[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

19 ม.ค. 2022

นี่คือหนังอาชญากรรมกึ่งชีวประวัติที่เต็มไปด้วยแง่มุมที่ดึงดูดผู้ชม เริ่มจากพล็อตที่โคตรหวือหวา สร้างจากคดีจริงเบื้องลึกตระกูลดังแห่งแวดวงแฟชั่นอย่าง กุชชี แบรนด์เนมชื่อก้องโลก เรื่องราวความรัก การแย่งชิงอำนาจ นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ดึงดูดผู้กำกับชั้นครู อย่าง ริดลีย์ สก็อตต์ (จาก Alien และ Gladiator) ให้สนใจอยากสร้างเป็นหนังนานนับทศวรรษแล้ว แต่กว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็คือไม่นานมานี้ และตัวเลือกของริดลีย์สำหรับบทนำนี่เอง ที่ทำให้หน้าหนังของ House of Gucci อิมแพคยิ่งกว่าหนังดรามาเรื่องไหนๆ เพราะเขาเลือก เลดี้ กาก้า ที่ปังสุดๆ จากบทนำครั้งแรกใน A Star is Born มารับบทนำเป็นครั้งที่ 2 แล้วแวดล้อมด้วยนักแสดงเบอร์เทพ ระดับ อัล ปาชิโน, เจเรมี่ ไอรอนส์, อดัม ไดรเวอร์ และจาเรด เลโต้ และรายหลังนี่เองที่สร้างความปังขั้นสุด ด้วยการแปลงโฉมเพื่อแสดงในหนัง จนแทบจะไม่มีใครจำได้!

ใน House of Gucci หนังพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยปลายยุค 70s เล่าถึง แพทริเซีย (รับบทโดย เลดี้ กาก้า) หญิงสาวธรรมดาๆที่ฝันไกลอยากไต่เต้าเป็นมหาเศรษฐี จนกระทั่งเธอได้รู้จัก มัวริซิโอ้ (รับบทโดย อดัม ไดรเวอร์ จาก Star Wars : The Force Awakens) ทายาทตระกูลกุชชี่ ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวแทนจะไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว แต่ความรักของทั้งสองกลับขัดใจ โรดอฟโฟ (รับบทโดย เจเรมี่ ไอรอนส์) พ่อของเขา ทำให้มัวริซิโอ้ เริ่มไปสนิทกับคุณลุง (ซึ่งรับบทโดย อัล ปาชิโน) อีกหนึ่งหุ้นส่วนสำคัญของ กุชชี่แทน และเขานี่เองที่พยายามผลักดันและเชื้อเชิญให้ มัวริซิโอ้กลับมาสานต่อธุรกิจให้ครอบครัว ซึ่งแพทริเซียก็เห็นด้วยตามนั้น เพราะลูกชายแท้ๆของลุง (รับบทโดย จาเรด เลโต้ ที่แปลงโฉมอย่างหนัก) ไร้พรสวรรค์เกินกว่าจะทำงานด้านแฟชั่นได้ แม้ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ซึ่งทั้งหมดเริ่มค่อยๆนำไปสู่ปมบาดหมางในครอบครัว ความทะเยอทะยานของแพทริเซียค่อยๆล้ำเส้น เกินกว่าใครจะคาดเดา

ไฮไลต์ที่ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินมากที่สุดกับ House of Gucci คือการฟาดฟันกันของเหล่านักแสดงที่เล่นดีกันแบบยกแผง ไม่มีใครดร็อปกว่าใครเลยจริงๆ ใจจริงเป็นห่วง เลดี้ กาก้า มากที่สุด เพราะเธออยู่ท่ามกลางนักแสดงฝีมือฉกาจทั้งหมด แต่เธอก็สวมบท แพทริเซีย แบบสุดพลังเช่นกัน แม้ว่าหลายฉากอาจจะดูแสดงล้นไปนิดๆ แต่อินเนอร์สำหรับบทนี้มาเต็ม แทบจะเกินร้อยทำให้เธอไม่ได้จมหายไปกับหนัง แถมยังแสดงความรู้สึกของตัวละครออกมาได้มีพลังสุดๆ และที่สำคัญคือเคมีของเธอกับ อดัม ไดรเวอร์ เจ้าของบทสามี ที่แน่นอนว่ารายหลังไร้ข้อกังขาเรื่องฝีมือไปนานแล้ว แต่ยิ่งดูจะยิ่งสัมผัสได้ว่าสองตัวละครนี้ มันไปด้วยกันได้ดีมากๆจริงๆ

