[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

22 ก.พ. 2023

ถือเป็นหนังเกาหลีโปรแกรมใหญ่เรื่องแรกประเดิมปี 2023 เลยสำหรับ The Point Men ที่เรียกได้ว่าใหญ่ในทุกๆองค์ประกอบ เริ่มจากนักแสดงนำที่ใหญ่ระดับบิ๊กเนมแห่งเกาหลี อย่าง ฮวางจองมิน ที่หนังของเขาล้วนติดอันดับ All-Time Box Office มากมาย อาทิ Ode To My Father, Veteran, A Violent Prosecutor และ The Wailing มาประกบกับ ฮยอนบิน จาก Clash Landing on You ที่เพิ่งมี Confidential Assignment 2 กวาดเงินถล่มทลายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ใหญ่ทั้งพล็อตซึ่งหยิบเอาเหตุการณ์จริงช็อกโลก ของนักท่องเที่ยวเกาหลีในอัฟกานิสถานที่ถูกจับเป็นตัวประกันมาเล่า และใหญ่จนถึงงานโปรดักชั่น ซึ่งเพื่อความสมจริง หนังจึงยกกองกันไปถ่ายทำไกลถึงประเทศจอร์แดน จนได้บรรยากาศรกร้างว่างเปล่าใกล้เคียงกับอัฟกานิสถานจริง (ที่เข้าไปถ่ายทำไม่ได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย)

The Point Men สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 2007 ที่ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ จำนวน 23 คน ถูกกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน จับไปเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอัฟกานิสถาน ปล่อยตัวนักโทษตาลีบันที่ถูกจับคุมขังไว้ในคุกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ กลายเป็นภารกิจสำคัญของ แจโฮ (รับบทโดย ฮวางจองมิน) นักการทูตที่ถูกส่งตัวไปยังกรุงคาบูลทันที เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และต้องร่วมมือกับ เดซิก (รับบทโดย ฮยอนบิน) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่เชี่ยวชาญในพื้นที่แถบนี้ แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาจะแทบเข้ากันไม่ได้เลย แต่เพื่อช่วยชีวิตพลเมืองเกาหลีถึง 23 ชีวิต พวกเขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อหยุดวิกฤตครั้งนี้ให้ได้

โดยรวม The Point Men สามารถรักษาบรรยากาศความตึงเครียดได้ตั้งแต่นาทีแรก หนังแทบจะไม่เสียเวลาในการเล่าเรื่องที่ไม่สำคัญเลย เปิดมาฉากแรกก็เข้าสู่โหมดระทึก และแทบจะไม่กราฟตกเลยนับจากนั้น โดยหนังมีมู้ดและโทนที่เน้นไปในทางการเจรจาต่อรอง หรือ หาวิธีในการช่วยตัวประกัน มากกว่าอัดฉากแอ็กชันที่เน้นลุยเน้นต่อสู้ ทำให้ The Point Men ดูจะเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ที่มีความบุ๋น มากกว่าความบู๊ เน้น ใช้สมอง มากกว่าเน้นลุย อาจจะไม่ได้ถูกใจคอแอ็กชั่นมากนัก แต่ใครที่ชอบหนังที่มีความกดดัน เรื่องนี้สามารถทำให้ผู้ชมลุ้นตามได้แทบทุกฉากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายๆ ที่แม้ว่าจะพอรู้บทสรุปอยู่บ้าง (ถ้าติดตามข่าว เพราะมันคือเรื่องจริง) แต่หนังก็ยังสามารถเร้าอารมณ์ได้ถึงขีดสุดอยู่ดี

ในแง่ของนักแสดงยิ่งทำให้ The Point Men หายห่วงเข้าไปใหญ่ เมื่อตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องอยู่ที่ ฮวางจองมิน นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ไม่ว่าบทไหนเขาก็เอาอยู่หมด มาประกบกับ ฮยอนบิน ที่เรื่องนี้เปลี่ยนจากลุคมาดคลีนๆมาเป็นหนุ่มใหญ่สายลุย ที่อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็เป็นภาพที่เท่อยู่ไม่น้อย และเมื่อมาเจอกับ ฮวางจองมิน กลายเป็นสองคาแรคเตอร์ที่ลักษณะดูแตกต่างกันสุดขั้ว แต่เคมีกลับเข้ากันอย่างมาก ถือเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างเพอร์เฟคเลยทีเดียว แถมในหนังยังได้ คังคิยง (จาก Extraordinary Attorney Woo) มาสร้างสีสันในบทของ กาซิม ชายชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน ตัวละครของเขาคือส่วนของอารมณ์ขัน ที่หยิบเข้ามาแทรกในจังหวะตึงเครียด ให้ผู้ชมได้เบรกอารมณ์ผ่อนคลายบ้าง ในจังหวะที่พอเหมาะ

