[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

19 ม.ค. 2022

นี่คือหนังอาชญากรรมกึ่งชีวประวัติที่เต็มไปด้วยแง่มุมที่ดึงดูดผู้ชม เริ่มจากพล็อตที่โคตรหวือหวา สร้างจากคดีจริงเบื้องลึกตระกูลดังแห่งแวดวงแฟชั่นอย่าง กุชชี แบรนด์เนมชื่อก้องโลก เรื่องราวความรัก การแย่งชิงอำนาจ นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ดึงดูดผู้กำกับชั้นครู อย่าง ริดลีย์ สก็อตต์ (จาก Alien และ Gladiator) ให้สนใจอยากสร้างเป็นหนังนานนับทศวรรษแล้ว แต่กว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็คือไม่นานมานี้ และตัวเลือกของริดลีย์สำหรับบทนำนี่เอง ที่ทำให้หน้าหนังของ House of Gucci อิมแพคยิ่งกว่าหนังดรามาเรื่องไหนๆ เพราะเขาเลือก เลดี้ กาก้า ที่ปังสุดๆ จากบทนำครั้งแรกใน A Star is Born มารับบทนำเป็นครั้งที่ 2 แล้วแวดล้อมด้วยนักแสดงเบอร์เทพ ระดับ อัล ปาชิโน, เจเรมี่ ไอรอนส์, อดัม ไดรเวอร์ และจาเรด เลโต้ และรายหลังนี่เองที่สร้างความปังขั้นสุด ด้วยการแปลงโฉมเพื่อแสดงในหนัง จนแทบจะไม่มีใครจำได้!

ใน House of Gucci หนังพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยปลายยุค 70s เล่าถึง แพทริเซีย (รับบทโดย เลดี้ กาก้า) หญิงสาวธรรมดาๆที่ฝันไกลอยากไต่เต้าเป็นมหาเศรษฐี จนกระทั่งเธอได้รู้จัก มัวริซิโอ้ (รับบทโดย อดัม ไดรเวอร์ จาก Star Wars : The Force Awakens) ทายาทตระกูลกุชชี่ ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวแทนจะไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว แต่ความรักของทั้งสองกลับขัดใจ โรดอฟโฟ (รับบทโดย เจเรมี่ ไอรอนส์) พ่อของเขา ทำให้มัวริซิโอ้ เริ่มไปสนิทกับคุณลุง (ซึ่งรับบทโดย อัล ปาชิโน) อีกหนึ่งหุ้นส่วนสำคัญของ กุชชี่แทน และเขานี่เองที่พยายามผลักดันและเชื้อเชิญให้ มัวริซิโอ้กลับมาสานต่อธุรกิจให้ครอบครัว ซึ่งแพทริเซียก็เห็นด้วยตามนั้น เพราะลูกชายแท้ๆของลุง (รับบทโดย จาเรด เลโต้ ที่แปลงโฉมอย่างหนัก) ไร้พรสวรรค์เกินกว่าจะทำงานด้านแฟชั่นได้ แม้ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ซึ่งทั้งหมดเริ่มค่อยๆนำไปสู่ปมบาดหมางในครอบครัว ความทะเยอทะยานของแพทริเซียค่อยๆล้ำเส้น เกินกว่าใครจะคาดเดา

ไฮไลต์ที่ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินมากที่สุดกับ House of Gucci คือการฟาดฟันกันของเหล่านักแสดงที่เล่นดีกันแบบยกแผง ไม่มีใครดร็อปกว่าใครเลยจริงๆ ใจจริงเป็นห่วง เลดี้ กาก้า มากที่สุด เพราะเธออยู่ท่ามกลางนักแสดงฝีมือฉกาจทั้งหมด แต่เธอก็สวมบท แพทริเซีย แบบสุดพลังเช่นกัน แม้ว่าหลายฉากอาจจะดูแสดงล้นไปนิดๆ แต่อินเนอร์สำหรับบทนี้มาเต็ม แทบจะเกินร้อยทำให้เธอไม่ได้จมหายไปกับหนัง แถมยังแสดงความรู้สึกของตัวละครออกมาได้มีพลังสุดๆ และที่สำคัญคือเคมีของเธอกับ อดัม ไดรเวอร์ เจ้าของบทสามี ที่แน่นอนว่ารายหลังไร้ข้อกังขาเรื่องฝีมือไปนานแล้ว แต่ยิ่งดูจะยิ่งสัมผัสได้ว่าสองตัวละครนี้ มันไปด้วยกันได้ดีมากๆจริงๆ