แต่ที่บียอนด์ยิ่งกว่า คือสามนักแสดงที่เหลือ อัล ปาชิโน กับ เจเรมี ไอรอนส์ คือไร้ข้อกังขา ทั้งสองแสดงพลังออกมาไม่แพ้หนังเรื่องไหนๆ ยิ่งอยู่ด้วยกันพลังยิ่งเพียบ แผ่รังสีจนสุด แต่สิ่งบียอนด์ในบียอนด์ ขโมยซีนไปจนหมดต้องยกให้ จาเรด เลโต้ ที่ดูกี่ฉากก็ไม่ชินและไม่เชื่อว่านี่คือเขา เพราะไม่เหมือน จาเรด เลโต้ที่ีเคยเห็นเลย เขากลายเป็นตัวละครนั้นได้แบบเต็มตัว เหลือเพียงแววตาที่เราคุ้นว่านี่คือจาเรดเท่านั้น ยิ่งฉากที่เขาเข้ากับ อัล ปาชิโน ซึ่งแสดงเป็นพ่อ ยิ่งเป็นฉากที่ละสายตาจากจอไม่ได้จริงๆ เคมีระหว่างพ่อลูกที่ทั้งรักทั้งเกลียดกันคู่นี้ มันสุด ซีนเหล่านี้คือสมบัติอันล้ำค่าของฮอลลีวู้ดมากๆ

แน่นอนว่าตัวพล็อตที่เลือกมาเล่า มันมีความเข้มข้นน่าติดตามอยู่แล้ว ปมขัดแย้งในครอบครัวที่นำไปสู่คดีอาชญากรรมมันสนุกมันชวนดึงดูดให้ลุ้นตาม แต่ปัญหาหลักของ House of Gucci น่าจะเกิดจากจังหวะในการเล่าของ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ในเรื่องนี้เขาตัดสินใจเล่าตามลำดับเวลา และจังหวะค่อนข้างออกไปทางเรื่อยๆเรียงๆไปนิด ด้วยความยาวถึง 2.40 ชม. กลายเป็นว่าหนังยาวเกินความจำเป็น และแทบจะไม่ได้มี จุดฮุกให้ผู้ชมรู้สึกลุ้นตามเท่าไหร่นัก กลายเป็นนักแสดงแผดฝีมือขั้นสุด แต่ตัวการตัดต่อและเล่าเรื่อง กลับไม่ค่อยได้บิลด์ตามการแสดงเท่าไหร่ จึงน่าเสียดายพอสมควร


(ให้ 7.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Super Mario Bros. Movie’ แอนิเมชั่นที่เต็มไปด้วย Nostalgia เหมือนไปเล่นสวนสนุก | GOSSIP GUN

11 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Super Mario Bros. Movie’ แอนิเมชั่นที่เต็มไปด้วย Nostalgia เหมือนไปเล่นสวนสนุก | GOSSIP GUN

