต่อเรื่องราวที่HBOไม่ยอมปล่อยให้กระแสความร้อนแรงของซีรีส์หมดไปอย่างง่ายๆ แม้เส้นเรื่องหลักจะอวสานไปแล้วหลังจาก8ซีซั่น แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์ในเวสเทอรอส ยังมีให้เล่าขานอีกมากมาย นำมาสู่การสร้างซีรีส์Spin-Off / Prequelที่เล่าเรื่องราว200ปีก่อนที่เหตุการณ์ในGame of Thronesจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง และจุดอวสานของตระกูลแทร์แกเรียน และบัลลังก์เหล็กHouse of the Dragonโฟกัสพล็อตหลักที่การสืบทอดบัลลังก์ของราชวงศ์ทาร์แกเรียน ในรัชสมัยของ คิงวิเซอร์ริสที่1ในช่วงเวลาที่ราชินีของเขากำลังให้กำเนิดทายาทคนใหม่ และเขาหวังให้เป็นบุตรเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อไป หลังจากที่ประเพณีซึ่งสืบทอดกันมา ไม่นิยมให้ผู้หญิงขึ้นปกครอง แต่แล้วเหตุการณ์กลับไม่ง่ายอย่างที่เขาคาดไว้ รวมถึงการมาของ เจ้าชายเดม่อน น้องชายสุดอำมหิตของเขา ที่ต้องการจะครอบครองบัลลังก์เช่นเดียวกัน ซึ่งสองตัวละครสำคัญที่จะมีบทบาทต่อไป คือ เจ้าหญิงเรเนียน่า ธิดาคนโตของคิงวิเซอร์ริสที่1และเพื่อนสนิทของเธออย่าง เลดี้อลิเซนต์ สองคาแรคเตอร์สำคัญที่จะนำไปสู่Dance of the Dragonหรือสิ่งที่ผู้คนในเรื่องเรียกขาน มหาสงครามที่นำไปสู่จุดสิ้นสุดของราชวงศ์ทาร์แกเรียนความยิ่งใหญ่ของโปรดักชั่น ความเข้มข้นและคาดเดาไม่ได้ของเส้นเรื่อง ความแรงของฉากต่างๆที่ทั้งถึงเลือดถึงเนื้อ และร้อนแรงติดเรตแบบไม่ยั้งมือ เป็นหลายองค์ประกอบที่ทำให้Game of Thronesค่อยๆกวาดผู้ชมให้กลายเป็นแฟนอันเหนียวแน่น จำนวนมหาศาลในช่วงซีซั่นท้ายๆ แต่แล้วบาดแผลสำคัญที่ทำให้แฟนๆเจ็บอยู่ไม่น้อย คือ ผลลัพธ์ของตอนอวสาน ที่อาจจะทำได้ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับกว่า70กว่าตอนก่อนหน้านี้ สร้างความผิดหวังกลายเป็นปมเจ็บในใจของเหล่าแฟนพันธุ์แท้ การมาถึงของHouse of the Dragonจึงกลายเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ ถ้าซีรีส์ภาคนี้ออกมาดีHBOก็จะสามารถดึงความนิยมจากแฟนๆกลับมาได้อีกครั้ง แต่ถ้าภาคนี้ออกมาพินาศ นั่นอาจจะกลายเป็นจุดสิ้นสุดของซีรีส์เอพิกมหากาพย์เรื่องนี้(ไม่ต่างกับจุดสิ้นสุดของตระกูลทาร์แกเรียนในเรื่อง)ข่าวดีคือ หลังจากที่House of the Dragonได้พรีเมียร์ตอนแรกไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนจะเป็นในฝั่งแรกมากกว่าฝั่งหลัง นี่คือซีรีส์ที่ทำให้แฟนๆมีความหวังกับGame of Thronesอีกครั้ง ด้วยการเปิดเรื่องอย่างเข้มข้น ซีรีส์ค่อยๆพาผู้ชมไปรู้จักกับสมาชิกคนสำคัญในตระกูลทาร์แกเรียน และบุคคลต่างๆที่ล้อมรอบคิงวิเซอร์ริส และค่อยๆเผยปมของแต่ละตัวละคร ที่อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคต หลังจากซีรีส์ดำเนินตอนแรกไปไม่ถึงครึ่งทาง ความตึงเครียดก็ค่อยๆสะสมขึ้น ทวิสต์หรือจุดหักมุมที่ผู้ชมอาจจะคาดไม่ถึงก็ค่อยๆถูกใส่เข้ามา นี่คืออารมณ์ในแบบที่แฟนๆของGame