แต่ที่บียอนด์ยิ่งกว่า คือสามนักแสดงที่เหลือ อัล ปาชิโน กับ เจเรมี ไอรอนส์ คือไร้ข้อกังขา ทั้งสองแสดงพลังออกมาไม่แพ้หนังเรื่องไหนๆ ยิ่งอยู่ด้วยกันพลังยิ่งเพียบ แผ่รังสีจนสุด แต่สิ่งบียอนด์ในบียอนด์ ขโมยซีนไปจนหมดต้องยกให้ จาเรด เลโต้ ที่ดูกี่ฉากก็ไม่ชินและไม่เชื่อว่านี่คือเขา เพราะไม่เหมือน จาเรด เลโต้ที่ีเคยเห็นเลย เขากลายเป็นตัวละครนั้นได้แบบเต็มตัว เหลือเพียงแววตาที่เราคุ้นว่านี่คือจาเรดเท่านั้น ยิ่งฉากที่เขาเข้ากับ อัล ปาชิโน ซึ่งแสดงเป็นพ่อ ยิ่งเป็นฉากที่ละสายตาจากจอไม่ได้จริงๆ เคมีระหว่างพ่อลูกที่ทั้งรักทั้งเกลียดกันคู่นี้ มันสุด ซีนเหล่านี้คือสมบัติอันล้ำค่าของฮอลลีวู้ดมากๆ

แน่นอนว่าตัวพล็อตที่เลือกมาเล่า มันมีความเข้มข้นน่าติดตามอยู่แล้ว ปมขัดแย้งในครอบครัวที่นำไปสู่คดีอาชญากรรมมันสนุกมันชวนดึงดูดให้ลุ้นตาม แต่ปัญหาหลักของ House of Gucci น่าจะเกิดจากจังหวะในการเล่าของ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ในเรื่องนี้เขาตัดสินใจเล่าตามลำดับเวลา และจังหวะค่อนข้างออกไปทางเรื่อยๆเรียงๆไปนิด ด้วยความยาวถึง 2.40 ชม. กลายเป็นว่าหนังยาวเกินความจำเป็น และแทบจะไม่ได้มี จุดฮุกให้ผู้ชมรู้สึกลุ้นตามเท่าไหร่นัก กลายเป็นนักแสดงแผดฝีมือขั้นสุด แต่ตัวการตัดต่อและเล่าเรื่อง กลับไม่ค่อยได้บิลด์ตามการแสดงเท่าไหร่ จึงน่าเสียดายพอสมควร


(ให้ 7.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

28 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่ผู้ชมไม่ได้ดูหนังวัยรุ่น ในแบบที่คุณเคยตกหลุมรักค่ายจีทีเอช หนังรักในวัยเรียนในแบบ เพื่อนสนิท หรือ Season Change การมาถึงของ 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' เป็นเหมือนการพาผู้ชมย้อนกลับไปสัมผัสหนังรักในสไตล์นั้นอีกครั้ง แต่ถูกเล่าด้วยจังหวะในแบบยุคใหม่ ในสไตล์ของคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงมีพล็อตที่กระแทกใจ และคนส่วนใหญ่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตัวเองได้ นั่นทำให้ OMG มีส่วนผสมของหนังวัยรุ่นจีทีเอชที่หลายคนคิดถึง กับซีรีส์วัยรุ่นยุคปัจจุบันที่มีสไตล์การเล่าที่ค่อนข้างเร็ว มีจังหวะที่โบ๊ะบ๊ะ เหมือนดูรายการทาง YouTube ผสมกับความเป็นยุค TikTok บวกกับวิธีการเล่าในแบบหนังของ เต๋อ นวพล'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' มาพร้อมกับชื่อตัวละครที่จำง่ายๆ เพราะแทบจะโยงมาจากชื่อจริงของนักแสดงนำเกือบทั้งหมด เล่าเรื่องราวของ กาย (รับบทโดย สกาย วงศ์รวี) เด็กหนุ่มที่โตมากับพี่น้องหญิงล้วน ที่คอยสอนเขาให้จีบหญิง มารยาทในการเข้าสังคมกับผู้หญิง กายตกหลุมรัก จูน (รับบทโดย จูเน่ เพลินพิชญา) เพื่อนในมหาลัยฯเดียวกัน แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามจะจีบหรือบอกรักจูน ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างเขาตลอด ทุกอย่างดูผิดจังหวะและไม่เป็นใจไปเสียหมด ตอนที่เขาโสด จูนก็ดันมีแฟน พอจูนเลิกกับแฟน กายก็ดันไม่โสด จังหวะไม่ลงล็อกเสียที จนกระทั่ง จูนได้เจอกับ พี่พีต (รับบทโดย พีช พชร) หนุ่มนักร้องโปรไฟล์โคตรดี ชายหนุ่มสุดแสนจะเพอร์เฟ็ค การที่ที่จูนคบกับพี่พีต ทำให้ความรักของกาย ยิ่งไม่เป็นไปตามแผน ท้ายที่สุด จังหวะรักของเขาและจูน