17 ก.ย. 2024
[REVIEW] ‘Transformers One’ นี่คือภาค Prequel ที่ติ๊กถูกแทบทุกข้อ ปลุกชีพทรานส์ฟอร์มเมอร์อย่างดีงาม
ถ้าพูดถึงสถานะของแฟรนไชส์ตระกูล Transformers แล้ว ก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่า อยู่ในลักษณะลุ่มๆดอนๆ เพราะหลังจาก ไมเคิล เบย์ ปั้นหนังตระกูลนี้มากับมือ จนกวาดเงินระดับพันล้าน ในภาคที่ 3-4 แต่เขาเองก็ทำให้แฟรนไชส์นี้มาอยู่ในขาลง ด้วยคุณภาพของภาคสุดท้ายที่เขากำกับอย่าง Transformers : The Last Knight ที่ยุ่งเหยิงจนน่าตกใจ ส่งผลให้รายได้และความนิยมหล่นฮวบไปด้วย แต่ทางพาราเมาต์และฮาสโบร (เจ้าของสิทธิ ผู้ผลิตของเล่นชุดนี้) ก็ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ ด้วยการเริ่มสร้าง Bubblebee หนัง Spin-Off ตัวละครที่แฟนๆรัก ต่อด้วย Transformers : Rise of the Beasts ที่ทำหน้าที่เป็น Prequel ทั้งสองภาคได้รับคำชมพอสมควร แม้รายได้จะกระเตื้องขึ้น แต่ก็ยังไม่มากนัก จนมาถึงความพยายามครั้งล่าสุดกับ ‘Transformers One’ ครั้งแรกที่ทรานส์ฟอร์มเมอร์ ถูกสร้างเป็นหนังใหญ่ด้วยการเป็นหนังแอนิเมชั่น พร้อมย้อนกลับไปเล่าต้นกำเนิดของสองตัวละครหลักอย่าง ออพติมัส ไพรม์ และ เมกะตรอนก่อนที่ทั้งสองจะกลายเป็นศัตรู ทั้งคู่คือมิตรสหายกันมาก่อน นี่คือธีมหลักของ ‘Transformers One’ ที่เล่าเหตุการณ์ก่อน Transformers ทุกภาค และเป็นภาคแรกที่ไม่ได้เล่าเรื่องราวบนโลกมนุษย์ และไม่มีตัวละครมนุษย์แม้แต่คนเดียว เพราะหนังได้พาผู้ชมไปยังดาวต้นกำเนิดของ ทรานส์ฟอร์มเมอร์ ในยุคสมัยที่ ออพติมัส ไพรม์ และ เมกะตรอน ยังเป็นเพียงหุ่นยนต์ใช้แรงงานในเหมือง พวกเขาไม่มีพลังในการแปลงกายด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตไปวันๆในฐานะกรรมกร แต่แล้วสถานการณ์กลับพลิกพัน ทำให้พวกเขาต้องออกผจญภัยไปยังพื้นผิวของดาว พื้นที่รกร้างที่ไม่มีหุ่นยนต์ตัวไหนอาศัยอยู่ได้ เพื่อค้นหาขุมพลัง ที่หายไปนานถึง 500 ปี จนกระทั่งเจอกับความลับบางอย่าง ที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ของพวกเขาไปตลอดกาล จากมิตรเริ่มกลายเป็นศัตรู นำไปสู่สงครามจักรกลข้ามจักรวาล ในแบบที่พวกเราได้ชมกันใน Transformers ทุกภาคก่อนหน้านี้แม้หน้าหนังของ ‘Transformers One’ จะเป็นหนังแอนิเมชั่น แต่ตัวหนังเองกลับไม่ได้ทำตัวเป็นหนังเด็กด้วยซ้ำ องค์ประกอบทั้งหมดเหมือนเราดู Transformers ภาคปกติเลย