[REVIEW] ‘Elemental’ ผจญภัยเมืองธาตุสุดตื่นตา หนังมาพร้อมไอเดียสุดล้ำ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Elemental’ ผจญภัยเมืองธาตุสุดตื่นตา หนังมาพร้อมไอเดียสุดล้ำ | GOSSIP GUN

19 มิ.ย. 2023

พิกซาร์แอนิเมชั่นกลับมาพร้อมกับหนังไฮคอนเซปต์อีกครั้งใน Elemental หลังจากเคยหยิบเอา "อารมณ์" ของมนุษย์มาพัฒนาเป็นตัวละครมาแล้วใน Inside Out ล่าสุดทางสตูดิโอขอหยิบเอา "ธาตุ" มาสร้างเป็นคาแรคเตอร์กันบ้างในหนังใหม่ที่จะพาผู้ชมเข้าสู่โลกของธาตุ เมื่อตัวละครถูกแบ่งออกเป็นพวก ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้องมาอาศัยร่วมกันในเมือง Element City กลายเป็นเรื่องราวอันวุ่นวาย โดยไอเดียสุดล้ำนี้มาจาก ปีเตอร์ ซอห์น ที่เคยพาหนังพิกซาร์คว่ำมาแล้วใน The Good Dinosaur เขาขอโอกาสแก้ตัวกับโปรเจกต์นี้ ที่ดูเหมือนจะทะเยอทะยานยิ่งกว่าเก่า โดยมี พีท ดอกเตอร์ จากหนังพิกซาร์ระดับหัวๆอย่างUp, Inside Out และ Soul มาทำหน้าที่อำนวยการสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่า Elemental จะกลับมาเป็นหนังคืนฟอร์มให้กับพิกซาร์ได้สำเร็จ

Elemental เล่าเรื่องราวของเอมเบอร์ หญิงสาวที่โตมาในครอบครัวของไฟ ธาตุสายพันธุ์เดียวที่ถูกมองว่าเป็นอันตราย เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถอยู่ใกล้กับทั้ง น้ำ ดิน หรือลมได้ เอมเบอร์ถูกวางตัวให้เป็นทายาทสืบทอดกิจการของพ่อ ที่เปิดร้านไฟร์เพลส เพื่อสานฝันให้กับตัวเอง ทุกวันเธอต้องทำทุกทางเพื่อพิสูจน์ว่า สามารถดูแลร้านต่อจากพ่อได้ แต่ด้วยความอารมณ์ร้อน หลายครั้งเมื่อเธอระเบิดอารมณ์จึงทำให้ร้านเกือบพัง และครั้งล่าสุดทำให้เธอได้บังเอิญเจอกับ เวด หนุ่มธาตุน้ำที่ขาดความมั่นใจ ซึ่งทำงานให้กับศาลาว่าการของเมือง ที่ดันพลาดส่งคำร้องเพื่อปิดกิจการร้านไฟร์เพลสไป เพราะสร้างไม่ได้มาตรฐาน เอมเบอร์และเวดจึงต้องร่วมมือกันแก้ไขความผิดพลาดนี้ เพื่อรักษาร้านของพ่อเธอไว้ ในขณะที่ใครๆก็รู้ว่า น้ำกับไฟ อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เอมเบอร์และเวดกลับเริ่มสานสัมพันธ์ และพบว่า บางอย่างที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเชื่อมั่นมากพอ มันอาจจะเป็นจริงก็เป็นอันได้ ! 

โดยรวม Elemental ถือเป็นแอนิเมชั่นที่เพลิดเพลิน ตื่นตาและแปลกตามากๆ ผู้สร้างสามารถหยิบเอาไอเดียสุดล้ำเรื่องธาตุมาต่อยอดได้อย่างหลากหลาย ไฮไลต์สำคัญ คือการออกแบบสร้างสรรค์เมืองธาตุและตัวละคร ให้ดูแปลกใหม่ นับตั้งแต่นาทีแรกที่ผู้ชมได้สัมผัส Element City มันดูหวือหวาเหมือนกำลังเดินเข้าสู่สวนสนุก (ซึ่งดิสนีย์สามารถนำไปต่อยอดกับดิสนีย์แลนด์ได้) รายละเอียดของเมืองได้หยิบเอาข้อจำกัดเกี่ยวกับธาตุต่างๆมาเล่นได้อย่างสนุกสนาน นำไปสู่การสร้างคาแรคเตอร์ที่ดูไม่ซ้ำทางกับหนังเรื่องไหนที่มีมาก่อน ทำให้ Elemental มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน น่าสนใจไม่เหมือนใคร และที่สร้างสีสันได้อย่างดี คือหนังนำเมนไอเดียเกี่ยวกับธาตุต่างๆมาสร้างเป็นมุกตลกได้ค่อนข้างเวิร์กตลอดทั้งเรื่อง (ซึ่งมุกต่างๆแอบอ้างอิงถึงหลักวิทยาศาสตร์ได้อย่างสนุกสนาน)

