[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

16 มิ.ย. 2023

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายนปี 2020 Extraction คือหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ของ Netflix ที่ได้รับอานิสงส์จากโควิด-19 ไปแบบเต็มๆ ในช่วงเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆหลังล็อกดาวน์ โรงภาพยนตร์ถูกปิด หนังโปรแกรมยักษ์ทั้งหมดถูกเลื่อนฉายแบบไม่มีกำหนด แต่ Extraction กลายเป็นหนังฟอร์มโตเรื่องเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะโปรแกรมฉายนั้นอยู่ใน Netflix ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ต้องอยู่บ้านและต่างกระหายหนังบล็อกบัสเตอร์ Extraction สามารถตอบโจทย์ได้อย่างเต็มๆ จนหนังสามารถทุบสถิติ กลายเป็นหนังที่มียอดวิวสูงสุดตลอดกาลของ Netflix ในขณะนั้น ด้วยยอดคนดูที่เฉียดระดับร้อยล้านคนภายใน 4 สัปดาห์แรกของการปล่อยฉาย จากความสำเร็จในระดับนี้ ทำให้ Netflix ไม่รอช้าประกาศสร้างภาคต่อ ท่ามกลางความงงของแฟนๆ เพราะว่าตัวละครพระเอกในหนังนั้น เสียชีวิตในตอนจบของภาคแรกไปแล้ว

Extraction คือผลงานการรีทีมกันอีกครั้งของพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ และสองพี่น้องผู้กำกับจาก Avengers : Endgame อย่าง โจและแอนโทนี รุสโซ ที่ทำหน้าที่อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ โดยโจนั้นยังเขียนบทภาพยนตร์เองด้วย เพราะดันให้ แซม ฮาร์เกรฟ สตันต์แมนตัวพ่อที่เคยร่วมงานกันมาในหนังจักรวาลมาร์เวลหลายต่อหลายเรื่อง ขึ้นแท่นมาเป็นผู้กำกับ โดยในภาค 2 นี้ สมาชิกทั้งหมดก็ยังคงยกทีมกันกลับมาทำหน้าที่เดิม โดย คริส กลับมารับบทเป็น ไทเลอร์ เรค นักฆ่ารับจ้างยอดฝีมือ ซึ่งหลังจากรอดตายจากภาคแรก (แบบดื้อๆ) เขาก็กลับมาพร้อมกับภารกิจใหม่ โดยเปลี่ยนโลเคชั่นจากประเทศร้อนๆอย่าง บังคลาเทศในภาคแรก (ซึ่งถ่ายทำในไทย) ไปเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นอย่าง จอร์เจีย โดยในภาคนี้ เขาต้องบุกเข้าไปในคุกที่ความปลอดภัยแน่นหนา เพื่อช่วยสมาชิกของครอบครัวมาเฟียชาวจอร์เจียออกมาให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไทเลอร์ต้องเผชิญกับอุปสรรคสารพัด ท่ีรอขวางทางเขาอยู่

แน่นอนว่าไฮไลต์ของ Extraction 2 ก็ยังคงเป็นฉากแอ็กชันที่เดือดจัดในระดับที่ไม่แพ้ภาคแรก หลังจากในภาคก่อนผู้ชมได้เจอกับฉากแอ็กชันแบบนันสต็อปยาวกว่า 10 นาที ในภาคนี้ผู้สร้างขอดับเบิ้ลไปเลยด้วยฉากแหกคุกที่มีความยาวแบบ 21 นาที ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลองเทคจริงๆ แต่ก็ใช้เทคนิคในการตัดต่อให้ผู้ชมรู้สึกแบบนั้น นี่คือไฮไลต์อย่างแท้จริงของหนังที่ระหว่างดูเล่นเอาอ้าปากค้างไปหลายรอบ อุทานด้วยความอึ้งไปหลายครั้งเช่นกัน ด้วยการดีไซน์ฉากบู๊ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เสียชื่อของ แซม ฮาร์เกรฟที่เป็นอดีตสตันต์แมนมาก่อน บวกกับวิธีการเคลื่อนกล้องที่ลื่นไหล ในอนาคตหนังอย่าง Extraction น่าจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นเป็นหนังแอ็กชันที่สะใจแฟนๆ ได้ใกล้เคียงกับหนังอย่าง John Wick อย่างแน่นอน (ซึ่งเรื่องหลังเขานำโด่ง สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบแล้ว)

