[REVIEW] ‘Knock At The Cabin’ เคาะกระท่อมระทึก ตึงเครียดหนักตั้งแต่ต้นจนจบ| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Knock At The Cabin’ เคาะกระท่อมระทึก ตึงเครียดหนักตั้งแต่ต้นจนจบ| GOSSIP GUN

02 ก.พ. 2023

หลังจากแจ้งเกิดจาก The Sixth Sense ชื่อของผู้กำกับ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน ก็ไม่เคยหายไปจากฮอลลีวูดอีกเลย เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังระทึกขวัญที่มาพร้อมกับพล็อตหักมุม หรือหลายครั้งที่เล่าถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ชื่อของ เอ็ม.ไนท์ นั้น ไม่ได้การันตีว่าหนังจะออกมาดี ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา หนังของเอ็ม.ไนท์ ถือว่าผาดโผนในแง่คำวิจารณ์พอสมควร มีตั้งแต่หนังที่ดีมากๆ ไปจนถึงหนังที่ห่วยมากๆ ทำให้หลายครั้งที่แฟนหนังเข้าไปชม และนอกจากจะต้องลุ้นกับพล็อตแล้ว ยังต้องลุ้นไปถึงคุณภาพหนังอีกด้วย แต่ดูเหมือนผลงานล่าสุดอย่าง 'Knock At The Cabin' น่าจะจัดเข้ากลุ่มหนัง เอ็ม.ไนท์ ที่คว้าคะแนนบวกไปเสียส่วนใหญ่ โดยล่าสุดคะแนนจาก Rotten Tomatoes สามารถแตะคะแนนบวกได้ถึง 71% แม้จะไม่สูงเท่า The Sixth Sense แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับ Unbreakable, Signs และ Split

'Knock At The Cabin' มาพร้อมกับเรื่องราวที่เกิิดขึ้นในเพียงสถานที่เดียว แต่คอนเซปท์สุดล้ำ เล่าถึง เอริคและแอนดรูว์ คู่รักชายชาย ที่พาลูกสาวบุญธรรมของพวกเขาไปพักผ่อนในบ้านพักตากอากาศ ซึ่งเป็นกระท่อมกลางป่าที่ห่างไกลจากผู้คน แต่จู่ๆ เสียงเคาะที่ประตูของกระท่อมพวกเขาก็ดังขึ้น พร้อมกับคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวทั้งหมด 4 คน ซึ่งต่างที่มาที่ไป แต่พวกเขามีจุดประสงค์เดียว คือ ต้องการหยุดวันสิ้นโลก ! โดยผู้ที่จะหยุดหายนะนี้ได้ มีเพียง 3 คนในกระท่อมเท่านั้น โดยเพียงเขาต้องตัดสินใจ เสียสละ 1 ชีวิต โดยพวกเขาต้องเลือกกันเอง และฆ่ากันเอง มิฉะนั้น หายนะวันสิ้นโลกจะมาถึง และทุกชีวิตบนโลกจะถึงจุดอวสาน

แน่นอนว่า 'Knock At The Cabin' จัดเข้ากลุ่มหนัง เอ็ม.ไนท์ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ข้อดีมากๆของมันคือการที่หนังสามารถรักษาระดับความตึงเครียดไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง เพียงไม่กี่นาทีหลังหนังเริ่มฉาย ก็เข้าสู่พล็อตหลักแบบทันที หนังไม่ปล่อยให้มีเวลาน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย และตั้งแต่วินาทีนั้น หนังสามารถบิวด์ระดับความระทึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเหตุการณ์เริ่มไต่ระดับความบีบคั้น โดยความเจ๋งคือ หนังสามารถตรึงผู้ชมได้อยู่หมัด แม้ว่าจะเล่าเรื่องราวเพียงเหตุการณ์เดียว และในสถานที่เดียว เอ็ม.ไนท์ ยังคงเก่งกาจในการตรึงคนดูไว้กับเหตุการณ์สุดเหวอบนหน้าจอได้เสมอ

ไฮไลต์สำคัญ คือ ทีมนักแสดงที่อาจกล่าวได้ว่า เล่นได้ดีแบบยกทีม นี่คือหนังที่ต้องอาศัยฝีมือการแสดงอยู่ไม่น้อย เพราะแต่ละตัวละครถ้าไม่อยู่ในภาวะสับสน ก็จะต้องมีความซับซ้อนทางอารมณ์ ตัวละครหลักที่สำคัญของหนังคือบท ลีโอนาร์ด ชายปริศนาร่างยักษ์ ซึ่งรับบทโดย เดฟ บอทิสต้า จาก Guardians of the Galaxy หนังเปิดโอกาสให้เขาแสดงเป็นตัวละครที่มีความลึกทางอารมณ์ และเดฟก็ทำได้ดีมากๆเลยทีเดียว โดยเฉพาะฉากที่ผู้กำกับเลือกที่จะโคลสอัพหน้าของเขา แม้ตัวละครนี้จะแสดงออกอย่างนุ่มนวล แต่มันกลับน่าขนลุก และน่าหดหู่อยู่ไม่น้อย

สิ่งที่น่าเสียดายเบาๆสำหรับ 'Knock At The Cabin' อาจจะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของหนัง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อเป็นหนังของ เอ็ม.ไนท์ ผู้ชมจะต้องคาดหวังไปก่อนแล้วว่า จะเจอกับบทสรุปที่ไม่คาดคิด หรือตอนจบที่ไม่ธรรมดา แต่ปรากฏว่าหนังไม่สามารถพาผู้ชมไปได้ถึงระดับนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'Knock At The Cabin' ถือเป็นหนังที่ High Concept มากๆ ปูพล็อตมาค่อนข้างแรง แต่กลับแลนดิ้งตอนท้ายอย่างเบาบาง จนแอบเสียดายนิดๆ เมื่อเทียบกับงานชิ้นก่อนอย่าง Old แม้จะแลนดิ้งพลาด แต่ก็ยังปล่อยของหนัก เมื่อเทียบกับผลงานล่าสุดนี้

โดยรวม 'Knock At The Cabin' คือหนังของ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน ในระดับที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว หนังมีความน่าสนใจทั้งในแง่พล็อต การสร้างสถานการณ์สุดตึงเครียด ไปจนถึงหลายจุดที่ไม่คาดคิด มาพร้อมกับการแสดงที่ยกระดับฝีมือของหลายต่อหลายคน ใครที่เป็นแฟนหนังของผู้กำกับคนนี้ ก็ไม่น่าพลาดเช่นเดิม

ชมตัวอย่าง Knock At The Cabin เสียงเคาะที่กระท่อม

 

ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

12 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

ฮือฮาตั้งแต่เปิดตัวไปแล้วสำหรับภาพยนตร์ไทยน่าจับตามองแห่งปีอย่างFaces of Anneหรือชื่อไทยสั้นๆ ว่า"แอน"ด้วยทีมนักแสดงสุดหวือหวา เพราะน่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่รวมนักแสดงหญิงวัยรุ่นน่าจับตามองไว้เยอะที่สุดขนาดนี้ ทั้งที่เปิดเผยออกมาแล้วถึง10คน ตามรายชื่อบนใบปิด ประกอบด้วย ออกแบบ ชุติมณฑน์,อิ้งค์ วรันธร,วี วิโอเลต,มินนี่ ภัณฑิรา,ก้อย อรัชพร,ปันปัน สุทัตตา,เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ,มิวสิค แพรวา,อุ้ม อิษยา และ นานา ศวรรยา ยังไม่รวมที่ยังไม่ได้โปรโมตอีก ซึ่งความพีกยิ่งกว่าคือคอนเซปต์ของหนัง เพราะนักแสดงทั้งหมดที่เอ่ยนามมานี้ ต่างเล่นเป็นตัวละครที่ ชื่อว่า แอน พวกเขารับบทเป็นหญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาในห้องหนึ่ง ในชุดสีเหลืองเหมือนกัน ทุกคนต่างถูกคุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่อันตรายกำลังจะมาถึง หลังจากการปรากฏตัวขึ้น ของ ปีศาจกวาง ที่ออกไล่ฆ่าพวกเธออย่างอำมหิต ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แล้วทำไมทุกคนถึงชื่อแอน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในที่แห่งนี้ ต้องไปหาคำตอบกันในหนังสิ่งที่ดึงดูดกลุ่มคนดูหนังมากที่สุด นอกจากลิสต์รายชื่อนางเอกรุ่นใหม่ และพล็อตสุดแปลกแล้ว คือ ชื่อของผู้กำกับ อย่าง คงเดช จาตุรันต์รัศมี เจ้าของผลงานเกรดเออย่าง เฉิ่ม,ตั้งวง, Snapแค่ได้คิดถึง และล่าสุดอย่างWhere We Belongที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า(นอกจากนี้ คงเดช ยังเขียนบทให้กับหนังรักคุณภาพล้นอย่างThe Letterจดหมายรัก และMe..Myselfขอให้รักจงเจริญ อีกด้วย)ด้วยงานกำกับที่คุมคนดูอยู่หมัดมาโดยตลอด และไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องอะไร มักแฝงประเด็นสถานการณ์บ้านเมืองไว้เสมอ โดยเฉพาะ3เรื่องล่าสุดที่ เอ่ยถึงทั้งอย่างตรงไปตรงมา และในนัยยะแฝง เฉกเช่น ผลงานล่าสุดอย่างFaces of Annesแม้ตัวหนังเองจะทำท่าเป็นPsychological Thrillerหรือหนังทริลเลอร์จิตวิทยา ที่มีกลิ่นของหนังสยอง และหนังไล่เชือด แต่ในเส้นเรื่องที่ลึกกว่านั้น เชื่อว่าผู้กำกับได้แฝงอะไรบางอย่างไว้อย่างแน่นอน เพราะระหว่างทางมีอะไรให้คิดไปทางนั้นอยู่ไม่น้อยโดยรวมบรรยากาศของFaces of Annesทั้งชวนสะพรึง ชวนสยอง และชวนฉงนไปพร้อมๆกัน ในพาร์ทที่ทำให้รู้สึกสะพรึงนั้น หนังสามารถทำได้ตั้งแต่วินาทีแรกๆ ที่คุมคนดูอยู่ แม้จะเคลื่อนตัวไปช้าในระดับหนึ่ง แต่ด้วยอารมณ์ของหนังทำให้ผู้ชมติดอยู่กับสถานการณ์นั้นได้ตลอด นำมาสู่จังหวะที่หนังชวนสยอง เมื่อFaces of Annesเพิ่มดีกรีความระทึกขึ้น นับตั้งแต่ตัวละคร"ปีศาจกวาง"โผล่ออกมา ไล่ฆ่าพวกเธอ แม้เหล่าแอนจะพยายามหนีแต่ก็ไม่มีทางออก นำไปสู่พาร์ทชวนฉงน การดูหนังเรื่องนี้เหมือนการต่อจิกซอว์อยู่ไม่น้อย เมื่อคนดูค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว คนสร้างก็ค่อยๆเผยโครงสร้างพล็อตออกมา เผยความจริงบางอย่าง ทำให้หนังน่าติดตาม และชวนให้อยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในหนังเรื่องนี้?