แม้หนังจะมาพร้อมงานวิชวลสุดตื่นตา และไอเดียหลักที่ค่อนข้างแปลกใหม่ แต่แอบน่าเสียดายที่ตัวแก่นหลักหรือโครงเรื่องของหนังนั้น กลับเป็นสิ่งที่แฟนแอนิเมชั่นโดยเฉพาะของดิสนีย์ มักจะได้ดูกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องสุดคลาสสิกเรื่องความรักต้องห้าม จากความแตกต่างของตัวละครทั้งต่างสายพันธ์หรือต่างชนชั้น ที่เราเคยดูกันจากทั้ง Beauty and the Beast, Aladdin, The Little Mermaid ที่สองตัวละครหลักต้องฝ่าฟันอุปสรรคเมื่อคนรอบข้างบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรีือแม้แต่ปมเรื่องตัวละครหลักที่ต้องการทำตามความปรารถนาของตัวเอง หาใช่สิ่งที่พ่อแม่วางไว้ให้ ซึ่งเห็นได้บ่อยๆในหนังของพิกซาร์ พอ Elemental เลือกที่จะเล่าประเด็นนี้ เลยทำให้หนังไม่สามารถไปไกลได้ในระดับ Up, Soul หรือแม้แต่ Inside Out ที่ต่างเล่าประเด็นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า จุดนี้เองเลยกลับดึงให้ Elemental ที่ได้ขึ้นไปอยู่ในกลุ่มหนังพิกซาร์ระดับบนๆอย่างที่หน้าหนังส่งให้มันควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม Elemental ถือเป็นหนังแอนิเมชั่นของพิกซาร์ที่อยู่ในกลุ่มประคองตัว หลังจากทางค่ายมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังหลายเรื่องในระยะหลัง (โดยเฉพาะ Lightyear เมื่อปีก่อนที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเสียดาย) สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ดูสนุก เพลิดเพลินตา มาพร้อมกับตัวเรื่องที่ใครๆก็สามารถเข้าถึงได้อย่างไม่ยาก และตัวหนังเองแอบโรแมนติกมากกว่าที่คิด อาจจะเป็นหนังพิกซาร์ที่โรแมนติกที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ แต่แค่น่าเสียดายที่มันไม่สามารถพลิกเกมให้กับค่ายอย่างที่คาดหวังไว้เท่านั้นเอง

ชมตัวอย่าง Elemental เข้าฉาย 22 มิถุนายนนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Scream VI’ เมื่อหนังไล่เชือดมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก สดขึ้น โหดขึ้น สะใจแน่นอน | GOSSIP GUN

09 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘Scream VI’ เมื่อหนังไล่เชือดมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก สดขึ้น โหดขึ้น สะใจแน่นอน | GOSSIP GUN

