[Exclusive Interview] “Kill Boksoon” คุณแม่ยอดนักฆ่า ในหนังเกาหลีฟอร์มเดือด| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[Exclusive Interview] “Kill Boksoon” คุณแม่ยอดนักฆ่า ในหนังเกาหลีฟอร์มเดือด| GOSSIP GUN

30 มี.ค. 2023

“ฉันจะไม่เล่นหนังแอ็กชันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือเปล่านะ แต่สำหรับตอนนี้ฉันพอก่อนสำหรับฉากแอ็กชัน”- มากกว่า 30 ปีในการทำงาน นักแสดงตัวแม่แห่งเกาหลี “จอนโดยอน” แทบไม่เคยแสดงในหนังแอ็กชันมาก่อน นับตั้งแต่เธอประกาศศักดา เป็นชาวเกาหลีคนแรกที่ ชนะรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจาก เทศกาลหนังเมืองคานส์ ด้วยผลงานอย่าง Secret Sunshine (2007) ผู้สร้างหนังมักหยิบยื่นบทในโทนที่ค่อนข้างดาร์กให้กับเธอมาโดยตลอด จอนโดยอน ในวัย 50 ปี กำลังมองหาเส้นทางใหม่ๆให้กับตัวเอง เธออยากจะก้าวออกจากเซฟโซนด้วยผลงานการแสดงใน Genre อื่นๆ ในปี 2023เธอพิสูจน์ความเป็นนักแสดงคุณภาพที่สามารถแสดงได้หลากหลายทาง ในซีรีส์โรแมนติกเบาสมอง “Crash Course in Romance” ที่ทุบสถิติเรตติ้ง ติด Top10 ซีรีส์เกาหลีที่ยอดผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลในช่องเคเบิ้ล และยังไม่ทันพ้นไตรมาสแรก เธอขอพิสูจน์ฝีมือในบทบาทสุดท้าทายอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง “Kill Boksoon” ภาพยนตร์แอ็กชันดุเดือดที่ผสมผสานเข้ากับอารมณ์ตลกร้าย นี่คือหนังที่เธอพร้อมจะประกาศศักดาอีกครั้ง ว่า จอนโดยอน คือตัวจริงที่จัดเต็มได้ในหนังหรือซีรีส์ทุกรูปแบบ

“ฉันไม่คิดว่า Kill Boksoon จะออกฉายเร็วขนาดนี้ เพราะว่าผู้ชมยังติดภาพฉันจาก Crash Course in Romance อยู่เลย ถึงขั้นมีคนแซวว่า นัมแฮงซอน มีชีวิต 2 ด้านหรือเปล่านะ” - จอนโดยอน เผยถึง 2 ผลงานล่าสุดของเธอ ที่ออกฉายต่อเนื่องทางNetflix ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงเหมือนเดิม คือ ฐานะของความเป็น “แม่” ใน Crash Course in Romance เธอรับบท นัมแฮงซอน อดีตนักกีฬาทีมชาติ ที่มาเปิดร้านอาหารเครื่องเคียง เธอคือคุณน้าที่ต้องดูแลหลานคนเดียว หลังจากแม่ของเธอทิ้งไป แม้เธอจะไม่ได้เป็นแม่ที่ให้กำเนิด แต่เธอก็ดูแลหลานคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ ส่วนใน Kill Boksoon เธอรับบทเป็น กิลบกซุน นักฆ่าตัวแม่ที่ทุกคนในวงการให้การยอมรับ แต่กลับเผชิญการตัดสินใจอันยากลำบาก เมื่อลูกสาวเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่น เธอจึงคิดจะวางมือเพื่อไปทำหน้าที่ คุณแม่แบบ Full Time แต่ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะแวดวงนักฆ่า ใช่ว่าใครจะวางมือกันไปง่ายๆ

 

Kill Boksoon คือผลงานหนังแอ็กชันเรื่องแรกของ “จอนโดยอน” งานใหม่ที่เธอตอบรับโปรเจกต์ เพราะต้องการออกจากเซฟโซน เธอถึงขั้นพูดคุยกับผู้กำกับ “บยอนซองฮยอน” ก่อนที่โครงเรื่องจะถูกพัฒนาด้วยซ้ำ ทั้งสองเริ่มพูดคุยกัน ด้วยไอเดียที่ว่า เธออยากแสดงในหนังแอ็กชัน จนในที่สุดโปรเจกต์นี้ ก็กลายเป็นจริง พร้อมทัพนักแสดงระดับคุณภาพชุดใหญ่ เริ่มจาก “ซอลคยองกู” ที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้มาแล้วจาก The Merciless และ Kingmaker เขารับบทมินคยู ซีอีโอ ของบริษัท เอ็มเค องค์กรนักฆ่ายักษ์ใหญ่ที่บกซุนสังกัด นอกจากจะเป็นเจ้านายแล้ว เขาคือผู้มีพระคุณ เป็นอาจารย์ที่มอบโอกาสให้บกซุน ตั้งแต่เธอยังเด็ก นอกจากนี้หนังยังได้ “อีซม” นางแบบนักแสดงชื่อดัง นางเอกจากซีรีส์ Taxi Driver ซีซั่นแรกในบท มินฮี น้องสาวของมินคยู ผู้บริหารใหญ่ขององค์กรนักฆ่าที่ไม่ถูกชะตากับ บกซุน เพราะพี่ชายให้ความสำคัญกับบกซุนมากกว่า แม้เธอจะเป็นน้องแท้ๆก็ตาม และ “คูคโยฮวาน” นักแสดงที่พิสูจน์ฝีมือมาแล้วจากซีรีส์ D.P. และหนังฟอร์มยักษ์ Escape From Mogadishu มาในบทของ ฮีซอง นักฆ่าที่ถูกขับไล่ออกจากองค์กร ที่มีปมบางอย่างกับบกซุนแอบแฝงอยู่

เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Netflix ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ Kill Boksoon ไปแล้วในเกาหลีใต้ ซึ่งนอกจากผู้สื่อข่าวในเกาหลีจะได้เข้าร่วมงานแล้ว เหล่า Influencer สายหนังและซีรีส์จากทั่วทั้งเอเชีย ก็ได้ร่วมงานดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย และในโอกาสพิเศษนี้เอง ทาง Hollywood GossipGun ก็ได้เข้าร่วมสัมภาษณ์ ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน และทีมนักแสดงนำ ทั้ง จอนโดยอน, ซอลคยองกู และอีซม โดยทั้ง 4 คนได้เผยแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แบบ Exclusive เริ่มจาก จอนโดยอน ที่ทุ่มเทกับหนังเรื่องนี้อย่างสุดพลัง จนเธอเผยว่า เธอจะไม่เล่นหนังแอ็กชันอีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า แต่สำหรับตอนนี้เธอขอพอก่อน (อย่างที่กล่าวไปในตอนต้น)