เพียงแค่ผู้สร้างเลือกเล่าในแบบแอนิเมชั่น เพราะหนังไม่ได้มีตัวละครมนุษย์ เส้นเรื่องของ ‘Transformers One’ ยิ่งใหญ่และไปไกลกว่าที่ทุกคนคาดคิด อัดแน่นไปด้วยประเด็นที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าตัวละครใดตัวละครหนึ่ง แล้วหนังก็ประกอบด้วยฉากต่างๆ ที่ทำให้สนุกครบรส ไม่แพ้กับ Transformers ภาคอื่นๆ ทั้งฉากแอ็กชันสุดตื่นตา มาพร้อมกับสเกลที่ใหญ่มากๆ สอดแทรกด้วยซีนตลกอารมณ์ขัน ที่มีจังหวะมุกแบบพอดิบพอดี และปิดท้ายด้วยฉากชวนหึกเหิมและประทับใจ ที่ได้ค่อนข้างดีเลย กลายเป็นว่า ‘Transformers One’ คือหนังบันเทิงที่สนุกลงตัวมากที่สุดเรื่องหนึ่งในแฟรนไชส์นี้ทั้งหมด ในแง่ของพล็อตก็เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ ที่เป็นเชื่อมต่อกับภาคหลักอย่างพอดิบพอดี ในขณะที่ตัวหนังเอง ก็มีเอกลักษณ์ในแบบของมัน สามารถดูได้ในฐานะหนัง Stand Alone เช่นกันอย่างที่เกริ่นไปในหัวข้อ ‘Transformers One’ มีคุณภาพในฐานะหนัง Prequel (หนังที่เล่าเหตุการณ์ก่อนภาคหลัก) ที่ครบถ้วน ทำให้ผู้ชมที่ดูภาคหลักแล้ว รู้สึกสมบูรณ์กับเรื่องราวมากขึ้น ในขณะเดียวกันใครที่ไม่เคยดู Transformers มาเลย หนังก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี ในการชักชวนให้อยากไปชมภาคอื่นๆในแฟรนไชส์นี้ต่อ ระหว่างดู ผู้เขียนนึกถึงหนังเรื่องอื่นอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ X-Men : First Class ทั้งในแง่คุณภาพ และในแง่โครงหลักของเรื่อง ซึ่งเล่าถึงสองตัวละครที่ผู้ชมรู้จักพวกเขาในฐานะศัตรู แต่ในภาคนี้พาย้อนกลับไปสมัยที่ยังเป็นมิตร อะไรคือจุดแตกหักที่ทำให้ทั้งสองต้องไปคนละทิศคนละทาง อีกหนึ่งคือ Spider-Man Into The Spider-Verse ในฐานะหนังภาคแยกที่วางตัวเป็นแอนิเมชั่น แต่กลับกินคาดในแง่คุณภาพ ความลงตัว จนเป็นที่โปรดปรานในกลุ่มแฟนประจำของแฟรนไชส์ สำหรับ ‘Transformers One’ มีสถานะเช่นนั้นอยู่ ใครที่อาจจะเบื่อหน่ายกับทรานส์ฟอร์มเมอร์แล้ว ขอเชียร์ว่าอย่าเพิ่งรีบหมดใจและมองข้ามภาคนี้ นี่เป็นเหมือนภาคที่พา Transformers เข้าใกล้จุดพีกอีกครั้ง ส่วนใครที่ไม่เคยชมมาก่อน ก็สามารถมาเปิดตัวกับภาคนี้ได้เช่นกัน เป็นหนัง Transformers ภาคที่มีหัวใจมากที่สุด ครบเครื่องสุดภาคะนึงเท่าที่มีมาเลยทีเดียวชมตัวอย่าง Transformers One เข้าฉาย 26 กันยายนในโรงภาพยนตร์(เปิดรอบพิเศษ 20-22 กันยายนนี้ ช่วงบ่ายถึงค่ำ)