ใครจะไปคิดว่าตำนานแห่งหนังไล่เชือดที่อายุมากกว่า 27 ปีแล้ว กำลังกลับมาสู่ขาขึ้นสุดๆ Scream หรือ หวีดสุดขีด ภาคแรก ออกฉายในปี 1996 จากหนังนอกกระแส กลายเป็นผลงานที่ปลุกหนังแนว Slasher ให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง กลายเป็นว่าในช่วงปลายยุค 90s ถึงต้นยุค 2000s ก็มีหนังไล่เชือดวัยรุ่นออกฉายกันตามมาอีกเป็นพรวน เช่นเดียวกับ Scream เองที่ก็มีภาคต่อตามออกมาไล่เลี่ยกันอีก 2ภาค ก่อนที่จะเว้นระยะห่างแล้วกลับมาใน Scream 4 แต่ดูเหมือนกระแสความนิยมของแฟรนไชส์นี้ ลดลงอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับคุณภาพของมัน แม้ว่าต้นตำรับอย่าง เวส คราเวน ผู้กำกับจากภาคแรกจะดูแลเองทั้งหมด แต่ดูเหมือนลมหายใจของหนังจะหมดแค่นั้น จนกระทั่งปีก่อน จิตวิญญาณของ Scream ถูกปลุกอีกครั้งโดย แมตต์ เบติเนลลี่-โอลพิน และไทเลอร์ จิลเล็ต คู่หูจากหนังเด็ด Ready or Not ด้วยความที่พวกเขาเข้าใจในความเป็น Slasher Film อย่างดีเยี่ยม กลายเป็นว่า Scream 5 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และได้ใจแฟนหนังไล่เชือดไปเต็มๆ จึงไม่แปลกใจที่พาราเมาต์จะอนุมัติสร้างภาคใหม่อย่างรวดเร็ว จนมาถึง Scream VI ที่เตรียมเข้าฉายในสุดสัปดาห์นี้.ความแปลกใหม่ของ Scream VI คือการพาตัวละครย้ายโลเคชั่นจากเมืองเล็กๆ มาสู่มหานครยักษ์ใหญ่ในอเมริกาอย่าง นิวยอร์ก โดยโฟกัสที่สองพี่น้อง แซม และทาร่า (รับบทโดย เมลิซซ่า เบอเรร่า และ เจนน่า ออร์เทก้า ที่ดังสุดๆจากบทWednesday) ผู้รอดตายจากภาคก่อน และเพื่อลืมฝันร้ายนี้ พวกเธอจึงตัดสินใจย้ายไปยังนิวยอร์ก เพื่อเรียนต่อและเริ่มต้นชีวิตใหม่ พร้อมกับเพื่อนที่รอดตายอีก 2 คน แต่ดูเหมือนฝันร้ายจากโกสต์เฟซ จะไม่หมดไปง่ายๆ เมื่อเหตุไล่แทงคนตาย เกิดขึ้นอีกครั้งในมหาวิทยาลัยที่พวกเธอเรียน โดยคนร้ายได้ทิ้งหน้ากากโกสต์เฟซ ของฆาตกรคนก่อนๆ ไว้ในที่เกิดเหตุด้วย จากการสืบสวนของตำรวจ ทุกอย่างดูจะมุ่งกลับมาที่แซมอีกครั้ง ในฐานะที่เธอมีสายเลือดของฆาตกร สองพี่น้องแซมและทาร่า จึงต้องทำทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอด และค้นหาว่าใครกันแน่คือคนร้าย ท่ามกลางบรรยากาศเมืองใหญ่อันแสนอึกทึกและอันตรายเมืองนี้หลังจากแฟรนไชส์ Scream ถูกชุบชีวิตในภาคก่อน การเข้ามาของสองผู้กำกับ แมตต์ และไทเลอร์ ซึ่งตกหลุมรักหนังแนวนี้ เพิ่มความเฟรชให้กับหนังเป็นอย่างมาก พวกเขาสามารถรักษาจิตวิญญาณของ Scream ไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มสิ่งใหม่ๆเข้ามา ทำให้หนังเป็นมากกว่าหนังไล่เชือดทั่วไป มันคือหนัง Slasher Film ที่มีชั้นเชิงและไม่โง่เง่า บวกด้วยอารมณ์ขันแบบร้ายกาจ และเพิ่มกลิ่นอายความเป็นหนัง Who Dun It หรือตามหาว่าใครคือฆาตกรเข้าไป นั่นทำให้ภาคก่อนสดใหม่ขึ้นมา ปรากฏว่ามาถึงในภาคที่ 6 อะไรที่ว่าเฟรชแล้วในภาคนี้ มันถูกยกระดับขึ้นไปอีก ทำให้ Scream VI แม้จะเดินทางมาถึงภาคที่ 6 แล้ว มันกลับไม่ดูซ้ำซากหรือน่าเบื่อเลย ด้วยกลุ่มตัวละครที่แทบทิ้งออริจินัลเกือบหมด (เหลือแค่ ค็อกท์นี่ย์ ค็อกซ์ ที่กลับมารับบทเกล) และการย้ายโลเคชั่นหนังมายังนิวยอร์ก ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ทำให้บรรยากาศกลับมาสดใหม่ และใช้ประโยชน์จากความจอแจแออัดของเมืองใหญ่ได้ดีแน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Scream VI คือฉากไล่เชือด ซึ่งดูเผินๆ อาจเหมือนทุกภาค เมื่อฆาตกรในหน้ากากโกสต์เฟซ ออกมาไล่เชือดตัวละครทีละตัว แต่ภาคนี้มันเจ๋งกว่านั้น ด้วยชั้นเชิงในการเล่า กลายเป็นว่า ฉากเหล่านี้ไม่ได้มีมิติเดียวอีกต่อไป หลายซีนที่หนังเพิ่มอุปสรรคเข้าไปให้ตัวละครอีก พวกเขาไม่เพียงต้องหนีจากฆาตกรเท่านั้น แต่ยังต้องเอาตัวรอดจากอุปสรรคอื่นๆ หลายฉากใช้ความเป็นเมืองใหญ่ให้เป็นประโยชน์ อาทิ ฉากในรถไฟใต้ดิน ที่อยู่ในตัวอย่าง นอกจากเหล่าตัวละครต้องหนีฆาตกรแล้ว พวกเขาต้องเผชิญกับความแออัดของคนจำนวนมาก หนีก็ยาก แถมหนังยังใส่เทศกาลฮาโลวีนเข้าไปอีก ให้ผู้คนต่างใส่หน้ากากโกสต์เฟซ กลายเป็นว่าทีนี้ก็ไม่รู้แล้วว่า ใต้หน้ากากไหนคือคนร้ายกันแน่ ชั้นเชิงเหล่านี้ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อยกระดับฉากเชือด ซึ่งในภาคนี้ทั้งหนักแน่น แม่นยำ และโหดเหี้ยมยิ่งกว่าทุกภาค สายคอหนังโหดเลือดสาด จะต้องสะใจกันภาคนี้อย่างมากโดยรวมนี่คือหนัง Scream ภาคที่มาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแฟรนไชส์ขึ้นไปอีก หลังภาคก่อนกลับมาเพื่อเรียกศรัทธา และภาคนี้มาเพื่อตอกย้ำว่า เราคือหนังไล่เชือดแห่งยุคที่ไม่มีวันจบลงง่ายๆ นี่คือหนังภาคที่เดือดจัดตั้งแต่ฉากแรก เหมือนพอเริ่มสตาร์ทปุ๊ป หนังก็ดูจะไม่มีวันหยุดง่ายๆ จัดเต็มด้วยฉากไล่เชือดที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น และลุ้นจนแทบหยุดลมหายใจ เป็นการบอกว่าครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แต่อยากหักคะแนนนิดเดียว ตรงอารมณ์ขันแบบตลกร้าย ที่เพิ่มเสน่ห์ให้ภาคก่อน ดูเหมือนภาคนี้จะจริงจังขึ้น และพยายามตลกลดลง แต่ใดๆก็ยังมีความแสบในแบบของผู้กำกับคู่นี้อยู่ ใครที่เป็นแฟนหนังไล่เชือด รับประกันว่าภาคนี้ไม่เสียดายเวลาดูแน่นอน ส่วนใครเป็นมือใหม่สำหรับแฟรนไชส์ Scream แนะนำให้ย้อนกลับไปดูภาค 5 ก่อน เพราะภาคนี้ถือว่าเป็นภาคต่อแบบตรงๆที่เนื้อเรื่องค่อนข้างเชื่อมโยงกัน จะได้ไม่งงและสนุกกันแบบเต็มสูบปล. Scream VI มีฉากแถมท้าย End-Credit ด้วย หนังจบอย่าเพิ่งลุกกันนะภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่าง Scream VI หวีดสุดขีด 6 วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] 'Thirteen Lives' หนังภารกิจถ้ำหลวงฉบับฮอลลีวูด ระทึกและสมจริงสุด | GOSSIP GUN