ไม่มีใครไม่รู้จักเกม Mario นี่คือเกมที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นวีดีโอเกมที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล จากต้นกำเนิดครั้งแรกเมื่อ 40 ปีก่อน Nintendo ได้พัฒนาเกมนี้ ออกมาอย่างหลากหลายรูปแบบหลายยุคหลายสมัย จาก 2D สู่แบบ 3D และมีการขยายลักษณะของเกมออกไปมากมายอย่างไม่จบสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าเกมฮิตระดับนี้ ก็ต้องมีความพยายามจะนำมาสร้างเป็นหนัง ซึ่งความพยายามแรกเกิดขึ้นในปี 1993 กับการนำมาดัดแปลงเป็นหนังฉบับคนแสดง ซึ่งคว่ำไม่เป็นท่า ด้วยองค์ประกอบที่ดูประหลาดที่แตกต่างจากเกมอย่างสิ้นเชิง จนในที่สุดหนังที่คู่ควรสำหรับแฟนเกม Mario ก็มาถึง เมื่อ Nintendo ได้จับมือกับ Illumination สตูดิโอที่สร้างแอนิเมชั่นรายได้ถล่มทลายอย่าง Minions, The Secret Life of Pets และ Sing จากความถนัดในการทำหนังสนุกของค่ายหลังมาผนวกกับต้นฉบับมาริโอ้ของค่ายที่ให้กำเนิด ทำให้ The Super Mario Bros. Movie คือหนังเวอร์ชั่นที่ตอบโจทย์แฟนเกมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในหนังแอนิเมชั่นฉบับนี้เล่าถึงสองพี่น้องนักซ่อมท่อ มาริโอ้ และลุยจิ (พากย์เสียงโดย คริส แพรตต์ และ ชาร์ลี เดย์) จากโลกมนุษย์ที่ดันหลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ผ่านท่อวิเศษ มาริโอ้หลุดเข้าไปในดินแดนเห็ด แต่สำหรับลุยจิ กลับหลงไปในดินแดนแห่งความมืดที่เต็มไปด้วยความอันตราย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถูกปกครองโดย บาวเซอร์ (พากย์เสียงโดย แจ็ค แบล็ค)ตัวร้ายสุดอำมหิตที่วางแผนจะถล่มทุกอาณาจักรรอบข้างและยึดครองให้เป็นของเขา หลังจากมาริโอ้พลัดพรากจากน้อง จึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงพีช (พากย์เสียงโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย) เธอจึงผนึกกำลังกับมาริโอ้ เพื่อบุกไปยังดินแดนแห่งความมืด โดยนอกจากจะช่วยเหลือลุยจิแล้ว ยังต้องปกป้องดินแดนเห็ดจากภัยรุกรานครั้งนี้อีกด้วยสำหรับผู้ใหญ่ที่ผ่านการเล่นเกมMario มาหลายยุคสมัย หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความ Nostalgia นั่นคือการที่ความทรงจำในสมัยก่อน มันถูกดึงกลับมาให้รู้สึกอีกครั้งตลอดการดูหนังเรื่องนี้ เพราะ The Super Mario Bros. Movie อัดแน่นด้วยองค์ประกอบต่างๆจากเกม ที่หลายคนอาจจะลืมไปแล้ว หลายคนอาจจะคิดถึง ทั้งหมดมันถูกหยิบมาใส่ไว้ในหนัง ทำให้ผู้ชมจะได้รู้สึกย้อนวัยไปผจญภัยกับตัวละครเหล่านี้ โดยหนังเลือกที่จะเล่าหลายซีนให้เหมือนผู้ชมกำลังเล่นเกมไปด้วย ยิ่งเพิ่มความสนุกและเรียกความทรงจำเก่าๆกลับมาได้เพียบ และอีกพาร์ทที่ Nostalgia มากๆคือ Score หรือดนตรีประกอบ ซึ่งหยิบเอาทำนองจากในเกมมาทำใหม่ แล้วใส่ไว้ในฉากที่ตรงกับในเกม ยิ่งเพิ่มความรู้ใช่ระหว่างดูเข้าไปอีกการเข้าไปดู The Super Mario Bros. Movie ในอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนผู้ชมกำลังเดินเข้าสู่สวนสนุกที่เรารู้ทันทีว่าความสนุก(โดยเฉพาะกับเด็กๆ) รออยู่มากมาย ไม่ว่าจะได้เจอกับเหล่าคาแรคเตอร์ที่พวกเราคิดถึง ได้เจอกับอาณาจักรต่างๆที่เต็มไปด้วยความตื่นตา เหมือนเรากำลังเดินเข้าไปใน Theme Park ต่างๆในสวนสนุก รวมถึงฉากแอ็กชันจำนวนมากที่ถูกออกแบบมาเหมือนเกม เหมือนผู้ชมกำลังอยู่ในฉากนั้นๆด้วย ยิ่งเหมือนว่าคนดูได้ขึ้นไปเล่นในเครื่องเล่นต่างๆ เพิ่มความสนุกให้กับหนังขึ้นไปอีก (ตรงจุดนี้เชื่อว่า การดูในระบบ 4DX น่าจะยิ่งเพิ่มอรรถรสได้มาก น่าจะเป็นหนังที่เหมาะกับระบบนี้จริงๆ)ในขณะที่เสียงพากย์นั้น แม้จะมีคำวิจารณ์ออกมาก่อนหน้านี้ เรื่องเอานักแสดงมาพากย์แล้วไม่เหมาะสมกับบท แต่ปรากฏว่า ทั้ง คริส แพรตต์, อันยา เทย์เลอร์-จอย และชาร์ลี เดย์ ต่างถ่ายทอดบท มาริโอ้ เจ้าหญิงพีช และลุยจิ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ แต่ที่ขโมยทุกซีนไปเลยคือเสียงพากย์ของ แจ็ค แบล็คกับบทตัวร้ายหลักที่แสดงอารมณ์และเพิ่มความฮาผ่านเสียงได้อย่างหลากหลายรูปแบบมากๆ ยกให้เป็นที่สุดตัวตึงในทีมนักพากย์เลย นอกจากนี้อีกคนที่อยากกล่าวถึงมากๆ คือ เซธ โรแกน ในบทดองกี้คอง ที่รายนี้ก็ขโมยซีนหนักไปแพ้กัน – โดยรวมนั้น The Super Mario Bros. Movie เป็นหนังที่ตอบโจทย์แฟนเกมต่างๆ แต่สำหรับคนดูทั่วไปก็สามารถเอ็นจอยได้ แม้เส้นเรื่องจะไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ฉากต่างๆล้วนสนุกและบันเทิง ถือเป็นแอนิเมชั่นอีกเรื่องที่ทำเงินทั่วโลกหนักแน่ๆชมตัวอย่าง The Super Mario Bros. Movie วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

