[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

19 ม.ค. 2022

นี่คือหนังอาชญากรรมกึ่งชีวประวัติที่เต็มไปด้วยแง่มุมที่ดึงดูดผู้ชม เริ่มจากพล็อตที่โคตรหวือหวา สร้างจากคดีจริงเบื้องลึกตระกูลดังแห่งแวดวงแฟชั่นอย่าง กุชชี แบรนด์เนมชื่อก้องโลก เรื่องราวความรัก การแย่งชิงอำนาจ นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ดึงดูดผู้กำกับชั้นครู อย่าง ริดลีย์ สก็อตต์ (จาก Alien และ Gladiator) ให้สนใจอยากสร้างเป็นหนังนานนับทศวรรษแล้ว แต่กว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็คือไม่นานมานี้ และตัวเลือกของริดลีย์สำหรับบทนำนี่เอง ที่ทำให้หน้าหนังของ House of Gucci อิมแพคยิ่งกว่าหนังดรามาเรื่องไหนๆ เพราะเขาเลือก เลดี้ กาก้า ที่ปังสุดๆ จากบทนำครั้งแรกใน A Star is Born มารับบทนำเป็นครั้งที่ 2 แล้วแวดล้อมด้วยนักแสดงเบอร์เทพ ระดับ อัล ปาชิโน, เจเรมี่ ไอรอนส์, อดัม ไดรเวอร์ และจาเรด เลโต้ และรายหลังนี่เองที่สร้างความปังขั้นสุด ด้วยการแปลงโฉมเพื่อแสดงในหนัง จนแทบจะไม่มีใครจำได้!

ใน House of Gucci หนังพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยปลายยุค 70s เล่าถึง แพทริเซีย (รับบทโดย เลดี้ กาก้า) หญิงสาวธรรมดาๆที่ฝันไกลอยากไต่เต้าเป็นมหาเศรษฐี จนกระทั่งเธอได้รู้จัก มัวริซิโอ้ (รับบทโดย อดัม ไดรเวอร์ จาก Star Wars : The Force Awakens) ทายาทตระกูลกุชชี่ ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวแทนจะไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว แต่ความรักของทั้งสองกลับขัดใจ โรดอฟโฟ (รับบทโดย เจเรมี่ ไอรอนส์) พ่อของเขา ทำให้มัวริซิโอ้ เริ่มไปสนิทกับคุณลุง (ซึ่งรับบทโดย อัล ปาชิโน) อีกหนึ่งหุ้นส่วนสำคัญของ กุชชี่แทน และเขานี่เองที่พยายามผลักดันและเชื้อเชิญให้ มัวริซิโอ้กลับมาสานต่อธุรกิจให้ครอบครัว ซึ่งแพทริเซียก็เห็นด้วยตามนั้น เพราะลูกชายแท้ๆของลุง (รับบทโดย จาเรด เลโต้ ที่แปลงโฉมอย่างหนัก) ไร้พรสวรรค์เกินกว่าจะทำงานด้านแฟชั่นได้ แม้ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ซึ่งทั้งหมดเริ่มค่อยๆนำไปสู่ปมบาดหมางในครอบครัว ความทะเยอทะยานของแพทริเซียค่อยๆล้ำเส้น เกินกว่าใครจะคาดเดา

ไฮไลต์ที่ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินมากที่สุดกับ House of Gucci คือการฟาดฟันกันของเหล่านักแสดงที่เล่นดีกันแบบยกแผง ไม่มีใครดร็อปกว่าใครเลยจริงๆ ใจจริงเป็นห่วง เลดี้ กาก้า มากที่สุด เพราะเธออยู่ท่ามกลางนักแสดงฝีมือฉกาจทั้งหมด แต่เธอก็สวมบท แพทริเซีย แบบสุดพลังเช่นกัน แม้ว่าหลายฉากอาจจะดูแสดงล้นไปนิดๆ แต่อินเนอร์สำหรับบทนี้มาเต็ม แทบจะเกินร้อยทำให้เธอไม่ได้จมหายไปกับหนัง แถมยังแสดงความรู้สึกของตัวละครออกมาได้มีพลังสุดๆ และที่สำคัญคือเคมีของเธอกับ อดัม ไดรเวอร์ เจ้าของบทสามี ที่แน่นอนว่ารายหลังไร้ข้อกังขาเรื่องฝีมือไปนานแล้ว แต่ยิ่งดูจะยิ่งสัมผัสได้ว่าสองตัวละครนี้ มันไปด้วยกันได้ดีมากๆจริงๆ