แน่นอนว่าFaces of Annesไม่ใช่หนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องชั้นเดียว นอกจากการไขปริศนาที่เกิดขึ้นในเส้นเรื่องหลักแล้ว การมองหนังด้วยแว่นตาที่ต่างออกไป ทำให้เห็นอะไรบางอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะแว่นตาของการเมือง ซึ่งปรากฏในหนังคงเดชอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องนี้ก็แฝงไว้ซึ่งสัญญะเช่นกัน(ต่อจากนี้ไม่ได้สปอยล์เรื่องนะครับ)เริ่มจากตัวละครแอน และปีศาจกวาง ที่เปรียบเปรยถึง คน หรือ กลุ่มคนบางกลุ่ม สามารถสังเกตได้ด้วย สิ่งที่พวกเธอเผชิญ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ในขณะที่ปีศาจกวางนั้น สามารถสังเกตได้จาก การเลือกให้ตัวละครนี้ สวมหัวกวาง สัตว์ที่ดูสง่างามแต่กลับมาไล่ฆ่าคน อาวุธที่กวางใช้ เพลงที่ถูกเปิดทุกครั้งที่ปีศาจตนนี้ปรากฏตัว พร้อมด้วยรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย หลายจังหวะถ้าดูหนังด้วยแว่นตาแบบดูเอาบันเทิงอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ถ้ามองอีกแบบ อาจจะเจอคำตอบ สิ่งที่แฝงไว้ในหนังเรื่องนี้ โดย นอกจากในแง่การปกครองที่ถูกเล่าผ่านFaces of Annesแล้ว หนังยังเล่าถึงสังคมคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา การใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การถูกครอบงำโดยSocial Mediaลามไปถึงปัญหาด้านจิตเวช ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่วัยรุ่นยุคนี้ต้องเผชิญ ในสภาวะสังคมที่ไม่ปกตินี้ไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ คือเหล่าทีมนักแสดงหญิงรุ่นใหม่มากฝีมือที่ตบเท้าเข้ามาแสดงในFaces of Anneอย่างน่าตื่นตา โดยรวมหนังค่อนข้างบาลานซ์Screen Timeของนักแสดงแต่ละคนได้ค่อนข้างดี แน่นอนว่า เวลาปรากฏบนจอไม่เท่ากัน แต่ทุกคนต่างมีโมเมนต์เป็นของตัวเอง มีจังหวะที่ปล่อยของกันพอสมควร ถ้าจะให้เลือกไปเลยว่าใครคือMVPแทบจะเลือกได้ยากมาก เพราะทุกตัวละครต่างมีความสำคัญ ต่างมีอะไรบางอย่างที่ไม่ง่ายนักในการแสดง ความสนุกของผู้ชมคือการลุ้นว่า ใครจะโผล่มาเมื่อไหร่ นักแสดงที่เราชอบจะปรากฏตัวช่วงนี้ ประโยชน์ของการที่หนังมีดาราเยอะ มันก็สนุกในแบบนี้แฝงไปด้วยโดยรวมFaces of Annesคือหนังชวนขยี้สมองแห่งปี หากจะเข้าไปดูเพื่อความบันเทิง อาจจะได้ความเครียดกลับมาแทน เพราะหนังท้าทายผู้ชม กระตุ้นให้ชวนคิดต่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในแง่เส้นเรื่องปกติ รวมถึงเส้นประเด็นที่แฝงเอาไว้ ทั้งหมดนี้ถูกคุมด้วยบรรยากาศชวนสะพรึงตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีบางจุดที่จังหวะการเล่าค่อนข้างช้า แต่หนังก็สามารถตรึงเราไว้ได้เสมอ และด้วยแคสระดับดรีมทีมแบบนี้ ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้ดูหนังไทยที่แปลกใหม่ น่าสนใจ น่าลิ้มลองในแบบที่Faces of Annesนำเสนอ ถ้ามีโอกาส นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง ที่อยากให้ลองชมภาพ : M Picturesชมตัวอย่าง แอนFaces of Anneเข้าฉาย13ตุลาคมในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