11 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อภารกิจฉกของง่ายๆ บนรถไฟหัวกระสุน กลายเป็นสนามรบสุดเดือดบนขบวนรถไฟ ที่เต็มไปด้วยนักฆ่าจากรอบโลก นี่คือพล็อตของ Bullet Train ต้นฉบับคือนิยายของญี่ปุ่น ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแอ็กชันคอเมดี้สุดชุลมุนโดยผู้กำกับที่เลื่องชื่อสายนี้อย่าง เดวิด ลีทช์ อดีตสตันท์แมน ที่เติบโตมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันสายเดือดอย่าง John Wick, Deadpool 2 และล่าสุด Fast Furious : Hobbs Shaw ที่แต่ละเรื่อง ฉากต่อสู้คลั่งของจริง และแฝงด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บแสบ โดยหนังได้พระเอกตลอดกาลอย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ ซึ่งถือเป็นการกลับมาเล่นหนังแอ็กชันในรอบหลายปี หลังจาก World War Z, Fury และ Allied ซึ่งมีรายงานว่า พิตต์ แสดงฉากแอ็กชันเองถึง 95% อีกด้วยพิตต์ รับบทอดีตนักฆ่าฝีมือฉกาจ นามแฝงว่า "เลดี้บักส์" หลังจากเข้าบำบัดจิตเพื่อลืมอดีตอันน่าปวดหัว เขาต้องการรับแค่งานเบาๆ ไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายอีกต่อไป จึงรับภารกิจง่ายๆ ด้วยการขึ้นไปฉกกระเป๋าใบหนึ่ง บนรถไฟสายด่วนที่มุ่งหน้าจากโตเกียว ไปยังเกียวโต เขาคิดว่างานนี้อย่างหมู เพราะแค่ขึ้นไป หยิบกระเป๋า แล้วลงมา ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า รถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยนักฆ่าจากทั่วโลกที่มีภารกิจเดียวกัน แถมยังมีนักฆ่าสายโหดอีก 2 คน ที่คอยเฝ้ากระเป๋าใบนี้อยู่ รถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ จึงกลายเป็นสนามประลองสุดเดือด ที่มีผู้รอดตายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระเป๋าใบนี้ไปครอบครองสิ่งที่ทำให้ Bullet Train บันเทิงขีดสุด คือ ความชุลมุนวุ่นวายของหนัง การที่หนังค่อยๆวางหมากไว้มากมายตอนต้นเรื่อง ปูรายละเอียดตัวละครเอาไว้ ใส่ดีเทลไว้มากมาย แล้วหยิบมายำใหญ่มโหฬารในช่วงท้าย กลายเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ ได้ฟีลคล้ายการดูหนัง เควนติน ทารันติโน่ อาจจะไม่คมเท่า แต่ก็ดูง่ายกว่า ผสมกับฉากแอ็กชันที่ดุเดือด ตามสไตล์ของ เดวิด ลีทช์ ที่แม้ว่าฉากต่อสู้จะถูกออกแบบมาให้ดุดัน โหดระดับเรต R แต่มันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันที่ร้ายกาจตลอดเวลา อาทิ ฉากที่พระเอกต้องต่อสู้กับนักฆ่าอีกคน บนรถไฟขบวนเงียบ กลายเป็นฉากต่อสู้ที่พวกเขาห้ามส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ซึ่งในหนังจะมีฉากต่อสู้แปลกๆ ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ และทั้งฮา ประกอบเอาไว้อยู่มากมาย ถ้าจะอธิบายอารมณ์ของหนัง ที่ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น Deadpool 2 ของลีทช์นั่นเอง (ซึ่ง แบรด พิตต์ ก็เคยไปรับเชิญในนั้นด้วย)พูดถึงแขกรับเชิญ Bullet Train เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้เซอร์ไพรสกับกองทัพดารา