สรุปแล้ว The Point Men ถือเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ที่เน้นสร้างบรรยากาศระทึก มากกว่าลงลึกด้านการเมือง และบิลด์ฉากแอ็กชัน เน้นฉากการเจรจาต่อรองเพื่อช่วยเหลือตัวประกันเป็นหลัก ซึ่งภาพรวมสร้างออกมาได้อย่างสมจริง และยิ่งใหญ่ในงานสร้าง หนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศของอัฟกานิสถานออกมาได้อย่างหลากหลายแบบตามจุดประสงค์ของแต่ละซีน ฉากในกรุงคาบูลก็เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ฉากนอกเมืองก็มีแต่บรรยากาศที่เคว้งคว้าง ใครที่ชื่นชอบหนังแนวนี้ หรือเป็นแฟนหนังเกาหลี น่าจะไม่ควรพลาด The Point Men ที่การันตีความฮิตมาแล้ว ด้วยการครองอันดับ 1 ของตารางหนังทำเงินเกาหลี ได้นานถึง 3 สัปดาห์ซ้อน

ชมตัวอย่าง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก

 

ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

19 ม.ค. 2022

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

นี่คือหนังอาชญากรรมกึ่งชีวประวัติที่เต็มไปด้วยแง่มุมที่ดึงดูดผู้ชม เริ่มจากพล็อตที่โคตรหวือหวา สร้างจากคดีจริงเบื้องลึกตระกูลดังแห่งแวดวงแฟชั่นอย่าง กุชชี แบรนด์เนมชื่อก้องโลก เรื่องราวความรัก การแย่งชิงอำนาจ นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ดึงดูดผู้กำกับชั้นครู อย่าง ริดลีย์ สก็อตต์(จากAlienและGladiator)ให้สนใจอยากสร้างเป็นหนังนานนับทศวรรษแล้ว แต่กว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็คือไม่นานมานี้ และตัวเลือกของริดลีย์สำหรับบทนำนี่เอง ที่ทำให้หน้าหนังของHouse of Gucciอิมแพคยิ่งกว่าหนังดรามาเรื่องไหนๆ เพราะเขาเลือก เลดี้ กาก้า ที่ปังสุดๆ จากบทนำครั้งแรกในA Star is Bornมารับบทนำเป็นครั้งที่2แล้วแวดล้อมด้วยนักแสดงเบอร์เทพ ระดับ อัล ปาชิโน,เจเรมี่ ไอรอนส์,อดัม ไดรเวอร์ และจาเรด เลโต้ และรายหลังนี่เองที่สร้างความปังขั้นสุด ด้วยการแปลงโฉมเพื่อแสดงในหนัง จนแทบจะไม่มีใครจำได้!ในHouse of Gucciหนังพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยปลายยุค70sเล่าถึง แพทริเซีย(รับบทโดย เลดี้ กาก้า)หญิงสาวธรรมดาๆที่ฝันไกลอยากไต่เต้าเป็นมหาเศรษฐี จนกระทั่งเธอได้รู้จัก มัวริซิโอ้(รับบทโดย อดัม ไดรเวอร์ จากStar Wars : The Force Awakens)ทายาทตระกูลกุชชี่ ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวแทนจะไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว แต่ความรักของทั้งสองกลับขัดใจ โรดอฟโฟ(รับบทโดย เจเรมี่ ไอรอนส์)พ่อของเขา ทำให้มัวริซิโอ้ เริ่มไปสนิทกับคุณลุง(ซึ่งรับบทโดย อัล ปาชิโน)อีกหนึ่งหุ้นส่วนสำคัญของ กุชชี่แทน และเขานี่เองที่พยายามผลักดันและเชื้อเชิญให้ มัวริซิโอ้กลับมาสานต่อธุรกิจให้ครอบครัว ซึ่งแพทริเซียก็เห็นด้วยตามนั้น เพราะลูกชายแท้ๆของลุง(รับบทโดย จาเรด เลโต้ ที่แปลงโฉมอย่างหนัก)ไร้พรสวรรค์เกินกว่าจะทำงานด้านแฟชั่นได้ แม้ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ซึ่งทั้งหมดเริ่มค่อยๆนำไปสู่ปมบาดหมางในครอบครัว ความทะเยอทะยานของแพทริเซียค่อยๆล้ำเส้น เกินกว่าใครจะคาดเดาไฮไลต์ที่ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินมากที่สุดกับHouse of Gucciคือการฟาดฟันกันของเหล่านักแสดงที่เล่นดีกันแบบยกแผง ไม่มีใครดร็อปกว่าใครเลยจริงๆ ใจจริงเป็นห่วง เลดี้ กาก้า มากที่สุด เพราะเธออยู่ท่ามกลางนักแสดงฝีมือฉกาจทั้งหมด แต่เธอก็สวมบท แพทริเซีย แบบสุดพลังเช่นกัน แม้ว่าหลายฉากอาจจะดูแสดงล้นไปนิดๆ แต่อินเนอร์สำหรับบทนี้มาเต็ม แทบจะเกินร้อยทำให้เธอไม่ได้จมหายไปกับหนัง แถมยังแสดงความรู้สึกของตัวละครออกมาได้มีพลังสุดๆ และที่สำคัญคือเคมีของเธอกับ อดัม ไดรเวอร์ เจ้าของบทสามี ที่แน่นอนว่ารายหลังไร้ข้อกังขาเรื่องฝีมือไปนานแล้ว แต่ยิ่งดูจะยิ่งสัมผัสได้ว่าสองตัวละครนี้ มันไปด้วยกันได้ดีมากๆจริงๆแต่ที่บียอนด์ยิ่งกว่า คือสามนักแสดงที่เหลือ อัล ปาชิโน กับ เจเรมี ไอรอนส์ คือไร้ข้อกังขา ทั้งสองแสดงพลังออกมาไม่แพ้หนังเรื่องไหนๆ ยิ่งอยู่ด้วยกันพลังยิ่งเพียบ แผ่รังสีจนสุด แต่สิ่งบียอนด์ในบียอนด์ ขโมยซีนไปจนหมดต้องยกให้ จาเรด เลโต้ ที่ดูกี่ฉากก็ไม่ชินและไม่เชื่อว่านี่คือเขา เพราะไม่เหมือน จาเรด เลโต้ที่ีเคยเห็นเลย เขากลายเป็นตัวละครนั้นได้แบบเต็มตัว เหลือเพียงแววตาที่เราคุ้นว่านี่คือจาเรดเท่านั้น ยิ่งฉากที่เขาเข้ากับ อัล ปาชิโน ซึ่งแสดงเป็นพ่อ ยิ่งเป็นฉากที่ละสายตาจากจอไม่ได้จริงๆ เคมีระหว่างพ่อลูกที่ทั้งรักทั้งเกลียดกันคู่นี้ มันสุด ซีนเหล่านี้คือสมบัติอันล้ำค่าของฮอลลีวู้ดมากๆแน่นอนว่าตัวพล็อตที่เลือกมาเล่า มันมีความเข้มข้นน่าติดตามอยู่แล้ว ปมขัดแย้งในครอบครัวที่นำไปสู่คดีอาชญากรรมมันสนุกมันชวนดึงดูดให้ลุ้นตาม แต่ปัญหาหลักของHouse of Gucciน่าจะเกิดจากจังหวะในการเล่าของ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ในเรื่องนี้เขาตัดสินใจเล่าตามลำดับเวลา และจังหวะค่อนข้างออกไปทางเรื่อยๆเรียงๆไปนิด ด้วยความยาวถึง2.40ชม.กลายเป็นว่าหนังยาวเกินความจำเป็น และแทบจะไม่ได้มี จุดฮุกให้ผู้ชมรู้สึกลุ้นตามเท่าไหร่นัก กลายเป็นนักแสดงแผดฝีมือขั้นสุด แต่ตัวการตัดต่อและเล่าเรื่อง กลับไม่ค่อยได้บิลด์ตามการแสดงเท่าไหร่ จึงน่าเสียดายพอสมควร(ให้7.5คะแนน จากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