จะลงตัวหรือไม่ ต้องไปติดตามกันต่อในหนังอย่างที่เกริ่นไป OMG เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ไม่ค่อยเห็นค่ายหนังอารมณ์ดีสร้างมาสักพักแล้ว (ส่วนใหญ่ จีีดีเอช จะสร้างหนังรอมคอมที่ตัวละครโตขึ้นกว่าเดิม อย่าง น้อง/พี่/ที่รัก และ Friend Zone ที่ไม่ใช่วัยรุ่นในรั้วมหาลัยฯ) การพาผู้ชมไปสัมผัสความรักของวัยเรียนอีกครั้ง ทำให้หวยคิดถึงหนังรักวัยรุ่นแบบ จีทีเอช อยู่ไม่น้อย ระหว่างที่ดู OMG ทำให้หวนคิดถึงหนังอย่าง เพื่อนสนิท ตลอดเวลา พร้อมกับนึกไปว่า ถ้าเพื่อนสนิท ถูกหยิบมาสร้างในยุคนี้ มันก็คงเล่าเรื่องในสไตล์แบบนี้ จังหวะแบบนี้ Pacing แบบนี้ ที่ค่อนข้างลงล็อกกับรสนิยมของวัยรุ่นยุคนี้ นอกจากพล็อตที่มีจุดร่วมคือการตกหลุมรักเพื่อนสนิทแล้ว ตัวละคร กาย ยังทำให้หวนนึกถึง หลายๆบทที่ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เคยแสดง มีคาแร็คเตอร์ที่คล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่การลง Voice Over สิ่งที่ตัวละครกายคิด ก็มีความคล้ายคลึงกับหนังอย่าง ฟรีแลนซ์ อยู่ไม่น้อย แม้ว่าหนังอาจจะไม่สามารถเทียบเท่าหนังอย่าง เพื่อนสนิท หรือ Season Change ที่กลายเป็นหนังวัยรุ่นระดับคลาสสิกไปแล้ว แต่ OMG ก็สนุกมากพอที่จะทำให้นึกถึงหนังเหล่านั้นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับ OMG มีหลายๆส่วน ที่ทำให้หนังค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นมุกตลก ที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะและเวิร์กในเกือบทุกฉาก พอถึงช่วงดราม่าหนักๆ หนังก็สามารถดึงจังหวะให้ผู้ชมอินกับอารมณ์ในฉากนั้นได้ ไม่ได้ย้วยหรือสั้นจนเกินไป รวมถึงการแสดงของทั้ง สกายและจูเน่ ที่ต่างมีเสน่ห์และออร่ามากๆทั้งคู่ บวกกับเคมีที่เข้ากันดี เหมาะกับการเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคู่รัก จนอดเชียร์สองตัวละครนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ OMG คือ บทภาพยนตร์ และการตัดสินใจว่าเส้นเรื่องจะไปยังจุดไหน โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ที่มีปมด้านศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังเลือกทางออกที่สมจริงมากพอ เลือกบทสรุปที่ค่อนข้างน่าพอใจ ทำให้สิ่งที่ OMG ปูมาตั้งแต่แรกไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะในแง่มุมใดโดยรวม 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' คือหนังรอมคอมวัยรุ่นฟีลกู้ด ที่ผู้ชมน่าจะเอ็นจอยกับเรื่องราวและอินกับหนังได้อย่างไม่ยาก ด้วยพล็อตที่เชื่อว่าใกล้ตัวเกือบทุกคน ไม่ว่าจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา หรืออาจจะกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ ผ่านการแสดงที่มีเสน่ห์มากๆ ของทั้ง สกายและจูเน่ สองนักแสดงที่ถ่ายทอดสองตัวละครที่มีความเป็น มนุษย์สุดๆ ดีบ้าง ร้ายบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง เอาแต่ใจบ้าง ชั่วบ้าง แต่ทั้งหมดมันก็คือ คนทั่วไป ที่ผิดพลาดได้ แต่ก็ต้องแก้ไขและยอมรับในความผิดพลาด หลายครั้งที่ผู้ชมทั้งเชียร์และไม่เชียร์คู่นี้ ตามจังหวะชีวิตและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละฉาก หนังยังฝากให้ผู้ชมได้คิดในหลายๆประเด็นความรัก จังหวะที่ใช่มันคืออะไร ต้องไปหาคำตอบกันในหนังเรื่องนี้'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