แต่ที่บียอนด์ยิ่งกว่า คือสามนักแสดงที่เหลือ อัล ปาชิโน กับ เจเรมี ไอรอนส์ คือไร้ข้อกังขา ทั้งสองแสดงพลังออกมาไม่แพ้หนังเรื่องไหนๆ ยิ่งอยู่ด้วยกันพลังยิ่งเพียบ แผ่รังสีจนสุด แต่สิ่งบียอนด์ในบียอนด์ ขโมยซีนไปจนหมดต้องยกให้ จาเรด เลโต้ ที่ดูกี่ฉากก็ไม่ชินและไม่เชื่อว่านี่คือเขา เพราะไม่เหมือน จาเรด เลโต้ที่ีเคยเห็นเลย เขากลายเป็นตัวละครนั้นได้แบบเต็มตัว เหลือเพียงแววตาที่เราคุ้นว่านี่คือจาเรดเท่านั้น ยิ่งฉากที่เขาเข้ากับ อัล ปาชิโน ซึ่งแสดงเป็นพ่อ ยิ่งเป็นฉากที่ละสายตาจากจอไม่ได้จริงๆ เคมีระหว่างพ่อลูกที่ทั้งรักทั้งเกลียดกันคู่นี้ มันสุด ซีนเหล่านี้คือสมบัติอันล้ำค่าของฮอลลีวู้ดมากๆ

แน่นอนว่าตัวพล็อตที่เลือกมาเล่า มันมีความเข้มข้นน่าติดตามอยู่แล้ว ปมขัดแย้งในครอบครัวที่นำไปสู่คดีอาชญากรรมมันสนุกมันชวนดึงดูดให้ลุ้นตาม แต่ปัญหาหลักของ House of Gucci น่าจะเกิดจากจังหวะในการเล่าของ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ในเรื่องนี้เขาตัดสินใจเล่าตามลำดับเวลา และจังหวะค่อนข้างออกไปทางเรื่อยๆเรียงๆไปนิด ด้วยความยาวถึง 2.40 ชม. กลายเป็นว่าหนังยาวเกินความจำเป็น และแทบจะไม่ได้มี จุดฮุกให้ผู้ชมรู้สึกลุ้นตามเท่าไหร่นัก กลายเป็นนักแสดงแผดฝีมือขั้นสุด แต่ตัวการตัดต่อและเล่าเรื่อง กลับไม่ค่อยได้บิลด์ตามการแสดงเท่าไหร่ จึงน่าเสียดายพอสมควร


(ให้ 7.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] Lightyear ต้นกำเนิดของเล่นใน Toy Story ผจญภัยอวกาศจัดเต็ม | GOSSIP GUN

15 มิ.ย. 2022

[REVIEW] Lightyear ต้นกำเนิดของเล่นใน Toy Story ผจญภัยอวกาศจัดเต็ม | GOSSIP GUN

เชื่อว่าใครหลายๆคน คิดถึงการดูหนังพิกซาร์ในโรงภาพยนตร์ เป็นเวลานานเกือบปีครึ่งแล้ว ที่คอหนังไม่ได้ดูแอนิเมชั่นจากค่ายนี้บนจอใหญ่ๆ หลังจากSoul (ที่เข้าโรงในไทยแต่อเมริกาไปสตรีมมิ่ง)หนังพิกซาร์สุดประทับใจซัมเมอร์ก่อนอย่างLucaและหนังแพนด้าแดงTurning Redต่างถูกดิสนีย์ข้ามการฉายโรงไปลงในDisney+เลย จนในที่สุดดิสนีย์พร้อมส่งหนังพิกซาร์ครองโรงอีกครั้ง และคงไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าLightyearหนังที่แยกออกจากมาToy Storyแอนิเมชั่นเปิดตำนานค่ายพิกซาร์ ที่สร้างมายาวนานถึง4ภาค ล่าสุดมาพร้อมกับไอเดียที่น่าสนใจ กับการเล่าต้นกำเนิดของตัวละครที่แฟนๆรัก อย่าง บัซ ไลท์เยียร์ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงของเล่น ที่ของเล่นชิ้นนี้สร้างมาจากหนังดัง และนี่คือหนังเรื่องดังกล่าว... หนังเล่าถึง บัซ ไลท์เยียร์ นักบินอวกาศฝีมือเก่งกาจที่ตกอยู่ในอันตราย หลังยานของเขาตกบนดาวเคราะห์ที่ห่างไกลจากโลก บัซจึงพยายามทำทุกทางเพื่อกลับโลก แต่การซ่อมยานและทดลองของเขา กลับพาเขาเดินทางสู่อนาคต ที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปหมด ผู้คนที่เขารู้จักค่อยๆจากไป นอกจากอันตรายที่เขาและทีมต้องเผชิญจากสิ่งมีชีวิตสุดประหลาดบนดาวแล้ว ยังต้องเจอกับฝูงหุ่นยนต์ลึกลับ ที่บุกมาโจมตี โดยมีเป้าหมายเดียวคือ การจับตัว บัซ ไลท์เยียร์ไป โดยหนังฉบับนี้ได้ คริส อีแวนส์ พระเอกCaptain Americaมาให้เสียงแทน ทิม อัลเลน ที่พากย์เป็นบัซ ของเล่นในหนังToy Story แม้จะเป็นหนังภาคแยกจากToy Storyแต่Mood Toneค่อนข้างต่างจากหนังชุดดังกล่าวพอสมควร เพราะหนังเลือกจะเล่าเป็นแนวแอ็กชันไซไฟแบบเต็มตัว เหมือนเราดูหนังอวกาศผจญภัยแบบStar Wars, The Martian (แต่แน่นอนว่ายังมีความคอเมดี้แทรกอยู่ตลอดเวลา เพราะก็ยังคงเป็นการ์ตูนดิสนีย์)หรือหลายคนอาจนึกไปถึงTop Gun : Maverickในแบบดิสนีย์ ดังนั้น อารมณ์ของLightyearเลยจะไปใกล้เคียงกับหนังอย่างThe IncrediblesและCarsเสียมากกว่า ที่มีฉากแอ็กชันค่อนข้างเยอะ แทรกด้วยอารมณ์ขัน และมีซีนประทับใจอยู่พอสมควร สิ่งที่ค่อนข้างเซอร์ไพรสคือLightyearมีฉากให้ผู้ชมชวนน้ำตารื้นอยู่เหมือนกัน แถมมาตั้งแต่ฉากแรกๆด้วย แม้ว่าหนังจะไม่ได้ไปสุดในแบบUpซีนแรกๆ หรือToy Story 3ฉากท้ายๆ แต่ก็บีบหัวใจเราได้เหมือนกัน นอกจากตัวละครบัซที่หนังLightyearพาผู้ชมไปทำความรู้จักเขาเพิ่มเติมและสำรวจมุมต่างๆของเขาแล้ว ไฮไลต์ที่แทบจะขโมยทุกซีนเลยก็ว่าได้ คือ ซ็อกซ์ เจ้าแมวหุ่นยนต์ ที่สร้างอารมณ์ขัน และมีอะไรเซอร์ไพรสผู้ชมได้ตลอดเวลา ใครจะไปคิดว่า บัซ ไลท์เยียร์ สุดเท่ก็กลายเป็นทาสแมวได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วLightyearก็ถือเป็นหนังซัมเมอร์ดูสนุกหนึ่งเรื่อง จัดอยู่ในกลุ่มหนังพิกซาร์ที่สร้างความบันเทิงเป็นหลัก แม้มันจะไม่ได้ลึกซึ้งในประเด็นแบบInside OutหรือSoulแต่มันก็สนุกครบรส และมีคุณสมบัติมากพอ ที่จะเอนเตอร์เทนผู้ชมทุกวัยได้ ปล.หนังเรื่องนี้ มีฉากแถมในช่วงEnd-Creditและหลังเครดิต รวมทั้งสิ้นถึง3ฉากด้วยกัน เรียกว่าแถมแบบจุกๆเอาชนะหนังมาร์เวลกันไปเลย นั่งรอดูกันได้ ขำๆเพลินๆ (ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : Walt Disney Studios Thailand ชมตัวอย่างLightyearเข้าฉาย16มิถุนายนนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