 

- จุดเริ่มต้นของ ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน และจอนโดยอน -

“ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณจะรู้จักมั้ยนะ แต่ซีรีส์ดราม่าเรื่อง “Our Paradise (1992-1993)” คือผลงานที่ทำให้ผมกลายเป็นแฟนของ จอนโดยอน” - ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน เล่าถึงความทรงจำ ครั้งแรกที่เขาได้ดูผลงานการแสดงของเธอและกลายเป็นแฟนการแสดงของ จอนโดยอน นับจากนั้น ต่อเนื่องมาถึง The Contact ภาพยนตร์เรื่องแรกที่จอนโดยอน รับบทนำ - “ผมเป็นแฟนคลับของ ฮันซอกคยู (พระเอก Shiri) อยู่แล้ว ณ ตอนนั้น แล้วพอ จอนโดยอน มาแสดงนำประกบกับเขา ผมเลยยิ่งอึ้งกับการแสดงของเธอไปด้วย”

ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน เล่าว่า เดิมทีเขาไม่รู้จักกับ จอนโดยอน เป็นการส่วนตัว แต่ซอลคยองกู นักแสดงที่เขาเคยร่วมงานมาแล้วถึง 2 ครั้ง กำลังถ่ายหนังเรื่อง Birthday (2019) กับจอนโดยอนอยู่ คยองกูเลยโทรมาตามให้ไปพบกับเธอ เพราะคยองกูรู้ว่า ผู้กำกับบยอนเป็นแฟนคลับของ จอนโดยอนอยู่แล้ว - “คยองกูแนะนำให้ผมได้รู้จักกับ โดยอนในตอนนั้น มีอยู่วันนึง โดยอนโทรมาหาผม และแสดงความสนใจว่าอยากจะร่วมงานกัน ผมเลยคิดอยู่นานว่าหนังประเภทไหนที่เหมาะกับการร่วมงานกับเธอ เพราะเธอแสดงในหนังชั้นเยี่ยมมามากมาย ซึ่งบทส่วนใหญ่ทั้งดาร์กและมืดมน ผมไม่อยากลงไปต่อสู้กับหนังกลุ่มนั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นหนังชั้นดี ผมอยากจะทำหนังที่เข้าถึงผู้ชมง่ายๆ นั่นคือเหตุผลที่ผมตัดสินใจว่า เราจะทำหนังแอ็กชันกัน”

 

บยอนซองฮยอน เล่าต่อว่า หลังจากเขาตัดสินใจจะทำหนังแอ็กชัน เขาเลยนัดคุยกับโดยอน และเล่าถึงไอเดียทั้งหมด เขาเล่าถึงไอเดียว่า - “ผมรู้สึกว่า จอนโดยอนในเวอร์ชั่นคุณแม่ กับ จอนโดยอนในเวอร์ชั่นนักแสดง เป็นสองคนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อลองนึกถึงหน้าที่ของการเลี้ยงดูเด็กขึ้นมาซักคน และหน้าที่ของนักฆ่าที่ต้องสังหารผู้คน เพียงแค่ผมลองแทนที่ชีวิตของเธอ จากการแสดงเป็นการฆ่าคน มันดูขัดแย้งและน่าสนใจมากๆ และนั่นแหละครับ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง”

- จากนักแสดงสายรางวัล สู่ผลงานหนังแอ็กชัน -

“ฉันอยากจะลองดู อันที่จริงแล้วฉันอยากลองแสดงหนังในหลายๆแนวดู แต่โอกาสไม่ได้มีง่ายๆ ดังนั้น ฉันเลยมีความสุขมากๆ ตอนที่ บยอนซองฮยอน มาเสนอโปรเจกต์หนังแอ็กชันกับฉัน” - จอนโดยอน เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Kill Boksoon เธอเล่าว่า นี่เป็นครั้งแรกตลอดชีวิตการทำงานเลย ที่เธอตัดสินใจลุยกับโปรเจกต์หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยที่ไม่ได้อ่านโครงเรื่องด้วยซ้ำ เธอบอกว่า เธอแฮปปี้กับโอกาสในครั้งนี้มาก เลยตอบตกลงแสดงในแบบทันที

“ฉันฝึกซ้อมร่างกายนานถึง 4 เดือนเต็ม” - จอนโดยอน เล่าต่อถึงการเตรียมตัวเพื่อรับบทนำในหนังแอ็กชันเป็นครั้งแรก เธอเผยว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่อยากใช้นักแสดงสตันท์เลยด้วยซ้ำ อยากจะเล่นฉากบู๊ทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะบางฉากก็อันตรายเกินไป - “ฉันไม่รู้ว่า มันคือคำที่ใช่หรือเปล่าที่จะอธิบายนะ แต่ตัวละครบกซุนก็มีความอะลุ้มอล่วยในบางครั้ง ดังนั้น ตัวฉันเองก็คงต้องทำเช่นนั้น ฉันคิดว่า มันเป็นทางที่ดีที่สุด ที่จะได้แสดงถึงเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวละคร บนหน้าจอ” - จอนโดยอน เผยว่า เธอใช้เวลาคุยกับผู้กำกับนานมากเพื่อตัดสินใจ ยอมให้ใช้นักแสดงแทนในบางฉาก เธอถึงขั้นขอเวลาผู้กำกับเพิ่ม เพื่อที่จะได้ฝึกฝนร่างกายและฝึึกซ้อมการต่อสู้ เพื่อที่เธอจะสามารถแสดงได้เองในทุกๆฉาก

- หน้าที่ของการเป็นแม่ และหน้าที่การงาน -

จอนโดยอน เล่าว่า ณ จุดเริ่มต้นที่เธอต้องเตรียมตัวสำหรับบทบกซุน เธอคิดว่าบทนี้มันคงไม่ได้ยากอะไรนักหรอก เพราะเธอมีจุดที่เหมือนกับตัวละครบกซุนหลายจุดเลย - “เราต่างเป็นคุณแม่ และต่างก็มีหน้าที่การงานที่ต้องทำ สิ่งที่ต่างอย่างชัดเจน มีเพียงแค่หน้าที่ของงานที่เราต้องทำ ฉันรู้สึกสบายใจ ถึงขั้นใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในตัวละครบกซุนพอสมควร ฉันว่าส่วนที่ยากที่สุดคงหนีไม่พ้น ฉากแอ็กชัน”