of Thronesคุ้นเคย และสัมผัสได้ว่า มันกำลังกลับมาอีกครั้งในHouse of the Dragonนอกจากการผูกปมของซีรีส์ให้แน่นขึ้นเรื่อยๆและเยอะขึ้นเรื่อยๆในตอนที่1แล้ว องค์ประกอบต่างๆที่แฟนๆชอบ ดูเหมือนจะกลับมาแบบครบเครื่อง เริ่มต้นจากงานโปรดักชั่นที่กลิ่นอายความยิ่งใหญ่ ความเอพิก ถูกเผยให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าในตอนแรกอาจจะยังไม่มีฉากสงครามอันยิ่งใหญ่ แต่ฉากแอ็กชันต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ และแน่นอนว่า ความโหดเหี้ยม ความรุนแรงก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ จนทำเอาหลายฉากที่ผู้ชมอาจจะต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียว ส่วนฉากความร้อนแรงระดับติดเรต ที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของGame of Thronesก็ยังไม่ขาดหายไปในซีรีส์นี้ เรียกว่าเซอร์วิสแฟน แทบจะครบทุกองค์ประกอบที่ต้องการเลยทีเดียวสำหรับในตอนที่1จะโฟกัสที่สองตัวละครสำคัญ พี่น้องตระกูลทาร์แกเรียน อย่าง คิงวิเซอร์ริส ซึ่งถ่ายทอดบทนี้ของ แพดดี้ คอนซิไดน์ นักแสดงชาวอังกฤษ ที่เพียงแต่ตอนแรก ก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงมิติต่างๆของตัวละคร ความเป็นมนุษย์ของกษัตริย์คนหนึ่ง ทั้งในแง่มุมของความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ ส่วนอีกตัวละครคือ เจ้าชายเดม่อน ที่รับบทโดย แมตต์ สมิธ ที่คอซีรีส์ชาวไทยคุ้นเคยดีจากThe Crownมาในบทที่เข้ากับเขาอย่างถึงที่สุด ชายที่แม้จะดูอำมหิต อันตราย แต่ก็เพราะเขามีปมในใจบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา หลายฉากที่สองตัวละครนี้เข้าฉากด้วยกัน ทั้งสองนักแสดงสร้าวความตึงเครียดให้กับซีนนั้นได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนอีกสองนักแสดงคนสำคัญอย่าง เอ็มม่า ดาร์ซีย์ และ โอลิเวีย คุก ที่รับบทสองเพื่อนสนิทอย่าง เจ้าหญิงเรเนียน่า และเลดี้อลิเซนต์ ในตอนแรก พวกเธอทั้งสองยังไม่ได้แสดง แต่เป็น มิลลี่ อัลคอก และเอมิลี่ แคร์รี่ ที่มารับบทเป็นทั้งสองตัวละครในช่วงวัยรุ่น ก่อนที่จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งจะเล่าถึงในตอนถัดไปในฐานะตอนPilotเอพพิโซด1ของHouse of the Dragonถือว่าทำหน้าที่เรียกแขกได้อย่างน่าพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นแขกประจำที่เคยชื่นชอบGame of Thronesสิ่งที่พวกเขาต้องการจากซีรีส์เรื่องนี้ ถือว่ากลับมาอย่างน่าพอใจ นอกจากนี้แฟนซีรีส์น่าจะฮือฮากับหลายๆEaster Eggที่ถูกใส่เข้ามา การMentionถึงหลายตระกูลในGame of Thronesการเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งแฟนๆน่าจะสนุกกับตรงนี้ และรอติดตามอย่างต่อเนื่อง ส่วนแขกใหม่ที่ยังไม่เคยดูGame of Thronesมาก่อน อยากแนะนำว่าHouse of the Dragonอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่น่าสนใจ ด้วยความเป็นPrequelดังนั้น แม้จะไม่เคยดูGame of Thronesมาก่อนเลยก็ดูรู้เรื่อง ลองมาเริ่มต้นไปพร้อมๆกันHouse of The Dragonในซีซั่นแรกมีความยาว10ตอนจบ โดยตอนใหม่จะพร้อมให้สตรีมทุกๆเช้าวันจันทร์เวลา8โมงเช้า(ตรงกับสองทุ่มคืนวันอาทิตย์ของอเมริกา)เฉพาะในHBO GOเท่านั้นภาพ : GameofThrones

