[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

21 ก.พ. 2023

หลังจากเหล่าอเวนเจอร์สสามารถโค่นทานอสไปได้ในหนัง Avengers ภาคล่าสุด เป็นการปิดหนัง MCU ในพาร์ทของ The Infinity Saga ไปได้อย่างสวยงาม ถึงเวลาแล้วที่แฟนๆและคอหนัง จะได้ทำความรู้จักตัวร้ายหลักประจำเส้นเรื่องใหม่อย่างThe Multiverse Saga นั่นก็คือ แคงผู้พิชิต ที่จะปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania ซึ่งนอกจากหนังจะทำหน้าที่ปิดไตรภาคของ แอนท์-แมน เองแล้ว ยังถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกใน MCU เฟส 5 อีกด้วย ที่นอกจากจะสำรวจพหุจักรวาลให้ลึกขึ้น หนังยังทำหน้าที่ปูไปยังปมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ซึ่งจะถูกปิดท้ายด้วยหนัง Avengers : The Kang Dynasty และ Avengers : Secret Wars ที่จะออกฉายใน 2-3 ปีข้างหน้า

เรื่องราวใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania เริ่มต้นขึ้น เมื่อแคสซี่ ลูกสาวของ สก็อตต์ แลง ที่ประดิษฐ์เครื่องมือในการส่งสัญญาณเพื่อติดต่อกับในมิติควอนตั้มขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่ จากสิ่งประดิษฐ์นี้ ทำให้ สก็อตต์, โฮป, แคสซี่, ดร.แฮงค์ และเจเน็ต ถูกดูดเข้าไปในมิติควอนตั้ม ซึ่งสร้างความหวาดผวาอย่างมากให้กับ เจเน็ต เพราะเธอเคยถูกขังอยู่ในมิตินี้ นานกว่า 30 ปีกว่าจะออกไปได้ และเธอรู้ดีว่า อันตรายอะไรที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเขา ทั้ง 5 จึงต้องทำทุกทางเพื่อหาทางออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด พร้อมกับหยุดยั้งบุคคลอันตราย ที่พยายามทำทุกทางเพื่อออกไปจากมิตินี้เช่นกัน..

หากเทียบกับหนังในตระกูล Ant-Man ทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania ถือเป็นภาคที่ดูจะมีMood & Tone ที่แตกต่างจากเดิมค่อนข้างมาก แม้ว่ายังคงมีอารมณ์ขัน และโครงเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์ในเกือบทั้งเรื่อง เกิดขึ้นในมิติควอนตัม งานภาพของภาคนี้ จึงดูแตกต่างจากภาคก่อนๆไปอย่างสิ้นเชิง ดูคล้ายหนังอย่าง Doctor Strange ภาคล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่มีบทบาทสำคัญใน The Multiverse Saga เช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่างานโปรดักชั่นของ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จะดูยิ่งใหญ่กว่าภาคก่อนๆ แต่ด้วยความยาวเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้หนังอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า Doctor Strange In The Multiverse of Madness หรือ

Black Panther : Wakanda Forever แต่กระนั้น มันก็มีข้อดีอย่างชัดเจน คือหนังสั้น ทำให้ค่อนข้างกระชับ และเดินเรื่องฉับไว หนังแทบจะไม่เสียเวลาตรงไหนที่ไม่จำเป็นกับเรื่องเลย

จุดที่โดดเด่นมากๆของหนังภาคนี้ กลับไม่ใช่ครอบครัวของ แอนท์-แมน แต่เป็นการปรากฏตัวของ แคงผู้พิชิตเสียมากกว่า ซึ่งการแสดงของ โจนาธาน เมเจอร์ส นั้น ชวนขนลุกและน่าเกรงขามมากๆ ตั้งแต่สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียงที่ดูแสนจะเลือดเย็น ตั้งแต่วินาทีที่แคงปรากฏตัวบนจอ ดูเหมือนหนังจะถูกขโมยไปเป็นหนังของเขาเลยทีเดียว และตลอดเวลาที่ดู ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาทั่วไป นี่เป็นตัวร้ายที่บางทีอาจจะเก่งเกินกว่าที่ แอนท์-แมน จะสามารถโค่นได้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จึงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในฐานะหนังเปิดเฟส 5 ของจักรวาลมาร์เวล ซึ่งดูแล้ว ความสามารถของแคง และเจตนารมณ์อันน่าสะพรึงนั้น สามารถเป็นแกนหลักให้กับ The Multiverse Saga ได้อย่างสบายๆ