 

แน่นอนว่า Kill Boksoon ไม่ใช่แค่หนังแอ็กชันที่มีแต่ฉากแอ็กชัน แต่ยังมีเรื่องราวของความเป็นแม่ แม้กระทั่ง เรื่องความรักในรูปแบบคนรัก จอนโดยอน บอกว่าเธอจึงต้องพยายามเกลี่ยน้ำหนักให้กับบทให้เหมาะสม เธอเผยว่าเธอคุยเรื่องการเกลี่ยความสำคัญในบทนี้ กับผู้กำกับบยอนบ่อยมาก และเมื่อเทียบกับผลงานเรื่องก่อนๆ เธอมักรับบทแม่ที่ดูใกล้เคียงกับความเป็นแม่ในฝัน แต่คราวนี้ สำหรับบทบกซุน ดูจะเป็นแม่ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า จากประสบการณ์ที่เธอเป็นแม่ในชีวิตจริง

 

“ในชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายหรอก แต่ฉันคิดว่าหน้าที่การทำงาน น่าจะง่ายกว่าการเลี้ยงลูกนะ เพราะฉันยังพอสามารถควบคุมการงานได้ แต่เมื่อพูดถึงการเลี้ยงเด็กซักคนนั้น หลายอย่างมันเหนือการควบคุมจริงๆ” - จอนโดยอนกล่าวว่า การเลี้ยงลูกนั้น บางอย่างมันก็ไม่มีทางเลือก ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น เธอเลยจริงว่า ระหว่างหน้าที่การงานกับการเลี้ยงลูก อย่างแรกง่ายกว่าเยอะ”

- ดรีมทีมแห่งหนังเข้ม ซอลคยองกู และผู้กำกับบยอนซองฮยอน -

 

“นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะ ที่ผมได้เล่นหนังของ บยอนซองฮยอน” - ซอลคยองกู นักแสดงตัวพ่อของวงการ ที่รับบทประธานใหญ่ขององค์กรนักฆ่า กล่าวถึงการกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ บยอนอีกครั้ง หลังจากเคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Merciless และ Kingmaker - “มันไม่มีเหตุผลที่ผมต้องปฏิเสธนิ ผมแทบจะกลายเป็นแฟนหนังของเขาไปแล้ว ผมชอบเวลาทำงานกับเขาและทีมงานทุกคน นับตั้งแต่ The Merciless พวกเราเป็นทีมเดียวกันมาโดยตลอด และมาทำงานด้วยกันอีกครั้งใน Kill Boksoonผมเลยรู้สึกสบายใจที่มีทีมเวิร์คที่ดี” - ซอลคยองกู กล่าวถึงสาเหตุที่เขาแทบจะไม่ลังเลเพื่อรับบทนี้เลย เขากล่าวต่อว่า นี่คือการร่วมงานกันครั้งที่ 3 และก็มีงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเรา เขาแทบไม่ต้องคิดเลยว่า จะรับหรือไม่รับเล่นเรื่องนี้

 

“ตอนแรกผมไม่ถามซอลคยองกูด้วยนะ ว่าเขาอยากเล่นไหม” - ผู้กำกับบยอน เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนจะเริ่มต้นโปรเจกต์ เขาเล่าว่า เขาแค่โทรไปหาซอลคยองกู แล้วอีกฝ่ายพูดถึงมาว่า นายมีไอเดียหนังใหม่แล้วใช่มั้ยละ ผู้กำกับเลยตอบไปว่าใช่ ซอลคยองกูเลยบอกว่า งั้นเจอกันในอีก 2 วัน และยังไม่ทันที่ผู้กำกับจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนัง เขาก็ตอบรับแสดงในทันที โดยบทนี้ เขาแสดงเป็นมินคยู ประธานใหญ่ของ บริษัท เอ็มเค องค์กรนักฆ่าอันทรงอิทธิพลในหมู่นักฆ่าด้วยกันเอง เขาเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ และหลักปฏิบัติ ว่าเป็นนักฆ่าต้องทำเช่นไร ซอลคยองกู เล่าถึงตัวละครนี้ว่า - “เขาเปรียบเสมือนพระเจ้า เขาเป็นคนออกกฏ ทุกคนต้องทำตาม แต่กลับมีข้อยกเว้นเดียว และข้อยกเว้นนั้นคือ กิลบกซุน และเขาต้องการให้เธออยู่เคียงข้างเขา เป็นมือขวาตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อบกซุนเริ่มลังเลที่จะไม่ต่อสัญญา เขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อให้เธอไม่ไปไหน”

 

คยองกูเล่าต่อว่า มินคยูนั้น เจอบกซุนตั้งแต่สมัยที่เธออายุเพียง 17 ปี และกลายเป็นอาจารย์ของเธอเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น - “มินคยูเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องของบกซุน เขาใจอ่อนเสมอ บางจุดก็เหมือนอารมณ์รักเขาข้างเดียว” - คยองกูเผยว่า แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแอ็กชัน และอัดแน่นด้วยฉากต่อสู้ตลอดเวลา แต่สำหรับเขามันเหมือนหนังโรแมนซ์มากกว่า ยิ่งกับบุกซุนเขามีความรู้สึกหลงใหลเธอ มากกว่าอยากจะต่อสู้ด้วย

- อีซม แค่ได้ประกบตัวแม่ ก็ไม่มีข้อแม้อะไรอีกแล้ว -

 

“ฉันรักธีมที่เกี่ยวกับนักฆ่าหญิงมากเลย” - อีซม นักแสดงตัวแม่รุ่นใหม่ กล่าวถึงสาเหตุที่เธอตัดสินใจรับแสดงในหนังเรื่องนี้ นอกจากธีมที่ทำให้เธอสนใจแล้ว สาเหตุสำคัญคือการได้ร่วมงานกับทั้งผู้กำกับและนักแสดงที่เธอให้การเคารพยกย่อง เธอกล่าวว่า ตัดสินใจรับแสดงใน Kill Boksoon ก่อนที่จะอ่านบทหนังเลยด้วยซ้ำ โดยในเรื่องนี้เธอรับบทเป็น มินฮี น้องสาวของมินคยู ตำแหน่งของเธอคือ Director ของบริษัท คอยดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ควรจะเป็น - “ฉันชอบทิศทางของหนังมากๆ มันดูดิบ ดูจริง ในขณะเดียวกันฉันก็สนุกมากๆด้วยตอนถ่ายทำ ฉันคอยทำตามที่ผู้กำกับนำทางให้ แล้วปรากฏว่า ตัวละครนี้ มีอะไรที่คาดเดาไม่ได้เพียบเลย”

 

“มันมีฉากที่มินฮี ต้องเอาเท้าดันหน้าของ พี่ชายอย่างมินคยูด้วย โดยปกติฉันมักจะไม่เกร็งเวลาถ่ายทำ

แต่เพราะฉันชื่นชมและยกย่อง คยองกูมากๆ ฉันเลยกังวลอย่างมากตอนที่ถ่ายทำฉากนี้” - อีซมเล่าถึงฉากของเธอกับพี่ชายที่ทำให้เธอแทบจะเล่นไม่ออก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ อีซมเล่าต่อว่า คยองกูบอกให้เธอเตะหน้าเขาแรงๆได้เลย ทำมันซะ เธอรวบรวมความกล้าและแสดงฉากนั้น เธอเล่าว่า หลังจากถีบเสร็จ เท้าของเธอก็ทั้งสั่นและชาไปเลย

- จากโซลสู่เบอร์ลิน จาก Netflix สู่หน้าจอผู้ชมทั่วโลก -

 

Kill Boksoon คือหนังเกาหลีที่ดีกรีไม่ธรรมดา เพราะได้รับเลือกให้ฉายเปิดตัวในเทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลินมาแล้ว และกวาดคำชมกลับมามากมาย ผู้กำกับบยอนเผยว่า เขาค่อนข้างแปลกใจ และไม่นึกมาก่อนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพราะเขาเชื่อว่า Kill Boksoon ไม่ใช่หนังประเภทที่จะได้ฉายตามเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลหนังใหญ่ๆอย่างเบอร์ลิน - “ตอนที่ผมได้ข่าวครั้งแรก ผมนึกถึงตอนที่ได้รับเลือกให้ไป เทศกาลหนังเมืองคานส์ สมัยหนังเรื่อง The Merciless มันเป็นความรู้สึกแปลกใจ และไม่คาดคิดมาก่อน นี่ถือเป็นเกียรติมากสำหรับผมและทีมงานทุกคน ที่ได้รับเชิญให้ไปยังเบอร์ลิน”

 

ในขณะที่ จอนโดยอน ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเทศกาลหนังระดับโลก หลังจากเธอเคยคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จาก เทศกาลหนังเมืองคานส์มาได้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับเชิญให้ไปเบอร์บิน - “ก่อนจะไป ฉันสงสัยมากเลยว่า Kill Boksoon จะเป็นหนังที่ผู้ชมในเทศกาลจะรักได้จริงหรอ แต่เมื่อฉันได้นั่งดูหนังพร้อมๆกับทุกคนในงาน ทุกอย่างมันเหลือเชื่อจริงๆ เมื่อได้กระแสตอบรับที่ท่วมท้น

 

ชมตัวอย่าง Kill Boksoon สตรีมพร้อมกัน 31 มีนาคมใน Netflix

ภาพ : Netflix Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Evil Dead Rise’ โคตรเฮี้ยน ! นี่คือหนังผีที่ฮาร์ดคอร์สุดในรอบหลายปี | GOSSIP GUN