14 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

กวาดกระแสบวกไปอย่างท่วมท้นนับตั้งแต่ฉายรอบพิเศษในงาน CinemaCon เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับ The Flash หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดในจักรวาล DC ถึงขนาดที่ เจมส์ กันน์ หัวเรือของ DC Studio คนใหม่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ ก็ยังอดออกปากชมไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ The Flash จะเข้าฉายจริงในกลางเดือนมิถุนายนนี้ ทางวอร์เนอร์ฯ สตูดิโอเจ้าของหนังจึงจัดรอบพิเศษมากมายทั่วโลกเพื่อบิลด์กระแสบวกให้กับหนัง ส่วนหนึ่งเพื่อกลบกระแสลบของนักแสดงนำอย่าง เอซร่า มิลเลอร์ ที่ก่อคดีมากมายตลอดปีที่ผ่านมา กลายเป็นดราม่าให้ผู้บริหารสตูดิโอปวดหัวว่าจะทำอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ดี แต่เพราะผลลัพภ์ในแง่บวกสุดๆ ทำให้ค่ายหนังพยายามเบนเข็มความสนใจของแฟนหนังมายังรีวิว มากกว่าที่จะโฟกัสถึงพฤติกรรมส่วนตัวของนักแสดง เพื่อให้หนังได้เข้าฉายและประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้The Flash เป็นหนังเดีี่ยวเรื่องแรกของตัวละครแบร์รี่ อัลเลน หลังจากปรากฏตัวใน Justice League ของแซค สไนเดอร์ เอซร่า มิลเลอร์ก็กลับมารับบทนี้อีกครั้ง ภายใต้การคุมโปรเจกต์ของ แอนดี้ มุสชิเอติ จากหนัง Stephen King's It ทั้งสองภาคที่ประสบความสำเร็จจนวอร์เนอร์ไว้ใจให้เขาเข้ามาคุมหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า The Flash จะสร้างกระแสความฮือฮาต่อเนื่องตลอดการสร้าง เพราะข่าวน่าตื่นเต้นออกมามากมาย เริ่มจากการที่ เบน แอฟเฟล็ก จะกลับมารับบทแบทแมนในหนังเรื่องนี้ แต่ที่ทำให้แฟนๆตื่นตะลึงมากกว่า คือการที่ประกาศว่า ไมเคิล คีตัน จะกลับมารับบทแบทแมนอีกครั้ง หลังจาก Batman Returns ในปี 1992 ทำให้แฟนๆคาดการณ์ไปต่างๆนานาถึงพล็อต จนกระทั่งตัวอย่างปล่อยออกมาก็ยืนยันว่า หนังจะเล่าเรื่องในหลายมิติ ทำให้มีนักแสดงที่รับบทแบทแบน ปรากฏตัวใน The Flash มากกว่า 1 เวอร์ชั่นสำหรับในหนังเรื่องนี้จะเล่าถึง แบร์รี่ ที่ยังคงตกอยู่ในความเศร้า หลังสูญเสียแม่ไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่เพราะเขาได้พลังเร็วกว่าแสงของ เดอะแฟลช มา ทำให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ถึงแม้ว่า บรู๊ซ เวย์น จะพยายามห้ามไม่ให้เขาสร้างความวุ่นวายจากการเปลี่ยนอดีตก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของแบร์รี่ แต่ทุกอย่างเริ่มผิดพลาด เมื่อการย้อนกลับไปครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับ แบร์รี่ ในอีกเวอร์ชั่น เขาได้สร้างมิติใหม่ขึ้นมา กลายเป็นโลกที่ นายพลซอด (รับบทโดย ไมเคิล แชนน่อน ที่กลับมารับบทเดิมจาก Man of Steel) กำลังจะบุกมาทำลาย เขามายังโลกใบนี้เพื่อที่จะตามหาซูเปอร์แมน ซึ่งทางเดียวที่จะหยุดแผนร้ายนี้นั้น คือการที่แบร์รี่ จะต้องตามหาเหล่าบรรดาจัสติซ ลีกในมิตินี้ ทำให้เขาพบกับ แบทแมนในเวอร์ชั่นที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน แบทแมนที่ผู้ชมคุ้นเคยจากบทบาทการแสดงของ ไมเคิล คีตันแน่นอนว่า The Flash คือหนังทีี่สามารถอวยได้อย่างเต็มปากว่าเจ๋งมากๆ สมคำร่ำลือว่านี่คือหนังในจักรวาลดีซีที่อยู่ในระดับบนๆแน่นอน ความน่าสนใจมากๆของหนัง คือการวางโครงเรื่องและสร้างบทภาพยนตร์ออกมา ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ ความสนุกของหนังจึงอยู่ที่การพาผู้ชมเข้าสู่อีกมิติหนึ่งของดีซี มันเปิดโอกาสให้หนังสามารถเล่นอะไรได้มากมาย