22 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

นึกไม่ออกเลยครับ ว่าใครจะสร้างหนังชีวประวัติของศิลปินระดับตำนานอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ได้จัดจ้านเท่ากับผู้กำกับ บาซ เลอห์มานน์ เหมือนโปรเจกต์นี้ ถูกออกแบบมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ เหมือนหนังชีวิตของเอลวิส ถูกรอเวลาเพื่อให้เจอคนที่เหมาะมืออย่างบาซ มากำกับ ตลอดระยะเวลาถึง30ปีที่โลดแล่นในวงการภาพยนตร์ บาซ ทำหนังเพียงแค่5เรื่อง(และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่6)แต่ผลงานเขาทั้งโดดเด่น มีเอกลักษณ์ และได้รับความนิยมล้นหลามแทบทุกเรื่อง ไล่ตั้งแต่Strictly Ballroom, Romeo+Juliet, Moulin RougeมาจนถึงThe Great Gatsbyทุกเรื่องที่ภาพจำในความจัดจ้าน ความอลังการPacingเล่าเรื่องที่ไวทั้งหมด ยกเว้นเพียงAustraliaหนังเอพิคโรแมนติกที่ดูจะพลาดไปหน่อยเพียงเรื่องเดียว การกลับมาครั้งนี้ในรอบ9ปี เหมือนบาซสะสมพลังทั้งหมด มาใส่เต็มให้กับเรื่องนี้Elvisพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยที่ราชาแห่งร็อคแอนด์โรลล์ยังไม่มีชื่อเสียง เอลวิส(รับบทโดย ออสติน บัตเลอร์)เติบโตมาในสังคมของคนดำ หลงใหลในดนตรีของคนผิวดำ จนบางครัั้งก็ถูกเหยียดหยามจนคนขาวด้วยกัน จนกระทั่งเขาได้ถูกค้นพบโดย ผู้พันทอม ปาร์กเกอร์(รับบทโดย ทอม แฮงค์ส)ผู้จัดการศิลปิน ที่มองเห็นเพชรเม็ดงาม ที่พร้อมจะถูกเจียระไน ทอมพาเอลวิสไปเซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงยักษ์ ไม่นานเอลวิสจึงดังเป็นพลุแตก ด้วยลีลาการโชว์ การเต้น การสะบัดเอวอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สาวๆต่างคลั่งไคล้ในตัวเขา หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าไปในโลกของเอลวิส ทั้งชีวิตครอบครัว ชีวิตความรัก เส้นทางในวงการ อุปสรรคมากมายที่เขาต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์กับผู้จัดการของเขาเอง ชายที่ทั้งให้โอกาส และในขณะเดียวกันก็ฉกฉวยผลประโยชน์อย่างบ้าคลั่งจากตัวเขานี่คือหนัง บาซ เลอห์มานน์ ที่เป็น บาซ เลอห์มานน์ มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเอกลักษณ์สไตล์การเล่าเรื่องที่จัดจ้าน หวือหวา ประโคมสิ่งต่างๆเข้ามาในฉากให้มากที่สุด หนังใช้วิธีการตัดต่อที่เร็วPacingในการเล่าค่อนข้างไว มีแค่บางฉากที่เน้นขยี้อารมณ์ ที่ดึงฉากนั้นให้ช้าลงมา ประกอบกับงานออกแบบงานสร้างที่สุดจะอลังการ เสื้อผ้าที่จัดเต็ม และที่พีกที่สุด คือ เมคอัพและออกแบบทรงผม ที่ไม่ใช่แค่ เอลวิส ที่เหมือนจนน่าตกใจ แต่รวมถึงตัวละครผู้พันทอม ผู้จัดการของเอลวิส ที่แต่งให้ ทอม แฮงค์ส กลายเป็นตัวละครดังกล่าวอย่างเต็มตัว และที่น่าทึ่งคือ หนังเล่าในหลายช่วงเวลา กินเวลานานหลายสิบปี เราจะเห็นตัวละครต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปร่างหน้าตา ซึ่งดูเป็นธรรมชาติจนต้องปรบมือให้ทีมเบื้องหลังของหนังมากๆแต่หัวใจสำคัญจริงๆของElvisก็คือตัวละครเอลวิส ที่ไม่รู้จะต้องขอบคุณอะไร ที่ทำให้ บาซ เลอห์มานน์ ได้เจอกับ ออสติน บัตเลอร์ นักแสดงหนุ่มวัย31ปีคนนี้ สามารถกลายเป็นเอลวิสได้อย่างไม่มีที่ติ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เขาสามารถแสดงอารมณ์จากข้างใน ฉากแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแสดงได้อย่างทรงพลัง และที่ต้องชมมากขึ้นไปอีก คือ ออสติน ร้องเพลงของเอลวิสในหนังด้วยตัวเอง ยิ่งตอกย้ำถึงความครบเครื่องของเขาคนนี้ และแม้จะต้องประกบกับนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง ทอม แฮงค์ส ในแทบทุกฉาก แต่ออสตินก็สามารถโดดเด่น และดึงสปอตไลท์มาไว้ที่ตัวเองด้วยการแสดงอันน่าทึ่งได้ตลอด ในขณะที่ ทอม แฮงค์ส ก็ถ่ายทอดบทผู้พันทอม ได้อย่างไร้ที่ติเช่นกัน นี่คือตัวละครสีเทา ที่ทอมสามารถบาลานซ์สิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาได้ดี และเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเรื่องราวในหนังได้อย่างลงตัวอีกด้วยนี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับแค่แฟนเอลวิสเท่านั้น แต่นี่คือหนังเด็ดหนึ่งเรีื่องที่ควรค่าแก่การชมในโรงภาพยนตร์ หนังเต็มไปด้วยพลังงานที่ถูกส่งออกมาจากหน้าจอ มันทั้งทรงพลัง จัดจ้าน ฉูดฉาด หวือหวา อาจกล่าวได้ว่าไม่มีฉากไหนที่ บาซ เลอห์มานน์ เบามือกับมันเลย ทุกฉากถูกบีบเค้น ถูกถาโถมด้วยสไตล์อย่างไม่ยั้ง แน่นอนว่าต้นปีหน้า เราคงได้เห็นชื่อหนังElvisโลดแล่นบนเวทีรางวัลอย่างแน่นอน อย่างน้อยสาขา เมคอัพและแฮร์สไตล์ลิส,ออกแบบเครื่องแต่งกาย,ออกแบบงานสร้าง ต้องได้เข้าชิง รวมไปถึง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ต้องลุ้นให้ค่ายวอร์เนอร์ฯ สามารถรักษากระแสของหนังไปได้เรื่อยๆ และทำแคมเปญโปรโมต ออสตินให้หนักๆอีกครั้งในช่วงประกาศผลรางวัล ไม่แน่เขาอาจจะไม่ใช่แค่ผู้เข้าชิง เพราะคุณภาพการแสดงที่เขาถ่ายทอดออกมา สามารถเป็นถึงผู้ชนะได้อย่างสบายๆ(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างElvisสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] ‘Black Adam’ แอนตี้ฮีโร่คนใหม่ในจักรวาล DC กับความมันส์แบบจัดหนัก | GOSSIP GUN