ในส่วนของครอบครัวแอนท์-แมน เอง ภาคนี้ก็ยังคงยึดในความรักและความผูกพันอย่างชัดเจน ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ของหนัง Ant-Man ที่ดูจะเป็นหนังครอบครัวมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆใน MCU แต่ตัวละครที่โดดเด่นในภาคนี้มากที่สุด ต้องยกให้บท เจเน็ท ที่ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ แสดงไว้ได้อย่างชวนขนลุก เนื่องจากตัวละครของเธอ เคยถูกขังอยู่ในมิติควอนตัมมาแล้ว ทำให้เจเน็ท ขยับขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ และนั่นเปิดโอกาสให้นักแสดงรุ่นใหญ่ได้โชว์ฝีมือการแสดงได้อย่างเต็มที่ กับบทที่มีมิติและความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น แต่ไฮไลต์สำคัญสำหรับใครที่เติบโตมาในยุค 90s คือการที่ตัวละครของ มิเชลล์ ไฟเฟอร์, ไมเคิล ดักกลาส และสมาชิกใหม่ของภาคนี้อย่าง บิล เมอร์เร่ย์ ปรากฏตัวพร้อมกัน เป็นฉากที่ชวนย้อนระลึกความหลังได้อย่างดี ถึงความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยนั้น

โดยรวมแล้ว Ant-Man and The Wasp : Quantumania สามารถจัดเข้ากลุ่มหนังใน MCU ที่สามารถดูได้เพลินๆ ความสนุกอยู่ในระดับปานกลาง อาจจะไม่ได้เข้มข้นหรือบีบอารมณ์ผู้ชมเท่าหลายๆเรื่อง แต่กระนั้น หนังเรื่องนี้ต้องถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวต่อของ จักรวาลมาร์เวลเฟสใหม่ ทำให้หนังดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นหนังเปิดเฟสใหม่ มากกว่าหนังปิดไตรภาคของเส้นเรื่อง Ant-Man เอง สำหรับแฟนของมาร์เวลเอง น่าจะมีหลายจุดในหนังที่ทำให้ร้องว้าว นับตั้งแต่การปรากฏตัวของแคง ไปจนถึงฉากแถมระหว่างและหลังจบ End-Credit ที่ในเรื่องนี้มีแถมให้ถึง 2 ฉาก และต่างเป็นซีนที่สำคัญ เพื่อก้าวสู่สเต็ปต่อไปของจักรวาลมาร์เวล

ชมตัวอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania วันนี้ในโรงภาพยนตร์