ทั้งที่หนังหยิบมาโปรโมตและไม่ได้โปรโมต คนที่ชัดเจนสุดคือ แซนดร้า บูลล็อค ที่โผล่มาในบทผู้จ้างงานพระเอก (หนังเผยว่าเธอแสดงตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว)ซึ่งดีลนี้ เกิดจากการที่ พิตต์ และบูลล็อค ตกลงกันว่าจะมาปรากฏตัวในหนังของอีกฝ่าย เราจึงได้เห็น แบรด พิตต์ ไปโผล่ใน The Lost City ที่บูลล็อคแสดงนำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เห็นบูลล็อค มาปรากฏตัวในเรื่องนี้ นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่ไม่สามารถสปอยล์ได้ สำหรับตัวของ แบรด พิตต์เอง บทบาทใน Bullet Train ทำให้ผู้ชมได้เห็นเขาในโหมดที่สบายๆ ตลกหน้าตายแบบเดียวกับใน Ocean's Eleven ความชิลล์ของคาแร็คเตอร์เขา ส่งผลให้หนังดูสบายๆไปด้วยเช่นกัน และอีกสองคนที่โดดเด่นจนแทบจะขโมยซีน คือ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (จาก Avengers : Age of Ultron) และไบรอัน ไทรี่ เฮนรี่ (จาก Eternals) ในบทสองนักฆ่าฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย กับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าต้นเรื่อง เป็นสองนักแสดงที่เคมีอารมณ์ขัน เข้ากับพิตต์ได้ดีเหลือเกิน หลายฉากจะเห็นพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้หนังสมูธมากยิ่งขึ้นจุดปัญหาของ Bullet Train ที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นช่วงองก์แรกที่หนังใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างเยอะ บางช่วงก็ย้วยเกินจำเป็น บางซีนก็เล่าไวจัด จนแทบจะตามไม่ทัน ก่อนที่จะมาแม่นจังหวะในช่วงองก์สองและสาม ด้วยความที่ตัวละครเยอะจัด และต้องเล่าที่มาที่ไป เพื่อใช้ประโยชน์ในตอนท้ายเรื่อง หนังเลยต้องใช้เวลาตรงนี้เยอะพอสมควร และอีกจุดที่จริงๆ อาจจะไม่ใช่จุดด้อย แต่เป็นปัญหากับผู้ชมบางส่วน คือการที่หนังใช้มุกตลกหน้าตายค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะพระเอก) ถ้าผู้ชมไม่ใช่สายมุกทางนี้ อาจจะไม่เอ็นจอยกับหลายๆซีนของหนังก็เป็นอันได้โดยรวม Bullet Train ถือเป็นหนังแอ็กชันชุลมุนที่เล่าเรื่องได้สนุก ฉากแอ็กชันทำถึง ฉากความวุ่นวายทำได้ดี และตัวละครล้วนสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างมาก แม้จะมีบางจุดที่อาจจะยาวไป และเล่นมุกเฉพาะทางเยอะไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ส่งท้ายซัมเมอร์ 2022 ที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ถ้าเคยชอบผลงานชิ้นก่อนๆของ เดวิด ลีทช์ ทั้ง John Wick ภาคแรก, Deadpool ภาคสอง และ Fast Furious ภาคแยก น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ ท่ามกลางหนังภาคต่อหรือรีเมกมากมาย นานๆจะมีหนังออริจินัลโผล่เข้ามาให้ลิ้มลองในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ก็สามารถลองขึ้นรถไฟขบวนป่วนสายนี้ได้ชมตัวอย่าง Bullet Train วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sony Pictures Thailand