นอกจากฉากบู๊ซีนใหญ่ที่ว่านี้ ระหว่างทาง Extraction 2 ก็ยังคงเสิร์ฟฉากแอ็กชันมันส์ๆไว้ตลอดทั้งเรื่อง หลายฉากก็เพิ่มดีกรีความมันส์ได้เยอะกว่าภาคแรก เหมือนผู้สร้างเริ่มจับทางได้แล้วว่า ตัวเองถนัดอะไร ผู้ชมต้องการอะไรจากหนังเรื่องนี้ ก็พยายามจัดสิ่งที่ใช้มาให้ผู้ชมตลอด และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พยายามสร้างเรื่องให้ซับซ้อนเกินความจำเป็น พล็อตยังคงง่ายๆ แค่ภารกิจของพระเอกกับการช่วยเหลือคนออกมาเท่านั้น ด้วยความที่หนังที่ต้องเสียเวลากับการปูเรื่องอะไรมากมายนัก ทำให้หนังมีเวลาค่อนข้างมากในการใส่ฉากแอ็กชัน และกระชับความยาวหนังให้ไม่ยาวไม่มากกว่า 2 ชั่วโมง

โดยรวม Extraction 2 ยังคงจัดเต็มความมันส์แบบไม่ให้ได้พัก ข้อดีมากๆของหนังคือฉากแอ็กชันที่มันส์แบบถึงอารมณ์ หลายฉากเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้ลั่นโรง (จากรอบพรีวิวที่ผู้เขียนได้ไปดูมาในโรง) และที่สำคัญ เริ่มจะเห็นความพยายามในการสร้างจักรวาลของตัวเอง ผู้สร้างน่าจะเห็นถึงศักยภาพในการเป็นแฟรนไชส์ใหญ่ในอนาคตได้ หลายๆฉากในภาคนี้ก็เลยใส่เข้ามาเพื่อปูทางไว้สำหรับในอนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ หลังจากบทบาทเทพเจ้า Thor ในจักรวาลมาร์เวล เดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว การที่เขามีแฟรนไชส์นี้ น่าจะไปได้อีกไกล ซึ่งดูจะเป็นบทที่เหมาะกับเขาแบบมากๆด้วย

 

ชมตัวอย่าง Extraction 2 สตรีม 16 มิถุนายนนี้ใน Netflix

 