19 เม.ย. 2022

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงถ้าจะกล่าวว่า แซนดร้า บูลล็อค คือขุมทรัพย์ของหนังตลก เธอทำได้ดีและดูเป็นธรรมชาติเสมอในหนังแนวนี้ ที่พิสูจน์ด้วยหนังฮิตจากหลากยุคอย่างWhile You Were Sleeping, Miss Congeniality, The ProposalและOcean's 8แม้เธอจะเวียนไปแสดงหนังแนวอื่นมากมาย แต่ผู้ชมมักเรียกหาบูลล็อคในหนังตลกเสมอ เช่นเดียวกับผลงานล่าสุดThe Lost Cityในยุคที่หนังทำเงินมีแต่หนังรีเมกหรือภาคต่อ หนังออริจินัลที่นำแสดงโดยเธอ กลับสามารถทำเงินทะลุหลัก80ล้านเหรียญฯในอเมริกาไปได้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเรื่องนี้เธอได้จับมือกับ แชนนิ่ง เททั่ม อีกหนึ่งนักแสดงที่คล้ายกับบูลล็อค คือแวะเวียนไปเล่นหนังทุกแนว แต่สไตล์ที่แฟนๆ ตกหลุมรักเขามากๆ คือตลกเช่นกัน พิสูจน์ด้วยรายได้ของ21 Jump StreetและShe's The Manหนังที่แจ้งเกิดเขา แซนดร้า บูลล็อค รับบทลอเร็ตต้า นักเขียนหญิงที่หมดแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือต่อ แม้นิยายแนวประวัติศาสตร์โรแมนซ์ของเธอจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจในการเดินทางทัวร์โปรโมตหนังสือ เพราะส่วนหนึ่งเพราะต้องเจอกับ อลัน นายแบบหน้าปกหนังสือของเธอ ที่อินกับตัวละครพระเอกดั่งเขียนมาจากชีวิตเขา แต่แล้วเธอกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมื่ออบิเกล(รับบทโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ จากHarry Potter)มหาเศรษฐี จับตัวเธอไป เพราะต้องการตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเมืองสาบสูญ และทางเดียวที่จะไขปริศนาได้ คือการใช้ทักษะอ่านภาษาโบราณของลอเร็ตตา เมื่อเธอถูกจับตัวไปยังเกาะห่างไกลในมหาสมุทร อลันจึงทำทุกทางเพื่อไปช่วยเธอ เพื่อให้เขาได้เป็นมากกว่านายแบบหน้าปก ได้เป็นพระเอกในชีวิตจริง! The Lost Cityไม่ใช่หนังที่มีความใหม่อะไรมากนัก หนังผจญภัยในป่า ที่มีกลิ่นอายผสมระหว่าง แอ็กชัน โรแมนติก คอเมดี้ มีมาทุกสมัย ที่พีกมากๆ และภาพหนังดูใกล้เคียง ก็คือRomancing The Stoneในปี1984แต่The Lost Cityคือหนังที่มาถูกที่ถูกเวลา หลังจากแซนดร้า บูลล็อค ห่างหายจากหนังตลกไปนานถึง4ปี ส่วน แชนนิ่ง เททั่ม ว่างเว้นจากหนังตลกไปเกือบ5ปี นี่จึงกลายเป็นหนังที่คอหนังตลกต้องการโดยไม่รู้ตัว คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกก่อนหน้านี้ว่าอะไรขาดหายไป แต่พอไปดู กลับรู้สึกถึงความสนุกแบบที่คุ้นเคย ที่เหมือนกับว่าไม่ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้ว นี่คือโปรเจกต์ที่เหมาะมากกับทั้ง บูลล็อค และ เททั่ม พวกเขาต่างเป็นธรรมชาติมากๆในหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเคมีของทั้งคู่ ที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ และเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้สนุกได้จริงๆ โดยรวมThe Lost Cityมีส่วนผสมระหว่างหนังแอ็กชันและตลกที่กำลังดี สถานการณ์แบบตกกระไดพลอยโจนกลางป่าลึกในเกาะที่ห่างไกล ทำให้หนังสร้างสถานการณ์สนุกๆได้มากมาย บวกกับคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่ไม่ได้สายบู๊ทั้งคู่อยู่แล้ว หนังใช้ประโยคในการสร้างเหตุการณ์เหมาะๆได้อย่างไม่เสียดายพล็อต นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยมุกบ้าบอรายทาง ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้าง มีความตลกอยู่ตลอด รวมถึงไฮไลต์พิเศษ นั่นคือ นักแสดงรับเชิญอย่าง แบรด พิตต์ ที่ค่ายหนังไม่อยากเก็บไว้เซอร์ไพรส โปรโมตแบบเต็มแม็กไปเลย ก็แว้บมาสร้างสีสันได้อย่างกำลังดี แต่ก็ไม่ได้ขโมยซีนของพระนางด้วย ปัญหาเล็กน้อยของThe Lost Cityอาจจะเป็นการเลือกให้ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ มารับบทตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งมีปัญหาในหลายๆด้าน ประการแรกคือคือผู้ชมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถสลัดภาพเขาจากบทแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ได้ เมื่อแรดคลิฟฟ์ ร้ายก็ดูแปลกดีแต่ยังไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งอายุที่อาจจะห่างจากทั้ง บูลล็อคและเททั่ม ทำให้เขาดูเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้น่าเกรงขามนัก ความกล้ามใหญ่ของเททั่มดูจะเอาชนะได้แบบง่ายๆด้วย ตัวละครนี้เลยดูไม่หนักแน่นพอไปอย่างน่าเสียดาย แต่โดยThe Lost Cityถือเป็นหนังสนุกที่เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ ที่คอหนังแอ็กชันคอเมดี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยาก(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

