[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

20 ม.ค. 2023

เจอราร์ด บัตเลอร์ ถือเป็นพระเอกสายบู๊ที่ยังคงแอคทีฟต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ไม่มีหนังเขาเข้าฉายเลย แต่ในแง่กระแสตอบรับ ก็มีทั้งหนังเจ๋งและหนังเจ๊งสลับกันไป แต่กับผลงานล่าสุดที่ชื่อสั้นๆอย่าง Plane (ชื่อไทย ดิ่งน่านฟ้า เดือดเกาะนรก) ต้องจัดเข้าสู่กลุ่มแรก เพราะหนังสามารถกวาดคะแนนผู้ชม Audience Score ไปได้สูงถึง 94% จากเว็บไซด์ Rotten Tomatoes ในขณะที่คะแนนนักวิจารณ์ก็ปาเข้าไป 75% ถือว่าเยอะมากจริงๆ สำหรับพระเอกสายบู๊คนนี้ เพราะโดยปกติหนังของเขาจะถูกจัดเข้าสู่กลุ่มมะเขือเน่ามากกว่า ทำให้ Plane กลายเป็นหนังแอ็กชันสุดเซอร์ไพรส น่าจะตามองเรื่องแรกของปี 2023

แน่นอนว่า Plane ต้องเล่าถึงเครื่องบิน โดยเจอราร์ดรับบทเป็นกัปตันโบรดี้ ที่กำลังขับเครื่องบินไฟลต์ข้ามปีใหม่ จากสิงคโปร์มุ่งหน้าสู่โตเกียว ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติราบรื่นดี จนกระทั่งวิกฤตแรกเขาพบว่า เที่ยวบินนี้จะมีนักโทษคดีฆาตกรรมพร้อมผู้คุมมาร่วมเดินทางไปด้วย วิกฤตที่สอง ในขณะที่เขากำลังบินผ่านเหนือทะเลจีนใต้ ก็เกิดสภาพอาการแปรปรวนขึ้นทำให้เขาต้องนำเครื่องลงในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด และวิกฤตสุดท้าย คือการที่เขาได้ค้นพบว่า เกาะที่พวกเขาแลนดิ้งนั้น อยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ ที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อยากยุ่ง เขาและเหล่าผู้โดยสาร จึงเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกัน กัปตันเจอราร์ด จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคนของเขา ซึ่งนั่นรวมถึงการที่จะต้องร่วมมือกับนักโทษบนเครื่อง ที่เป็นอดีตทหารฝีมือฉกาจ

ภาพรวมนั้น Plane มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับหนังแอ็กชันในแบบที่ควรจะเป็น พล็อตที่สามารถไต่ระดับความตื่นเต้น รักษาบรรยากาศสุดระทึกได้ตลอดเวลา ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดสมจริง ตัวร้ายที่น่าเกรงขาม เริ่มจากฉากใหญ่ฉากแรกคือฉากเครื่องบินที่ต้องเผชิญมรสุมและต้องหาทาลงจอดฉุกเฉินให้ได้ หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง จนใครที่กลัวการขึ้นเครื่องบิน อาจจะหลอนกับฉากนี้ก็ได้ ต่อด้วยฉากแอ็กชันต่างๆบนเกาะที่เข้มข้นถึงใจ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว มีฉากที่พระเอก เจอราร์ด บัตเลอร์ สู้กับตัวร้ายแบบ Long Take ซึ่งเจ๋งมากๆ ฉากการใช้อาวุธปะทะกันที่โหดแบบไม่เกรงใจใคร

นอกจากนี้ Plane ยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่น่าสนใจ ทำให้หนังสนุกแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขันที่ใส่เข้ามา มาได้ถูกจังหวะถูกที่ และสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้บ่อยมากๆ การออกแบบตัวละครของ เจอราร์ด ให้ไม่ได้เก่งกาจเหนือมนุษย์มากนัก ทำให้หนังยิ่งสมจริง ดูพระเอกสูสี หรืออาจจะอ่อนด้อยกว่าบรรดาตัวร้ายด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ผู้ชมอินกับหนังและเอาใจช่วยตัวละครหลักมากขึ้น รวมถึงการที่หนังเรื่องนี้ แทบจะไม่มีตัวละครที่ชวนขัดใจ หรือบทที่งี่เง่าเลย ยิ่งทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกขัดอะไรกับหนัง สามารถเอ็นจอยไปได้ตลอดจนจบในแบบที่ไม่มีอะไรให้หงุดหงิด (ซึ่งหลายครั้งที่หนังแนวนี้ หรือหนังผี จะมีอะไรให้หงุดหงิดเสมอ)