[REVIEW] ‘Ride On ควบสู้ฟัด’ หนังเฉินหลงแบบดีต่อใจ เชิดชูยกย่องอาชีพสตันต์แมน| GOSSIP GUN

27 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Ride On ควบสู้ฟัด’ หนังเฉินหลงแบบดีต่อใจ เชิดชูยกย่องอาชีพสตันต์แมน| GOSSIP GUN

ถ้าจะมีหนังเฉินหลงสักเรื่อง ที่บทที่เขาได้รับ ดูใกล้เคียงและมีความทับซ้อนกับอาชีพจริงๆของเขามากที่สุด ก็น่าจะเป็นผลงานล่าสุดอย่าง 'Ride On' (ชื่อไทย ควบสู้ฟัด) ซึ่งนักแสดงสายบู๊ในวัยใกล้เลข 7 รับบทเป็น สตันต์แมนในวัยเกินเกษียณ ที่แม้สังขารจะไม่ให้ แต่ใจยังคงรักในอาชีพนักแสดงเสี่ยงตาย ตัวละครของเฉินหลงในเรื่อง คือชายที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังในกองถ่าย ความผูกพันเดียวที่เขามีคือเจ้า กระต่ายแดง ม้าคู่ใจที่เขาดูแลมาตั้งแต่มันยังเล็กและฝึกให้้เป็นม้าที่แสดงฉากเสี่ยงตายเช่นเดียวกับเขา แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป วงการภาพยนตร์ก็เช่นกัน สตันต์แมนอย่างเขาและม้าสตันต์ กลับกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น เมื่อสเปเชียลเอฟเฟกต์ เข้ามาแทนที่ การที่เอาคนมาแสดงผาดโผนและเอาสัตว์มาเข้าฉาก กลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นอีกต่อไป และพวกเขาจะทำเช่นไรต่อดี ?แม้ว่า Ride On จะถูกโปรโมตในสไตล์หนังแอ็กชันดราม่ามิตรภาพของคนกับม้า ในแบบที่คนรักสัตว์จะต้องเทใจให้กับหนังเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ถูกวางให้เป็นหนังที่มาเพื่อเชิดชูและสดุดีอาชีพสตันต์แมนเช่นเดียวกัน หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของคนที่ทำอาชีพนี้ แม้ว่าอาชีพของพวกเขาจะดูง่าย เพียงแค่ เดินกล้อง กระโดดข้ามตึก นอนโรงพยาบาล (แบบที่เฉินหลงเคยให้สัมภาษณ์แบบติดตลกในรายการทอล์กโชว์) แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาต้องแลกมาด้วยหลายๆอย่าง ทั้งร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม เสี่ยงบาดเจ็บหนัก ซึ่งสร้างความเป็นห่วงให้กับคนใกล้ตัว หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดูแง่มุมต่างๆของอาชีพนี้ ทั้งในแง่ผลกระทบส่วนตัว และภาพรวมของวงการภาพยนตร์ ซึ่งส่วนนี้เองมีความทับซ้อนกับชีวิตจริงของเฉินหลงอยู่ไม่น้อย เพราะในชีวิตจริง เขาก็คือนักแสดงที่เล่นฉากผาดโผนด้วยตัวเอง ถึงขั้นหลายฉากหยิบเอาฟุตเทจจากหนังเก่าๆของเขามี Insert เป็นงานเก่าๆของตัวละครในเรื่องด้วยซ้ำแต่สิ่งที่เซอร์ไพรสที่สุดสำหรับ Ride On คืออีกหนึ่งปมที่หนังเลือกหยิบขึ้นมาชู และโดดเด่นไม่แพ้ประเด็นมิตรภาพคนกับม้าและประเด็นชีวิตของสตันต์แมน นั่นคือปมดราม่าระหว่างพ่อกับลูก เนื่องจากตัวละครพระเอกในเรื่องทุ่มเทกับงานจนห่างเหินกับลูกสาว ที่ไปอาศัยอยู่กับแม่หลังพ่อแม่หย่าร้าง