21 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Evil Dead Rise’ โคตรเฮี้ยน ! นี่คือหนังผีที่ฮาร์ดคอร์สุดในรอบหลายปี | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปช่วงต้นยุค 80s หนังตระกูล Evil Dead ได้ถือกำเนิดขึ้น เดิมทีมันเป็นเพียงหนังสยองทุนต่ำ จากผู้กำกับที่ไม่มีใครรู้จักมากนัก แต่ด้วยกระแสปากต่อปากที่บอกต่อ ว่านี่คือหนังสยองที่ไม่ประนีประนอมคนดู จัดหนักจัดเต็มแบบไม่เหมืิอนใคร ทำให้ Evil Dead กลายเป็นหนังที่ค่อยๆ ฮิต จนท้้ายที่สุดทำรายได้มากกว่าต้นทุนถึง 8 เท่า และส่งให้ แซม ไรมี่ ผู้กำกับกลายเป็นที่รู้จัก (และกลายเป็นตัวพ่อแห่งหนังสยองจนถึงปัจจุบัน) จากความสำเร็จของภาคแรก ทำให้ Evil Dead ของแซม ไรมี่ ถูกสร้างต่อจนครบไตรภาค ถูกนำมาสร้างกึ่งๆ รีเมกอีกครั้งในปี 2013 ถูกต่อยอดออกมาเป็นฉบับซีรีส์ใน Ash VS Evil Dead จนกระทั่งล่าสุด แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 40 ปีแล้ว แต่ชื่อชั้นของหนังยังไม่สิ้นสุด จนล่าสุด แซม ไรมี่ และพระเอกต้นฉบับ บรู๊ซ แคมป์เบล ขอจับมือกันมาสร้างหนังภาคใหม่อย่าง Evil Dead Rise ที่แม้เส้นเรื่องจะแยกจากภาคก่อนๆอย่างชัดเจน แต่จิตวิญญาณอันอำมหิตแบบ Evil Dead ยังอยู่ครบ ! Evil Dead Rise เล่าเรื่องราวของ เบธ หญิงสาวที่เดินทางมาเยี่ยมพี่สาวในตึกอพาร์ทเมนต์ในลอสแองเจลิส ณ ที่แห่งนี้ พี่สาวของเธอ แอลลี่ อาศัยอยู่กับลูกๆอีก 3 คนเพียงลำพัง หลังจากเธอแยกทางกับสามีไป แต่ไม่นานนักวันอันแสนสุขก็ถูกรบกวน เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้ชั้นใต้ดินยุบลงไป และปรากฏห้องลึกลับที่ซ่อนอยู่ โดยในที่แห่งนี้ ลูกชายคนโตของแอลลี่ ได้เจอหนังสือลึกลับที่เต็มไปด้วยความสยอง ซึ่งวิญญาณอันชั่วร้ายที่เคยถูกกักขังไว้ ได้ถูกปล่อยออกมา และตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา ทุกชีวิตในตึกแห่งนี้ได้ตกอยู่ในอันตราย เพราะปีศาจที่อัดแน่นด้วยความโกรธแค้นกำลังจะฆ่าทุกชีวิต ด้วยระดับความโหดที่ไม่มีใครคาดคิด นี่อาจจะเป็นหนังผีที่ Hardcoreที่สุดในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่ซีนเปิดหนัง Evil Dead Rise ไม่เกรงใจคนดูในแง่ความโหดเลย ด้วยซีนสยองในกระท่อมกลางป่าที่มีกลิ่นอายแบบหนังต้นฉบับ กับฉากเลือดสาดที่จะทำให้คนดูอ้าปากค้างตั้งแต่แรก ก่อนจะปรับโหมดเข้าสู่ความสยองขวัญที่เกิดขึ้นในตึกอพาร์ตเมนต์ ซึ่งถือว่าเป็นบรรยากาศค่อนข้างใหม่สำหรับหนังตระกูลนี้ กลายเป็นมีอารมณ์คล้ายกับหนังตระกูล [REC] ผสมผสานกันไป เพิ่มความสดใหม่ให้กับแฟรนไชส์ หนังใช้เวลาในการปูเรื่องไม่นานนัก ก่อนจะเข้าโหมดสยองโหดแบบ Non-Stop โดยเฉพาะในชั่วโมงที่เรียกว่าจัดหนักจัดเต็มแบบไม่ให้คนดูพักกันเลยทีเดียว เชื่อว่าผู้ชมจำนวนไม่น้อยน่าจะดูไปเหนื่อยไปกับหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่าข้อดีที่ชัดเจนที่สุดของ Evil Dead Rise คือความจัดหนักจัดเต็มที่เทความสะพรึงเข้ามาแบบไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ขึ้นโลโก้ค่ายหนัง Warner Bros. ซึ่งเลือกใช้ซาวน์ได้ชวนขนลุก ต่อเนื่องด้วยซีนที่ขึ้นชื่อหนังที่ใช้ซาวน์ได้สยองขั้นสุด ในการดำเนินเรื่อง ความสยองที่ผู้สร้างเลือกใส่เข้ามามีหลากหลายแบบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสไตล์ที่จัดจ้านแบบ Evil Dead ไม่ว่าจะเป็นความโหดแบบไม่เกรงใจใคร หนังเลือกใช้ฉากเฉือนอวัยวะ ฉากใช้อาวุธต่างๆแทงเข้าไปในจุดที่หวาดเสียว เล่นเอาผู้ชมจำนวนไม่น้อยต้องละสายตาจากจอ บวกกับการดีไซน์ตัวละครที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ที่ออกแบบมาได้สุดแสนจะประหลาด แค่มองนิ่งๆก็ชวนผวาแล้ว และเมื่อเริ่มขยับร่างกาย ความหลอนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ด้วยท่าทางสุดพิศดารที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ บวกกับความคาดเดาไม่ได้ของผี ยิ่งทำให้หนังชวนหวาดผวามากขึ้นหลายเท่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่กวนใจผู้ชมของ Evil Dead Rise อยู่ไม่น้อยคือความงี่เง่าของตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 พี่น้องที่มักจะทำอะไรที่ไม่ควรทำอยู่เสมอ ทำให้หลายคนอดดูไปสาปแช่งไปไม่ได้ จำใจต้องพยายามทำความเข้าใจว่า ถ้าตัวละครไม่ทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ เส้นเรื่องคงไม่เดินไปไหน ก็ต้องยอมหงุดหงิดไป เพื่อให้หนังมันไปต่อได้ในที่สุด แต่สำหรับใครที่ไม่ติดใจเรื่องจุกจิกตรงนี้ น่าจะสามารถเอ็นจอยกับหนังได้แบบเต็มๆ คอหนังสยองสายโหดน่าจะฟินกันพอสมควร โดยนอกจากฉากสยองโหดแบบจัดหนักแล้ว หนังยังมีกลิ่นอายของตระกูล Evil Dead อย่างชัดเจนอีกด้วย ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ให้อารมณ์คล้ายกับไปเข้าบ้านผีในสวนสนุกอยู่ไม่น้อย เพียงแค่โหดกว่า เลือดสาดกว่า ใครที่จะพาเด็กๆไปดู ขอเตือนว่าไม่ควร เพราะเรื่องนี้เรียกว่าได้เรต Rแบบปริ่มๆกันเลยทีเดียวภาพ : Warner Bros. Thailandชมตัวอย่าง Evil Dead Rise วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