สรุปแล้ว Plane ถือเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มกลางๆที่ทำถึง และสนุกแบบครบถ้วนมากๆ ถ้าชอบหนังแอ็กชันในสไตล์แบบยุค80s-90s น่าจะชอบเรื่องนี้ มันมีความโหดเหี้ยมในฉากแอ็กชันแบบเดียวกับ Rambo มันมีอารมณ์บางอย่างที่คล้ายกับหนังอย่าง Con Air และอีกหลายๆเรื่อง ถือเป็น 2 ชั่วโมงที่บันเทิงมากๆ และน่าดูในโรงภาพยนตร์จริงๆ

Plane เปิดรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่มตั้งแต่วันนี้ ฉายจริง 26 มกราคมทุกโรงภาพยนตร์

ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'บุพเพสันนิวาส ๒' ปรากฏการณ์ฟินครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่ระดับหนังเอพิก | GOSSIP GUN

27 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'บุพเพสันนิวาส ๒' ปรากฏการณ์ฟินครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่ระดับหนังเอพิก | GOSSIP GUN

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "บุพเพสันนิวาส" คือปรากฏการณ์ละครโทรทัศน์ ละครพีเรียดจากนิยายของ รอมแพงเรื่องนี้ ค่อยๆไต่เรตติ้งจากตอนแรก 3.8 ทั่วประเทศ ไปจนถึงตอนอวสานที่จบด้วยเรตติ้ง 18.6 กลายเป็นความสำเร็จอย่างงดงามสำหรับ ช่อง 3 ผู้จัดอย่าง บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น และกระแสพระนาง โป๊ป ธนวรรธน์ และเบลล่า ราณี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จางหาย และคำว่า ออเจ้า กลายเป็นคำฮิตติดปากระดับแมสขั้นสุด ไม่มีใครไม่รู้จักว่า ออเจ้า เป็นคำที่มาจากไหน นอกจากทางบรอดคาซท์ ที่หยิบนิยายเล่มต่อไปอย่าง พรหมลิขิต มาสร้างเป็นละครภาคต่อแล้ว โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่สะเทือนวงการภาพยนตร์ คือการจับมือกับ GDH เพื่อสร้างหนัง "บุพเพสันนิวาส ๒" ซึ่งไม่บ่อยครั้งนัก ที่ละครจะมาสร้างภาคต่อเป็นหนังได้ เพราะต้องมีกลุ่มผู้ชมเหนียวแน่นพอจริงๆ ที่จะยอมเสียเงินซื้อตั๋วเข้าไปดู แบบเดียวกับ นาคี ๒ ซึ่งการสร้างหนังในรูปแบบนี้ ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วแม้จะบอกในชื่อหนังว่าเป็นภาค 2แต่จริงๆแล้ว "บุพเพสันนิวาส ๒" ก็ทำหน้าที่เป็นทั้งหนัง Stand Alone ผู้ชมที่ไม่เคยดูละครมาก่อนก็สามารถชมได้ เช่นเดียวกับแฟนละคร ที่ก็จะได้จิ้นได้ฟินกันต่อ จากเดิมในละครภาคแรก ที่ดำเนินเรื่องในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในภาพยนตร์ภาคต่อนี้ เปลี่ยนมาเล่าเรื่องในยุคสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งทำให้แน่ชัดว่า ทั้งโป๊ป และ เบลล่า ไม่ได้รับบทเป็นตัวละครเดียวกับในภาคแรก เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สยามกำลังทำสัญญาซื้อขายเรือเหล็กขนาดใหญ่กับพ่อค้าชาวอังกฤษ โดยโป๊ปรับบทเป็น ขุนสมบัติบดี มีหน้าที่ดูแลการคลัง เขาพยายามหนีการแต่งงานที่พ่อแม่จับหมั้นหมายไว้ให้ เพราะมีนางในฝันที่เฝ้าคิดถึงตลอดเวลา แต่ทันใดที่เขาได้พบกับ เกสร (รับบทโดย เบลล่า ราณี) หญิงที่เหมือนนางในฝันคนนี้ เขารู้ทันทีว่าเธอคือคู่ชีวิต คือบุพเพสันนิวาสของเขา ขุนสมบัติบดีจึงพยายามวางแผนจีบเกสรด้วยทุกรูปแบบ จนกระทั่งทั้งสองได้เจอกับ เมธัส (รับบทโดย ไอซ์ พาริส) ชายที่เดินทางข้ามเวลามาจากยุคปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาลสำหรับผู้เขียนในฐานะที่ไม่ได้ดูละครบุพเพสันนิวาสมาก่อน (แค่ดูแบบไม่ปะติดปะต่อ) ก็ยังสามารถพูดได้เต็มปากว่า เอ็นจอยกับหนังเรื่องนี้ มันคือหนังที่น่ารักมากๆเรื่องนึงเลย ด้วยเคมีของ โป๊ป-เบลล่า ที่ล้นทะลักออกมา เป็นการตอกย้ำว่ากระแสความจิ้นจากฉบับละคร ไม่ใช่เรื่องเว่อร์อะไร และเหมือนว่าผู้สร้างมั่นใจในจุดนี้ว่าผู้ชมต้องชอบแน่ๆ เลยขยันบิลด์โมเมนต์ให้ผู้ชมได้ชุ่มชื่นหัวใจมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตัวละครของ โป๊ป ที่คลั่งรักเอาเสียมากๆ ช่วงครึ่งแรกที่เขาพยายามจะจีบตัวละครของ เบลล่า จึงเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก และแฟนๆเอาใจช่วยแน่นอน ในฐานะที่เบลล่า ยังคงมีเสน่ห์ระดับดาเมจขั้นสุด นอกจาก ขุนสมบัติบดี ในหนังจะตกหลุมรักเธอแล้ว เชื่อว่าผู้ชมจะตกหลุมรักไม่แพ้กันแต่กระนั้น "บุพเพสันนิวาส ๒" ก็ไม่ได้มีแค่เส้นเรื่องของพระนาง เพราะปมใหญ่สำคัญอยู่ที่การปรากฏตัวของ ไอซ์ พาริส ในบทเมธัส ชายที่ย้อนเวลากลับมาจากปี 2564และติดอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่สามารถกลับบ้านได้ เขาได้ไปเกี่ยวพันกับ นายห้างหันแตร (หรือมาจากชื่อ Hunter) พ่อค้าชาวอังกฤษที่พยายามขายเรือเหล็กให้ประเทศสยาม แต่แล้ว เสด็จในกรม (รับบทโดย นนกุล ชานน) กลับไม่เชื่อว่าเรือเหล็กจะลอยน้ำได้ จึงล้มเลิกการซื้อขาย ทำให้พ่อค้าชาวต่างชาติโกรธมาก และขู่จะฟ้อง พร้อมนำกองทัพอังกฤษ แล่นเรือมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นเรื่องตรงนี้ทำให้ "บุพเพสันนิวาส ๒" มีความเป็นหนังเอพิกมากยิ่งขึ้น หนังเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม โดยเฉพาะปมการเดินทางข้ามเวลาของเมธัส ทำให้หนังสามารถผูกปมไว้ได้มากมาย และผู้ชมจะต้องค่อยๆรอติดตาม ว่าแต่ละปมจะถูกเฉลยหรือแก้ไขแบบไหนไฮไลต์สำคัญที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยสำหรับ "บุพเพสันนิวาส ๒" คือทีมนักแสดงประกอบที่แต่ละคนโผล่มาแบบจัดหนักจัดเต็ม พร้อมจะขโมยซีนพระนางตลอดเวลา (แต่โป๊ป-เบลล่า ก็สตรองมากจนขโมยซีนไม่ได้) ประกอบด้วย ปุ๊กกี้ ปวีณ์นุช หรือ คุณโฉม รับบทเป็นพี่ปี่ สาวใช้ที่ดูแลนางเอกอย่างใกล้ชิด เคมีระหว่าง ปุ๊กกี้กับเบลล่า ถือว่าเข้าขากันดีมาก หลายฉากรับส่งมุกกันอย่างโบ๊ะบ๊ะทีเดียว รวมไปถึงฉากดราม่าที่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นพี่ปุ๊กกี้ เล่นซีนอารมณ์ ซึ่งเธอก็ทำได้ดีจนผู้ชมอินมากๆอีกด้วย, บ็อบบี้ นิมิตร อีกหนึ่งนักแสดงขโมยซีนจาก เนื้อคู่ ประตูถัดไป รับบท สุนทรภู่ (ฉบับฮา) ทุกครั้งที่ีตัวละครนี้ปรากฏตัวขึ้นบนจอ เราจะได้เสียงฮาจากเขาแทบทุกครั้ง และที่สำคัญคือ ยิ่งหนังดำเนินเรื่องไป ตัวละครนี้จะยิ่งพีกขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย จนแอบเสียดายเล็กน้อยว่า อยากให้สุนทรภู่ ฉบับบุพเพ ได้แอร์ไทม์มากกว่านี้ และพี่กิ๊ก สุวัจนี ที่คัมแบ็คสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เธอรับบทแม่ของพระเอก ที่มาเล่นใหญ่โดยเฉพาะ อะไรที่คิดว่าจะได้เห็นจากพี่กิ๊ก เราจะได้เห็นจากหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอนสิ่งที่หลายคนอาจจะตกใจคือ "บุพเพสันนิวาส ๒" มีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมง 40 นาที เข้าขั้นหนังเอพิคเลยทีเดียว ซึ่งอันที่จริงตัวหนังเองสามารถกระชับมากกว่านี้ได้ แต่ด้วยความยาวระดับนี้ ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้หนังได้มีโอกาสขยี้ฉากต่างๆได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ผู้ชม โดยเฉพาะแฟนละครได้อินยิ่งขึ้นไปอีก ต้องมาติดตามกันว่า "บุพเพสันนิวาส ๒" จะเป็นปรากฏการณ์ในโลกภาพยนตร์ แบบเดียวกับที่ภาคแรก เคยเป็นปรากฏการณ์ในโลกละครได้หรือไม่ สำหรับใครที่กำลังจะไปชม ถ้าหนังจบแล้วอย่าเพิ่งรีบลุก เพราะมีฉากแถมช่วง End-Credit ซึ่งจะทำให้แฟนๆของ "บุพเพสันนิวาส" ได้กรี๊ดกันอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง "บุพเพสันนิวาส ๒" สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