ภาพ : Netflix Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

03 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

แรกเริ่มเดิมที เมื่อได้ยินข่าวของ Project Wolf Hunting หลังจากดูพล็อต ดูนักแสดง ก็นึกไปว่ามันคงเป็นหนังแหกคุกอีกหนึ่งเรื่อง เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุไปเป็นบนเรือ แต่เมื่อล่าสุดที่ สหมงคลฟิล์ม ประกาศว่า หนังคว้าเรต ฉ20 ในประเทศไทย (ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าชมเด็ดขาด) ดีกรีความน่าดูจึงพุ่งพรวด มันเป็นการการันตีทางอ้อมว่า หนังจะต้องเต็มไปด้วยฉากเอ็กซ์ตรีม โหดระดับสิบกระโหลก จนกระทั่งกองเซ็นเซอร์ในบ้านเราไม่ยอมให้เยาวชนเข้าไปดูอย่างแน่นอน แม้หนังดูจะโหดเลือดสาด แต่ภาพรวมของหนังก็น่าจะออกมาเป็นที่พอใจของแฟนๆและนักวิจารณ์ การันตีจากคะแนนรีวิว Rotten Tomatoes ที่มีนักวิจารณ์ชอบมากถึง 85% ในขณะที่คะแนน Audience Score จากฝั่งคนดู ก็สูงถึง 88% เช่นกัน เรียกว่าน่าจะสะใจทั้งสายหนังและสายบันเทิงอย่างแน่นอนProject Wolf Hunting เล่าถึงภารกิจโหดในการขนนักโทษจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มายังเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้วิธีล่องมาบนเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่ใช้เวลาแล่นมาราว 2-3 วัน โดยการขนนักโทษคราวนี้ถือเป็นภารกิจหิน เพราะเต็มไปด้วยนักโทษระดับอันตรายขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรโรคจิต หรือนักโทษคดีข่มขืน จึงต้องใช้ตำรวจคุมภารกิจมากถึง20 คน หลังจากที่ปฏิบัติการขนนักโทษรอบก่อนหน้านี้เคยผิดพลาดมาแล้ว เมื่อเรือลำนี้แล่นออกจากท่า ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบนิ่ง แต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้น นำไปสู่ความโกลาหล และความวิบัติขั้นสุด เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เมื่อทั้งตำรวจและนักโทษ ต้องสวมวิญญาณนักฆ่า เอาตัวรอดจากเดนมนุษย์บนเรือคลั่งลำนี้หลังดูจบก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Project Wolf Hunting ได้รับเรต ฉ20 ในไทย (ไม่ได้สิแปลก) เพราะมันไม่ใช่หนังเรือคลั่งเฉยๆ อาจเรียกได้ว่า โคตรพ่อโคตรแม่คลั่งเลยก็ว่าได้ หนังอัดแน่นด้วยฉากโหดในระดับ 10/10 สำหรับใครที่เป็นคอหนังโหดอยู่แล้ว น่าจะสะใจและถูกใจกับหนังเรื่องนี้ ในขณะที่ใครดูฉากโหดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยากให้หลีกเลี่ยง เพราะหนังถือว่าโหดในระดับที่ไม่ปราณีผู้ชมทั่วไป เต็มไปด้วยเลือดนองดั่งคลื่นมหาสมุทร ฉากทุบอวัยวะต่างๆจนเละ หรือหั่นอวัยวะในแบบอำมหิตขั้นสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting โหดแต่ไม่ได้ถึงขั้นดูไม่ได้ แค่หนังโหดแบบโอเว่อร์ ในความเป็นจริง ฉากฆ่าแกงกัน มันไม่ได้โหดหนักขนาดนี้ หรือเลือดออกเยอะขนาดนี้ หนังมีความเกินเบอร์อยู่หน่อย ทำให้ดูเว่อร์เกินจริง