17 พ.ค. 2023

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะบอกว่าหนังภาคนี้คือ Avengers สำหรับหนังตระกูล Fast Furious เพราะมันทำหน้าที่เหมือนพยายามโกยทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่ Fast Five ที่ไม่ว่าจะอีเหละเขละขละขนาดไหน ให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง แล้วไปด้วยกัน เพื่อบิลด์ไปสู่บทสรุป ก่อนหน้านี้หนัง Fast Furious ถูกวางโร้ดแมปไว้ให้ภาค11 เป็นภาคจบ ก่อนที่เมื่อสัปดาห์ก่อน วิน ดีเซล เพิ่งให้สัมภาษณ์แบบไม่มีใครทันตั้งตัวว่า Fast Furious จะจบที่ภาค 12 ไม่ว่าหลังจากนี้จะเหลืออีกภาคเดียวหรือสองภาค แต่ที่แน่ๆ Fast Furious X ทำหน้าที่เหมือนบันไดก้าวสู่จุดนั้น ถ้าให้เทียบกับจักรวาลมาร์เวล มันก็ทำหน้าที่เหมือน Avengers : Infinity War นั่นเอง ที่รวมเอาตัวละครในจักรวาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มาใส่ไว้ด้วยกัน และบิลด์ให้กราฟเส้นเรื่องพุ่งทะยานขึ้นสูงสุด เพื่อให้ผู้ชมกระหายว่าบทสรุปของแฟรนไชส์จะเป็นอย่างไร (ภาคหน้าของฟาสต์ ก็คงเป็น Endgame ดีๆนี่เอง)ก่อนที่จะเข้าสู่ Fast Furious X หนังพาผู้ชมย้อนกลับไปยังภาคที่ 5 เพื่อปูแบ็คกราวน์ตัวร้ายหลักของภาคนี้ อย่าง ดันเต้ (รับบทโดย เจสัน โมโมอา จาก Aquaman) เขาคือทายาทของเฮอร์แนน พ่อค้ายาตัวพ่อที่โดน ดอมและไบรอันจัดการให้ภาค5 จากความแค้นที่สั่งสมมานานนับทศวรรษ ดันเต้ จึงกลับมาเพื่อล้างแค้นดอน แต่วิธีที่เจ็บปวดที่สุดนั้น กลับไม่ใช่การฆ่าเขา แต่เป็นการทยอยจัดการคนที่เขารัก บุคคลที่ดอมเรียกว่า "ครอบครัว"และเมื่อยิ่งครอบครัวใหญ่ การปกป้องก็ยิ่งยากขึ้น แน่นอนว่าสมาชิกหลักๆของหนังตระกูลฟาสต์ กลับมาแบบครบทีม รวมถึง 3 ตัวร้ายหลักจากภาค 7-9ที่กลับมาเป็นพันธมิตรของดอมไปซะแล้ว ทั้ง เจสัน สเตแธมในบท เด็กการ์ด, ชาร์ลีซ เธียรอน ในบทไซเฟอร์ และจอห์น ซีน่าในบท เจค็อบ น้องชายของดอม พร้อมกับสมาชิกใหม่ ซึ่งนอกจาก เจสัน โมโมอาแล้ว ยังมี บรี ลาห์สัน (จาก Captain Marvel) ในบทเทส ลูกสาวของมิสเตอร์โนบอดี้ และนักแสดงระดับตำนาน ริต้า โมเรร่า ในบทคุณย่าของดอมดูเหมือน Fast Furious X จะเป็นหนังตระกูลฟาสต์ที่เข้ารูปเข้ารอยมากที่สุดในหนังตระกูลนี้ระยะหลังๆ สำหรับผู้เขียนเองยกให้เป็นภาคที่ชอบที่สุดนับตั้งแต่ Fast Five ในแง่ของหนังเล่าเรื่องค่อนข้างลงตัว ไม่ได้สะเปะสะปะเท่าภาคก่อนๆ หนังพยายามจะดึงจุดสำคัญในภาคที่ 5-9 มารวมกันเพื่อนำไปสู่ภาค 11 (และอาจจะมี 12) อย่างที่ วิน ดีเซล พยายามให้เป็นบทสรุป หนังทำหน้าที่นั้นได้อย่างดี แม้ว่าจะมีหลายๆอย่างที่ดู "อิหยังวะ" หรือชวนให้ขำขัน แต่มันก็เป็นคาแรคเตอร์ของหนังตระกูลนี้ไปแล้ว แม้บทหนังจะไม่ได้เพอร์เฟคเต็มร้อย แต่หนังก็สามารถบิลด์ความตึงเครียด สร้างอารมณ์ร่วมได้ค่อนข้างดี และเส้นเรื่องเองก็ไม่ได้ยุ่งเหยิงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ภาคนี้ดูเป็นหนังฟาสต์ที่ "มีสติ" มากกว่าหลายๆภาคพอสมควรแน่นอนว่าไฮไลต์หลักของตระกูล Fast Furious คือฉากแอ็กชัน ซึ่งยังคงมันส์ สนุกและเร้าอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นฉากไล่ล่าใหญ่ในอิตาลี หรือฉากบู๊หนักในช่วงท้าย ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือความพยายามที่จะลดระดับความเว่อร์ลงมา หลังจากภาคก่อนๆไปไกลถึงระดับออกนอกโลก จนเกือบจะกลายเป็นหนังแฟนตาซีไปแล้ว ภาคนี้เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับพยายามทำฉากแอ็กชันให้สมจริงมากขึ้น แม้จะยังเว่อร์อยู่เมื่อเทียบกับภาคแรกๆ แต่มันก็เป็นความเว่อร์ในระดับที่รับได้ ไม่ได้โม้จนถึงขั้นหัวเราะออกมา เป็นความเว่อร์ที่ไม่ได้ทำให้เส้นเรื่องที่ค่อนข้างตึงเครียด ดูเครียดน้อยลงแต่อย่างใด ดูจะเป็นฉากแอ็กชันที่โม้ในระดับที่ผู้ชมพอจะทำใจได้ว่า มันก็อาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้นะ ซึ่งภาคนี้ทำได้ดี จัดใหญ่จัดเต็มแบบคุ้มค่าตั๋วในการดูในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอนและอีกหนึ่งไฮไลต์หลักที่สำคัญมากสำหรับ Fast Furious X คือการปรากฏตัวของ เจสัน โมโมอา ตัวร้ายหลักประจำภาคที่สามารถยกให้เป็น MVP ของหนังเลยก็ว่าได้ เขาคือตัวร้ายที่มีทั้งเสน่ห์ มีทั้งอารมณ์ขัน แต่ก็อัดแน่นด้วยความอำมหิตเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกฉากที่เขาปรากฏตัวแทบจะขโมยซีนไปได้ทั้งหมด ยิ่งคาแรคเตอร์ที่เหมือนจะตรงข้ามดอมทุกประการยิ่งทำให้แย่งซีนได้ง่ายมาก ต่างจากตัวร้ายภาคก่อนๆ ทั้ง เจสัน, ชาร์ลีซ หรือแม้แต่ จอห์นในภาคก่อน จะมีบุคลิกค่อนข้างนิ่ง ขรึม ต่างจากตัวละครนี้ ที่แม้จะเอาฮา ดูบ้า แต่ก็โหดของจริง ความเหี้ยมของตัวละครนี้ทำให้ Fast X เข้าสู่โหมดจริงจังได้อย่างเต็มที่ จนอยากจะยกให้บท ดันเต้ ของเจสัน โมโมอา คือตัวร้ายที่ดีที่สุด และอันตรายกับดอมมากที่สุด ในบรรดาหนังตระกูลฟาสต์ทุกภาคเลยด้วยซ้ำสำหรับใครที่เริ่มจะเบื่อๆหรือเอือมระอากับหนังตระกูล Fast Furious ที่ไม่จบไม่สิ้นเสียที อยากให้ลองกลับมาดูภาคนี้ เป็นภาคที่เหมือนพาแฟรนไชส์นี้ กลับสู่จุดพีกสุดอีกครั้ง หลังจากพีกไปมากๆในภาค 5 และภาค7 ต้องขอบคุณการเข้ามาของผู้กำกับ หลุยส์ เลตเตอเรีย (จาก Now You See Me และ Clash of the Titans) ที่บาลานซ์เรื่องค่อนข้างดี คุมหนังให้ไม่ออกนอกลู่นอกทางเท่าไหร่นัก และเป็นภาคที่หยิบเอบคำว่า "ครอบครัว" ซึ่งเป็นจุดแข็งแรงของตัวละครหลักมาตลบหลังให้กลายเป็นจุดอ่อน นี่คือภาคที่ทั้งสนุก ทั้งเข้มข้น และค่อนข้างลงตัวกว่าหลายๆภาค แม้มันจะยังคงเว่อร์ ยังคงมีบาดแผล ตามสไตล์หนังฟาสต์ แต่ต้องยอมรับว่า Fast X คือภาคที่บันเทิงกว่าหลายๆภาคในระยะหลังจริงๆ ปล. ดูในระบบ IMAX ยิ่งเพิ่มอารมณ์ร่วม ฉากแอ็กชันใหญ่ช่วยบิลด์ความอลังการได้ดีมากชมตัวอย่าง Fast Furious X (เร็ว..