17 พ.ค. 2023

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะบอกว่าหนังภาคนี้คือ Avengers สำหรับหนังตระกูล Fast Furious เพราะมันทำหน้าที่เหมือนพยายามโกยทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่ Fast Five ที่ไม่ว่าจะอีเหละเขละขละขนาดไหน ให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง แล้วไปด้วยกัน เพื่อบิลด์ไปสู่บทสรุป ก่อนหน้านี้หนัง Fast Furious ถูกวางโร้ดแมปไว้ให้ภาค11 เป็นภาคจบ ก่อนที่เมื่อสัปดาห์ก่อน วิน ดีเซล เพิ่งให้สัมภาษณ์แบบไม่มีใครทันตั้งตัวว่า Fast Furious จะจบที่ภาค 12 ไม่ว่าหลังจากนี้จะเหลืออีกภาคเดียวหรือสองภาค แต่ที่แน่ๆ Fast Furious X ทำหน้าที่เหมือนบันไดก้าวสู่จุดนั้น ถ้าให้เทียบกับจักรวาลมาร์เวล มันก็ทำหน้าที่เหมือน Avengers : Infinity War นั่นเอง ที่รวมเอาตัวละครในจักรวาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มาใส่ไว้ด้วยกัน และบิลด์ให้กราฟเส้นเรื่องพุ่งทะยานขึ้นสูงสุด เพื่อให้ผู้ชมกระหายว่าบทสรุปของแฟรนไชส์จะเป็นอย่างไร (ภาคหน้าของฟาสต์ ก็คงเป็น Endgame ดีๆนี่เอง)ก่อนที่จะเข้าสู่ Fast Furious X หนังพาผู้ชมย้อนกลับไปยังภาคที่ 5 เพื่อปูแบ็คกราวน์ตัวร้ายหลักของภาคนี้ อย่าง ดันเต้ (รับบทโดย เจสัน โมโมอา จาก Aquaman) เขาคือทายาทของเฮอร์แนน พ่อค้ายาตัวพ่อที่โดน ดอมและไบรอันจัดการให้ภาค5 จากความแค้นที่สั่งสมมานานนับทศวรรษ ดันเต้ จึงกลับมาเพื่อล้างแค้นดอน แต่วิธีที่เจ็บปวดที่สุดนั้น กลับไม่ใช่การฆ่าเขา แต่เป็นการทยอยจัดการคนที่เขารัก บุคคลที่ดอมเรียกว่า "ครอบครัว"และเมื่อยิ่งครอบครัวใหญ่ การปกป้องก็ยิ่งยากขึ้น แน่นอนว่าสมาชิกหลักๆของหนังตระกูลฟาสต์ กลับมาแบบครบทีม รวมถึง 3 ตัวร้ายหลักจากภาค 7-9ที่กลับมาเป็นพันธมิตรของดอมไปซะแล้ว ทั้ง เจสัน สเตแธมในบท เด็กการ์ด, ชาร์ลีซ เธียรอน ในบทไซเฟอร์ และจอห์น ซีน่าในบท เจค็อบ น้องชายของดอม พร้อมกับสมาชิกใหม่ ซึ่งนอกจาก เจสัน โมโมอาแล้ว ยังมี บรี ลาห์สัน (จาก Captain Marvel) ในบทเทส ลูกสาวของมิสเตอร์โนบอดี้ และนักแสดงระดับตำนาน ริต้า โมเรร่า ในบทคุณย่าของดอมดูเหมือน Fast Furious X จะเป็นหนังตระกูลฟาสต์ที่เข้ารูปเข้ารอยมากที่สุดในหนังตระกูลนี้ระยะหลังๆ สำหรับผู้เขียนเองยกให้เป็นภาคที่ชอบที่สุดนับตั้งแต่ Fast Five ในแง่ของหนังเล่าเรื่องค่อนข้างลงตัว ไม่ได้สะเปะสะปะเท่าภาคก่อนๆ หนังพยายามจะดึงจุดสำคัญในภาคที่ 5-9 มารวมกันเพื่อนำไปสู่ภาค 11 (และอาจจะมี 12) อย่างที่ วิน ดีเซล พยายามให้เป็นบทสรุป หนังทำหน้าที่นั้นได้อย่างดี แม้ว่าจะมีหลายๆอย่างที่ดู "อิหยังวะ" หรือชวนให้ขำขัน แต่มันก็เป็นคาแรคเตอร์ของหนังตระกูลนี้ไปแล้ว แม้บทหนังจะไม่ได้เพอร์เฟคเต็มร้อย แต่หนังก็สามารถบิลด์ความตึงเครียด สร้างอารมณ์ร่วมได้ค่อนข้างดี และเส้นเรื่องเองก็ไม่ได้ยุ่งเหยิงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ภาคนี้ดูเป็นหนังฟาสต์ที่ "มีสติ" มากกว่าหลายๆภาคพอสมควรแน่นอนว่าไฮไลต์หลักของตระกูล Fast Furious คือฉากแอ็กชัน ซึ่งยังคงมันส์ สนุกและเร้าอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นฉากไล่ล่าใหญ่ในอิตาลี หรือฉากบู๊หนักในช่วงท้าย ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือความพยายามที่จะลดระดับความเว่อร์ลงมา หลังจากภาคก่อนๆไปไกลถึงระดับออกนอกโลก จนเกือบจะกลายเป็นหนังแฟนตาซีไปแล้ว ภาคนี้เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับพยายามทำฉากแอ็กชันให้สมจริงมากขึ้น แม้จะยังเว่อร์อยู่เมื่อเทียบกับภาคแรกๆ แต่มันก็เป็นความเว่อร์ในระดับที่รับได้ ไม่ได้โม้จนถึงขั้นหัวเราะออกมา เป็นความเว่อร์ที่ไม่ได้ทำให้เส้นเรื่องที่ค่อนข้างตึงเครียด ดูเครียดน้อยลงแต่อย่างใด ดูจะเป็นฉากแอ็กชันที่โม้ในระดับที่ผู้ชมพอจะทำใจได้ว่า มันก็อาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้นะ ซึ่งภาคนี้ทำได้ดี จัดใหญ่จัดเต็มแบบคุ้มค่าตั๋วในการดูในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอนและอีกหนึ่งไฮไลต์หลักที่สำคัญมากสำหรับ Fast Furious X คือการปรากฏตัวของ เจสัน โมโมอา ตัวร้ายหลักประจำภาคที่สามารถยกให้เป็น MVP ของหนังเลยก็ว่าได้ เขาคือตัวร้ายที่มีทั้งเสน่ห์ มีทั้งอารมณ์ขัน แต่ก็อัดแน่นด้วยความอำมหิตเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกฉากที่เขาปรากฏตัวแทบจะขโมยซีนไปได้ทั้งหมด ยิ่งคาแรคเตอร์ที่เหมือนจะตรงข้ามดอมทุกประการยิ่งทำให้แย่งซีนได้ง่ายมาก ต่างจากตัวร้ายภาคก่อนๆ ทั้ง เจสัน, ชาร์ลีซ หรือแม้แต่ จอห์นในภาคก่อน จะมีบุคลิกค่อนข้างนิ่ง ขรึม ต่างจากตัวละครนี้ ที่แม้จะเอาฮา ดูบ้า แต่ก็โหดของจริง ความเหี้ยมของตัวละครนี้ทำให้ Fast X เข้าสู่โหมดจริงจังได้อย่างเต็มที่ จนอยากจะยกให้บท ดันเต้ ของเจสัน โมโมอา คือตัวร้ายที่ดีที่สุด และอันตรายกับดอมมากที่สุด ในบรรดาหนังตระกูลฟาสต์ทุกภาคเลยด้วยซ้ำสำหรับใครที่เริ่มจะเบื่อๆหรือเอือมระอากับหนังตระกูล Fast Furious ที่ไม่จบไม่สิ้นเสียที อยากให้ลองกลับมาดูภาคนี้ เป็นภาคที่เหมือนพาแฟรนไชส์นี้ กลับสู่จุดพีกสุดอีกครั้ง หลังจากพีกไปมากๆในภาค 5 และภาค7 ต้องขอบคุณการเข้ามาของผู้กำกับ หลุยส์ เลตเตอเรีย (จาก Now You See Me และ Clash of the Titans) ที่บาลานซ์เรื่องค่อนข้างดี คุมหนังให้ไม่ออกนอกลู่นอกทางเท่าไหร่นัก และเป็นภาคที่หยิบเอบคำว่า "ครอบครัว" ซึ่งเป็นจุดแข็งแรงของตัวละครหลักมาตลบหลังให้กลายเป็นจุดอ่อน นี่คือภาคที่ทั้งสนุก ทั้งเข้มข้น และค่อนข้างลงตัวกว่าหลายๆภาค แม้มันจะยังคงเว่อร์ ยังคงมีบาดแผล ตามสไตล์หนังฟาสต์ แต่ต้องยอมรับว่า Fast X คือภาคที่บันเทิงกว่าหลายๆภาคในระยะหลังจริงๆ ปล. ดูในระบบ IMAX ยิ่งเพิ่มอารมณ์ร่วม ฉากแอ็กชันใหญ่ช่วยบิลด์ความอลังการได้ดีมากชมตัวอย่าง Fast Furious X (เร็ว..แรงทะลุนรก 10) วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

30 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

สิ่งที่ผู้ชมต้องการจากหนังMinionsคงไม่มีอะไรมากนอกจากเสียงหัวเราะ ดังนั้นถ้าหนังสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้ ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ส่วนข้อดีอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมา คงเป็นของแถม ซึ่งMinions : The Rise of Gruทำหน้าที่เป็นหนังแอนิเมชั่นคลายเครียดได้อย่างอยู่หมัด เป็นเวลา90นาทีที่เราสามารถลืมทุกอย่างภายนอก แล้วไปสนุกกับโลกป่วนๆของพวกมินเนียนได้ หลังจากที่พวกเราห่างหายจากการดูหนังเดี่ยวของMinionsมานานถึง7ปี และห่างหายจากDespicable Meมานานถึง5ปีแล้วถ้าจะอธิบายถึงสถานะของหนังMinions : The Rise of Gruอาจจะวุ่นวายเล็กน้อย เพราะมันคือหนังภาคต่อของMinionsในปี2015ซึ่งตัวหนังMinionsเองถือเป็นหนังภาคแยกออกมาจากDespicable Meซึ่งเน้นไปที่ตัวละครกรู บอสใหญ่ของเหล่ามินเนียน ซึ่งเหตุการณ์ในหนังMinions : The Rise of Gruจะเกิดขึ้นหลังจากMinionsแต่เป็นก่อนDespicable Meในภาคแรก โดยจะเล่าถึงกรูในวัย12ปีที่กำลังหาทางขึ้นไปเป็นวายร้ายระดับท็อปของโลกให้ได้ และโอกาสก็มาถึงเมื่อเหล่า วิกเชียส6แก๊งหกวายร้ายตัวเป้งของโลก เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ กรูจึงตั้งใจจะเป็นสมาชิกให้ได้ แต่กลับถูกเหล่าวายร้ายรุ่นเดอะเหยียดหยามว่าเขาเป็นแค่เด็ก กรูจึงขโมยสมบัติล้ำค่าออกมา เพื่อพิสูจน์ว่า เขาไม่ใช่เด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัยสุดป่วน ของทั้งกรู และแก๊งมินเนียนสมุนของเขาทั้งหมดแม้หนังภาคนี้ จะมีเรื่องราวของ กรู ในวัยเด็กเข้ามาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง แต่ไฮไลต์จริงๆ คงหนีไม่พ้นเหล่าตัวละคร มินเนียน ที่ถาโถมความป่วนเข้ามาตลอดทั้งเรื่อง เหมือนผู้สร้างรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่แฟนๆชอบ อะไรคือสิ่งที่ผู้ชมที่ตั๋วเข้ามาดูต้องการ จึงสร้างสรรค์ฉากฮาๆ สำหรับตัวละครมินเนียนออกมาได้เพียบ ฉากการเดินทางข้ามอเมริกาและฉากฝึกศิลปะการต่อสู้ ก็เปิดโอกาสให้ผู้สร้างได้ใส่มุกมากมายในหนัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ขำตลอด แต่ที่เซอร์ไพรสคือ ผู้สร้างเลือกที่จะชูตัวละครนึงขึ้นมาคือ อ็อตโต้ ซึ่งทำสิ่งผิดพลาดบางอย่างในตอนต้นเรื่อง ทำให้เขาค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิต และเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน เราจะได้เห็นการเรียนรู้บางอย่างและเติบโตขึ้นของกรูเช่นกัน ทำให้Minions : The Rise of Gruเป็นหนังตลกโบ๊ะบ๊ะเท่านั้น