และเมื่อหนังไม่ได้สมจริง ความน่ากลัวจึงลดลงไป กลายเป็นโหดแบบหนังการ์ตูนผู้ใหญ่ ความโหดนี้จึงไม่ใช่โหดแบบโหดร้าย แต่เป็นโหดแบบสนุก โหดแบบสะใจมากกว่า หลายซีนเลยเป็นการสนุกกับการทายว่า ฉากต่อไปจะฆ่าแกงกันแบบไหน จะโหดได้ระดับได้มากกว่านี้อีกหรือไม่นอกจากความโหดแบบไม่ยั้งแล้ว สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting น่าสนใจ คือพล็อตที่ชวนติดตาม และบรรยากาศดิบเถื่อนที่หนังรักษาไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง ในแง่ของพล็อตแม้หนังจะเปิดมา ว่านี่คือภารกิจขนนักโทษกลับเกาหลีผ่านเรือขนส่งขนาดใหญ่ แต่ไส้ในของหนังมันกลับมาอะไรซ่อนกว่านั้น หนังยังมีพล็อตบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ตัวละครบางตัวที่ยังไม่เปิดเผย ตรงนี้เองทำให้หนังสนุกมากขึ้น แม้ว่าบางจุดอาจจะดูออกทะเลไปบ้าง (ไม่ใช่ออกทะเลแค่พล็อตหลัก)แต่นี่คือส่วนที่ทำให้หนังคาดเดาไม่ได้ และเพิ่มความโกลาหลเข้าไป ทำให้บางจุดผู้ชมเองก็ไม่รู้จะเชียร์ใครดี บางฉากก็อยากจะเชียร์ตำรวจ แต่ดูไปดูมาก็อยากจะให้นักโทษรอดก็มี ซึ่งทั้งหมดนี่ ดูถ่ายทอดผ่านงานภาพและอารมณ์ของหนังที่ ตรึงบรรยากาศแบบดิบๆไว้ได้ตลอด เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่ถึงแม้งานภาพจะโหด แต่ต้องชื่นชมว่า คุมธีมไว้ได้แบบไม่หลุดโทนเลย (แค่ดูจากภาพนิ่งที่ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าหนังสวยงามในแบบดิบๆได้มากเลยทีเดียว)โดยรวม Project Wolf Hunting ถือเป็นหนังแอ็กชันเอ็กซ์สตรีมที่น่าจะสะใจสายโหดอยู่ไม่น้อย แม้พล็อตตั้งต้นจะดูเหมือนCon Air ในฉบับเปลี่ยนจากเครื่องบินเป็นเรือ แต่ตัวหนังเองพาผู้ชมไปไกลกว่านั้น (ที่แน่ๆมันโหดกว่า Con Air ในแบบคูณสิบไปเลย) นอกจากจะสนุกกับดีกรีความโหดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกหนึ่งความสนุกที่สายเกาหลีน่าจะบันเทิงคือ การลุ้นว่านักแสดงที่เราชื่นชอบ ตัวละครของพวกเขาจะรอดไปจากเรือคลั่งลำนี้หรือไม่ ใครจะตายก่อนตายหลัง และตายด้วยวิธีสุดอำมหิตแบบไหน บางอย่างมันก็บียอนด์ไปไกลกว่าที่คาดคิดอยู่ไม่น้อย เตรียมใจให้พร้อมแล้วออกแล่นไปกับเรือคลั่งลำนี้กันไป โดยก่อนไปชมอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนไปแสดงกันด้วย (ในรอบเปิดตัวหนัง ตรวจบัตรก่อนเข้าชมทุกที่นั่งจริงๆ)Project Wolf Hunting เรือคลั่ง เกมล่าเดนมนุษย์ สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยเสียที สำหรับภาพยนตร์หายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล ขนทัพนักแสดงแถวหน้าของวงการไว้มากมาย หลังจากไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีก่อน และได้รับคำชมมากมาย หนังก็ขยับโปรแกรมฉายมาเรื่อยๆ (เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ โควิดที่เกาหลียังแรงอยู่) จนกระทั่งล่าสุดได้โปรแกรมฉายเสียที นี่คืองานล่าสุดของผู้กำกับ ฮันแจริม (จาก The Face