22 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

ยกให้เป็นหนังโคตรสนุกส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้ สำหรับภาคใหม่ของ Knives Out หนังตามหาฆาตกรสไตล์ Whodunit ที่มาพร้อมกับความแสบสันต์ และทีมนักแสดงชุดใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน Knives Out กลายเป็นหนังระดับโคตรฮิตและกวาดคำวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ จากทุนสร้างเพียง 40 ล้านเหรียญฯ สามารถทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 300 ล้าน กลายเป็นแฟรนไชส์ใหม่สำหรับพระเอก แดเนียล เคร็ก หลังโบกมือลาบท เจมส์บอนด์ ไปแล้ว เขาก็ได้หนังฮิตชุดใหม่ต่อทันที และเมื่อหนังสามารถเรียกผู้ชมได้มากขนาดนี้ Netflix เลยตาไว ซื้อสิทธิจากค่าย Lionsgate ไปซะเลย และซื้อแบบรวดเดียวทั้งภาค 2 และ 3 ทำให้หนัง Knives Out ภาคใหม่นี้ ผู้ชมจะไม่ได้ดูในโรงเหมือนภาคก่อน แต่จะลงให้ชมใน Netflix เป็นสเต็ปแรกไปเลยหนังภาคใหม่นี้ ใช้ชื่อเต็มๆว่า "Glass Onion : A Knives Out Mystery” พาผู้ชมไปหรรษากับคดีใหม่ของ นักสืบเบอร์นัวห์ บลองค์ ซึ่งรับบทโดย แดเนียล เคร็ก เขาคือนักแสดงคนเดียวจากภาคแรกที่กลับมาแสดงในภาคต่อนี้ โดยเบอร์นัวห์ ได้บัตรเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนเกาะส่วนตัวสุดหรู ที่ทะเลในประเทศกรีซ ซึ่งเจ้าของคือมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเขามาถึงก็ได้พบว่า แขกทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานของ เศรษฐีคนนี้ ซึ่งทั้ง นักการเมืองปากเก่ง ยูทูปเบอร์สุดเพี้ยน อดีตนางแบบสาวตัวแม่ และอีกเพียบ โดยทุกคนจะต้องมาร่วมสนุกกับการไขปริศนาคดีฆาตกรรม แต่ทุกอย่างกลับเข้มข้นขึ้น เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เสียชีวิตจริงๆ แต่ใครคือฆาตกรกันแน่ ?สามารถพูดได้เต็มปากว่า Glass Onion คือหนังที่โคตรสนุก โคตรแสบ และคาดเดาไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนองค์ประกอบในหลายๆอย่างจะถูกเพิ่มขึ้นจากภาคก่อน หลังจากที่ Knives Out ภาคแรกกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด กลายเป็นจุดที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน มากยิ่งขึ้น ว่าเขามาถูกทางแล้ว กับการผสมผสานระหว่างหนังสไตล์ตามหาฆาตกรสุดเข้มข้น กับหนังตลกเสียดสีสุดแสบสันต์ สิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบ ดูเหมือนจะถูกเพิ่มดีกรีในภาคนี้หมด สิ่งที่ทำให้หนังสนุกมาก คือชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของไรอัน มันไม่ใช่แค่ผู้ชมจะลุ้นว่าใครจะตาย ใครคือฆาตกร แต่ดีเทลต่างๆที่ใส่มา ล้วนมีความสำคัญแทบทั้งหมด มุกเล็กๆน้อยๆที่หยอดไว้ มันอาจจะเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างหลังจากนั้นก็ได้ กลายเป็นหนังที่เล่าอย่างแพรวพราวจริงๆสิ่งที่ถูกเพิ่มดีกรีขึ้นมาใน Glass Onion อย่างชัดเจนอีก คืองานโปรดักชั่น และอารมณ์ขันสุดแสบ หลังจากที่ภาคแรกเน้นการเล่าเรื่องในคฤหาสน์สุดหรูของคุณปู่ ภาคนี้จัดความใหญ่ด้วยเกาะส่วนตัวกันไปเลย ซึ่งมีรายละเอียดของสถานที่ที่อลังการอยู่ไม่น้อย (รวมถึงสถานที่ที่จะเผยว่าชื่อหนัง Glass Onion หมายถึงอะไร) อีกจุดที่เพิ่มดีกรีขึ้นมา คือ ความตลกแบบแสบจี๊ด หลังจากภาคแรกเสียดสี สังคมอเมริกาและการเมืองแบบไม่แตะเบรก ภาคนี้ดูเหมืิอนจะเสียดสีและล้อเลียน กลุ่มคนที่ถูกยกให้เป็น Elite ของสังคม ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐีเทคโนโลยี (แบบ อีลอน มัสก์) ผู้ที่โด่งดังจากโลกออนไลน์ โดยมุกต่างๆที่แทรกไว้ ค่อนข้างเวิร์กเลยทีเดียว และจังหวะการเล่น การขยี้ก็ค่อนข้างลงตัว จากรอบปฐมทัศน์ในไทยที่ Netflixจัดฉายพิเศษในโรง สามารถบอกได้ว่า หัวเราะกันลั่นโรงจริงๆพาร์ทสำคัญที่เป็นไฮไลต์ของหนังสไตล์ Whodunit คือ Ensemble Cast หลักจากภาคนี้ ไรอัน จอห์นสัน ชวนนักแสดงดังๆมาร่วมแสดงกันแน่นจอ ภาคนี้แม้ว่าดีกรีความดังของนักแสดงอาจจะเทียบภาคแรกไม่ได้ แต่ว่าแต่ละคนก็มีของแบบไม่ธรรมดา ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เคต ฮัดสัน, เดฟ บอทิสต้า, แคทเธอรีีน ฮาห์น แต่ที่โดดเด่นเหนือออกมา คือการแสดงของ จาเนล โมเน่ห์ ในบทเพื่อนรักเพื่อนแค้นของคนกลุ่มนี้ ด้วยคาแรคเตอร์ของเธอทำให้ จาเนล สามารถโชว์สกิลได้อย่างหลากหลาย ส่วนนักแสดงนำอย่าง แดเนียล เคร็ก ภาคนี้ดูเหมือนเขาจะเอ็นจอยกับบทมากขึ้น แดเนียลดูสบาย ดูสนุกกับบท จนทำให้คนดูเพลิดเพลินกับตัวละครนี้ไปด้วย จนอยากจะตามต่อภาคหน้าแล้วว่าเขาจะไปคลี่คลายคดีที่ไหนโดยรวม Glass Onion : A Knives Out Mystery ถือเป็นหนังโคตรบันเทิงมากๆ ผสมผสานระหว่างหนังสืบหาฆาตกรกับตลกเสียดสีอย่างลงตัว จนไม่แปลกใจที่หลายๆสถาบันจะให้เรื่องนี้ติดอันดับหนังยอดเยี่ยมของปีด้วย รวมถึง แดเนียล เคร็ก ก็ได้ชิงรางวัลในหลายๆสถาบัน นอกจากทีมนักแสดงสุดแสบแล้ว Knives Out ภาคนี้ยังแอบใส่นักแสดงรับเชิญไว้หลายคน นอกจากคนดูจะเซอร์ไพรสกับเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ยังจะเซอร์ไพรสกับแขกรับเชิญที่หนังใส่มาอีกด้วย (นักแสดงบางคนมาแต่เสียงก็มี) นี่จึงเป็นหนังที่สนุกและห้ามพลาดส่งท้ายปี แม้ว่าคุณจะยังไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอยกับภาคนี้ได้เลย เพราะเป็นการเปิดคดีใหม่ เส้นเรื่องไม่ได้เกี่ยวโยงกันGlass Onion : A Knives Out Mystery สตรีม 23 ธันวาคมใน Netflix

[REVIEW] ‘Evil Dead Rise’ โคตรเฮี้ยน ! นี่คือหนังผีที่ฮาร์ดคอร์สุดในรอบหลายปี | GOSSIP GUN