แต่ก็ยังมีความเป็นComing-of-Ageผสมผสานเข้ามาด้วยสีสันที่ทำให้Minionsน่าสนใจเพิ่่มขึ้นมา คือการสร้างบรรยากาศในยุค70s (ต่างจากDespicable Meที่เล่าให้ยุคปัจจุบัน)หนังมีการหยิบเอาPop Cultureบางอย่างมาใช้ประกอบ หยิบเอาอุปกรณ์ต่างๆในยุคนั้นมาเล่น มาแซว ทำให้ผู้ชมที่เป็นกลุ่มพ่อแม่ ที่พาลูกเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อาจจะนั่งขำหรือนึกย้อนถึงสมัยก่อน เพิ่มขึ้นจากการขำตัวมินเนียนแค่นั้น อีกหนึ่งสีสันสำคัญ คือการกลับมาพากย์เสียงประกอบ ของ สตีฟ คาร์เรล ในบทของกรู บวกกับการปรากฏตัวของบางตัวละคร ที่จะเชื่อมไปยังDespicable Meภาคแรก ทำให้ผู้ชมที่อาจจะพอจำภาคแรกได้ ได้ถึงย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของหนังแฟรนไชส์นี้ได้ โดยหนังยังมีนักแสดงสายแอ็กชันมาพากย์เสียงเพียบ ทั้ง มิเชลล์ โหย่ว,ฌอง คลอด แวน แดมม์ และดอล์ฟ ลุนเกรน เรียกว่าจัดเต็มในกลุ่มทีมพากย์พอสมควรสิ่งที่น่าเสียดายเล็กน้อยสำหรับMinions : The Rise of Gruคือพล็อตเรื่องที่อาจจะเบาบางไปนิด แต่ก็เอื้อให้เกิดฉากผจญภัยที่สนุกสนานและฉากตลกมากมาย และการสร้างตัวร้ายประจำภาคนี้ นั่นคือ กลุ่มวิกเชียส6ซึ่งมีสมาชิกมากถึงหกคน แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไหร่นัก แต่ละตัวละครต่างมีจุดเด่นที่ปรากฏเยอะไปหมด ความเยอะในทุกตัวละครนี้ กลับทำให้ไม่มีตัวละครไหนเด่นเลย แทนที่การรวมพลัง6คน มันควรจะยิ่งใหญ่ดูน่าเกรงขาม แต่พวกเขากลับร้ายแค่ระดับผิวเผินเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับ ตัวละคร สการ์เล็ต โอเวอร์คิล(ที่พากย์เสียงโดย แชนดร้า บูลล็อค)ในภาคก่อน ยังน่าจดจำยิ่งกว่าสรุปแล้วMinions : The Rise of Gruคือยาแก้เครียดขนานแท้ ภาคนี้จัดเต็มความฮาจากเหล่ามินเนียนแน่นอน รับประกันความป่วน แต่ก็จะมีมุมอื่นๆให้ได้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมน่ารักแบ๊วๆ หรือมุมดราม่า ที่จะทำให้ผู้ชมยิ่งตกหลุมรักเหล่ามินเนียนมากขึ้นไปอีก นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้แบรนด์ดิ้ง ของ มินเนียน แข็งแรงขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากจบภาคนี้ ดูเหมือนเส้นเรื่องจะวนกลับมาครบลูป จากDespicable Meภาคแรกแล้ว ผู้สร้างจะเลือกทิศทางไปเล่าอย่างไรต่อ จนต้องติดตามกันต่อไป(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่างMinions : The Rise of Gruวันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Meg 2 : The Trench’ ภาคต่อที่บันเทิงแบบปล่อยจอย อัดแน่นด้วยฉลามยักษ์ | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2023