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

17 พ.ค. 2023

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะบอกว่าหนังภาคนี้คือ Avengers สำหรับหนังตระกูล Fast Furious เพราะมันทำหน้าที่เหมือนพยายามโกยทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่ Fast Five ที่ไม่ว่าจะอีเหละเขละขละขนาดไหน ให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง แล้วไปด้วยกัน เพื่อบิลด์ไปสู่บทสรุป ก่อนหน้านี้หนัง Fast Furious ถูกวางโร้ดแมปไว้ให้ภาค11 เป็นภาคจบ ก่อนที่เมื่อสัปดาห์ก่อน วิน ดีเซล เพิ่งให้สัมภาษณ์แบบไม่มีใครทันตั้งตัวว่า Fast Furious จะจบที่ภาค 12 ไม่ว่าหลังจากนี้จะเหลืออีกภาคเดียวหรือสองภาค แต่ที่แน่ๆ Fast Furious X ทำหน้าที่เหมือนบันไดก้าวสู่จุดนั้น ถ้าให้เทียบกับจักรวาลมาร์เวล มันก็ทำหน้าที่เหมือน Avengers : Infinity War นั่นเอง ที่รวมเอาตัวละครในจักรวาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มาใส่ไว้ด้วยกัน และบิลด์ให้กราฟเส้นเรื่องพุ่งทะยานขึ้นสูงสุด เพื่อให้ผู้ชมกระหายว่าบทสรุปของแฟรนไชส์จะเป็นอย่างไร (ภาคหน้าของฟาสต์ ก็คงเป็น Endgame ดีๆนี่เอง)ก่อนที่จะเข้าสู่ Fast Furious X หนังพาผู้ชมย้อนกลับไปยังภาคที่ 5 เพื่อปูแบ็คกราวน์ตัวร้ายหลักของภาคนี้ อย่าง ดันเต้ (รับบทโดย เจสัน โมโมอา จาก Aquaman) เขาคือทายาทของเฮอร์แนน พ่อค้ายาตัวพ่อที่โดน ดอมและไบรอันจัดการให้ภาค5 จากความแค้นที่สั่งสมมานานนับทศวรรษ ดันเต้ จึงกลับมาเพื่อล้างแค้นดอน แต่วิธีที่เจ็บปวดที่สุดนั้น กลับไม่ใช่การฆ่าเขา แต่เป็นการทยอยจัดการคนที่เขารัก บุคคลที่ดอมเรียกว่า "ครอบครัว"และเมื่อยิ่งครอบครัวใหญ่ การปกป้องก็ยิ่งยากขึ้น แน่นอนว่าสมาชิกหลักๆของหนังตระกูลฟาสต์ กลับมาแบบครบทีม รวมถึง 3 ตัวร้ายหลักจากภาค 7-9ที่กลับมาเป็นพันธมิตรของดอมไปซะแล้ว ทั้ง เจสัน สเตแธมในบท เด็กการ์ด, ชาร์ลีซ เธียรอน ในบทไซเฟอร์ และจอห์น ซีน่าในบท เจค็อบ น้องชายของดอม พร้อมกับสมาชิกใหม่ ซึ่งนอกจาก เจสัน โมโมอาแล้ว ยังมี บรี ลาห์สัน (จาก Captain Marvel) ในบทเทส ลูกสาวของมิสเตอร์โนบอดี้ และนักแสดงระดับตำนาน ริต้า โมเรร่า ในบทคุณย่าของดอมดูเหมือน Fast Furious X จะเป็นหนังตระกูลฟาสต์ที่เข้ารูปเข้ารอยมากที่สุดในหนังตระกูลนี้ระยะหลังๆ สำหรับผู้เขียนเองยกให้เป็นภาคที่ชอบที่สุดนับตั้งแต่ Fast Five ในแง่ของหนังเล่าเรื่องค่อนข้างลงตัว ไม่ได้สะเปะสะปะเท่าภาคก่อนๆ หนังพยายามจะดึงจุดสำคัญในภาคที่ 5-9 มารวมกันเพื่อนำไปสู่ภาค 11 (และอาจจะมี 12) อย่างที่ วิน ดีเซล พยายามให้เป็นบทสรุป หนังทำหน้าที่นั้นได้อย่างดี แม้ว่าจะมีหลายๆอย่างที่ดู "อิหยังวะ" หรือชวนให้ขำขัน แต่มันก็เป็นคาแรคเตอร์ของหนังตระกูลนี้ไปแล้ว แม้บทหนังจะไม่ได้เพอร์เฟคเต็มร้อย แต่หนังก็สามารถบิลด์ความตึงเครียด สร้างอารมณ์ร่วมได้ค่อนข้างดี และเส้นเรื่องเองก็ไม่ได้ยุ่งเหยิงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ภาคนี้ดูเป็นหนังฟาสต์ที่ "มีสติ" มากกว่าหลายๆภาคพอสมควรแน่นอนว่าไฮไลต์หลักของตระกูล Fast Furious คือฉากแอ็กชัน ซึ่งยังคงมันส์ สนุกและเร้าอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นฉากไล่ล่าใหญ่ในอิตาลี หรือฉากบู๊หนักในช่วงท้าย ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือความพยายามที่จะลดระดับความเว่อร์ลงมา หลังจากภาคก่อนๆไปไกลถึงระดับออกนอกโลก จนเกือบจะกลายเป็นหนังแฟนตาซีไปแล้ว ภาคนี้เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับพยายามทำฉากแอ็กชันให้สมจริงมากขึ้น แม้จะยังเว่อร์อยู่เมื่อเทียบกับภาคแรกๆ แต่มันก็เป็นความเว่อร์ในระดับที่รับได้ ไม่ได้โม้จนถึงขั้นหัวเราะออกมา เป็นความเว่อร์ที่ไม่ได้ทำให้เส้นเรื่องที่ค่อนข้างตึงเครียด ดูเครียดน้อยลงแต่อย่างใด ดูจะเป็นฉากแอ็กชันที่โม้ในระดับที่ผู้ชมพอจะทำใจได้ว่า มันก็อาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้นะ ซึ่งภาคนี้ทำได้ดี จัดใหญ่จัดเต็มแบบคุ้มค่าตั๋วในการดูในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอนและอีกหนึ่งไฮไลต์หลักที่สำคัญมากสำหรับ Fast Furious X คือการปรากฏตัวของ เจสัน โมโมอา ตัวร้ายหลักประจำภาคที่สามารถยกให้เป็น MVP ของหนังเลยก็ว่าได้ เขาคือตัวร้ายที่มีทั้งเสน่ห์ มีทั้งอารมณ์ขัน แต่ก็อัดแน่นด้วยความอำมหิตเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกฉากที่เขาปรากฏตัวแทบจะขโมยซีนไปได้ทั้งหมด ยิ่งคาแรคเตอร์ที่เหมือนจะตรงข้ามดอมทุกประการยิ่งทำให้แย่งซีนได้ง่ายมาก ต่างจากตัวร้ายภาคก่อนๆ ทั้ง เจสัน, ชาร์ลีซ หรือแม้แต่ จอห์นในภาคก่อน จะมีบุคลิกค่อนข้างนิ่ง ขรึม ต่างจากตัวละครนี้ ที่แม้จะเอาฮา ดูบ้า แต่ก็โหดของจริง ความเหี้ยมของตัวละครนี้ทำให้ Fast X เข้าสู่โหมดจริงจังได้อย่างเต็มที่ จนอยากจะยกให้บท ดันเต้ ของเจสัน โมโมอา คือตัวร้ายที่ดีที่สุด และอันตรายกับดอมมากที่สุด ในบรรดาหนังตระกูลฟาสต์ทุกภาคเลยด้วยซ้ำสำหรับใครที่เริ่มจะเบื่อๆหรือเอือมระอากับหนังตระกูล Fast Furious ที่ไม่จบไม่สิ้นเสียที อยากให้ลองกลับมาดูภาคนี้ เป็นภาคที่เหมือนพาแฟรนไชส์นี้ กลับสู่จุดพีกสุดอีกครั้ง หลังจากพีกไปมากๆในภาค 5 และภาค7 ต้องขอบคุณการเข้ามาของผู้กำกับ หลุยส์ เลตเตอเรีย (จาก Now You See Me และ Clash of the Titans) ที่บาลานซ์เรื่องค่อนข้างดี คุมหนังให้ไม่ออกนอกลู่นอกทางเท่าไหร่นัก และเป็นภาคที่หยิบเอบคำว่า "ครอบครัว" ซึ่งเป็นจุดแข็งแรงของตัวละครหลักมาตลบหลังให้กลายเป็นจุดอ่อน นี่คือภาคที่ทั้งสนุก ทั้งเข้มข้น และค่อนข้างลงตัวกว่าหลายๆภาค แม้มันจะยังคงเว่อร์ ยังคงมีบาดแผล ตามสไตล์หนังฟาสต์ แต่ต้องยอมรับว่า Fast X คือภาคที่บันเทิงกว่าหลายๆภาคในระยะหลังจริงๆ ปล. ดูในระบบ IMAX ยิ่งเพิ่มอารมณ์ร่วม ฉากแอ็กชันใหญ่ช่วยบิลด์ความอลังการได้ดีมากชมตัวอย่าง Fast Furious X (เร็ว..แรงทะลุนรก 10) วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] “Uncharted” ดัดแปลงเกมล่าขุมทรัพย์สู่หนังใหญ่ | GOSSIP GUN