20 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘Black Adam’ แอนตี้ฮีโร่คนใหม่ในจักรวาล DC กับความมันส์แบบจัดหนัก | GOSSIP GUN

พอถึงคิวฉายของหนังใหม่ในจักรวาล DC ทีไรก็ทำเอาแฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่ลุ้นทุกที เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาของค่ายนี้ค่อนข้างผีเข้าผีออกอยู่หลายครั้ง บ้างก็ดีจนน่าอิ่มใจ แต่หลายครั้งก็เละเทะจนทำเอาแฟนๆ กุมขมับ อย่างตอนที่หนังใหญ่ระดับJustice League ออกมาพังไม่เป็นท่า ก็ทำเอาผู้บริหารของวอร์เนอร์เป๋ไปอยู่หลายปีเหมือนกัน สำหรับหนังโปรแกรมล่าสุดอย่าง Black Adam ถือว่าต้องลุ้นหลายๆ อย่าง เพราะแค่ชื่อชั้นของตัวละครนำ ดูจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่าไรนัก (ต่างจากระดับ แบทแมน หรือ ซูเปอร์แมน) เพราะตัว Black Adam เอง ออกจะเป็นตัวร้ายด้วยซ้ำ แถมแยกมาจากหนัง DC ที่ดังระดับกลางๆอย่าง Shazam! ทำให้คนดูทั่วไปอาจจะไม่คุ้นเคยกับเขาเสียเท่าไหร่ แต่จุดที่แข็งแกร่งมากๆหนังโปรเจกต์นี้ คือการที่ได้ดาราระดับ ดเวย์น จอห์นสัน หรือ เดอะร็อค มารับบทนำ กลายเป็นว่านี่อาจจะเป็นหนังในจักรวาล DC ที่ต้องพึ่งพลังนักแสดงมากที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้แบล็คอดัม (หรือเดิมชื่อ เท็ท อดัม) เขาคือซูเปอร์ฮีโร่พลังเทพ เช่นเดียวกับ ชาแซม เขาได้รับพลังจากเหล่าทวยเทพของอียิปต์ ทำให้มีพลังกำลังเหนือมนุษย์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ด้วยพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ หลายครั้งที่แบล็คอดัมใช้พลังในการเข่นฆ่ามนุษย์ เขาจึงถูกคุมขังอยู่นานนับ 5 พันปี จนกระทั่งในโลกยุคปัจจุบัน หนังเล่าเหตุการณ์ในเมืองสมมุติที่ชื่อว่า คาห์นดัก ประเทศโลกที่สามที่ถูกกดขี่โดยกองกำลังติดอาวุธ เพื่อปลดปล่อยประชาชนให้ได้รับอิสรภาพ แบล็คอดัมจึงถูกปล่อยตัวออกมาให้เป็นฮีโร่ของชาวคาห์นดัก แต่การปรากฏตัวครั้งนี้ของเขากลับเป็นที่กังวลของฮีโร่อื่นๆ กลุ่ม Justice Society of America จึงถูกส่งตัวมายังคาห์นดัก เพื่อจับตัวแบล็คอดัมกลับไป ท่ามกลางสงครามการแย่งชิง มงกุฏลึกลับที่สามารถมอบพลังมหาศาลให้กับผู้ที่ครอบครองมันแน่นอนว่า Black Adam ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจนักวิจารณ์แบบที่ The Batman หรือ Joker เป็นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่คะแนนนักวิจารณ์ล่าสุดใน Rotten Tomatoes จะออกมาก้ำกึ่งราวๆ 50% และเมื่อดูหนังเต็มๆก็พบว่า Black Adam ตัดสินใจให้ตัวเองเป็นหนังแอ็กชันหลั่งอะดรีนาลีนเดือดแบบเต็มตัว เอาใจแฟนๆสายแอ็กชัน เน้นความมันส์และสะใจโดยเฉพาะ สไตล์เดียวกับหนัง ดเวย์น จอห์นสันเรื่องอื่นๆ Black Adam จึงมีกลิ่นอายเหมือนการดูหนังแบบ Fast Furious ผสมกับ Jumanji มากกว่าที่จะเป็นหนังฮีโร่นิ่งๆ ดาร์กๆ ทั่วไป หนังใช้เวลาที่ในการเล่าเรื่องแบบติดสปีด ย้อนกลับไปเท้าความเมื่อ 5,000 ปีก่อน ก่อนที่จะตัดมาเล่าเหตุการณ์ในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่จะเข้าฉากแอ็กชันซีนใหญ่ซีนแรกที่ทำให้เราได้เจอกับ แบล็ค อดัม อาจจะบอกได้ว่าหนังเล่าไว จนใครที่เข้าโรงไม่ทัน อาจจะงงกันการปูเรื่องกันเลยทีเดียวแม้ว่าแรกเริ่มเดิมที