Reader) ที่เขาเผยว่า เขียนบทไว้ตั้งแต่ก่อนโควิดจะเริ่ม แต่ไปๆมาๆพอหนังเริ่มถ่ายทำไปแล้ว โควิดก็มาพอดี ซึ่งมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกับในหนังอย่างไม่ได้ตั้งใจ !Emergency Declaration เล่าถึงหายนะที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบิน จากกรุงโซล มุ่งหน้าสู่ฮาวาย เมื่อมีผู้โดยสารคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้โดยสารทุกคน และเมื่อเหตุการณ์เหนือการควบคุม กัปตันจึงต้องประกาศเหตุฉุกเฉินเพื่อขอลงจอดในสนามบินที่ใกล้ที่สุด แต่ปัญหาใหญ่คือ อันตรายที่อยู่บนเครื่องบิน อาจสร้างหายนะให้กับผู้คนข้างล่างได้เมื่อมันแลนดิ้ง เลยสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่าย เพราะหายนะบนเครื่องบิน อาจกลายเป็นหายนะของคนทั้งโลก !นี่คือหนังแอ็กชันระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้ของจริง หนังใช้เวลาช่วงแรกในการค่อยๆแนะนำแต่ละตัวละครที่สำคัญ ทั้งบนเครื่องบิน เริ่มจากตัวละครของ อีบยองฮอน (จาก Mr.Sunshine) ที่รับบทคุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวบินไปฮาวายเพื่อรักษาโรค แต่กลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียก่อน โดย คิมนัมกิล (จาก Pandora) รับบทกัปตันที่ต้องทำการตัดสินใจประกาศ Emergency Declaration เพื่อให้เครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันฝั่งภาคพื้นดิน ก็มีตัวละครของ ซงคังโฮ (จาก Parasite) เป็นตำรวจฝีมือเยี่ยมที่ต้องทำทุกทางเพื่อช่วยภรรยา ซึ่งอยู่บนเครื่องบินไฟลต์นรกเช่นเดียวกัน โดยการตัดสินใจทั้งหมด เกิดขึ้นกับตัวละครของ จอนโดยอน (จาก Untold Scandal) ในบทรัฐมนตรีคมนาคม ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้หนังใช้เวลาบิลด์เรื่องพอสมควร ทั้งในส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนฟ้า และเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องด้านล่าง ทำให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ ค่อยๆบิลด์ความตื่นเต้น จนกระทั่งพีกขั้นสุดในช่วงแรกเมื่อหายนะได้เกิดขึ้น ชั่วโมงแรกของ Emergency Declaration หนังทำได้อย่างเยี่ยมยอดที่ทำให้เราลุ้นในแทบทุกนาที และรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาเมื่อหายนะเกิดขึ้น ลากยาวไปจนถึงช่วงครึ่งหลัง ที่ตรึงอารมณ์ผู้ชมไว้ได้ตลอด ความตื่นเต้นไม่ได้ลดระดับลงเลย แม้บางช่วงจะอารมณ์ดร็อปลงบ้าง เพราะสถานการณ์เหมือนจะเบาบางลง แต่หนังก็กระหน่ำวิกฤตใส่เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผู้ชมแทบจะไม่ได้พักกันเลยทีเดียว นอกจากลุ้นในฝากของฉากตื่นเต้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าที่เกี่ยวกับตัวละคร และการตัดสินใจ ถือว่าทำได้ดี เมื่อผู้ชมดูหนังไปซักพัก และเริ่มอินกับเรื่อง พอพาร์ทดราม่ามาถึง มันก็ทำงานได้ในจังหวะที่พอเหมาะถ้าจะมีอะไรให้รู้สึกว่าหนังบกพร่องสำหรับ Emergency Declaration ก็น่าจะเป็นเรื่องความยาว ที่ยาวถึง 2.30 ชั่วโมง อาจจะมีบางช่วงที่สามารถตัดออกเพื่อให้หนังกระชับและเข้มข้นกว่านี้ได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่มีกลิ่นอายของหนังแนวสืบสวนสอบสวนเข้ามา ทำให้ความรู้สึกลุ้นไปกับตัวละครลดลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาบิลด์หนักอีกครั้งในช่วงองก์สุดท้าย และในช่วงท้ายที่หนังค่อนข้างใช้เวลากับบทสรุปที่ค่อนข้างนาน ในแง่ดีมันก็ทอดอารมณ์ให้ผู้ชมยังคงอินกับหนังได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่ามันสามารถย่อให้สั้นลงได้อีกในฐานะหนังหายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ต้องบอกว่า Emergency Declaration ตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง หลายฉากทำให้ผู้ชมตรึงอยู่กับที่นั่งด้วยความระทึก ยิ่งฉากที่โปรโมตกัน เรื่องของเครื่องบินที่หมุน 360องศา ซึ่งหนังใช้เครื่องบินจริง มาตัดเป็นท่่อน แล้วหมุนจริง นักแสดงอย่าง อีบยองฮอน ก็นั่งอยู่บนเครื่องที่หมุนจริงด้วย พอมาดูเต็มๆในหนัง ทำให้ภาพที่ออกมาสมจริงมากๆ นอกจากนี้ต้องชื่นชมทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นเล็ก นำทีมโดย ซงคังโฮ, อีบยองฮอน และจอนโดฮยอน ทำได้ดีมากๆเลย โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักที่เอ่ยไป มีแง่มุมของตัวละครที่นักแสดงถ่ายทอดออกมาอย่างพอเหมาะ นี่เป็นอีกครั้งที่หนังเกาหลีก้าวไปข้างหน้าอีกสเต็ป และดูเหมือนว่าจะไม่แผ่วลงมาง่ายๆ ใครที่ชอบหนังตื่นเต้น บีบหัวใจ น่าตีตั๋วขึ้นไปคลั่งกันบนเที่ยวบินไฟลต์นี้มากๆปล. หนังเข้าฉายในระบบ 4DX ด้วย และดูเหมือนว่าจะมีหลายฉากที่ออกแบบมาเพื่อระบบนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งฉากที่ระทึกที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทั้งหมด ระบบ 4DX ช่วยเพิ่มอรรถรสได้อย่างมาก จนบางจุดให้อารมณ์คล้ายกับนั่งเครื่องบินจริงๆ ที่กำลังประสบปัญหาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับหนังหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉายในระบบนี้ Emergency Declaration ถือว่ามีเอฟเฟคที่แรงทีเดียว อาจจะไม่ได้ถี่ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เอฟเฟคมาก ถึงขั้นตอนจับตรงที่กั้นระหว่างเก้าอี้เลยทีเดียวชมตัวอย่าง Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกินก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อนใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง”- นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในTicket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้วนอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลยปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” -ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : Universal Pictures