แรงทะลุนรก 10) วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยเสียที สำหรับภาพยนตร์หายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล ขนทัพนักแสดงแถวหน้าของวงการไว้มากมาย หลังจากไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีก่อน และได้รับคำชมมากมาย หนังก็ขยับโปรแกรมฉายมาเรื่อยๆ (เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ โควิดที่เกาหลียังแรงอยู่) จนกระทั่งล่าสุดได้โปรแกรมฉายเสียที นี่คืองานล่าสุดของผู้กำกับ ฮันแจริม (จาก The Face Reader) ที่เขาเผยว่า เขียนบทไว้ตั้งแต่ก่อนโควิดจะเริ่ม แต่ไปๆมาๆพอหนังเริ่มถ่ายทำไปแล้ว โควิดก็มาพอดี ซึ่งมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกับในหนังอย่างไม่ได้ตั้งใจ !Emergency Declaration เล่าถึงหายนะที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบิน จากกรุงโซล มุ่งหน้าสู่ฮาวาย เมื่อมีผู้โดยสารคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้โดยสารทุกคน และเมื่อเหตุการณ์เหนือการควบคุม กัปตันจึงต้องประกาศเหตุฉุกเฉินเพื่อขอลงจอดในสนามบินที่ใกล้ที่สุด แต่ปัญหาใหญ่คือ อันตรายที่อยู่บนเครื่องบิน อาจสร้างหายนะให้กับผู้คนข้างล่างได้เมื่อมันแลนดิ้ง เลยสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่าย เพราะหายนะบนเครื่องบิน อาจกลายเป็นหายนะของคนทั้งโลก !นี่คือหนังแอ็กชันระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้ของจริง หนังใช้เวลาช่วงแรกในการค่อยๆแนะนำแต่ละตัวละครที่สำคัญ ทั้งบนเครื่องบิน เริ่มจากตัวละครของ อีบยองฮอน (จาก Mr.Sunshine) ที่รับบทคุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวบินไปฮาวายเพื่อรักษาโรค แต่กลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียก่อน โดย คิมนัมกิล (จาก Pandora) รับบทกัปตันที่ต้องทำการตัดสินใจประกาศ Emergency Declaration เพื่อให้เครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันฝั่งภาคพื้นดิน ก็มีตัวละครของ ซงคังโฮ (จาก Parasite) เป็นตำรวจฝีมือเยี่ยมที่ต้องทำทุกทางเพื่อช่วยภรรยา ซึ่งอยู่บนเครื่องบินไฟลต์นรกเช่นเดียวกัน โดยการตัดสินใจทั้งหมด เกิดขึ้นกับตัวละครของ จอนโดยอน (จาก Untold Scandal) ในบทรัฐมนตรีคมนาคม ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้หนังใช้เวลาบิลด์เรื่องพอสมควร ทั้งในส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนฟ้า และเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องด้านล่าง ทำให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ ค่อยๆบิลด์ความตื่นเต้น จนกระทั่งพีกขั้นสุดในช่วงแรกเมื่อหายนะได้เกิดขึ้น ชั่วโมงแรกของ Emergency Declaration หนังทำได้อย่างเยี่ยมยอดที่ทำให้เราลุ้นในแทบทุกนาที และรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาเมื่อหายนะเกิดขึ้น ลากยาวไปจนถึงช่วงครึ่งหลัง ที่ตรึงอารมณ์ผู้ชมไว้ได้ตลอด ความตื่นเต้นไม่ได้ลดระดับลงเลย แม้บางช่วงจะอารมณ์ดร็อปลงบ้าง เพราะสถานการณ์เหมือนจะเบาบางลง แต่หนังก็กระหน่ำวิกฤตใส่เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผู้ชมแทบจะไม่ได้พักกันเลยทีเดียว นอกจากลุ้นในฝากของฉากตื่นเต้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าที่เกี่ยวกับตัวละคร และการตัดสินใจ ถือว่าทำได้ดี เมื่อผู้ชมดูหนังไปซักพัก และเริ่มอินกับเรื่อง พอพาร์ทดราม่ามาถึง มันก็ทำงานได้ในจังหวะที่พอเหมาะถ้าจะมีอะไรให้รู้สึกว่าหนังบกพร่องสำหรับ Emergency Declaration ก็น่าจะเป็นเรื่องความยาว ที่ยาวถึง 2.30 ชั่วโมง อาจจะมีบางช่วงที่สามารถตัดออกเพื่อให้หนังกระชับและเข้มข้นกว่านี้ได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่มีกลิ่นอายของหนังแนวสืบสวนสอบสวนเข้ามา ทำให้ความรู้สึกลุ้นไปกับตัวละครลดลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาบิลด์หนักอีกครั้งในช่วงองก์สุดท้าย และในช่วงท้ายที่หนังค่อนข้างใช้เวลากับบทสรุปที่ค่อนข้างนาน ในแง่ดีมันก็ทอดอารมณ์ให้ผู้ชมยังคงอินกับหนังได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่ามันสามารถย่อให้สั้นลงได้อีกในฐานะหนังหายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ต้องบอกว่า Emergency Declaration ตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง หลายฉากทำให้ผู้ชมตรึงอยู่กับที่นั่งด้วยความระทึก ยิ่งฉากที่โปรโมตกัน เรื่องของเครื่องบินที่หมุน 360องศา ซึ่งหนังใช้เครื่องบินจริง มาตัดเป็นท่่อน แล้วหมุนจริง นักแสดงอย่าง อีบยองฮอน ก็นั่งอยู่บนเครื่องที่หมุนจริงด้วย พอมาดูเต็มๆในหนัง ทำให้ภาพที่ออกมาสมจริงมากๆ นอกจากนี้ต้องชื่นชมทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นเล็ก นำทีมโดย ซงคังโฮ, อีบยองฮอน และจอนโดฮยอน ทำได้ดีมากๆเลย โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักที่เอ่ยไป มีแง่มุมของตัวละครที่นักแสดงถ่ายทอดออกมาอย่างพอเหมาะ นี่เป็นอีกครั้งที่หนังเกาหลีก้าวไปข้างหน้าอีกสเต็ป และดูเหมือนว่าจะไม่แผ่วลงมาง่ายๆ ใครที่ชอบหนังตื่นเต้น บีบหัวใจ น่าตีตั๋วขึ้นไปคลั่งกันบนเที่ยวบินไฟลต์นี้มากๆปล. หนังเข้าฉายในระบบ 4DX ด้วย และดูเหมือนว่าจะมีหลายฉากที่ออกแบบมาเพื่อระบบนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งฉากที่ระทึกที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทั้งหมด ระบบ 4DX ช่วยเพิ่มอรรถรสได้อย่างมาก จนบางจุดให้อารมณ์คล้ายกับนั่งเครื่องบินจริงๆ ที่กำลังประสบปัญหาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับหนังหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉายในระบบนี้ Emergency Declaration ถือว่ามีเอฟเฟคที่แรงทีเดียว อาจจะไม่ได้ถี่ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เอฟเฟคมาก ถึงขั้นตอนจับตรงที่กั้นระหว่างเก้าอี้เลยทีเดียวชมตัวอย่าง Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