17 ก.พ. 2022

[REVIEW] “Uncharted” ดัดแปลงเกมล่าขุมทรัพย์สู่หนังใหญ่ | GOSSIP GUN

“หนังจากวีดีโอเกมส์มักจะเจ๊ง”กลายเป็นคำกล่าวที่ลือลั่นในฮอลลีวูด เพราะน้อยครั้งมากที่หนังที่สร้างจากเกมจะประสบความสำเร็จแบบปังๆ ย้อนไปดูBox Officeในอเมริกา มีหนังจากเกมแค่5เรื่องที่ทำรายได้ผ่านหลัก100ล้านเหรียญฯ คือSonic The Hedgehog, Pokemon Detective Pikachu, Lara Croft : Tomb Raider, The Angry Bird MovieและRampage (ซึ่งเรื่องหลังเมื่อเทียบกับทุนสร้างแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าทำเงินอะไรมากนัก)แต่ฮอลลีวูดก็ยังคงหยิบเกมมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างหนังอยู่เสมอ ล่าสุดคือUnchartedเกมผจญภัยล่าสมบัติที่โซนี่หยิบมาสร้างเป็นหนัง หวังให้เป็นแฟรนไชส์แบบเดียวกับ Indiana JonesและTomb Raiderโดยดึงพระเอกที่ประสบความสำเร็จสุดของค่าย ณ ตอนนี้อย่าง ทอม ฮอลแลนด์ ถอดชุดสไปเดอร์แมน มาล่าขุมทรัพย์(แม้ว่าแฟนเกมจะติเรื่องที่เขาดูต่างจากตัวละครในเกมมากอยู่ก็ตาม) ทอม ฮอลแลนด์ รับบทเป็น นาธาน เดรก หนุ่มที่ใช้ชีวิตเป็นบาร์เทนเดอร์ แต่ก็เป็นนักล้วงกระเป๋าเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ลึกๆเขาเองสนใจในการล่าสมบัติ จากความคลั่งไคล้ของพี่ชายที่หายตัวไป จนกระทั่งเขาได้เจอกับ ซัลลี่(รับบทโดย มาร์ก วอห์ลเบิร์ก)ชายนักล่าขุมทรัพย์มืออาชีพ ที่ชักชวนเขาให้ร่วมทีมออกตามหาทองคำที่หายไป จากเรือของมาเจลแลน ที่แล่นข้ามโลกได้สำเร็จเมื่อในอดีต แต่การออกบล่าสมบัติครั้งนี้ของพวกเขาไม่ง่ายนัก เพราะมี ซานติอาโก้(รับบทโดย แอนโตนิโอ แบนเดอราส)มหาเศรษฐีทายาทตระกูลเก่าแก่ ออกตามล่าสมบัตินี้เช่นกัน เพราะเขาเชื่อว่านี่คือมรดกของตระกูล ซึ่งการล่าขุมทรัพย์ในครั้งนี้ สำหรับนาธานไม่ใช่แค่เรื่องทองคำเท่านั้น เพราะนี่อาจเป็นโอกาสที่เขาจะได้สืบเกี่ยวกับพี่ชายที่หายตัวไปด้วย Unchartedฉบับหนังใหม่มีกลิ่นอายคล้ายๆTomb Raiderหลายๆประการ ด้วยพล็อตและวิธีการดำเนินเรื่องที่เน้นไขปริศนา เพื่อตามหาสมบัติในสถานที่ต่างๆทั่วโลก ในขณะที่ตัวละครนำก็มีปมเรื่องคนในครอบครัว(อย่างในTomb Raiderคือพ่อของนางเอก ส่วนUnchartedเป็นพี่ชาย)หนังทั้ง2จึงมีโครงสร้างคล้ายๆกัน แต่ในแง่คุณภาพUnchartedอยู่ในระดับกลางๆ โดยรวมหนังทำฉากแอ็กชันออกมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะฉากกลางอากาศ ซึ่งเป็นฉากใหญ่ถึง2ฉากในหนัง ทำออกมาได้ตื่นเต้นและตื่นตาอย่างมาก