เปิดทางถึงความเป็นไปได้หลายๆอย่าง แน่นอนว่าหนังยังมีปมอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าในตัวอย่าง ยังมีเซอร์ไพรสที่ซ่อนอยู่อีกพอสมควร ทำให้ระหว่างทางผู้ชมจะเจอได้กับหลายสิ่งที่ทำให้แปลกใจ นี่คือความสนุกของ The Flash และแน่นอนว่าหนังจะทำให้แฟนของดีซีกรี๊ดลั่นอย่างแน่นอนอีกหนึ่งความรู้สึกระหว่างดู The Flash คือการที่สัมผัสได้ว่า นี่เหมือนจะเป็นหนังภาคต่อกลายๆของ Batman Returns สำหรับแฟนๆของ แบทแมน ฉบับของ ไมเคิล คีตัน นี่เป็นเหมือนหนังที่จะพาผู้ชมไปรู้เรื่องราวของตัวละครนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊ซ เวย์น ฉบับนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบภาคนั้นไปแล้วคีตันไม่รับบทนี้ต่อ ทำให้เกิด Batman Forever ขึ้น หนังเรื่องนี้เลยเปรียบเหมือนแบทแมนภาคที่หายสาบสูญไป ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของคีตัน เขายังคงเท่และทรงพลังมากๆในบทของแบทแมน แม้ว่าอายุของเขาและตัวละครบรู๊ซในหนังจะค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถลดพลังและเสน่ห์ของแบทแมนในแบบของเขาได้เลย และจุดนี้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนัง The Flash จะมีแบทแมนเข้ามาปรากฏตัวถึงสองเวอร์ชั่น และใช้เวลากับตัวละครอัศวินแห่งรัตติกาลพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนจากเดอะแฟลชไปแต่อย่างใด ผู้ชมยังคงเต็มอิิ่มกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชมจะได้เจอกับแบร์รี่ถึงสองคน เดอะแฟลชถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้และรู้จักตัวละครนี้มากเสียยิ่งกว่ามาก สิ่งที่ชอบมากๆใน The Flash คือการที่หนังทำให้ผู้ชมได้สัมผัสด้านที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของตัวละครนี้ในหลายๆด้าน หลังจากใน Justice League เราอาจจะรู้จักเขาแค่เพียงผิวเผิน แต่ในหนังเดี่ยวจะได้เห็นถึงทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอของตัวละคร ให้เห็นชัดว่าแม้เขาจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่แต่ก็มีมุมที่เปราะบางในแบบมนุษย์มากๆ มีความผิดพลาดเฉกเช่นคนทั่วไป ทำให้นี่คือหนังเดี่ยวของ The Flash อย่างแท้จริง ไม่ได้โดนใครแย่งซีนไปทั้งนั้นโดยรวม The Flash ถือเป็นอีกสเต็ปของจักรวาลดีซีที่น่าพอใจมากๆ เป็นการสร้างมัลติเวิร์สของตัวเองในแบบที่ไม่น้อยหน้าใคร ในฐานะหนังเดี่ยวของเดอะแฟลชก็ทำหน้าที่ได้ดีที่ทำให้ผู้ชมได้รัก ได้เข้าใจตัวละครนี้ในฐานะมนุษย์มากขึ้น ในฐานะหนังในจักรวาลดีซีมันก็น่าจะทำให้แฟนๆพึงพอใจได้อย่างมากเช่นกัน ด้วยการพาไปสำรวจหลายๆมุมในโลกของดีซีที่หลายมุมแฟนๆอาจไม่เคยเห็นมาก่อน หลายมุมเคยเห็นแต่ห่างหายไปนาน ในฐานะหนังฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ หนังก็มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ไม่ธรรมดาและฉากแอ็กชันสุดตื่นตา เรียกว่าครบองค์ประกอบหนังฟอร์มใหญ่ที่ควรดูเลยจริงๆ ไม่ว่าในอนาคตจักรวาลดีซีจะถูกเปลี่ยนไปในทิศทางใด The Flash ยังจะได้ไปต่อหรือไม่ นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมตัวอย่าง The Flash เข้าฉายสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วยสิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วยแต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] 'บุพเพสันนิวาส ๒' ปรากฏการณ์ฟินครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่ระดับหนังเอพิก | GOSSIP GUN