15 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสร้างภาคต่อของหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก Avatar ภาคแรกออกฉายเมื่อ 13 ปีก่อน และยังครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก ด้วยรายได้ 2.9 พันล้านเหรียญฯ มันกลายเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆคน มันกลายเป็นหนังที่พลิกโฉมโลกภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่ทันสมัย ดังนั้น เมื่อ เจมส์ คาเมรอน ต้องสร้างภาคต่อให้กับหนังที่ฮิตที่สุดในโลก เขาจึงต้องใช้เวลา และเขาไม่ได้มาแค่เล่นๆ เพราะหนังภาคต่อถูกวางแพลนยาวๆถึงภาค 5 กันเลยทีเดียว (ตอนนี้ถ่ายทำภาค 3 เสร็จแล้ว และถ่ายภาค 4 ไปได้องค์แรก) ดังนั้นผู้ชมจึงต้องรอนานมากกว่าทศวรรษเพื่อกลับสู่แพนโดร่าอีกครั้งAvatar : The Way of Water เล่าเหตุการณ์มากกว่า 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก (ห่างพอๆกับปีฉายหนังทั้งสองภาคนั่นเอง) เมื่อ เจคและเนทีรี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมกับสมาชิกครอบครัวใหม่ ทายาทของพวกเขาถึง 4 คน แต่แล้ว มนุษย์ก็ยังไม่หยุดแผนการณ์ที่จะเข้ายึดครองดาวดวงแห่งนี้ แถมยังขยายเขตอาณานิคมกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ และได้พบว่าผู้พันไมล์ ศัตรูจากภาคแรกที่แม้เจคจะสังหารไปแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นในร่างใหม่ (แต่เพราะอะไรต้องไปดูกันในหนัง) โดยไมล์มีเป้าหมายเดียว คือการตามล่าเจค และสังหารเขา นี่คือความแค้นส่วนตัวที่นำไปสู่การไล่ล่าครั้งใหม่ เจคจึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว นำไปสู่การผจญภัย การต่อสู้ และสงคราม ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสิ่งที่ทำให้ เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาเตรียมงานสร้างภาคต่อ Avatar นานกว่าทศวรรษคือการพัฒนาเทคโนโลยี ภาคแรกผู้ชมจะเห็นความสมจริง จากการถ่ายทำแบบเทคนิค Motion-Capture ดังนั้น สีหน้า แววตา การขยับตัวของตัวละครจะเหมือนนักแสดง แต่ภาคนี้ไอเดียเขาล้ำกว่า คือจะถ่าย Motion-Capture แบบในน้ำ ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เขาจึงต้องทดลองอยู่นาน ซึ่งความพยายามนี้เอง ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะไฮไลต์ที่โดดเด่นจริงๆของ The Way of Water นั้น คือฉากใต้น้ำนี่เอง หนังใช้เวลาถึง 2 ใน 3 ของเรื่องกับฉากเหนือน้ำและใต้น้ำ ทำให้เทคนิคนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคุ้มค่า ภาพที่ปรากฏบนจอดูสวยสะกดสายตามากๆ ทำให้สิ่งที่เห็นแล้วตื่นตะลึงในภาคแรก ถูกอัพเลเวลความน่าตื่นตาขึ้นไปอีก ยิ่งดูในระบบ IMAX 3D ยิ่งเพิ่มอรรถรส เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้นจริงๆ เหมือนเราลงไปในมหาสมุทรจริงๆก็ว่าได้ (ดีไม่ดี สวยกว่าของจริงด้วย)นอกจากงานสร้างที่สามารถเรียกว่า Visual Stunning สวยงามระดับตื่นตะลึงแล้ว สิ่งที่ทำให้ Avatar ภาคใหม่ตรึงผู้ชมได้ดี คือการไต่ระดับอารมณ์ของหนัง โดยเฉพาะในชั่วโมงสุดท้าย เจมส์ คาเมรอน สามารถเนรมิตฉากไคลแมกซ์สุดยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะซีนแอ็กชันในภาคนี้ เล่นใหญ่มาก และทำเอาลุ้นระทึกได้ตลอด แถมดีไซน์มุมกล้องออกมาได้สดใหม่ ทำให้เพิ่มความว้าวขึ้นไปอีก แต่ปัญหาหลักของ Avatar ภาคนี้ กลับเป็นเส้นเรื่อง ที่เหมือนจะยังไม่ได้เดินหน้าไปไหนมากนัก (จนหลายคนแซวว่าหนังรีเมกภาคแรกด้วยซ้ำ) หนังยังคงวนเวียนอยู่กับตัวละครกลุ่มเดิม จากภาคแรกที่เป็นการปกป้องเผ่าพันธุ์และอาณาจักร ภาคนี้ดูเหมือนกับโฟกัสที่ปมแค้นส่วนตัวของตัวละครมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พลังความหึกเหิม และอารมณ์ร่วมค่อนข้างลดหายไปอยู่บ้าง (แต่ถ้าคิดซะว่าเป็นแผนยาว ที่เขาต้องสร้างถึงภาค 5 ก็พอเข้าใจอยู่ว่าจะเก็บอะไรไว้เล่าอีกเยอะ)โดยรวม Avatar : The Way of Water คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น Cinema Experience ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการดูหนังในโรงที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าตัวหนังเองอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่มันก็ยกระดับงานสร้างขึ้นไปจากเดิม อรรถรสในการดูหนังเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การได้ดูในโรงภาพยนตร์ที่จอใหญ่ๆ และเสียงกระหึ่มจริงๆ นี่คือหนังอีกเรื่องที่ตอกย้ำว่า การดูหนังในโรงมันแตกต่างจากดูที่บ้านอย่างไร เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อหนังถูกลงในระบบสตรีมมิ่งแล้ว ถ้าดูซ้ำ คงไม่ได้อ้าปากค้าง หรีือเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแพนโดร่า เหมือนตอนดูในโรงอีกแล้วชมตัวอย่าง Avatar : The Way of Water วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : 20th Century Studios Thailand

album

0
0.8
1