ยิ่งดูในระบบจอIMAXที่มีการเพิ่มขนาดจอเฉพาะสองฉากนี้ ทำให้เหมือนเราอยู่ในฉากแอ็กชันไปกับตัวละครด้วย แต่สิ่งที่ทำให้Unchartedไม่ได้กลายเป็นหนังแอ็กชันที่พีคมากๆ คงจะหนีไม่พ้นเรื่องบท ที่จะพบว่าฉากต่างๆในหนัง ถูกคลี่คลายไปอย่างง่ายดายมาก ถ้าเป็นการเล่นเกมก็คงเหมือนการผ่านด่านที่ง่ายเกินไป เวลาที่พระเอกจำเป็นต้องไขปริศนาอะไรบางอย่างก็สามารถค้นพบคำตอบด้วยเวลานิดเดียว เลยทำให้ดูเหมือนผู้ชมไม่จำเป็นต้องลุ้นตามตัวละครนำมากนัก เพราะน่าจะสามารถผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ง่ายๆอยู่แล้ว บวกกับหนังค่อนข้างเล่าแบ็คกราวน์ของตัวละครน้อย หนังใช้เวลาค่อนข้างสั้นเพื่อเล่าที่มาที่ไปของ นาธาน เดรก ทำให้ผู้ชมอาจจะยังไม่ได้อินกับเขาเท่าไหร่ ก่อนที่การผจญภัยจะเริ่มต้นขึ้น ทอม ฮอลแลนด์ ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดบนจอได้อย่างดี คาแรคเตอร์ในเรื่องที่คล้ายๆกับ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ แบบนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นภาพจำของเขาไปแล้ว ซึ่งก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ แม้ว่าคนที่เล่นเกมนี้จะยืนยันว่าเขาไม่เหมือน นาธาน เดรก ในฉบับเกมเลยก็ตาม ในขณะที่ มาร์ก วอห์ลเบิร์ก ก็ยังคงเล่นบทแอ็กชั่นเบาสมองได้ดูเพลินเช่นเดิม แม้ว่าเคมีของเขากับทอม อาจจะยังไม่มากเท่าไหร่นัก กลายเป็นคนที่เคมีเข้ากับทอมดีกว่าคือ โซเฟีย อาลี ที่รับบทโคลอี้ สาวนักล่าสมบัติที่เข้ามาร่วมทีมกับ นาธานและซัลลี่ หลายฉากที่เธออยู่กับ ทอม เหมือนจะเห็นเสน่ห์เวลาทั้งคู่รับส่งบทออกมา แต่ที่น่าเสียดายสุดคือ แอนโตนิโอ แบนเดอรัส ในบทร้าย ที่ยังไม่ค่อยเห็นถึงความน่าหวาดกลัว และยังไม่มีบทบาทเท่าไหร่นัก โดยรวมUnchartedถือว่าเป็นหนังแอ็กชันจากวีดีโอเกมที่สอบผ่าน สามารถดึงเอาเสน่ห์ของฉากการผจญภัยในเกม มาทำเป็นฉากแอ็กชันในหนังได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ที่ตื่นตาทีเดียว แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องบท คล้ายๆกับหนังเกมทั่วไปที่อาจจะไม่ได้มีวัตถุดิบมากพอที่จะมาใส่ให้เรื่องราวเข้มข้นมากขึ้น การคลี่คลายปริศนาก็ทำได้อย่างไม่ยากนัก แต่การแสดงของ ทอม ฮอลแลนด์ ก็ชวนให้เราลุ้นตามและดูการผจญภัยของเขาไปได้จนจบ ใครที่อยากดูหนังแอ็กชันPopcornที่ดูง่ายๆ เหมือนเล่นเกมผ่านด่าน ก็ลองมาชมเรื่องนี้ได้(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