05 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Thirteen Lives' หนังภารกิจถ้ำหลวงฉบับฮอลลีวูด ระทึกและสมจริงสุด | GOSSIP GUN

ในฐานะคนไทย ภาพยนตร์ Thirteen Lives ถือเป็นหนังที่หลายคนรอคอยมากๆ เพราะนอกจากจะสร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและกลายเป็นข่าวดังระดับโลก กับภารกิจช่วยชีวิต 13 หมูป่าจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน หนังยังมีนัักแสดงชื่อดังและทีมงานชาวไทย ไปมีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้อีกเพียบ ไฮไลต์หลักๆของ Thirteen Lives คงหนีไม่พ้นชื่อชั้นของผู้กำกับอย่าง รอน ฮาเวิร์ด จากหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Apollo 13 และ The Da Vinci Code อีกทั้งยังเคยชนะรางวัลออสการ์จาก A Beautiful Mind มาแล้ว โดยหนังได้ดาราฮอลลีวูดอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซ่น (พระเอก The Lord of the Rings), โคลิน ฟาร์เรล และโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน มารับบทนำ ในบทของเหล่านักดำน้ำระดับโลก ที่เดินทางมายังไทยเพื่อช่วยเหลือในภารกิจครั้งนี้ในฝากของนักแสดงชาวไทย นำทีมโดย เวียร์ ศุกลวัฒน์ ในบทจ่าแซม อดีตทหารเรือที่สละชีวิตในถ้ำหลวง, เจมส์ ธีรดนย์ รับบท โค้ชเอก ผู้ใหญ่คนเดียวที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงกับเด็กๆและคอยดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ร่วมด้วย ตุ้ย ธีรภัทร, ตู่ ภพธร รวมถึงสองนักแสดงไทย ที่เรามักเห็นปรากฏตัวในหนังต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทยบ่อยๆอย่าง ปู สหจักร ซึ่งรับบทเป็นผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ และ ปู วิทยา รับบทเป็น รัฐมนตรี (ซึ่งแม้ในหนังจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็มีการเปิดเผยว่าตัวละครนี้คือ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) และนักแสดงไทยอีกเพียบ ในส่วนของทีมงานนั้น ไฮไลต์สำคัญคือ คุณสยุมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพชาวไทย ที่โด่งดังระดับโลก จากผลงานในหนัง เจ้ย อภิชาติพงศ์ มากมาย จนกระทั่งได้กำกับภาพหนังฮอลลีวูดอย่าง Call Me By Your Name และ Suspiria โดยทั้งหมดได้เดินทางไปยังออสเตรเลีย โลเคชั่นหลักที่ใช้ในการถ่ายทำ รวมถึงบางส่วนของหนังก็ถ่ายทำในประเทศไทยด้วยพอเป็นคนไทย ระหว่างดู Thirteen Lives ก็จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ กับการที่ได้เห็นนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตาในหนังระดับฮอลลีวูด ได้ฟังภาษาไทยแบบชัดๆในหนังที่กำกับโดยผู้กำกับระดับโลก ได้เฝ้าดูภารกิจอย่างใกล้ชิด กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยรวม Thirteen Lives สร้างออกมาได้ค่อนข้างสมจริงมาก จนบางจังหวะในการดู แทบจะไม่รู้สึกเลยว่ามันคือหนัง ความรู้สึกในบางจุด เหมือนกำลังดูฟุตเทจจากเหตุการณ์จริงเสียมากกว่า หรือแม้แต่นักแสดงอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซ่น