Black Adam จะถูกวางเป็นตัวละครในหนังShazam! ก่อนที่ผู้บริหารวอร์เนอร์จะเปลี่ยนใจ ให้เขามีหนังเปิดตัวเป็นของตัวเอง แต่อาจจะกล่าวได้ว่า Black Adam ก็ยังมีความเป็น Spin-Off ของ Shazam! จนตอนแรกไม่ได้คาดหวังในสเกลของหนังมากนัก (เพราะอย่าง Shazam ก็ไม่ใช่ใหญ่โตอะไรมาก ถือเป็นหนังจักรวาล DC ไซส์กลางๆ) แต่ปรากฏว่าBlack Adam มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ใหญ่โต จนแซงหน้า Shazam! ไปเลยทีเดียว ฉากแอ็กชันมากมายที่เกิดขึ้นในเมืองคาห์นดัก ล้วนน่าตื่นตา หลายฉากทำออกมาได้สนุกเกินคาดไปมาก เช่นเดียวกับมุกตลกในหนัง แม้ว่าจะไม่ได้เน้นอารมณ์ขันมากเท่า Shazam! แต่หลายครั้งที่จังหวะปล่อยมุก ค่อนข้างเวิร์กมากๆ เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำได้ดีในโซนนี้ เพิ่มดีกรีความบันเทิงให้กับหนังได้มากขึ้นไปอีก !ข้อดีมากๆ ของ Black Adam คือความสดใหม่ เหมือนผู้ชมได้ดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เฟรชมากๆหนึ่งเรื่อง เนื่องด้วยหนังพาเราเข้าสู่ดินแดนใหม่ๆ อย่าง คาห์นดัก แม้ว่ามันจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลายๆเมือง โดยเฉพาะ อียิปต์ หรือประเทศเอเชียตะวันออกกลาง แต่ก็ต้องถือว่าไม่ค่อยซ้ำทางกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคหลังๆเท่าไหร่นัก บวกกับตัวละครกลุ่มใหม่เกือบทั้งหมด หนังพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับทั้งแบล็คอดัม และสมาชิกของ จัสตีซ โซไซตี้ ออฟ อเมริกา ซึ่งแต่ละตัวละครก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจที่แตกต่างกันไป แม้ว่าหนังจะเล่าเรื่องด้วยลำดับเหตุการณ์ที่ค่อนข้างคลีเช่ ตามสไตล์หนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่เพราะดีเทลทั้งสถานที่ ตัวละคร ที่มาใหม่แทบทั้งหมด ก็ทำให้การดูหนัง Black Adam ค่อนข้างสดชื่นเมื่อได้ชม เหมือนหนังพาผู้ชมไปสนุกกับเพื่อนๆกลุ่มใหม่ ในประเทศที่แปลกใหม่ ไม่ใช่อะไรเดิมๆที่เราเห็นมาแล้วบ่อยครั้งในฐานะหนังป็อปคอร์นที่เน้นมอบความบันเทิง Black Adam สอบผ่านในจุดนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังคุณภาพยอดเยี่ยมในระดับที่ขึ้นหิ้ง แต่มันก็ทำหน้าที่มอบความสนุกให้กับผู้ชมได้อย่างสบายๆ ถือเป็นการจับมือกันอีกครั้งของ ดเวย์น จอห์นสัน กับผู้กำกับ โจเม่ คอลเล็ต-เซอร์ร่า ที่น่าชื่นชม ถัดจาก Jungle Cruise ที่สนุกมากจนดิสนีย์ไฟเขียวสร้างภาคต่อไปแล้วเรื่องนึง นอกจากตัวหนังที่สนุกอย่างน่าพอใจแล้ว ไฮไลต์สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับหนังซูเปอร์ฮีโร่ในยุคนี้คือเหล่าบรรดาฉากแถมช่วง End-Credit ที่สำหรับ Black Adam แม้จะมีแถมเพียงแค่ฉากเดียว แต่ก็พีกในระดับที่ทำให้แฟนๆของDC กรี๊ดสนั่นกันลั่นโรงเลยก็ว่าได้ พีกในระดับที่จักรวาล DC ไม่ได้ทำแบบนี้ได้มาหลายต่อหลายปีแล้ว แม้ว่า Black Adam จะไม่ใช่หนังที่มาพลิกโฉมดีซี แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้แฟนๆได้ยิ้มออกว่า หลังจากนี้ น่าจะมีอะไรสนุกๆรอเราอยู่อีกเพียบชมตัวอย่าง Black Adam วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] “Uncharted” ดัดแปลงเกมล่าขุมทรัพย์สู่หนังใหญ่ | GOSSIP GUN