22 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

ถือเป็นหนังเกาหลีโปรแกรมใหญ่เรื่องแรกประเดิมปี 2023 เลยสำหรับ The Point Men ที่เรียกได้ว่าใหญ่ในทุกๆองค์ประกอบ เริ่มจากนักแสดงนำที่ใหญ่ระดับบิ๊กเนมแห่งเกาหลี อย่าง ฮวางจองมิน ที่หนังของเขาล้วนติดอันดับ All-Time Box Office มากมาย อาทิ Ode To My Father, Veteran, A Violent Prosecutor และ The Wailing มาประกบกับ ฮยอนบิน จาก Clash Landing on You ที่เพิ่งมี Confidential Assignment 2 กวาดเงินถล่มทลายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ใหญ่ทั้งพล็อตซึ่งหยิบเอาเหตุการณ์จริงช็อกโลก ของนักท่องเที่ยวเกาหลีในอัฟกานิสถานที่ถูกจับเป็นตัวประกันมาเล่า และใหญ่จนถึงงานโปรดักชั่น ซึ่งเพื่อความสมจริง หนังจึงยกกองกันไปถ่ายทำไกลถึงประเทศจอร์แดน จนได้บรรยากาศรกร้างว่างเปล่าใกล้เคียงกับอัฟกานิสถานจริง (ที่เข้าไปถ่ายทำไม่ได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย)The Point Men สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 2007 ที่ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ จำนวน 23 คน ถูกกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน จับไปเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอัฟกานิสถาน ปล่อยตัวนักโทษตาลีบันที่ถูกจับคุมขังไว้ในคุกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ กลายเป็นภารกิจสำคัญของ แจโฮ (รับบทโดย ฮวางจองมิน) นักการทูตที่ถูกส่งตัวไปยังกรุงคาบูลทันที เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และต้องร่วมมือกับ เดซิก (รับบทโดย ฮยอนบิน) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่เชี่ยวชาญในพื้นที่แถบนี้ แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาจะแทบเข้ากันไม่ได้เลย แต่เพื่อช่วยชีวิตพลเมืองเกาหลีถึง 23 ชีวิต พวกเขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อหยุดวิกฤตครั้งนี้ให้ได้โดยรวม The Point Men สามารถรักษาบรรยากาศความตึงเครียดได้ตั้งแต่นาทีแรก หนังแทบจะไม่เสียเวลาในการเล่าเรื่องที่ไม่สำคัญเลย เปิดมาฉากแรกก็เข้าสู่โหมดระทึก และแทบจะไม่กราฟตกเลยนับจากนั้น โดยหนังมีมู้ดและโทนที่เน้นไปในทางการเจรจาต่อรอง หรือ หาวิธีในการช่วยตัวประกัน มากกว่าอัดฉากแอ็กชันที่เน้นลุยเน้นต่อสู้ ทำให้ The Point