27 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'บุพเพสันนิวาส ๒' ปรากฏการณ์ฟินครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่ระดับหนังเอพิก | GOSSIP GUN

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "บุพเพสันนิวาส" คือปรากฏการณ์ละครโทรทัศน์ ละครพีเรียดจากนิยายของ รอมแพงเรื่องนี้ ค่อยๆไต่เรตติ้งจากตอนแรก 3.8 ทั่วประเทศ ไปจนถึงตอนอวสานที่จบด้วยเรตติ้ง 18.6 กลายเป็นความสำเร็จอย่างงดงามสำหรับ ช่อง 3 ผู้จัดอย่าง บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น และกระแสพระนาง โป๊ป ธนวรรธน์ และเบลล่า ราณี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จางหาย และคำว่า ออเจ้า กลายเป็นคำฮิตติดปากระดับแมสขั้นสุด ไม่มีใครไม่รู้จักว่า ออเจ้า เป็นคำที่มาจากไหน นอกจากทางบรอดคาซท์ ที่หยิบนิยายเล่มต่อไปอย่าง พรหมลิขิต มาสร้างเป็นละครภาคต่อแล้ว โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่สะเทือนวงการภาพยนตร์ คือการจับมือกับ GDH เพื่อสร้างหนัง "บุพเพสันนิวาส ๒" ซึ่งไม่บ่อยครั้งนัก ที่ละครจะมาสร้างภาคต่อเป็นหนังได้ เพราะต้องมีกลุ่มผู้ชมเหนียวแน่นพอจริงๆ ที่จะยอมเสียเงินซื้อตั๋วเข้าไปดู แบบเดียวกับ นาคี ๒ ซึ่งการสร้างหนังในรูปแบบนี้ ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วแม้จะบอกในชื่อหนังว่าเป็นภาค 2แต่จริงๆแล้ว "บุพเพสันนิวาส ๒" ก็ทำหน้าที่เป็นทั้งหนัง Stand Alone ผู้ชมที่ไม่เคยดูละครมาก่อนก็สามารถชมได้ เช่นเดียวกับแฟนละคร ที่ก็จะได้จิ้นได้ฟินกันต่อ จากเดิมในละครภาคแรก ที่ดำเนินเรื่องในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในภาพยนตร์ภาคต่อนี้ เปลี่ยนมาเล่าเรื่องในยุคสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งทำให้แน่ชัดว่า ทั้งโป๊ป และ เบลล่า ไม่ได้รับบทเป็นตัวละครเดียวกับในภาคแรก เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สยามกำลังทำสัญญาซื้อขายเรือเหล็กขนาดใหญ่กับพ่อค้าชาวอังกฤษ โดยโป๊ปรับบทเป็น ขุนสมบัติบดี มีหน้าที่ดูแลการคลัง เขาพยายามหนีการแต่งงานที่พ่อแม่จับหมั้นหมายไว้ให้ เพราะมีนางในฝันที่เฝ้าคิดถึงตลอดเวลา แต่ทันใดที่เขาได้พบกับ เกสร (รับบทโดย เบลล่า ราณี) หญิงที่เหมือนนางในฝันคนนี้ เขารู้ทันทีว่าเธอคือคู่ชีวิต คือบุพเพสันนิวาสของเขา ขุนสมบัติบดีจึงพยายามวางแผนจีบเกสรด้วยทุกรูปแบบ จนกระทั่งทั้งสองได้เจอกับ เมธัส (รับบทโดย ไอซ์ พาริส) ชายที่เดินทางข้ามเวลามาจากยุคปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาลสำหรับผู้เขียนในฐานะที่ไม่ได้ดูละครบุพเพสันนิวาสมาก่อน (แค่ดูแบบไม่ปะติดปะต่อ) ก็ยังสามารถพูดได้เต็มปากว่า เอ็นจอยกับหนังเรื่องนี้ มันคือหนังที่น่ารักมากๆเรื่องนึงเลย ด้วยเคมีของ โป๊ป-เบลล่า ที่ล้นทะลักออกมา เป็นการตอกย้ำว่ากระแสความจิ้นจากฉบับละคร ไม่ใช่เรื่องเว่อร์อะไร และเหมือนว่าผู้สร้างมั่นใจในจุดนี้ว่าผู้ชมต้องชอบแน่ๆ เลยขยันบิลด์โมเมนต์ให้ผู้ชมได้ชุ่มชื่นหัวใจมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตัวละครของ โป๊ป ที่คลั่งรักเอาเสียมากๆ ช่วงครึ่งแรกที่เขาพยายามจะจีบตัวละครของ เบลล่า จึงเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก และแฟนๆเอาใจช่วยแน่นอน ในฐานะที่เบลล่า ยังคงมีเสน่ห์ระดับดาเมจขั้นสุด