22 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

ใครที่ยกให้ Call Me By Your Name เป็นหนังรักในดวงใจ ต้องลองกลับมาลิ้มรสผลงานใหม่ของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่กลับมาร่วมงานกับพระเอก ทิโมธี ชาลาเมต์ อีกครั้งใน Bones And All หนังรักในบรรยากาศเหงาๆผสมความสยองสุดแหวก ที่หยิบเอานิยายของ คามิล เดอแองเจลิส ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2015 มาดัดแปลงขึ้นจอใหญ่ โดยก่อนจะเข้าฉายในโรง หนังสร้างกระแสด้วยการตระเวนทัวร์ เดินสายฉายโชว์ในเทศกาลหนังมาแล้วหลากหลาย ทั้งเวนิส นิวยอร์ก เทลลูไลด์ ไปจนถึงลอนดอน ซึ่งล้วนกวาดคำชม และล่าสุดหนังได้คะแนนเฉลี่ยนักวิจารณ์จาก Rotten Tomatoes มาแล้วถึง 86% โดยส่วนใหญ่ชื่นชมในการแสดง การกำกับ การบันทึกภาพ และการผสมผสานระหว่างตระกูลหนังที่แตกต่างเทย์เลอร์ รัสเซลล์ นางเอก Escape Room รับบทมาเรน วัยรุ่นสาวที่เติบโตมาด้วยความแปลกแยก เพราะเธอมีพฤติกรรมชอบกินเนื้อคนตั้งแต่เด็กๆ ทำให้พ่อของเธอต้องพามาเรนย้ายเมืองอยู่บ่อยๆ เพื่อหลบหนีจากสังคม จนกระทั่งวันหนึ่งเธอตัดสินใจออกตามหาแม่ที่ทิ้งเธอไปนาน และระหว่างการเดินทางเธอได้พบกับ ลี วัยรุ่นหนุ่มที่ค้นพบว่า ต่่างมีรสนิยมชอบกินเนื้อมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งโดยปกติแทบจะหาคนประเภทเดียวกันไม่เจอ กลายเป็นความสัมพันธ์ของสองคนเหงาที่แปลกแยกจากสังคม แต่ต่างเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน และเรื่องราวของทั้งสองนั้นไม่ง่ายดาย เมื่อสันชาตญาณดิบในการกินเนื้อมนุษย์ พร้อมที่จะทำให้เกิดการนองเลือดได้ตลอดเวลาBones And All ถือเป็นหนังที่มีรสชาติแปลกน่าลิ้มลองทีเดียวเชียว มันมีส่วนผสมระหว่างหนังรักโรแมนติก และหนังเขย่าขวัญสุดประหลาด คล้ายคลึงกับการหยิบเอาบางมู้ดของ Call Me By Your Name มาผสมผสานกับความแปลกปนสยองของSuspiria อีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่ดูเหมือนจะมาคนละทิศคนละทาง แต่กลับเข้ากันอย่างน่าทึ่ง หนังถ่ายทอดด้วยการเล่าเรื่องสไตล์ Road Movie ด้วยจังหวะที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อเลย เสริมความโรแมนซ์ด้วยงานบันทึกภาพที่สวยไร้ที่ติ และเสริมอารมณ์หนังได้อย่างดียิ่ง ส่วนฉากสยอง หนังก็ไม่ยั้งที่จะนำเสนออย่างโหดเหี้ยมและถึงเลือดถึงเนื้อ สมกับชื่อหนัง ตามที่ควรจะเป็นแกนกลางที่แข็งแรงที่สำคัญสุดของหนังคือนางเอก เทย์เลอร์ รัสเซลล์ ที่เป็นตัวเดินเรื่อง เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างดี ทำให้เธอน่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งนักแสดงรุ่นใหม่ที่น่าจับตาในยุคนี้ รับส่งบทบาทกับ ทิโมธี ได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนที่สะพรึงสะกดทุกสายตาจริงๆ คือการปรากฏตัวของ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ มาร์ก ไรแลนซ์ (จาก Bridge of Spies) ในบทมนุษย์กินคนสุดแปลกแยกจากสังคม ที่เขาถ่ายทอดบทบาทผ่าน สีหน้าแววตาและน้ำเสียง ได้อย่างชวนขนลุก โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่ชวนสยดสยองอย่างน่าสะพรึงเลยจริงๆ กลายเป็นว่า 3 นักแสดงนำที่เป็นแกนหลักของเรื่องราว ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างแข็งแรง ยกระดับ Bones And All ให้ดีขึ้นไปอีกถึงอย่างไรก็ตาม อาจจะต้องออกตัวไว้ก่อนว่า Bones And All อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน หนังดำเนินเรื่องด้วยจังหวะที่ไม่ได้เร้าใจอะไรมากนัก ค่อยๆทอดอารมณ์ไปกับเรื่องราว บวกกับการที่หนังผสม Genre ที่ต่างกันสุดขั้วเอาใจ ทำให้รสชาติแปลกประหลาด จนบางทีอาจจะยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ถ้าใครพร้อมจะลิ้มลอง มันคือหนังที่น่าสนใจ ที่สร้างความแปลกใหม่ได้ดีทีเดียว แม้ว่าเรื่องมันจะสยอง แม้ว่ามันจะเล่าถึงมนุษย์กินคน แต่แกนกลางของเรื่อง ที่การเล่าถึง ความรักและความเหงาของคนที่แปลกแยกจากสังคม มันสามารถแทนค่าได้ด้วยกลุ่มคนที่หลากหลาย นี่คือหนังที่พยายามทำความเข้าใจคนชายขอบ และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจจริงๆชมตัวอย่าง Bones And All เข้าฉาย 24 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2022

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

สมคำร่ำลือจริงๆ สำหรับSpencerของผู้กำกับ พาโบล ลาร์เรน ที่เคยกำกับหนังหญิงโศกอย่างJackieมาแล้ว จากเรื่องนั้นที่เล่าถึงอดีตสุภาพสตรีหมายเลข1ของอเมริกาที่สูญเสียสามีจากเหตุลอบสังหาร มาสู่เจ้าหญิงขวัญใจประชาชนที่หมดรักกับเจ้าชายที่เธอถูกจับคู่ด้วยSpencerคืออีกครั้งที่โลกของภาพยนตร์และซีรีส์ หยิบเอาเรื่องราวของ เจ้าหญิงไดอาน่ามาถ่ายทอด แต่ความแตกต่างของSpencer (ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของไดอาน่า)คือการเลือกเล่าช่วงเวลาระยะสุดท้ายก่อนที่เธอจะแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ล หลังอภิเษกสมรสมานานนับทศวรรษ ช่วงเวลาที่เธออึดอัด ช่วงเวลาที่เธอโศกเศร้า ชีวิตที่เหมือนถูกขังไว้ในกรงทองแน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Spencerคือการเลือกให้ คริสเต็น สจ๊วร์ต นางเอกจากTwilightที่ค่อยๆพัฒนาฝีมือเล่นหนังน้อยใหญ่ จนกระทั่งวันนี้เธอพิสูจน์ตนเองในฐานะนักแสดงคุณภาพอย่างเต็มตัว โดยหนังเลือกเล่าเหตุการณ์ที่กินระยะเวลาเพียงแค่3วันเท่านั้น ในช่วงปลายปี1991นับตั้งแต่วันก่อนคริสต์มาส ไปจนถึงBoxing Dayเมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเดินทางไปยัง แซนด์ริมแฮมเฮ้าส์ คฤหาสน์สุดหรูของราชวงศ์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามประเพณี แต่ทริปนี้สำหรับเธอ เปรียบเสมือนการตกนรก เพราะเธอต้องปฏิบัติกฏระเบียบและขนบต่างๆอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางสมาชิกในราชวงศ์ที่เธอรู้สึกแตกต่าง มีเพียงลูกๆของเธออย่าง เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่ ที่ทำให้เธออบอุ่นหัวใจ และเหล่าข้าราชบริพารบางคน ที่เธอสามารถเปิดใจ แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับSpencerคือการถ่ายทอดความรู้สึกของเจ้าหญิงไดอาน่า ออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างเต็มๆ ทั้งความรู้สึกทุกข์ โศกเศร้า อึดอัดกับสภาพแวดล้อม ความรู้สึกที่อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ หลังจากที่ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเธอในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่ชอบมากๆ คือการที่หนังพยายามกันตัวละครในราชวงศ์เป็นแค่แบ็คกราวน์เท่านั้น นอกจากลูกๆทั้งสอง สมาชิกคนอื่นๆในราชวงศ์แทบจะไม่มีบทบาทหรือบทสนทนาเลย แต่ไปเน้นที่ไดอาน่า กับผู้ดูแลเครื่องแต่งกายของเธอ ไดอาน่ากับหัวหน้าเชฟประจำวัง หรือไดอาน่ากับหัวหน้าผู้รับใช้ ซึ่งทำให้ได้เห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนธรรมดาของเธอได้อย่างดีและทั้งหมดทั้งมวล ศูนย์กลางของหนังที่ทำให้Spencerถ่ายทอดอารมณ์ของไดอาน่าอย่างเต็มเปี่ยม คือการแสดงของ คริสเต็น สจ๊วร์ต ที่ผู้ชมซึมซับความทุกข์และอึดอัดของเธอได้อย่างเต็มร้อย ไม่แน่ใจว่า เจ้าหญิงไดอาน่าตัวจริงในช่วงเวลานั้นเป็นเช่นไร แต่ไม่นานหลังจากชม เราเชื่อว่าเธอคือไดอาน่าอย่างไม่มีข้อสงสัย แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกถูกแต่งจนกลืนไปกับตัวจริง แต่จริต ท่าทางการแสดงออก และอารมณ์ ไม่ว่ามันจะเหมือนจริงขนาดไหน แต่คริสเต็นทำให้เรา"เชื่อ"ว่าเธอคือไดอาน่า และทำให้พวกเรารู้สึกหนักหน่วงไปกับไดอาน่า ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้วอีกหนึ่งจุดสำคัญของSpencerที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ งานภาพของ แคลร์ มาธอน จากPortrait of a Lady on Fireที่ถ่ายทอดทุกฉากในหนังออกมาด้วยภาพสไตล์วินเทจ ดูเก่าๆ ดูฟุ้งๆ เพิ่มความย้อนยุคเข้าไปในหนัง สร้างอารมณ์ร่วม และเพิ่มเสน่ห์ให้Spencerดูเป็นงานศิลปะมากขึ้น ทุกฉากแทบจะสามารถกดหยุดแล้วตัดมาเป็นโปสการ์ดหรือวอลล์เปเปอร์ได้หมดเลย พร้อมด้วยงานดนตรีประกอบจาก จอห์นนี่ กรีนวู้ดจากRadioheadที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ของเจ้าหญิงไดอาน่าได้อย่างลงตัว(โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่เพลงช่วยเล่าเรื่องได้ดี แต่จะเป็นอย่างไรต้องไปดูเอง)(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1