และ โคลิน ฟาร์เรล ที่ดูแทบจะไร้ความเป็นดาราเลย ทั้งสองคนสามารถเนียนไปกับหนังได้ เหมือนเป็นนักประดาน้ำจริงๆ นอกจากนี้ ในแง่การออกแบบงานสร้าง หนังสามารถทำให้คนไทยเชื่อได้ว่านี่คือประเทศไทย ด้วยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สมจริงไปหมด ต่างจากหนังฮอลลีวูดหลายๆเรื่อง ที่สร้างเมืองไทย ไม่เหมือนเมืองไทย (อย่างล่าสุดคือ The Gray Man ที่ขัดใจแฟนหนังชาวไทยเหลือเกิน)แม้จะมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 30นาที แต่ Thirteen Lives ถือว่าเดินเรื่องไปข้างหน้าด้วย Pacing ที่ค่อนข้างเร็ว เผลอแป้ปเดียวก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่เด็กๆติดอยู่ในถ้ำหลายวันแล้ว อาจจะเพราะด้วยต้องขยี้ในช่วงหลังค่อนข้างมาก รวมถึงหนังตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกเกือบหมด และโฟกัสที่ภารกิจการช่วยเหลือ ทำให้ไม่มีจุดที่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อเลยในช่วงของการปูพล็อต นำไปสู่ภารกิจหลัก ในขณะที่ครึ่งหลัง หนังก็เลือกที่จะมาขยี้ในช่วงสุดท้ายที่ช่วยเด็กๆทั้งหมดแบบเต็มๆ ซึ่งพาร์ทนี้เอง Thirteen Lives ทำออกมาได้อย่างสมจริง ทั้งระทึก ทั้งชวนอึดอัดเป็นอย่างมาก ความเก่งกาจของผู้สร้างคือ แม้ว่าเราจะรู้บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว แต่หนังก็ยังบิลด์ให้เราตื่นเต้นไปกับภารกิจได้ สามารถตรึงเราไว้ได้ตลอด ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีมากๆของหนังเรื่องนี้ ถ้าจะมีจุดบกพร่องที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นเรื่องของการปูคาแร็คเตอร์ ซึ่งหนังไม่มีเวลามากพอ ทำให้ผู้ชมจะไม่ค่อยได้เห็นที่มาของตัวละคร ได้แค่รู้จักพวกเขาผิวเผิน ระหว่างที่ภารกิจดำเนินไปแล้วเท่านั้นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ สำหรับ Thirteen Lives คือการที่ผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง ซึ่งการดูในโรงเพิ่มทั้งอรรถรสและเพิ่มสมาธิระหว่างชมได้อย่างมาก เดิมทีหนังเรื่องนี้สร้างโดยสตูดิโอใหญ่อย่าง MGM (ค่ายที่สร้าง เจมส์ บอนด์) และเคยวางโปรแกรมฉายในโรง แต่เพราะค่าย Amazon ได้ซึ่งกิจการของ MGM ไป และเพื่อดันสตรีมมิ่งของค่ายอย่างAmazon Prime โปรเจกต์หนัง Thirteen Lives จึงถูกโยกมาฉายในแพลตฟอร์มนี้แทน โดยคอหนังชาวไทยสามารถรับชมThirteen Lives ได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งตัวของ Amazon Prime ในประเทศไทยนั้น เพิ่งเปิดตัวทำการตลาดไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และสามารถสมัครสมาชิกได้ โดยเสียค่ารับชมเดือนละ 149 บาทเท่านั้น (แต่มีให้ทดลองใช้ฟรี 7 วัน) สำหรับใครที่แพลนจะดู Thirteen Lives อยากแนะนำให้สร้างบรรยากาศในการดู ด้วยการปิดไฟหรีือชมในที่มืด น่าจะช่วยให้อินกับหนังได้มากขึ้น เพราะหลายฉาก อาทิ ฉากในถ้ำ อาจจะค่อนข้างมืด ถ้าดูในที่สว่างมากๆ มีโอกาสที่ผู้ชมจะถูกผลักออกมาจากหนังก็เป็นอันได้ชมตัวอย่าง Thirteen Lives สตรีมได้แล้วใน Amazon Prime Video