Men ดูจะเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ที่มีความบุ๋น มากกว่าความบู๊ เน้น ใช้สมอง มากกว่าเน้นลุย อาจจะไม่ได้ถูกใจคอแอ็กชั่นมากนัก แต่ใครที่ชอบหนังที่มีความกดดัน เรื่องนี้สามารถทำให้ผู้ชมลุ้นตามได้แทบทุกฉากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายๆ ที่แม้ว่าจะพอรู้บทสรุปอยู่บ้าง(ถ้าติดตามข่าว เพราะมันคือเรื่องจริง) แต่หนังก็ยังสามารถเร้าอารมณ์ได้ถึงขีดสุดอยู่ดีในแง่ของนักแสดงยิ่งทำให้ The Point Men หายห่วงเข้าไปใหญ่ เมื่อตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องอยู่ที่ ฮวางจองมิน นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ไม่ว่าบทไหนเขาก็เอาอยู่หมด มาประกบกับ ฮยอนบิน ที่เรื่องนี้เปลี่ยนจากลุคมาดคลีนๆมาเป็นหนุ่มใหญ่สายลุย ที่อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็เป็นภาพที่เท่อยู่ไม่น้อย และเมื่อมาเจอกับ ฮวางจองมิน กลายเป็นสองคาแรคเตอร์ที่ลักษณะดูแตกต่างกันสุดขั้ว แต่เคมีกลับเข้ากันอย่างมาก ถือเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างเพอร์เฟคเลยทีเดียว แถมในหนังยังได้ คังคิยง (จาก Extraordinary Attorney Woo) มาสร้างสีสันในบทของ กาซิม ชายชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน ตัวละครของเขาคือส่วนของอารมณ์ขัน ที่หยิบเข้ามาแทรกในจังหวะตึงเครียด ให้ผู้ชมได้เบรกอารมณ์ผ่อนคลายบ้าง ในจังหวะที่พอเหมาะสรุปแล้ว The Point Men ถือเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ที่เน้นสร้างบรรยากาศระทึก มากกว่าลงลึกด้านการเมือง และบิลด์ฉากแอ็กชัน เน้นฉากการเจรจาต่อรองเพื่อช่วยเหลือตัวประกันเป็นหลัก ซึ่งภาพรวมสร้างออกมาได้อย่างสมจริง และยิ่งใหญ่ในงานสร้าง หนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศของอัฟกานิสถานออกมาได้อย่างหลากหลายแบบตามจุดประสงค์ของแต่ละซีน ฉากในกรุงคาบูลก็เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ฉากนอกเมืองก็มีแต่บรรยากาศที่เคว้งคว้าง ใครที่ชื่นชอบหนังแนวนี้ หรือเป็นแฟนหนังเกาหลี น่าจะไม่ควรพลาด The Point Men ที่การันตีความฮิตมาแล้ว ด้วยการครองอันดับ 1 ของตารางหนังทำเงินเกาหลี ได้นานถึง 3 สัปดาห์ซ้อนชมตัวอย่าง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลกภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