[REVIEW] ‘Meg 2 : The Trench’ ภาคต่อที่บันเทิงแบบปล่อยจอย อัดแน่นด้วยฉลามยักษ์ | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน The Meg กลายเป็นหนังฉลามที่กวาดรายได้ไปแบบเหนือความคาดหมาย ด้วยรายได้ระดับ 500 ล้านเหรียญฯจากทั่วโลก อยู่ๆก็กลายเป็นหนังฉลามที่ทำเงินทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลแซง Jaws ไปเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าถ้าจะเทียบกันจริงๆ โดยเอาค่าตั๋วมาดู ก็ยังคงแพ้ Jaws แต่ถ้านับแค่รายได้ ก็เลยชนะไปซะงั้น ทำให้โปรเจกต์ภาคต่อถูกอนุมัติในเวลาไม่นาน และที่น่าสนใจคือ กลายเป็นประเทศจีนที่เป็นประเทศที่ The Meg ภาคแรกทำเงินมากที่สุด ราวๆ 150 ล้านเหรียญฯ แซงอเมริกาที่ทำเงินไปแถวๆ 143 ล้าน จึงไม่แปลกใจเลยที่ภาคต่อนี้ ทางวอร์เนอร์เลยได้ไประดมทุน จับมือกับสตูดิโอในเมืองจีน แถมดึงพระเอกระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง อู๋จิง ที่ปรากฏตัวในหนังทำเงินถล่มทลายอย่าง Wolf Warrior 2, The Wandering Earth และ The Battle of Lake Changjin (ซึ่งล้วนอยู่ใน Top 10 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของจีน) มาร่วมแสดงประกบ เจสัน สเตแธม พระเอกจากภาคแรกที่กลับมารับบทนำในภาคต่ออีกครั้งMeg 2 : The Trench เล่าเรื่องราวหลายปีจากภาคแรก กับการผจญภัยครั้งใหม่ของ โจนัส (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) ที่นำทีมนักวิจัยลงไปสำรวจร่องสมุทรที่ลึกลงไปในมหาสมุทร สถานที่ซึ่งพวกเขาเจอกับเมกาโลดอน หรือฉลามยักษ์ดึกดำบรรพ์ในภาคแรก ไม่นานอันตรายก็เริ่มเข้าใกล้ เมื่อเมกาโลดอนที่พวกเขาขังเอาไว้เพื่อวิจัยกลับหลุดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แถมยังมีเมกาโลดอนตัวอื่นโผล่ออกมา รวมถึงพวกเขากำลังจะได้พบกับ โครโนซอรัส สัตว์ลึกลับดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ที่ปรากฏอยู่ใต้ทะเล กลายเป็นจากภารกิจสำรวจใต้ทะเลลึก พวกเขาต้องเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตสุดอันตราย ที่ไม่ใช่แค่ทวีจำนวนมากขึ้น แต่เพิ่มความหลากหลายและอันตรายมากขึ้นด้วย หนังภาคนี้ได้ อู๋จิง มารับบทนำประกบกับ เจสัน ในบทจิวหมิง น้องชายของนางเอกจากภาคแรกโดยรวมภาคนี้ มันไปไกลกว่าแค่หนังฉลามแล้ว ดูจะเป็นหนังมอนสเตอร์ที่เน้นสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลลึกเสียมากกว่า จากภาคแรกที่เป็นหนังฉลามแบบติดเว่อร์นิดๆ เพราะเน้นไซส์ที่มโหฬารและที่มาจากดึกดำบรรพ์ แต่ภาคนี้เหมือนกำลังจะตั้งท่าขยายจักรวาลให้ใหญ่โตขึ้น นอกจากเมกาโลดอน ผู้ชมเลยจะได้เจอกับสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลอีกหลายตัว เหมือนกับผู้สร้างเตรียมจะขยายจักรวาลเป็น Sea-Monsterverse อะไรทำนองนั้น ซึ่งมันก็ช่วยทวีความน่าสนใจให้กับหนังมากขึ้นในอีก ในฐานะภาคต่อที่ทั้งขยายเส้นเรื่องและเพิ่มปริมาณเหล่ามอนสเตอร์ให้มากยิ่งขึ้น ใครที่ชอบหนังสัตว์ประหลาดน่าจะสนุกและคุ้มค่ากับการมาดูอยู่ไม่น้อยในขณะเดียวกันสิ่งที่แอบเปลี่ยนไปเล็กน้อยคือ Mood Tone ของหนัง ซึ่งแน่นอนว่ามันยังเป็นหนังแอ็กชันตื่นเต้น แต่ภาคนี้แอบปรับอารมณ์ให้ไม่โหดหรือซีเรียสเท่าเดิม เน้นให้หนังดูเป็นมิตรกับผู้ชมกลุ่มครอบครัวมากขึ้น ยกระดับความแฟนตาซีเพิ่มเข้าไปอีก แทนที่หนังจะขยับเข้าหาหนังสไตล์ Jaws แต่กลับขยับมาใกล้หนังแบบ Jurassic World เสียมากกว่า ซึ่งตรงนี้เองน่าจะเปิดโอกาสให้หนังทำเงินได้มากขึ้น รวมไปถึงเหมาะกับการเจาะตลาดจีนที่ภาคแรกกวาดเงินถล่มทลายไปแล้ว แต่แม้จะไม่ได้โหดเลือดสาดเท่าไหร่นัก แต่ฉากแอ็กชันต่างๆก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้น เร้าใจ และเว่อร์ขึ้นไปอีกสเต็ป เหมือนผู้สร้างจับทางได้แล้วว่าผู้ชมชอบสไตล์ไหน ก็จัดให้แบบนั้นอย่างไม่ยั้งสรุป Meg 2 : The Trench ถือเป็นหนังภาคต่อที่เข้าที่เข้าทางกว่าภาคแรก ยังคงความสนุกแบบดูเพลินได้ตลอดทั้งเรื่อง และทวีคูณหลายๆอย่างเข้าไป ทั้งในแง่ของสัตว์ประหลาด รวมถึงตัวละครฮีโร่ จากเดิมที่ภาคแรกเน้นความเท่ของ เจสัน สเตแธม ภาคนี้พอใส่ อู๋จิง เข้ามา เหมือนเจสันได้คู่หูมาร่วมแท็กทีม ยิ่งทำให้ฝั่งมนุษย์ดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก และไม่แน่อีกหน่อย อาจจะมีการต่อยอดสร้างเป็นภาคแยกฉบับจีนเลยก็เป็นอันได้ เพราะปกติหนังของ อู๋จิง ก็ทำเงินแบบถล่มทลายที่นั่นอยู่แล้ว อีกหน่อยเราคงได้เห็นหนังตระกูล Meg ที่มากขึี้นและหลากหลายขึ้นเป็นแน่แท้ชมตัวอย่าง Meg 2 : The Trench วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

album

0
0.8
1