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

09 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

เมื่อนักแสดงเจ้าของสองรางวัลออสการ์ ทอม แฮงค์ และผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกล โรเบิร์ต เซเมกคิส มาเจอกันทีไร มักเกิดความอัศจรรย์บนแผ่นฟิล์มมาโดยตลอด นับตั้งแต่ Forrest Gump (1994) ที่ชีวิตอันแสนมหัศจรรย์ได้อย่างน่าประทับใจ ต่อด้วย Cast Away (2000) หนังที่เล่าถึงชีวิตชายติดเกาะที่ไม่เหมือนใคร และ The Polar Express (2004) หนังแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งตอนนั้น แฮงค์ เหมาเล่นคนเดียวไป 6 บน จนกระทั่งล่าสุดพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งในโปรเจกต์รีเมกแอนิเมชั่นคลาสสิก Pinocchioเวอร์ชั่น Live-Action หนังจากดิสนีย์สร้างฉบับการ์ตูน ผ่านมา 80 กว่าปี มีหนังพินอคคิโอมากมายหลายฉบับ แต่ หนังที่ดิสนีย์รีเมกเองนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ทอม แฮงค์ รับบท เจปเปทโต ช่างไม้ที่สร้างหุ่นเด็กผู้ชาย พินอคคิโอ ขึ้นมาจากไม้ เพื่อระลึกถึงลูกชายของเขาที่จากไปแล้ว ด้วยคำขอพรของเขา ทำให้ในค่ำคืนหนึ่ง นางฟ้าได้ปรากฏตัวขึ้น (รับบทโดย ซินเทีย อาริโว่ นักแสดง/ศิลปิน เจ้าของรางวัลแกรมมี่) และเสกให้พินอคคิโอ มีชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป และเสกให้จิ้งหรีด คอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เมื่อวันแรกที่ เจปเปทโต ส่ง พินอคคิโอ ไปเรียนหนังสือ เขากลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะแค่แตกต่างจากเด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัย และเรียนรู้โลกกว้าง จนพินอคคิโอเข้าใจว่า อะไรกันแน่คือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือความถูกต้องแม้ผู้ชมจะพอรู้เส้นเรื่อง หรือเคยดูหนัง Pinocchio หลากหลายฉบับมาก่อนแล้ว แต่หนังในฉบับนี้ ก็ยังสร้างความสดใหม่ให้เรื่องราวได้ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ แม้หนังจะเริ่มต้นด้วยเส้นเรื่องที่ผู้ชมคุ้นเคย แต่เมื่อ พินอคคิโอ ออกจากบ้าน ดิสนีย์ก็ได้ค่อยๆแต่งเติม สร้างสีสันที่แปลกใหม่ จนกระทั่งนำไปสู่องก์สุดท้ายของหนัง ที่มาพร้อมกับไคลแมกซ์ และบทสรุปที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากเส้นเรื่องที่ไม่ซ้ำเดิมแล้ว ดิสนีย์ยังเลือกใส่ Easter Egg เกี่ยวกับดิสนีย์เองเข้ามาเบาๆ ถ้าใครสังเกตทันก็จะเห็นถึงความขี้เล่นของค่าย แต่แม้ว่าตัวบทอาจจะมีอะไรแปลกไปจากเดิม แต่หัวใจของเรื่อง Pinocchio ก็ยังอยู่อย่างครบถ้วน ยังคงให้อารมณ์สุดประทับใจกับผู้ชมได้แทบตลอดทั้งเรื่องในแง่ของงานสร้าง Pinocchio ทำออกมาได้ค่อนข้างสมูธ หลายฉากช่วงแรกๆแม้จะเล่าเรื่องแค่ในบ้านของ เจปเปทโต แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์เล็กๆ จนกระทั่งฉากที่พินอคคิโอออกไปผจญภัยในโลกกว้าง สร้างความตื่นตาได้ดีทีเดียว อาทิ Pleasure Island ก็ออกแบบมาอย่างน่าดึงดูด หรือฉากไคลแมกซ์กลางมหาสมุทรก็ดูยิ่งใหญ่ จนแอบเสียดายนิดๆ ที่ผู้ชมทั่วโลกจะได้ดู Pinocchio ในบ้านเป็นหลัก เพราะอันที่จริงหนังมีโอกาสที่จะทำเงินได้ไม่ยากเลย ถ้าเข้าฉายในโรง และวางโปรแกรมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข อย่าง Thanksgiving หรีือ Christmasอย่างไรก็ตาม Pinocchio ฉบับ Live-Action ก็ยังไม่ใช่หนังระดับเพอร์เฟค มีหลายๆส่วนที่ดูไม่เข้ากับหนัง อาทิ มีมุกนึงที่ตลก แต่มันดูไม่เข้ากับยุคสมัย ทำให้ผู้ชมหลุดออกมาจากหนังอยู่เหมือนกัน หรืออย่างจังหวะในการเล่า ที่ช่วงแรกก่อนที่ พินอคคิโอ จะมีชีวิตนั้น Pacing ค่อนข้างช้ามากๆ ดีไม่ดี เด็กๆหลับไปก่อนแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้อง Skip ไปตอนที่สนุกเลย และอีกพาร์ทที่หนังยังแอบไม่ชัดเจนนิดๆ คือการที่ให้บางฉากตัวละครพูดบทเป็นบทกลอน บางฉากก็ร้องเพลงออกมาเลย บางฉากเหมือน ทอม แฮงค์ จะร้องเพลงแต่ก็ไม่ร้อง มันเลยดูเหมือนจะกั๊กๆ จะเป็นหนังมิวสิคัลเลยก็ไม่ถึงขนาดนั้น จะเป็นหนังกวีก็ยังไม่ใช่ เป็นส่วนผสมที่ยังแปร่งๆ ไม่ลงตัวเท่าไหร่ท้ายที่สุด Pinocchio ฉบับใหม่ ก็อาจจะยังไม่ใช่การคอลแล็ปที่ดีที่สุดของ ทอม แฮงค์ และโรเบิร์ต เซเมกคิส ในขณะเดียวกัน ถ้าจัดอันดับหนังดิสนีย์ Live-Action ในระยะหลัง ก็สามารถวาง Pinocchio ไว้ได้ในลำดับกลางๆ แต่หนังก็ยังสนุก และมีของดีมากพอ ที่จะให้ทุกคนเปิดชมหนังได้ โดยเฉพาะครอบครัว และเด็กๆ ที่น่าจะเอ็นจอยกับหนังอย่างแน่นอน เพราะมีความชวนตื่นตาในแง่ของ CG ตัวละครสัตว์ต่างๆอยู่พอสมควร เด็กๆจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากหนังเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่หนัง Pinocchio เพียงเรื่องเดียวของปี เพราะธันวาคมนี้จะมีอีกเวอร์ชั่น โดยผู้กำกับ กิลเลอโม่ เดล โตโร่ ที่จะฉายใน Netflix ต้องมารอติตตามศึกพินอคคิโอนัดนี้ เรื่องนี้จะเจ๋งกว่ากันภาพ : DisneyPlus Hotstar Thailandชมตัวอย่าง Pinocchio สตรีมได้แล้ววันนี้ใน Disney+ Hotstar