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

12 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

ขึ้นแท่นหนังเปิดปี 2023 ที่ปังเกินคาดสำหรับ M3GAN หนังสยองขวัญผสมอารมณ์ตลกร้าย ผลงานการจับมือกันสร้างของสองโปรดิวเซอร์หนัง Horrorแห่งยุค อย่าง เจสัน บลัม แห่งค่าย Blumhouse ที่โด่งดังจากหนังตระกูล Paranormal Activity, The Purge จนมาถึงยุคหลังๆอย่าง Get Out, Happy Death Day และ Halloween ผนึกกำลังกับ เจมส์ วาน ผู้ให้กำเนิดหนังอย่าง Insidious และจักรวาล The Conjuring นั่นเอง ดังนั้นการมาเจอกันครั้งนี้ จึงต้องไม่ธรรมดา โดยล่าสุดจากทุนสร้างเพียง 12 ล้านเหรียญฯ หนัง M3GAN กวาดรายได้ทั่วโลกผ่านหลัก 50 ล้านไปแล้ว และดูเหมือนจะผ่าน 100 ล้านได้แบบง่ายๆอีกด้วย เพราะกระแสปากต่อปากในแง่บวกที่บอกต่อความสนุก ความแสบของหนัง ซึ่งไม่เพียงแค่ถูกใจคนดู แต่นักวิจารณ์ยังเทคะแนนบวกให้ จนล่าสุดคว้าคะแนนบวกสูงถึง 94%จาก Rotten Tomatoes ซึ่งพบได้ไม่มากนักในหนังแนวสยองขวัญM3GAN เล่าเรื่องราวของ เจมม่า (รับบทโดย แอลิสัน วิลเลี่ยมส์ จาก Get Out) นักวิจัยพัฒนาในบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ ในขณะที่หุ่นตุ๊กตารุ่นล่าสุดของบริษัทกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เธอก็กำลังสร้างสิ่งที่เหนือยิ่งกว่า คือหุ่นตุ๊กตาเมแกน ที่ภายนอกดูเหมือนเด็กผู้หญิงจริงๆ และภายในบรรจุสมองแบบ AI เอาไว้ ทำให้มันสามารถตอบโต้ได้ไม่ต่างจากมนุษย์ บวกกับการที่เมแกนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ ทำให้มันค่อยๆฉลาดขึ้น ซึ่งในหนัง เจมม่า ได้นำเมแกนตัวทดลองมาทดสอบกับหลานสาวของเธอ ที่เพิ่งสูญเสียพ่อและแม่ไป ในตอนแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปด้วยดี เมแกนหลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของหลาน แต่เพราะความผูกพันและปัญญาที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมแกนเริ่มไม่ฟังคำสั่งใคร นำไปสู่เหตุการณ์ชวนสยอง มากกว่าใครจะคาดคิดจริงๆเส้นเรื่องหลักของ M3GAN ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร หลายครั้งที่ฮอลลีวูดเล่าถึงสิ่งที่ดูไม่มีพิษมีภัย แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นฝันร้ายของคนที่เจอ แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จนั้น คงหนีไม่พ้นบทที่ค่อนข้างลงตัว M3GAN มีการผสมผสานกลิ่นอายของความเป็นหนังสยองขวัญ และอารมณ์ขันได้อย่างพอดิบพอดี หนังใช้เวลาพอสมควรในการค่อยๆบิลด์เส้นเรื่อง ค่อยๆปูความไม่น่าไว้วางใจให้กับตัวละครเมแกน คล้ายๆกับหนังที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลายเรื่องที่ค่อยๆทรยศมนุษย์ จนนำไปสู่พาร์ทสยองที่ชวนขนลุกอยู่ไม่น้อย M3GAN จึงมีกลิ่นอายในแบบ Child's Play ผสมกับ The Terminator บวกด้วยอารมณ์ขัน ที่ทั้งแสบสันต์และร้ายกาจ กลายเป็นรสชาติเฉพาะทางที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมเป็นอย่างดีไฮไลต์สำคัญของหนัง คือการดีไซน์คาแรคเตอร์ เมแกน ออกมาให้ชวนขนลุก ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอย่างไรก็ชวนไม่น่าไว้วางใจ และพฤติกรรมของเธอ ที่อำมหิตและคาดเดาไม่ได้ โดยการที่ เมแกนเป็น AI ที่ชาญฉลาด ทำให้หนังสามารถหยิบกับเทคโนโลยีต่างๆ มาเล่นกับเมแกนได้อย่างแพรวพราว มีลูกล่อลูกชนที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเสียง การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ สร้างความขนลุกยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก แต่แอบน่าเสียดายอยู่เล็กน้อย ที่ผู้สร้างตัดสินใจเดินหน้ากับเรต PG-13 (เด็กอายุต่ำกว่า 13 ต้องเข้าชมพร้อมกับผู้ปกครอง) ไม่ใช่ เรต R ทำให้หลายฉากในหนังต้องยั้งความโหดเอาไว้ ไม่ได้เลือดสาดสยองกระจายในแบบที่หนังเรตR ทำได้ หลายซีนเลยดูเหมือนอาจจะยังไปไม่สุด หรือไม่สะใจผู้ชมเท่าที่ควรโดยรวม M3GAN ถือเป็นหนังสยองขวัญสายบันเทิงอย่างแท้จริง นอกจากบรรยากาศที่ชวนขนลุกและไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาแล้ว หนังยังผสมอารมณ์ขันตลกร้ายไว้อย่างร้ายกาจ นอกจากนี้หนังยังชี้ให้เห็นถึง ประเด็นสังคมที่สำคัญของคนยุคใหม่ ที่ผู้ปกครองหลายท่านฝากลูกหลานไว้กับเทคโนโลยี ไม่ได้เลี้ยงดูหรือให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ หนังเรีื่องนี้อาจจะทำให้ผู้ปกครองทบทวนความคิดและหันมาดูแลบุตรหลานมากขึ้น หนังสะท้อนให้เห็นถึงระยะห่างที่ทั้ง คุณน้าคุณหลานมีเมื่อเมแกนเข้ามาแทรกกลาง กลายเป็นปมในใจที่ยิ่งปล่อยทิ้งไว้อาจจะสายเกินแก้ก็เป็นได้ นอกจากความสนุกของหนังแล้ว M3GAN ยังแฝงประเด็นเหล่านี้ไว้ให้ขบคิดอีกด้วยชมตัวอย่าง M3GAN (เมแกน) วันนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1