นอกจาก ขุนสมบัติบดี ในหนังจะตกหลุมรักเธอแล้ว เชื่อว่าผู้ชมจะตกหลุมรักไม่แพ้กันแต่กระนั้น "บุพเพสันนิวาส ๒" ก็ไม่ได้มีแค่เส้นเรื่องของพระนาง เพราะปมใหญ่สำคัญอยู่ที่การปรากฏตัวของ ไอซ์ พาริส ในบทเมธัส ชายที่ย้อนเวลากลับมาจากปี 2564และติดอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่สามารถกลับบ้านได้ เขาได้ไปเกี่ยวพันกับ นายห้างหันแตร (หรือมาจากชื่อ Hunter) พ่อค้าชาวอังกฤษที่พยายามขายเรือเหล็กให้ประเทศสยาม แต่แล้ว เสด็จในกรม (รับบทโดย นนกุล ชานน) กลับไม่เชื่อว่าเรือเหล็กจะลอยน้ำได้ จึงล้มเลิกการซื้อขาย ทำให้พ่อค้าชาวต่างชาติโกรธมาก และขู่จะฟ้อง พร้อมนำกองทัพอังกฤษ แล่นเรือมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นเรื่องตรงนี้ทำให้ "บุพเพสันนิวาส ๒" มีความเป็นหนังเอพิกมากยิ่งขึ้น หนังเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม โดยเฉพาะปมการเดินทางข้ามเวลาของเมธัส ทำให้หนังสามารถผูกปมไว้ได้มากมาย และผู้ชมจะต้องค่อยๆรอติดตาม ว่าแต่ละปมจะถูกเฉลยหรือแก้ไขแบบไหนไฮไลต์สำคัญที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยสำหรับ "บุพเพสันนิวาส ๒" คือทีมนักแสดงประกอบที่แต่ละคนโผล่มาแบบจัดหนักจัดเต็ม พร้อมจะขโมยซีนพระนางตลอดเวลา (แต่โป๊ป-เบลล่า ก็สตรองมากจนขโมยซีนไม่ได้) ประกอบด้วย ปุ๊กกี้ ปวีณ์นุช หรือ คุณโฉม รับบทเป็นพี่ปี่ สาวใช้ที่ดูแลนางเอกอย่างใกล้ชิด เคมีระหว่าง ปุ๊กกี้กับเบลล่า ถือว่าเข้าขากันดีมาก หลายฉากรับส่งมุกกันอย่างโบ๊ะบ๊ะทีเดียว รวมไปถึงฉากดราม่าที่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นพี่ปุ๊กกี้ เล่นซีนอารมณ์ ซึ่งเธอก็ทำได้ดีจนผู้ชมอินมากๆอีกด้วย, บ็อบบี้ นิมิตร อีกหนึ่งนักแสดงขโมยซีนจาก เนื้อคู่ ประตูถัดไป รับบท สุนทรภู่ (ฉบับฮา) ทุกครั้งที่ีตัวละครนี้ปรากฏตัวขึ้นบนจอ เราจะได้เสียงฮาจากเขาแทบทุกครั้ง และที่สำคัญคือ ยิ่งหนังดำเนินเรื่องไป ตัวละครนี้จะยิ่งพีกขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย จนแอบเสียดายเล็กน้อยว่า อยากให้สุนทรภู่ ฉบับบุพเพ ได้แอร์ไทม์มากกว่านี้ และพี่กิ๊ก สุวัจนี ที่คัมแบ็คสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เธอรับบทแม่ของพระเอก ที่มาเล่นใหญ่โดยเฉพาะ อะไรที่คิดว่าจะได้เห็นจากพี่กิ๊ก เราจะได้เห็นจากหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอนสิ่งที่หลายคนอาจจะตกใจคือ "บุพเพสันนิวาส ๒" มีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมง 40 นาที เข้าขั้นหนังเอพิคเลยทีเดียว ซึ่งอันที่จริงตัวหนังเองสามารถกระชับมากกว่านี้ได้ แต่ด้วยความยาวระดับนี้ ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้หนังได้มีโอกาสขยี้ฉากต่างๆได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ผู้ชม โดยเฉพาะแฟนละครได้อินยิ่งขึ้นไปอีก ต้องมาติดตามกันว่า "บุพเพสันนิวาส ๒" จะเป็นปรากฏการณ์ในโลกภาพยนตร์ แบบเดียวกับที่ภาคแรก เคยเป็นปรากฏการณ์ในโลกละครได้หรือไม่ สำหรับใครที่กำลังจะไปชม ถ้าหนังจบแล้วอย่าเพิ่งรีบลุก เพราะมีฉากแถมช่วง End-Credit ซึ่งจะทำให้แฟนๆของ "บุพเพสันนิวาส" ได้กรี๊ดกันอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง "บุพเพสันนิวาส ๒" สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1