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

30 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

สิ่งที่ผู้ชมต้องการจากหนังMinionsคงไม่มีอะไรมากนอกจากเสียงหัวเราะ ดังนั้นถ้าหนังสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้ ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ส่วนข้อดีอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมา คงเป็นของแถม ซึ่งMinions : The Rise of Gruทำหน้าที่เป็นหนังแอนิเมชั่นคลายเครียดได้อย่างอยู่หมัด เป็นเวลา90นาทีที่เราสามารถลืมทุกอย่างภายนอก แล้วไปสนุกกับโลกป่วนๆของพวกมินเนียนได้ หลังจากที่พวกเราห่างหายจากการดูหนังเดี่ยวของMinionsมานานถึง7ปี และห่างหายจากDespicable Meมานานถึง5ปีแล้วถ้าจะอธิบายถึงสถานะของหนังMinions : The Rise of Gruอาจจะวุ่นวายเล็กน้อย เพราะมันคือหนังภาคต่อของMinionsในปี2015ซึ่งตัวหนังMinionsเองถือเป็นหนังภาคแยกออกมาจากDespicable Meซึ่งเน้นไปที่ตัวละครกรู บอสใหญ่ของเหล่ามินเนียน ซึ่งเหตุการณ์ในหนังMinions : The Rise of Gruจะเกิดขึ้นหลังจากMinionsแต่เป็นก่อนDespicable Meในภาคแรก โดยจะเล่าถึงกรูในวัย12ปีที่กำลังหาทางขึ้นไปเป็นวายร้ายระดับท็อปของโลกให้ได้ และโอกาสก็มาถึงเมื่อเหล่า วิกเชียส6แก๊งหกวายร้ายตัวเป้งของโลก เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ กรูจึงตั้งใจจะเป็นสมาชิกให้ได้ แต่กลับถูกเหล่าวายร้ายรุ่นเดอะเหยียดหยามว่าเขาเป็นแค่เด็ก กรูจึงขโมยสมบัติล้ำค่าออกมา เพื่อพิสูจน์ว่า เขาไม่ใช่เด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัยสุดป่วน ของทั้งกรู และแก๊งมินเนียนสมุนของเขาทั้งหมดแม้หนังภาคนี้ จะมีเรื่องราวของ กรู ในวัยเด็กเข้ามาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง แต่ไฮไลต์จริงๆ คงหนีไม่พ้นเหล่าตัวละคร มินเนียน ที่ถาโถมความป่วนเข้ามาตลอดทั้งเรื่อง เหมือนผู้สร้างรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่แฟนๆชอบ อะไรคือสิ่งที่ผู้ชมที่ตั๋วเข้ามาดูต้องการ จึงสร้างสรรค์ฉากฮาๆ สำหรับตัวละครมินเนียนออกมาได้เพียบ ฉากการเดินทางข้ามอเมริกาและฉากฝึกศิลปะการต่อสู้ ก็เปิดโอกาสให้ผู้สร้างได้ใส่มุกมากมายในหนัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ขำตลอด แต่ที่เซอร์ไพรสคือ ผู้สร้างเลือกที่จะชูตัวละครนึงขึ้นมาคือ อ็อตโต้ ซึ่งทำสิ่งผิดพลาดบางอย่างในตอนต้นเรื่อง ทำให้เขาค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิต และเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน เราจะได้เห็นการเรียนรู้บางอย่างและเติบโตขึ้นของกรูเช่นกัน ทำให้Minions : The Rise of Gruเป็นหนังตลกโบ๊ะบ๊ะเท่านั้น แต่ก็ยังมีความเป็นComing-of-Ageผสมผสานเข้ามาด้วยสีสันที่ทำให้Minionsน่าสนใจเพิ่่มขึ้นมา คือการสร้างบรรยากาศในยุค70s (ต่างจากDespicable Meที่เล่าให้ยุคปัจจุบัน)หนังมีการหยิบเอาPop Cultureบางอย่างมาใช้ประกอบ หยิบเอาอุปกรณ์ต่างๆในยุคนั้นมาเล่น มาแซว ทำให้ผู้ชมที่เป็นกลุ่มพ่อแม่ ที่พาลูกเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อาจจะนั่งขำหรือนึกย้อนถึงสมัยก่อน เพิ่มขึ้นจากการขำตัวมินเนียนแค่นั้น อีกหนึ่งสีสันสำคัญ คือการกลับมาพากย์เสียงประกอบ ของ สตีฟ คาร์เรล ในบทของกรู บวกกับการปรากฏตัวของบางตัวละคร ที่จะเชื่อมไปยังDespicable Meภาคแรก ทำให้ผู้ชมที่อาจจะพอจำภาคแรกได้ ได้ถึงย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของหนังแฟรนไชส์นี้ได้ โดยหนังยังมีนักแสดงสายแอ็กชันมาพากย์เสียงเพียบ ทั้ง มิเชลล์ โหย่ว,ฌอง คลอด แวน แดมม์ และดอล์ฟ ลุนเกรน เรียกว่าจัดเต็มในกลุ่มทีมพากย์พอสมควรสิ่งที่น่าเสียดายเล็กน้อยสำหรับMinions : The Rise of Gruคือพล็อตเรื่องที่อาจจะเบาบางไปนิด แต่ก็เอื้อให้เกิดฉากผจญภัยที่สนุกสนานและฉากตลกมากมาย และการสร้างตัวร้ายประจำภาคนี้ นั่นคือ กลุ่มวิกเชียส6ซึ่งมีสมาชิกมากถึงหกคน แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไหร่นัก แต่ละตัวละครต่างมีจุดเด่นที่ปรากฏเยอะไปหมด ความเยอะในทุกตัวละครนี้ กลับทำให้ไม่มีตัวละครไหนเด่นเลย แทนที่การรวมพลัง6คน มันควรจะยิ่งใหญ่ดูน่าเกรงขาม แต่พวกเขากลับร้ายแค่ระดับผิวเผินเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับ ตัวละคร สการ์เล็ต โอเวอร์คิล(ที่พากย์เสียงโดย แชนดร้า บูลล็อค)ในภาคก่อน ยังน่าจดจำยิ่งกว่าสรุปแล้วMinions : The Rise of Gruคือยาแก้เครียดขนานแท้ ภาคนี้จัดเต็มความฮาจากเหล่ามินเนียนแน่นอน รับประกันความป่วน แต่ก็จะมีมุมอื่นๆให้ได้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมน่ารักแบ๊วๆ หรือมุมดราม่า ที่จะทำให้ผู้ชมยิ่งตกหลุมรักเหล่ามินเนียนมากขึ้นไปอีก นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้แบรนด์ดิ้ง ของ มินเนียน แข็งแรงขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากจบภาคนี้ ดูเหมือนเส้นเรื่องจะวนกลับมาครบลูป จากDespicable Meภาคแรกแล้ว ผู้สร้างจะเลือกทิศทางไปเล่าอย่างไรต่อ จนต้องติดตามกันต่อไป(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่างMinions : The Rise of Gruวันนี้ในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1