09 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับหนึ่งในหนังภาคต่อจากจักรวาลมาร์เวลที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยมากที่สุดอย่าง Black Panther : Wakanda Forever ซึ่งแบกภาระอันหนักอึ้งไว้หลายๆอย่างด้วยกัน ตั้งแต่นาทีแรกที่ Black Panther ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย หน้าที่ของหนังเรื่องนี้คือการเป็นภาคต่อของหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ฮิตสุดและได้รับคำชมมากที่สุดตลอดกาล เพียงเท่านี้ก็เป็นหน้าที่อันหนักหนาสาหัส และแบกความหวังของแฟนๆไว้มากพออยู่แล้ว แต่สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อข่าวร้ายของ แชดวิก บอสแมน เดินทางมาถึง ในวันที่เขาจากโลกไปก่อนวัยอันควร ไม่เพียงแค่โลกสูญเสียแชดวิกเท่านั้น แต่วากานด้าก็ได้สูญเสียผู้นำของเขาเช่นกัน อีกหน้าที่ที่กลายเป็นบทบาทสำคัญของ Wakanda Forever คือการไว้อาลัยแด่นักแสดงผู้เป็นที่รัก แต่ในขณะเดียวกันผู้สร้างก็มีหน้าที่สานต่อเรื่องราว ทำให้ Black Panther คือแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งต่อไป ในวันที่ไม่มีแชดวิก ในวันที่ไม่มีทีชัลล่า พวกเขาต้องไปต่อให้ได้ และในวันนี้ โลกก็ได้รับคำตอบแล้วว่า พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม.Wakanda Forever เล่าถึงช่วงเวลาที่ประเทศวากานด้าสูญเสียกษัตริย์ทีชัลล่าไปอย่างไม่มีวันกลับ เช่นเดียวกับ แบล็กแพนเตอร์ที่อาจจะไม่มีอีกแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าหญิงชูริ ยังคงทำใจไม่ได้กับการจากไปของพี่ชาย ในขณะที่มารดาอย่าง รามอนด้า ต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด เพราะเธอต้องขึ้นทำหน้าที่ราชินีปกครองวากานด้าต่อ เธอจึงไม่สามารถอ่อนแอได้ แต่ในขณะที่ประเทศของพวกเธอกำลังเปราะบาง วากานด้ากลับต้องเผชิญกับภัยจากภายนอกที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา จาก เนย์มอร์ ผู้นำอาณาจักรลึกลับใต้น้ำ ที่เผยตัวเองต่อโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเพราะปมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับวากานด้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือพล็อตบางส่วนเท่านั้นที่พอจะเล่าได้จาก Black Panther : Wakanda Forever ที่เหลือคือสิ่งที่ผู้ชมจะได้สัมผัสเองในโรงภาพยนตร์.คำที่จะสามารถอธิบายความเป็น Wakanda Forever ได้อย่างดีที่สุด คือคำว่า "เอพิก" นี่คือหนังแห่งความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของพล็อตและสเกลของเรื่อง แม้โดยรวมหนังอาจจะไม่ได้ลงตัวเทียบเท่า Black Panther ภาคแรก แต่มันก็ทวีคูณในหลายๆส่วน ทั้งพาร์ทของโปรดักชั่น รวมไปถึงอารมณ์ร่วมของผู้ชม ที่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าภาคนี้ เต็มไปด้วยฉากบีบหัวใจตลอดแทบทั้งเรื่อง เริ่มจากในพาร์ทของการไว้อาลัย แม้ในเรื่องจะเป็นการกล่าวถึงการจากไปของทีชัลล่า แต่ต้องยอมรับว่า มันคือการสื่ออารมณ์รำลึกถึง แชดวิกเช่นเดียวกัน หนังทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และพยายามใช้เวลาพอสมควร ก่อนที่จะมูฟสู่พล็อตหลักของภาคนี้ ปมที่นำไปสู่สงคราม ซึ่งพาร์ทนี้เองหนังค่อยๆบิลด์ความตึงเครียดได้อย่างดีเยี่ยม แกนหลักของหนังคือ การที่ตัวละครหลักต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้ในยามที่พวกเขาเปราะบางมากที่สุด การเยียวยาจิตใจเพื่อนำไปสู่ความแข็งแกร่งของวากานด้า ปมหลักตรงนี้เองที่แทบจะบีบหัวใจผู้ชมตลอดทั้งเรื่องสองนักแสดงหลักที่สำคัญมากๆของ Wakanda Forever คือ เลททิเรีย ไรท์ ในบทชูริ นอกจากเราจะเห็นเธอเติบโตจากภาคแรกแล้ว เราจะค่อยๆเห็นพัฒนาการของตัวละครนี้ตลอดทั้งเรื่อง ในวันที่เธอไม่ใช่แค่น้องของกษัตริย์อีกต่อไป ในวันที่เธอคือทายาทเพียงคนเดียวของวากานด้า เลททิเรียทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมในการค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำของ Black Panther ในขณะที่ แองเจล่า บาสเซ็ตต์ กับบทควีน มีหลายฉากที่เธอแสดงได้อย่างชวนขนลุก ทำเอาไม่สามารถละสายตาจากจอได้อย่าง ทั้งแววตาและน้ำเสียง ของหญิงที่ต้องเข้มแข็งในจุดที่เธอสูญเสียแทบจะทุกสิ่ง แต่คนที่ไม่มีใครกลืนได้ลงคือ ตัวละครเนมอร์ ตัวร้ายหลักประจำภาคนี้ ที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่า วากานด้ากำลังเจอกับภัยที่อันตรายขั้นสุดแล้ว ได้เจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ ยิ่งวากานด้าอยู่ในจุดที่เปราะบาง ภัยรุกรานครั้งนี้คืออันตรายกว่าครั้งไหนๆ ซึ่ง เทนอช เฮอร์ตา นักแสดงชาวเม็กซิกัน สวมบทบาทนี้ได้อย่างดีเยี่ยมในแง่ของงานสร้าง สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือสเกลของฉากแอ็กชันที่ยกระดับความใหญ่โตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฉากสงครามในช่วงครึ่งหลัง ที่ทั้งใหญ่และตึงเครียด ถ้าจะมีข้อติบ้างน่าจะเป็นช่วงแรกที่หนังเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลากลางคืนเยอะ ทำให้ฉากแอ็กชันหลายซีนค่อนข้างมืด ยิ่งชมในระบบสามมิติยิ่งปรับสายตายาก ส่วนอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ และเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Black Panther ตั้งแต่ภาคแรกคือเพลงประกอบและดนตรีประกอบที่ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง ยกระดับความเท่ และเพิ่มความคูลให้กับแฟรนไชส์นี้ได้อย่างมากเลยทีเดียว โดยรวม Black Panther : Wakanda Forever จึงเป็นหนึ่งในหนังที่สำคัญมากๆในจักรวาลมาร์เวล และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในหนังที่ผลลัพภ์ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งในเฟส 4 ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองชมในระบบ IMAX3Dซึ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่ เสริมอรรถรสในการชมได้อย่างดีเลยทีเดียวชมตัวอย่าง Black Panther : Wakanda Forever วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Marvel Thailand

album

0
0.8
1