17 ก.พ. 2022

[REVIEW] “Uncharted” ดัดแปลงเกมล่าขุมทรัพย์สู่หนังใหญ่ | GOSSIP GUN

“หนังจากวีดีโอเกมส์มักจะเจ๊ง”กลายเป็นคำกล่าวที่ลือลั่นในฮอลลีวูด เพราะน้อยครั้งมากที่หนังที่สร้างจากเกมจะประสบความสำเร็จแบบปังๆ ย้อนไปดูBox Officeในอเมริกา มีหนังจากเกมแค่5เรื่องที่ทำรายได้ผ่านหลัก100ล้านเหรียญฯ คือSonic The Hedgehog, Pokemon Detective Pikachu, Lara Croft : Tomb Raider, The Angry Bird MovieและRampage (ซึ่งเรื่องหลังเมื่อเทียบกับทุนสร้างแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าทำเงินอะไรมากนัก)แต่ฮอลลีวูดก็ยังคงหยิบเกมมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างหนังอยู่เสมอ ล่าสุดคือUnchartedเกมผจญภัยล่าสมบัติที่โซนี่หยิบมาสร้างเป็นหนัง หวังให้เป็นแฟรนไชส์แบบเดียวกับ Indiana JonesและTomb Raiderโดยดึงพระเอกที่ประสบความสำเร็จสุดของค่าย ณ ตอนนี้อย่าง ทอม ฮอลแลนด์ ถอดชุดสไปเดอร์แมน มาล่าขุมทรัพย์(แม้ว่าแฟนเกมจะติเรื่องที่เขาดูต่างจากตัวละครในเกมมากอยู่ก็ตาม) ทอม ฮอลแลนด์ รับบทเป็น นาธาน เดรก หนุ่มที่ใช้ชีวิตเป็นบาร์เทนเดอร์ แต่ก็เป็นนักล้วงกระเป๋าเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ลึกๆเขาเองสนใจในการล่าสมบัติ จากความคลั่งไคล้ของพี่ชายที่หายตัวไป จนกระทั่งเขาได้เจอกับ ซัลลี่(รับบทโดย มาร์ก วอห์ลเบิร์ก)ชายนักล่าขุมทรัพย์มืออาชีพ ที่ชักชวนเขาให้ร่วมทีมออกตามหาทองคำที่หายไป จากเรือของมาเจลแลน ที่แล่นข้ามโลกได้สำเร็จเมื่อในอดีต แต่การออกบล่าสมบัติครั้งนี้ของพวกเขาไม่ง่ายนัก เพราะมี ซานติอาโก้(รับบทโดย แอนโตนิโอ แบนเดอราส)มหาเศรษฐีทายาทตระกูลเก่าแก่ ออกตามล่าสมบัตินี้เช่นกัน เพราะเขาเชื่อว่านี่คือมรดกของตระกูล ซึ่งการล่าขุมทรัพย์ในครั้งนี้ สำหรับนาธานไม่ใช่แค่เรื่องทองคำเท่านั้น เพราะนี่อาจเป็นโอกาสที่เขาจะได้สืบเกี่ยวกับพี่ชายที่หายตัวไปด้วย Unchartedฉบับหนังใหม่มีกลิ่นอายคล้ายๆTomb Raiderหลายๆประการ ด้วยพล็อตและวิธีการดำเนินเรื่องที่เน้นไขปริศนา เพื่อตามหาสมบัติในสถานที่ต่างๆทั่วโลก ในขณะที่ตัวละครนำก็มีปมเรื่องคนในครอบครัว(อย่างในTomb Raiderคือพ่อของนางเอก ส่วนUnchartedเป็นพี่ชาย)หนังทั้ง2จึงมีโครงสร้างคล้ายๆกัน แต่ในแง่คุณภาพUnchartedอยู่ในระดับกลางๆ โดยรวมหนังทำฉากแอ็กชันออกมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะฉากกลางอากาศ ซึ่งเป็นฉากใหญ่ถึง2ฉากในหนัง ทำออกมาได้ตื่นเต้นและตื่นตาอย่างมาก