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

07 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

เตรียมจัดเข้ากลุ่มหนังไทยระดับท็อปแห่งปีแน่นอน สำหรับ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'หนังไทยเรื่องล่าสุดที่เป็นออริจินัลของ Netflix ที่พร้อมประกาศศักดาฉายพร้อมกันทั่วโลกสุดสัปดาห์นี้ ด้วยพล็อตที่เชือดเฉือน การแสดงสุดเข้มข้น และการชำแหละสังคมอย่างไม่ประนีประนอม นี่คือผลงานล่าสุดของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี (จาก ตั้งวง, Where We Belong) ที่ลงมือเขียนบทและทำหน้าที่อำนวยการสร้าง พร้อมดึงผู้กำกับรุ่นใหม่มากฝีมืออย่าง สิทธิศิริ มงคลสิริ จาก แสงกระสือ มากำกับภาพยนตร์ เล่าถึง ออย (รับบทโดย ออกแบบ-ชุติมณฑน์) แม่ครัวสตรีทฟู้ดที่ถนัดทำอาหารประเภทผัด แต่ด้วยฝีมือและเซ้นต์ในการทำอาหารที่ไม่ธรรมดา ทำให้เธอได้รับการชักชวนให้เข้ามาร่วมงานกับ เชฟพอล (รับบทโดย ปีเตอร์-นพชัย) เชฟชื่อดังระดับประเทศ ที่โด่งดังจากการทำอาหารแบบ Fine Dining ซึ่งมีเฉพาะมหาเศรษฐีและบุคคลระดับวีไอพีเท่านั้น ที่จะได้ลิ้มรสอาหารของเขา และเมื่อออยก้าวเข้าสู่โลกของการทำอาหารในอีกขั้นนึง เมื่ออาหารไม่ใช่แค่สิ่งประทังชีวิต แต่เป็นสิ่งบ่งบอกสถานะทางชนชั้น ชีวิตของออยจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังที่แม้ว่าหน้าหนังจะเล่าเหตุการณ์ในห้องครัว แต่อันที่จริงมันกลับพูดถึงเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นในสังคม สภาพอันน่ารังเกียจของคนกระหายอำนาจในโลกของการเมือง หนังพาผู้ชมไปดูสังคมจำลองในห้องครัวของเชฟพอล สถานที่ซึ่งคำว่าประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง ณ ที่แห่งนี้คืออำนาจเผด็จการล้วนๆ ทุกคนล้วนต้องทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด และผลผลิตทุกจาน ล้วนถูกตอบแทนด้วยเงินมหาศาล อาหารชั้นเลิศที่ไม่มีเชฟคนในนอกจากเชฟพอล พอจะมีเงินจ่ายเพื่อรับประทานได้ หลังจากนั้นหนังค่อยๆขยายเรื่องราวให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปสู่โลกของสังคมชั้นสูง ทั้งในแวดวงการเมือง และไฮโซ ผ่านมุมมองของออย เชฟสาวที่มาจากข้างถนน นี่คือหนังที่ถ่ายทอดประเด็นความแตกต่างทางชนชั้นได้อย่างชัดเจน และสื่อสารกับคนดูแบบไม่ประนีประนอม ไม่อ้อมค้อม แถมหลายฉากยังคล้ายคลึงกับเหตุการณ์จริงในหน้าข่าว จนระหว่างดูแอบอึ้งไปหลายจังหวะอยู่เหมือนกันนอกจากประเด็นและเส้นเรื่องอันเข้มข้นแล้ว นี่คือหนังไทยที่มาพร้อมกับคำว่า "คุณภาพ" ในแทบทุกองค์ประกอบ เริ่มจากงานสร้าง นี่คือหนังที่ภาพรวมสามารถกล่าวได้ว่าเป็นโปรดักชั่นระดับโลก ทุกฉากดูเนี้ยบ ไม่มีจุดไหนหนังของที่ดูเป็นงานCheap หรืองานลวกๆเลย ทุกอย่างถูกดีไซน์มาอย่างดี ทั้งการออกแบบงานสร้าง การบันทึกภาพ การตัดต่อ และอีกส่วนที่เสริมหนังขั้นสุด คือ ดนตรีประกอบ ที่ยิ่งฟังยิ่งขนลุก ยิ่งฟังแล้วยิ่งเร้าอารมณ์ และหลายท่อนถูกออกแบบมาให้เข้ากับหนังที่มีธีมเกี่ยวกับการทำอาหาร มีกลิ่นอายแบบเสียงเคาะของเครื่องครัว กลายเป็น Score ที่ทั้งเพิ่มอารมณ์ร่วมและสร้างเอกลักษณ์ให้กับหนังได้อย่างดีจริงๆและที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ส่งให้ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังต้องดูแห่งปี คือการแสดงของ ออกแบบ และพี่ปีเตอร์ ทุกฉาก (ย้ำว่า ทุกฉาก) ที่ทั้งสองคนปรากฏตัวร่วมกันบนจอ มันโคตรจะ Intense เต็มไปด้วยความตึงเครียด การส่งพลังการแสดงของทั้งคู่ เหมือนสงครามประสาทที่ทำเอาผู้ชมรู้สึกบีบอารมณ์ตามไปด้วย หรือแม้แต่ฉากเดี่ยวๆของทั้งคู่ ก็ยังยอดเยี่ยม ออกแบบ ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกอันซับซ้อนของตัวละคร ออย ได้ จากคนธรรมดาที่เริ่มเห็นภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุการณ์บางอย่างที่บีบบังคับให้เธอกระหายความเป็นคนพิเศษ จนถึงจุดที่เธอเริ่มเห็นว่า โลกของคนชั้นบนมันเป็นอย่างไร ออกแบบสามารถแสดงออกผ่านสีหน้าและอารมณ์ได้อย่างดี เธอสามารถตรึงคนดูให้อยู่กับตัวละคร ออย ได้ตลอดเวลาจริงๆ เสริมทัพด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ของทั้ง กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา และ เอม ภูมิภัทร ยิ่งทำให้หนังสมบูรณ์แบบมากขึ้น(รายหลังนี่ ปรากฏตัวในหนังไทยเป็นเรื่องที่3ของปีนี้แล้ว ต่อจาก ขุนพันธ์ ๓ และ แสงกระสือ 2โดยรวม 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'คือหนังไทยที่ทำให้คนดูยังศรัทธาและเชื่อมั่นว่า หนังไทยยังไปได้อีกไกล ยิ่งเรื่องนี้ลงใน Netflix และดูได้พร้อมกันกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ยิ่งเป็นงานที่ไปฉายโชว์ให้คนข้างนอกดูได้อย่างน่าภูมิใจ (แต่ก็อับอายในประเด็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนเช่นกัน) แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้ดูในโรงกัน เพราะงานโปรดักชั่นระดับนี้เหมาะกับการเข้าโรงมาก และถ้าเข้าโรงก็น่าจะกลายเป็นหนังตัวเต็งรางวัลในต้นปีหน้าได้แบบสบายๆ แต่ข้อดีของการดูผ่าน Netflix ที่บ้าน คือผู้ชมสามารถกด Pause เพื่อไปทำอาหารหรือสั่งอะไรมากินได้ เพราะหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณน้ำลายไหลอย่างแน่นอน แม้แต่ข้าวผัดธรรมดาๆ หนังก็สามารถทำให้คนดูหิวได้ (อันนี้เรื่องจริงนะ เตรียมของกินรอไว้เลย)ชมตัวอย่าง Hunger คนหิวเกมกระหาย 8 เมษายนใน Netflix ทั่วโลกภาพ : Netflix Thailand

album

0
0.8
1