21 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Evil Dead Rise’ โคตรเฮี้ยน ! นี่คือหนังผีที่ฮาร์ดคอร์สุดในรอบหลายปี | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปช่วงต้นยุค 80s หนังตระกูล Evil Dead ได้ถือกำเนิดขึ้น เดิมทีมันเป็นเพียงหนังสยองทุนต่ำ จากผู้กำกับที่ไม่มีใครรู้จักมากนัก แต่ด้วยกระแสปากต่อปากที่บอกต่อ ว่านี่คือหนังสยองที่ไม่ประนีประนอมคนดู จัดหนักจัดเต็มแบบไม่เหมืิอนใคร ทำให้ Evil Dead กลายเป็นหนังที่ค่อยๆ ฮิต จนท้้ายที่สุดทำรายได้มากกว่าต้นทุนถึง 8 เท่า และส่งให้ แซม ไรมี่ ผู้กำกับกลายเป็นที่รู้จัก (และกลายเป็นตัวพ่อแห่งหนังสยองจนถึงปัจจุบัน) จากความสำเร็จของภาคแรก ทำให้ Evil Dead ของแซม ไรมี่ ถูกสร้างต่อจนครบไตรภาค ถูกนำมาสร้างกึ่งๆ รีเมกอีกครั้งในปี 2013 ถูกต่อยอดออกมาเป็นฉบับซีรีส์ใน Ash VS Evil Dead จนกระทั่งล่าสุด แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 40 ปีแล้ว แต่ชื่อชั้นของหนังยังไม่สิ้นสุด จนล่าสุด แซม ไรมี่ และพระเอกต้นฉบับ บรู๊ซ แคมป์เบล ขอจับมือกันมาสร้างหนังภาคใหม่อย่าง Evil Dead Rise ที่แม้เส้นเรื่องจะแยกจากภาคก่อนๆอย่างชัดเจน แต่จิตวิญญาณอันอำมหิตแบบ Evil Dead ยังอยู่ครบ ! Evil Dead Rise เล่าเรื่องราวของ เบธ หญิงสาวที่เดินทางมาเยี่ยมพี่สาวในตึกอพาร์ทเมนต์ในลอสแองเจลิส ณ ที่แห่งนี้ พี่สาวของเธอ แอลลี่ อาศัยอยู่กับลูกๆอีก 3 คนเพียงลำพัง หลังจากเธอแยกทางกับสามีไป แต่ไม่นานนักวันอันแสนสุขก็ถูกรบกวน เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้ชั้นใต้ดินยุบลงไป และปรากฏห้องลึกลับที่ซ่อนอยู่ โดยในที่แห่งนี้ ลูกชายคนโตของแอลลี่ ได้เจอหนังสือลึกลับที่เต็มไปด้วยความสยอง ซึ่งวิญญาณอันชั่วร้ายที่เคยถูกกักขังไว้ ได้ถูกปล่อยออกมา และตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา ทุกชีวิตในตึกแห่งนี้ได้ตกอยู่ในอันตราย เพราะปีศาจที่อัดแน่นด้วยความโกรธแค้นกำลังจะฆ่าทุกชีวิต ด้วยระดับความโหดที่ไม่มีใครคาดคิด นี่อาจจะเป็นหนังผีที่ Hardcoreที่สุดในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่ซีนเปิดหนัง Evil Dead Rise ไม่เกรงใจคนดูในแง่ความโหดเลย ด้วยซีนสยองในกระท่อมกลางป่าที่มีกลิ่นอายแบบหนังต้นฉบับ กับฉากเลือดสาดที่จะทำให้คนดูอ้าปากค้างตั้งแต่แรก ก่อนจะปรับโหมดเข้าสู่ความสยองขวัญที่เกิดขึ้นในตึกอพาร์ตเมนต์ ซึ่งถือว่าเป็นบรรยากาศค่อนข้างใหม่สำหรับหนังตระกูลนี้ กลายเป็นมีอารมณ์คล้ายกับหนังตระกูล [REC] ผสมผสานกันไป เพิ่มความสดใหม่ให้กับแฟรนไชส์ หนังใช้เวลาในการปูเรื่องไม่นานนัก ก่อนจะเข้าโหมดสยองโหดแบบ Non-Stop โดยเฉพาะในชั่วโมงที่เรียกว่าจัดหนักจัดเต็มแบบไม่ให้คนดูพักกันเลยทีเดียว เชื่อว่าผู้ชมจำนวนไม่น้อยน่าจะดูไปเหนื่อยไปกับหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่าข้อดีที่ชัดเจนที่สุดของ Evil Dead Rise คือความจัดหนักจัดเต็มที่เทความสะพรึงเข้ามาแบบไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ขึ้นโลโก้ค่ายหนัง Warner Bros. ซึ่งเลือกใช้ซาวน์ได้ชวนขนลุก ต่อเนื่องด้วยซีนที่ขึ้นชื่อหนังที่ใช้ซาวน์ได้สยองขั้นสุด ในการดำเนินเรื่อง ความสยองที่ผู้สร้างเลือกใส่เข้ามามีหลากหลายแบบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสไตล์ที่จัดจ้านแบบ Evil Dead ไม่ว่าจะเป็นความโหดแบบไม่เกรงใจใคร หนังเลือกใช้ฉากเฉือนอวัยวะ ฉากใช้อาวุธต่างๆแทงเข้าไปในจุดที่หวาดเสียว เล่นเอาผู้ชมจำนวนไม่น้อยต้องละสายตาจากจอ บวกกับการดีไซน์ตัวละครที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ที่ออกแบบมาได้สุดแสนจะประหลาด แค่มองนิ่งๆก็ชวนผวาแล้ว และเมื่อเริ่มขยับร่างกาย ความหลอนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ด้วยท่าทางสุดพิศดารที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ บวกกับความคาดเดาไม่ได้ของผี ยิ่งทำให้หนังชวนหวาดผวามากขึ้นหลายเท่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่กวนใจผู้ชมของ Evil Dead Rise อยู่ไม่น้อยคือความงี่เง่าของตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 พี่น้องที่มักจะทำอะไรที่ไม่ควรทำอยู่เสมอ ทำให้หลายคนอดดูไปสาปแช่งไปไม่ได้ จำใจต้องพยายามทำความเข้าใจว่า ถ้าตัวละครไม่ทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ เส้นเรื่องคงไม่เดินไปไหน ก็ต้องยอมหงุดหงิดไป เพื่อให้หนังมันไปต่อได้ในที่สุด แต่สำหรับใครที่ไม่ติดใจเรื่องจุกจิกตรงนี้ น่าจะสามารถเอ็นจอยกับหนังได้แบบเต็มๆ คอหนังสยองสายโหดน่าจะฟินกันพอสมควร โดยนอกจากฉากสยองโหดแบบจัดหนักแล้ว หนังยังมีกลิ่นอายของตระกูล Evil Dead อย่างชัดเจนอีกด้วย ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ให้อารมณ์คล้ายกับไปเข้าบ้านผีในสวนสนุกอยู่ไม่น้อย เพียงแค่โหดกว่า เลือดสาดกว่า ใครที่จะพาเด็กๆไปดู ขอเตือนว่าไม่ควร เพราะเรื่องนี้เรียกว่าได้เรต Rแบบปริ่มๆกันเลยทีเดียวภาพ : Warner Bros. Thailandชมตัวอย่าง Evil Dead Rise วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Knock At The Cabin’ เคาะกระท่อมระทึก ตึงเครียดหนักตั้งแต่ต้นจนจบ| GOSSIP GUN

02 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Knock At The Cabin’ เคาะกระท่อมระทึก ตึงเครียดหนักตั้งแต่ต้นจนจบ| GOSSIP GUN

หลังจากแจ้งเกิดจาก The Sixth Sense ชื่อของผู้กำกับ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน ก็ไม่เคยหายไปจากฮอลลีวูดอีกเลย เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังระทึกขวัญที่มาพร้อมกับพล็อตหักมุม หรือหลายครั้งที่เล่าถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ชื่อของ เอ็ม.ไนท์ นั้น ไม่ได้การันตีว่าหนังจะออกมาดี ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา หนังของเอ็ม.ไนท์ ถือว่าผาดโผนในแง่คำวิจารณ์พอสมควร มีตั้งแต่หนังที่ดีมากๆ ไปจนถึงหนังที่ห่วยมากๆ ทำให้หลายครั้งที่แฟนหนังเข้าไปชม และนอกจากจะต้องลุ้นกับพล็อตแล้ว ยังต้องลุ้นไปถึงคุณภาพหนังอีกด้วย แต่ดูเหมือนผลงานล่าสุดอย่าง 'Knock At The Cabin' น่าจะจัดเข้ากลุ่มหนัง เอ็ม.ไนท์ ที่คว้าคะแนนบวกไปเสียส่วนใหญ่ โดยล่าสุดคะแนนจาก Rotten Tomatoes สามารถแตะคะแนนบวกได้ถึง 71% แม้จะไม่สูงเท่า The Sixth Sense แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับUnbreakable, Signs และ Split'Knock At The Cabin' มาพร้อมกับเรื่องราวที่เกิิดขึ้นในเพียงสถานที่เดียว แต่คอนเซปท์สุดล้ำ เล่าถึง เอริคและแอนดรูว์ คู่รักชายชาย ที่พาลูกสาวบุญธรรมของพวกเขาไปพักผ่อนในบ้านพักตากอากาศ ซึ่งเป็นกระท่อมกลางป่าที่ห่างไกลจากผู้คน แต่จู่ๆ เสียงเคาะที่ประตูของกระท่อมพวกเขาก็ดังขึ้น พร้อมกับคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวทั้งหมด 4 คน ซึ่งต่างที่มาที่ไป แต่พวกเขามีจุดประสงค์เดียว คือ ต้องการหยุดวันสิ้นโลก ! โดยผู้ที่จะหยุดหายนะนี้ได้ มีเพียง 3 คนในกระท่อมเท่านั้น โดยเพียงเขาต้องตัดสินใจ เสียสละ 1 ชีวิต โดยพวกเขาต้องเลือกกันเอง และฆ่ากันเอง มิฉะนั้น หายนะวันสิ้นโลกจะมาถึง และทุกชีวิตบนโลกจะถึงจุดอวสานแน่นอนว่า 'Knock At The Cabin' จัดเข้ากลุ่มหนัง เอ็ม.ไนท์ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ข้อดีมากๆของมันคือการที่หนังสามารถรักษาระดับความตึงเครียดไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง เพียงไม่กี่นาทีหลังหนังเริ่มฉาย ก็เข้าสู่พล็อตหลักแบบทันที หนังไม่ปล่อยให้มีเวลาน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย และตั้งแต่วินาทีนั้น หนังสามารถบิวด์ระดับความระทึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเหตุการณ์เริ่มไต่ระดับความบีบคั้น โดยความเจ๋งคือ หนังสามารถตรึงผู้ชมได้อยู่หมัด แม้ว่าจะเล่าเรื่องราวเพียงเหตุการณ์เดียว และในสถานที่เดียว เอ็ม.ไนท์ ยังคงเก่งกาจในการตรึงคนดูไว้กับเหตุการณ์สุดเหวอบนหน้าจอได้เสมอไฮไลต์สำคัญ คือ ทีมนักแสดงที่อาจกล่าวได้ว่า เล่นได้ดีแบบยกทีม นี่คือหนังที่ต้องอาศัยฝีมือการแสดงอยู่ไม่น้อย เพราะแต่ละตัวละครถ้าไม่อยู่ในภาวะสับสน ก็จะต้องมีความซับซ้อนทางอารมณ์ ตัวละครหลักที่สำคัญของหนังคือบท ลีโอนาร์ด ชายปริศนาร่างยักษ์ ซึ่งรับบทโดย เดฟ บอทิสต้า จาก Guardians of the Galaxy หนังเปิดโอกาสให้เขาแสดงเป็นตัวละครที่มีความลึกทางอารมณ์ และเดฟก็ทำได้ดีมากๆเลยทีเดียว โดยเฉพาะฉากที่ผู้กำกับเลือกที่จะโคลสอัพหน้าของเขา แม้ตัวละครนี้จะแสดงออกอย่างนุ่มนวล แต่มันกลับน่าขนลุก และน่าหดหู่อยู่ไม่น้อยสิ่งที่น่าเสียดายเบาๆสำหรับ 'Knock At The Cabin' อาจจะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของหนัง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อเป็นหนังของ เอ็ม.ไนท์ ผู้ชมจะต้องคาดหวังไปก่อนแล้วว่า จะเจอกับบทสรุปที่ไม่คาดคิด หรือตอนจบที่ไม่ธรรมดา แต่ปรากฏว่าหนังไม่สามารถพาผู้ชมไปได้ถึงระดับนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'Knock At The Cabin' ถือเป็นหนังที่ High Concept มากๆ ปูพล็อตมาค่อนข้างแรง แต่กลับแลนดิ้งตอนท้ายอย่างเบาบาง จนแอบเสียดายนิดๆ เมื่อเทียบกับงานชิ้นก่อนอย่าง Old แม้จะแลนดิ้งพลาด แต่ก็ยังปล่อยของหนัก เมื่อเทียบกับผลงานล่าสุดนี้โดยรวม 'Knock At The Cabin' คือหนังของ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน ในระดับที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว หนังมีความน่าสนใจทั้งในแง่พล็อต การสร้างสถานการณ์สุดตึงเครียด ไปจนถึงหลายจุดที่ไม่คาดคิด มาพร้อมกับการแสดงที่ยกระดับฝีมือของหลายต่อหลายคน ใครที่เป็นแฟนหนังของผู้กำกับคนนี้ ก็ไม่น่าพลาดเช่นเดิมชมตัวอย่าง Knock At The Cabin เสียงเคาะที่กระท่อมภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1