และเมื่อแม่ของเธอเสียไป เธอจึงใช้ชีวิตตามลำพังโดยที่เกลียดพ่อมาโดยตลอด แต่เพราะเหตุจำเป็น เมื่อม้าของพ่อกำลังจะถูกยึดไป พระเอกจึงติดต่อไปยังลูกสาวที่เรียนนิติศาสตร์เพื่อขอความช่วยเหลือ นำไปสู่การกลับมาสานสัมพันธ์อีกครั้ง ของคู่พ่อลูกสายเลือดเดียวกันที่ห่างกันไปนาน เส้นเรื่องตรงนี้ถือว่าค่อนข้างแปลกใจพอสมควร เพราะเดิมทีไม่คิดว่าหนังจะเน้นแง่มุมนี้ แต่กลับเป็นปมหลักที่หนังให้ความสำคัญ และขยี้หัวใจของคนดูได้พอสมควรเลยทีเดียวโดยรวม Ride On อาจจะสามารถนิยามได้ว่า เป็นหนังแอ็กชันเฉินหลงที่ดีต่อใจ เพราะนอกจากฉากบู๊ปนฮาที่เป็นเอกลักษณ์ในหนังของแกแล้ว (ซึ่งในเรื่องนี้มีให้ดูกันอยู่ตลอดทั้งเรื่อง) หนังยังเต็มไปด้วยปมดราม่าที่เล่นกับความรู้สึกของคนดูอยู่ไม่น้อย ทั้งปมพ่อลูกที่หนังทำถึงอยู่พอสมควร ปมมิตรภาพคนกับสัตว์ที่ขยี้แล้วขยี้อีก และปมเรื่องอาชีพที่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ก็ย่อมต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจว่า หนังจะเทอารมณ์ไปทางดราม่าเสียส่วนใหญ่ เพราะมันก็ยังมีฉากตลกอมยิ้มในสไตล์แกอยู่ ทั้งพาร์ทแอ็กชัน พาร์ทขำขัน และพาร์ทดราม่า ถูกผสมผสานมาได้ค่อนข้างพอเหมาะ ทำให้ Ride On อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังเฉินหลงที่ดูสนุก และดูเพลินอยู่ไม่น้อยสรุปแล้ว Ride On ถือเป็นหนังครบรส ที่มาพร้อมกับพล็อตแบบ 3 In 1 ที่แม้หน้าหนังจะเน้นไปทางหนังมิตรภาพคนกับสัตว์ หัวใจมันก็ยังเป็นหนังครอบครัวที่ชวนประทับใจ และเป็นหนังที่ยกย่องคนที่ทำอาชีพในวงการบันเทิง อาชีพที่เฉินหลงทำและคลุกคลีมาตลอดหลายทศวรรษอีกด้วย ใครที่เป็นแฟนหนังของเฉินหลงหรือติดตามหนังฮ่องกงมาหลายทศวรรษ ก็น่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้มากเป็นพิเศษ เพราะมีองค์ประกอบบางอย่างที่น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน ส่วนตัวสำหรับผู้เขียนมีโอกาสได้ดูหนังในแบบเสียงจีน บรรยายไทย พบว่าหลายฉากดูจะเอื้อกับการพากย์เสียงของทีมพากย์พันธมิตรมากๆ ถ้ามีโอกาส เลือกชม Ride On แบบเสียงไทยก็น่าจะเพิ่มอรรถรสให้หนังอยู่ไม่น้อยภาพ : Major Groupชมตัวอย่าง Ride On ควบสู้ฟัด วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกินก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อนใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง”- นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในTicket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้วนอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลยปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” -ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : Universal Pictures

album

0
0.8
1