ยิ่งดูในระบบจอIMAXที่มีการเพิ่มขนาดจอเฉพาะสองฉากนี้ ทำให้เหมือนเราอยู่ในฉากแอ็กชันไปกับตัวละครด้วย แต่สิ่งที่ทำให้Unchartedไม่ได้กลายเป็นหนังแอ็กชันที่พีคมากๆ คงจะหนีไม่พ้นเรื่องบท ที่จะพบว่าฉากต่างๆในหนัง ถูกคลี่คลายไปอย่างง่ายดายมาก ถ้าเป็นการเล่นเกมก็คงเหมือนการผ่านด่านที่ง่ายเกินไป เวลาที่พระเอกจำเป็นต้องไขปริศนาอะไรบางอย่างก็สามารถค้นพบคำตอบด้วยเวลานิดเดียว เลยทำให้ดูเหมือนผู้ชมไม่จำเป็นต้องลุ้นตามตัวละครนำมากนัก เพราะน่าจะสามารถผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ง่ายๆอยู่แล้ว บวกกับหนังค่อนข้างเล่าแบ็คกราวน์ของตัวละครน้อย หนังใช้เวลาค่อนข้างสั้นเพื่อเล่าที่มาที่ไปของ นาธาน เดรก ทำให้ผู้ชมอาจจะยังไม่ได้อินกับเขาเท่าไหร่ ก่อนที่การผจญภัยจะเริ่มต้นขึ้น ทอม ฮอลแลนด์ ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดบนจอได้อย่างดี คาแรคเตอร์ในเรื่องที่คล้ายๆกับ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ แบบนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นภาพจำของเขาไปแล้ว ซึ่งก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ แม้ว่าคนที่เล่นเกมนี้จะยืนยันว่าเขาไม่เหมือน นาธาน เดรก ในฉบับเกมเลยก็ตาม ในขณะที่ มาร์ก วอห์ลเบิร์ก ก็ยังคงเล่นบทแอ็กชั่นเบาสมองได้ดูเพลินเช่นเดิม แม้ว่าเคมีของเขากับทอม อาจจะยังไม่มากเท่าไหร่นัก กลายเป็นคนที่เคมีเข้ากับทอมดีกว่าคือ โซเฟีย อาลี ที่รับบทโคลอี้ สาวนักล่าสมบัติที่เข้ามาร่วมทีมกับ นาธานและซัลลี่ หลายฉากที่เธออยู่กับ ทอม เหมือนจะเห็นเสน่ห์เวลาทั้งคู่รับส่งบทออกมา แต่ที่น่าเสียดายสุดคือ แอนโตนิโอ แบนเดอรัส ในบทร้าย ที่ยังไม่ค่อยเห็นถึงความน่าหวาดกลัว และยังไม่มีบทบาทเท่าไหร่นัก โดยรวมUnchartedถือว่าเป็นหนังแอ็กชันจากวีดีโอเกมที่สอบผ่าน สามารถดึงเอาเสน่ห์ของฉากการผจญภัยในเกม มาทำเป็นฉากแอ็กชันในหนังได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ที่ตื่นตาทีเดียว แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องบท คล้ายๆกับหนังเกมทั่วไปที่อาจจะไม่ได้มีวัตถุดิบมากพอที่จะมาใส่ให้เรื่องราวเข้มข้นมากขึ้น การคลี่คลายปริศนาก็ทำได้อย่างไม่ยากนัก แต่การแสดงของ ทอม ฮอลแลนด์ ก็ชวนให้เราลุ้นตามและดูการผจญภัยของเขาไปได้จนจบ ใครที่อยากดูหนังแอ็กชันPopcornที่ดูง่ายๆ เหมือนเล่นเกมผ่านด่าน ก็ลองมาชมเรื่องนี้ได้(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1